เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 207.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 207.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 207.2

ในเวลาเดียวกัน

เฟเรสเดินเข้ามาในห้องขังของเบเลซัก ลอมบาร์เดีย พร้อมกับเหล่าอัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์

เบเลซักเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด

“เมื่อไหร่ข้าจะได้กลับคฤหาสน์ลอมบาร์เดียหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่รู้สิ ยังไม่มีการเรียกร้องอันใดจากลอมบาร์เดียเลยเสียด้วย”

“เป็นไปไม่…”

เบเลซักหยุดชะงัก

เบเจอร์ผู้เป็นบิดาของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากถูกขับไล่ออกจากตระกูลลอมบาร์เดียไปแล้ว ส่วนเซรัลท่านแม่ของเขาก็เป็นคนของอังเกนัส ทั้งยังเป็นมือขวาของจักรพรรดินีอีกด้วย

เพิ่งจะตระหนักขึ้นมาได้ว่า คงไม่มีใครยอมพับแขนเสื้อขึ้นช่วยเขาทั้งนั้น

ตุบ

เบเลซักได้แต่ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ สองมือขยุ้มศีรษะเอาไว้แน่น

“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย แล้วทำไม…”

ความหวังบางเบาเหลือเกิน

ความหวังว่าบางทีลอมบาร์เดีย หรือเซรัลท่านแม่ของเขาอาจจะกำลังขอร้องอังเกนัสให้ช่วยพาตัวเขาออกไปก็ได้

ทว่าคนที่มาเยือนถึงที่กลับกลายเป็นเฟเรสกับพวกอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์

ตอนนี้เบเลซักไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว

เฟเรสหลุบตามองสภาพของเบเลซัก ก่อนจะเอ่ยพูดกับเหล่าอัศวิน

“ออกไปรอข้างนอกก่อน”

“…พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”

พวกอัศวินลังเลไปชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานก็ยอมเคลื่อนไหวตามคำสั่ง

อัศวินนายหนึ่งยังคงยืนเฝ้าจนถึงท้ายที่สุด แต่ถึงแม้สายตาจะหันไปมองเฟเรสสลับกับเบเลซักด้วยความสงสัย ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี

อัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์ทุกนายจะต้องทำตามคำสั่งของสายเลือดราชวงศ์ดิวเรลลี่อย่างไม่มีเงื่อนไข

แกรก

ประตูปิดลงพร้อมเสียงกระทบเบาๆ ดังขึ้น หลังจากนั้นเฟเรสจึงเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามกับเบเลซัก

เด็กหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เรียวขายาวยกขึ้นนั่งไขว้ห้าง ท่วงท่าให้บรรยากาศที่แตกต่างไปจากตอนอยู่กับอัศวินเมื่อครู่ลิบลับ

เบเลซักมองเฟเรสด้วยนัยน์ตาหวาดระแวง

“เฮ้”

เฟเรสเอ่ยเรียกเบเลซัก

“อยากตายทั้งแบบนี้หรือไง”

“วะ…ว่าไงนะ…!”

เพราะเบเลซักมักจะคอยเยาะเย้ยถากถางเจ้าชายลำดับที่สองเหมือนเป็นตัวตลกทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกันกับอาสทาน่า จึงเผลอหลุดพูดจาไม่เคารพผู้เป็นเจ้าชายออกไปอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องปิดปากแน่น

เฟเรสกล่าวเสียงเรียบ เขาเองก็เข้าใจในท่าทีของเบเลซักดีอยู่แล้ว จึงมองข้ามมันไปไม่ได้คิดตำหนิอีกฝ่าย

“ดูเหมือนเจ้าเองก็คงไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาช่วยเจ้า และท่าทางก็ดูจะยอมแพ้แล้วมิใช่หรือ”

เฟเรสพูดพลางเปิดหนึ่งในบรรดากล่องไม้ที่อัศวินวางทิ้งไว้บนโต๊ะออกให้เบเลซักได้เห็นของด้านใน

“ตอนโดนไต่สวน อาสทาน่าอ้างว่า ‘เบเลซักเป็นคนเอากระบอกน้ำนี่มาให้’ ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลของเบเลซักสั่นไหว

เฟเรสจึงเปิดกล่องใบที่สองออก

“และมีดสั้นที่ใช้ในการลอบสังหารฝ่าบาทเองก็ดันเป็นของเจ้าด้วยเหมือนกัน”

“นะ…นั่นมัน…!”

“หากพวกอังเกนัสโยนความผิดให้เจ้ากลายเป็นคนร้ายแทน คิดว่าคราวนี้ผู้คนจะมองยังไงล่ะ”

เฟเรสเหลือบมองใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัวของเบเลซัก ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“จักรพรรดินีโยนความผิดทุกอย่างป้ายสีว่าเจ้าเป็นคนทำ เบเลซัก ลอมบาร์เดีย และเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าคนอื่นก็ย่อมต้องเชื่อตามนั้น”

เบเลซักกัดริมฝีปากแน่น

เป็นอย่างที่เฟเรสกล่าวมาไม่ผิด

เบเลซักเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจักรพรรดินีเป็นคนเหี้ยมโหดแค่ไหน

“เจ้าของกระบอกน้ำนี่เดิมทีเป็นข้า และเจ้าเป็นคนขโมยมันไปให้อาสทาน่า แต่ในเมื่อข้าเป็นผู้นำการสอบสวนครั้งนี้จึงไม่มีใครโจมตีข้าได้ ดังนั้นย่อมเหลือแค่เจ้า เบเลซัก เจ้าผู้ใช้นามสกุลลอมบาร์เดีย”

เบเลซักหลับตาแน่นยอมรับในคำพูดของเฟเรสอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ในตอนนั้นเองเฟเรสก็เอ่ยถามขึ้นมา

“อยากมีชีวิตรอดหรือไม่”

เบเลซักเงยหน้าขึ้นทันที

สมองโง่เขลากำลังประมวลผลอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

“…พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ! ยะ…อยากมีชีวิตรอดพ่ะย่ะค่ะ!”

เบเลซักอ้อนวอน เขาแทบจะลงไปคุกเข่ารั้งขากางเกงของเฟเรสอยู่แล้ว

เฟเรสเพียงแค่เหลือบมองเบเลซักด้วยนัยน์ตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

มันเป็นเพียงกระดาษว่างเปล่า ไม่ได้มีอะไรเขียนไว้สักประโยค

“นี่มัน…อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

พอเบเลซักเอ่ยถามด้วยความงุนงง เฟเรสก็โยนกระดาษแผ่นนั้นลงไปบนโต๊ะ ในขณะที่เอ่ยขึ้น

“เขียนจดหมายถึงเซรัลมารดาของเจ้าเสีย”

* * *

จักรพรรดินีเรียกตัวเจ้าตระกูลเซอเชาว์มายังพระราชวัง

“ข้าเชื่อใจแต่เจ้าตระกูลเซอเชาว์เท่านั้นนะคะ”

ราวีนีเอ่ยพูดกับชานตั้น เซอเชาว์

คำขอให้อีกฝ่ายไปลอบสังหารเฟเรสเมื่อคราวก่อนหน้าโน้นเป็นเหมือนหนึ่งในบททดสอบของจักรพรรดินีราวีนี

เพื่อที่จะทดสอบให้แน่ใจว่า ชานตั้น เซอเชาว์ คนนี้เป็นคนที่นางสามารถไว้ใจได้หรือไม่

สุดท้ายชานตั้น เซอเชาว์ ผู้เคยเป็นหัวหน้ากองกำลังอัศวินรุ่นก่อนก็ได้นำหลักฐานหลายอย่างในการลอบสังหารเจ้าชายมาให้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจักรพรรดินีราวีนีจึงเริ่มเชื่อใจในตัวเจ้าตระกูลเซอเชาว์อย่างไร้ข้อกังขา

“เซอเชาว์กับอังเกนัสเองก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้วมิใช่หรือคะ”

จักรพรรดินีราวีนีแย้มรอยยิ้มหวาน ในขณะที่ช่วยเทชาให้เจ้าตระกูลเซอเชาว์ด้วยตัวเอง

“ทางด้านอาสทาน่าข้าจะจัดการแก้ปัญหาเอง เจ้าตระกูลเซอเชาว์ช่วยสืบเรื่องทางสภาขุนนางให้ทีนะคะ”

“พูดถึงตระกูลบราวน์หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ชานตั้น เซอเชาว์ ถามเสียงเรียบไร้จังหวะสูงต่ำอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา

“ใช่ค่ะ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากนะคะ”

จักรพรรดินีเอ่ยตอบโดยที่ยังคงไม่สูญเสียรอยยิ้มบนใบหน้า

ทว่ารอยยิ้มนั่นกลับค้างอยู่บนนั้นต่อไปได้ไม่นานนัก

เพราะคำพูดประโยคถัดมาของชานตั้น เซอเชาว์ ที่เอ่ยขึ้นในขณะที่วางแก้วชาลงบนโต๊ะนั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องมอบเขตแดนอังเกนัสให้กระหม่อมเสียแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 207.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 207.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 207.2

ในเวลาเดียวกัน

เฟเรสเดินเข้ามาในห้องขังของเบเลซัก ลอมบาร์เดีย พร้อมกับเหล่าอัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์

เบเลซักเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด

“เมื่อไหร่ข้าจะได้กลับคฤหาสน์ลอมบาร์เดียหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่รู้สิ ยังไม่มีการเรียกร้องอันใดจากลอมบาร์เดียเลยเสียด้วย”

“เป็นไปไม่…”

เบเลซักหยุดชะงัก

เบเจอร์ผู้เป็นบิดาของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากถูกขับไล่ออกจากตระกูลลอมบาร์เดียไปแล้ว ส่วนเซรัลท่านแม่ของเขาก็เป็นคนของอังเกนัส ทั้งยังเป็นมือขวาของจักรพรรดินีอีกด้วย

เพิ่งจะตระหนักขึ้นมาได้ว่า คงไม่มีใครยอมพับแขนเสื้อขึ้นช่วยเขาทั้งนั้น

ตุบ

เบเลซักได้แต่ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ สองมือขยุ้มศีรษะเอาไว้แน่น

“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย แล้วทำไม…”

ความหวังบางเบาเหลือเกิน

ความหวังว่าบางทีลอมบาร์เดีย หรือเซรัลท่านแม่ของเขาอาจจะกำลังขอร้องอังเกนัสให้ช่วยพาตัวเขาออกไปก็ได้

ทว่าคนที่มาเยือนถึงที่กลับกลายเป็นเฟเรสกับพวกอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์

ตอนนี้เบเลซักไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว

เฟเรสหลุบตามองสภาพของเบเลซัก ก่อนจะเอ่ยพูดกับเหล่าอัศวิน

“ออกไปรอข้างนอกก่อน”

“…พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”

พวกอัศวินลังเลไปชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานก็ยอมเคลื่อนไหวตามคำสั่ง

อัศวินนายหนึ่งยังคงยืนเฝ้าจนถึงท้ายที่สุด แต่ถึงแม้สายตาจะหันไปมองเฟเรสสลับกับเบเลซักด้วยความสงสัย ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี

อัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์ทุกนายจะต้องทำตามคำสั่งของสายเลือดราชวงศ์ดิวเรลลี่อย่างไม่มีเงื่อนไข

แกรก

ประตูปิดลงพร้อมเสียงกระทบเบาๆ ดังขึ้น หลังจากนั้นเฟเรสจึงเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามกับเบเลซัก

เด็กหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เรียวขายาวยกขึ้นนั่งไขว้ห้าง ท่วงท่าให้บรรยากาศที่แตกต่างไปจากตอนอยู่กับอัศวินเมื่อครู่ลิบลับ

เบเลซักมองเฟเรสด้วยนัยน์ตาหวาดระแวง

“เฮ้”

เฟเรสเอ่ยเรียกเบเลซัก

“อยากตายทั้งแบบนี้หรือไง”

“วะ…ว่าไงนะ…!”

เพราะเบเลซักมักจะคอยเยาะเย้ยถากถางเจ้าชายลำดับที่สองเหมือนเป็นตัวตลกทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกันกับอาสทาน่า จึงเผลอหลุดพูดจาไม่เคารพผู้เป็นเจ้าชายออกไปอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องปิดปากแน่น

เฟเรสกล่าวเสียงเรียบ เขาเองก็เข้าใจในท่าทีของเบเลซักดีอยู่แล้ว จึงมองข้ามมันไปไม่ได้คิดตำหนิอีกฝ่าย

“ดูเหมือนเจ้าเองก็คงไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาช่วยเจ้า และท่าทางก็ดูจะยอมแพ้แล้วมิใช่หรือ”

เฟเรสพูดพลางเปิดหนึ่งในบรรดากล่องไม้ที่อัศวินวางทิ้งไว้บนโต๊ะออกให้เบเลซักได้เห็นของด้านใน

“ตอนโดนไต่สวน อาสทาน่าอ้างว่า ‘เบเลซักเป็นคนเอากระบอกน้ำนี่มาให้’ ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลของเบเลซักสั่นไหว

เฟเรสจึงเปิดกล่องใบที่สองออก

“และมีดสั้นที่ใช้ในการลอบสังหารฝ่าบาทเองก็ดันเป็นของเจ้าด้วยเหมือนกัน”

“นะ…นั่นมัน…!”

“หากพวกอังเกนัสโยนความผิดให้เจ้ากลายเป็นคนร้ายแทน คิดว่าคราวนี้ผู้คนจะมองยังไงล่ะ”

เฟเรสเหลือบมองใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัวของเบเลซัก ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“จักรพรรดินีโยนความผิดทุกอย่างป้ายสีว่าเจ้าเป็นคนทำ เบเลซัก ลอมบาร์เดีย และเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าคนอื่นก็ย่อมต้องเชื่อตามนั้น”

เบเลซักกัดริมฝีปากแน่น

เป็นอย่างที่เฟเรสกล่าวมาไม่ผิด

เบเลซักเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจักรพรรดินีเป็นคนเหี้ยมโหดแค่ไหน

“เจ้าของกระบอกน้ำนี่เดิมทีเป็นข้า และเจ้าเป็นคนขโมยมันไปให้อาสทาน่า แต่ในเมื่อข้าเป็นผู้นำการสอบสวนครั้งนี้จึงไม่มีใครโจมตีข้าได้ ดังนั้นย่อมเหลือแค่เจ้า เบเลซัก เจ้าผู้ใช้นามสกุลลอมบาร์เดีย”

เบเลซักหลับตาแน่นยอมรับในคำพูดของเฟเรสอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ในตอนนั้นเองเฟเรสก็เอ่ยถามขึ้นมา

“อยากมีชีวิตรอดหรือไม่”

เบเลซักเงยหน้าขึ้นทันที

สมองโง่เขลากำลังประมวลผลอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

“…พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ! ยะ…อยากมีชีวิตรอดพ่ะย่ะค่ะ!”

เบเลซักอ้อนวอน เขาแทบจะลงไปคุกเข่ารั้งขากางเกงของเฟเรสอยู่แล้ว

เฟเรสเพียงแค่เหลือบมองเบเลซักด้วยนัยน์ตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

มันเป็นเพียงกระดาษว่างเปล่า ไม่ได้มีอะไรเขียนไว้สักประโยค

“นี่มัน…อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

พอเบเลซักเอ่ยถามด้วยความงุนงง เฟเรสก็โยนกระดาษแผ่นนั้นลงไปบนโต๊ะ ในขณะที่เอ่ยขึ้น

“เขียนจดหมายถึงเซรัลมารดาของเจ้าเสีย”

* * *

จักรพรรดินีเรียกตัวเจ้าตระกูลเซอเชาว์มายังพระราชวัง

“ข้าเชื่อใจแต่เจ้าตระกูลเซอเชาว์เท่านั้นนะคะ”

ราวีนีเอ่ยพูดกับชานตั้น เซอเชาว์

คำขอให้อีกฝ่ายไปลอบสังหารเฟเรสเมื่อคราวก่อนหน้าโน้นเป็นเหมือนหนึ่งในบททดสอบของจักรพรรดินีราวีนี

เพื่อที่จะทดสอบให้แน่ใจว่า ชานตั้น เซอเชาว์ คนนี้เป็นคนที่นางสามารถไว้ใจได้หรือไม่

สุดท้ายชานตั้น เซอเชาว์ ผู้เคยเป็นหัวหน้ากองกำลังอัศวินรุ่นก่อนก็ได้นำหลักฐานหลายอย่างในการลอบสังหารเจ้าชายมาให้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจักรพรรดินีราวีนีจึงเริ่มเชื่อใจในตัวเจ้าตระกูลเซอเชาว์อย่างไร้ข้อกังขา

“เซอเชาว์กับอังเกนัสเองก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้วมิใช่หรือคะ”

จักรพรรดินีราวีนีแย้มรอยยิ้มหวาน ในขณะที่ช่วยเทชาให้เจ้าตระกูลเซอเชาว์ด้วยตัวเอง

“ทางด้านอาสทาน่าข้าจะจัดการแก้ปัญหาเอง เจ้าตระกูลเซอเชาว์ช่วยสืบเรื่องทางสภาขุนนางให้ทีนะคะ”

“พูดถึงตระกูลบราวน์หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ชานตั้น เซอเชาว์ ถามเสียงเรียบไร้จังหวะสูงต่ำอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา

“ใช่ค่ะ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากนะคะ”

จักรพรรดินีเอ่ยตอบโดยที่ยังคงไม่สูญเสียรอยยิ้มบนใบหน้า

ทว่ารอยยิ้มนั่นกลับค้างอยู่บนนั้นต่อไปได้ไม่นานนัก

เพราะคำพูดประโยคถัดมาของชานตั้น เซอเชาว์ ที่เอ่ยขึ้นในขณะที่วางแก้วชาลงบนโต๊ะนั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องมอบเขตแดนอังเกนัสให้กระหม่อมเสียแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+