เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 192.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 192.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 192.1

ตอนที่ 192

คำว่าผู้สืบทอดทำให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก

“ท่านเจ้าตระกูล เรื่องนั้นยัง…”

“จะบอกว่าเร็วเกินไปงั้นหรือ”

รูลลักถามกลับยิ้มๆ

“ข้าเองก็ถึงเวลาต้องพักได้แล้วมิใช่หรือ นี่กระมังที่คนเขาว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง”

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีสีหน้าหม่นหมอง

โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังถือว่าหนุ่มอยู่บ้างเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ยิ่งแล้วใหญ่

เนื่องจากเจ้าตระกูลที่พวกเขารู้จักมาตั้งแต่เกิดมีเพียงแค่รูลลักผู้เดียว จึงไม่อาจจินตนาการภาพบุคคลอื่นที่ไม่ใช่รูลลักขึ้นมานั่งดำรงตำแหน่งเจ้าตระกูลได้เลย

ทั่วห้องประชุมจึงตกอยู่ในความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน

“พวกเจ้านี่นะ ข้าบอกหรือว่าจะลงจากตำแหน่งตอนนี้ ทำไมถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายกันแบบนั้นเล่า”

รูลลักหัวเราะหยอกเย้า

“เอาละๆ เช่นนั้นก็เสนอความเห็นกันตามสบายเถอะ ข้าควรจะเชื่อใจและส่งมอบตระกูลต่อให้ผู้ใด”

และความเงียบแบบอื่นก็เข้าครอบงำไปทั่วห้องอีกครั้ง

ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเป็นคนแรกที่กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ท่านชานาเนสเป็นเช่นไรครับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ที่ผ่านมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการณ์เจ้าตระกูล ลงมือทำงานด้วยตัวเองในหลายๆ ด้านไม่ใช่หรือครับ นั่นก็ไม่ต่างอันใดจากการได้พิสูจน์ความสามารถให้ประจักษ์แจ้งแล้ว ข้าคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”

“อืมมมม คนอื่นๆ เองก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ”

คราวนี้เป็นเจ้าตระกูลกรีนิค ผู้ดูแลจัดการที่ดินเป็นคนตอบคำถามรูลลัก

“ข้าเคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับท่านชานาเนสมาก่อนครับ อันที่จริงทุกครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าคล่องแคล่วมากจนไม่จำเป็นต้องให้เวลาได้ทดลองฝีมือกันเลย ราวกับข้ากำลังทำงานอยู่กับท่านเจ้าตระกูลเลยละครับ”

“ใช่แล้วละครับ อีกอย่าง ความสามารถในการจัดการเหตุวิกฤตต่างๆ ของท่านชานาเนสเองก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ด้วย”

เจ้าตระกูลทลทาร์ ผู้บริหารจัดการดูแลกิจการเหมืองแร่เสนอตัวเห็นด้วย

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเบรย์ ผู้รับผิดชอบธนาคารลอมบาร์เดียก็เปิดปากพูดขึ้นบ้าง

“ข้าคิดว่าท่านแคลอฮันก็น่าจะเหมาะนะครับ”

“โอ้”

รูลลักเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินนามอื่นดังขึ้นบ้าง

“เหตุผลใดกัน”

“ท่านแคลอฮันเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านพัฒนาและบริหารจัดการเขตแดนอยู่ก่อนแล้วนี่ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

“ก็จริง เชซายูพัฒนาขึ้นมากในระยะเวลาสั้นๆ เลยทีเดียว”

“ครับ ขนาดคนที่ดูแลด้านการเงินโดยตรงอย่างข้ายังรู้สึกประหลาดใจเลยละครับ ท่านแคลอฮันมีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจและการเงินสูงมาก”

ยิ่งเป็นคำพูดของเจ้าตระกูลเบรย์ผู้ตระหนี่ในเรื่องเงินทองแล้ว ยิ่งสร้างน้ำหนักให้แก่ความเห็นของเขาได้มากยิ่งขึ้น

“เรื่องนั้นท่านแคลอฮันเองก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกันนะครับ”

“ใช่แล้วละครับ แถมถ้าโยกย้ายเชซายูให้กลายมาเป็นเขตแดนของลอมบาร์เดียได้ด้วยละก็ คงสามารถเล็งเห็นถึงผลสำเร็จที่จะตามมาทางด้านการค้าเลยไม่ใช่หรือครับ คิดเห็นเช่นไรครับ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด”

สายตาของทุกคนมองจ้องตรงไปยังโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกันอย่างพร้อมเพรียง

รูลลักเองก็เช่นกัน

“ข้า…”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ตอบเสียงเรียบ

“ข้าคิดว่าทั้งท่านชานาเนส ทั้งท่านแคลอฮันต่างก็ต้องเป็นตัวเลือกผู้สืบทอดที่ดีได้แน่นอนครับ แต่คิดว่านั่นยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“หมายความว่ายังไงกัน”

เจ้าตระกูลทลทาร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความตกใจ

“ยังมีตัวเลือกอื่นนอกจากท่านชานาเนสกับท่านแคลอฮันอีกหรือไงกัน ไม่สิ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด เจ้าคงจะไม่…”

ไม่ได้พูดถึงท่านเบเจอร์หรอกใช่มั้ย

นัยน์ตาของเจ้าตระกูลทลทาร์เบิกกว้าง ประโยคสุดท้ายไม่อาจหลุดออกไปจากปากของเขาได้

“ไม่ครับ ข้ากำลังพูดถึงท่านฟีเรนเทียครับ”

คราวนี้เป็นความเห็นที่ยิ่งก่อให้เกิดคลื่นกระทบตามมาหนักกว่าเดิม

“ฟีเรนเทีย?”

“ท่านฟีเรนเทีย เช่นนั้นก็หมายถึงบุตรสาวของท่านแคลอฮันไม่ใช่หรือนั่น”

“คุณหนูยังเด็กอยู่เลย ทำไมถึง…”

ความเห็นต่างๆ นานาดังขึ้นท่ามกลางบรรดาเจ้าตระกูลทั้งหลายที่เสนอชานาเนสกับแคลอฮัน

แต่โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ก็ยังคงความนิ่งสงบเอาไว้ได้

“คุณหนูเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ หลังจากบรรลุนิติภาวะก็นำพากิจการมากมายของลอมบาร์เดียให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม อีกอย่าง ในประวัติศาสตร์ลอมบาร์เดียเอง ก็ยังไม่เคยมีผู้สืบทอดข้ามรุ่นแบบนี้เลยไม่ใช่หรือครับ”

“นั่นก็จริง แต่ว่า…”

ในตอนนั้นเอง ความเห็นอีกหนึ่งเสียงก็ดังแทรกขึ้นจากบุคคลที่พวกเขาไม่คาดคิด

“ข้าเองก็นึกถึงท่านฟีเรนเทียเป็นคนแรกตอนที่ได้ยินคำของท่านเจ้าตระกูลเช่นเดียวกันครับ”

เจ้าตระกูลเดวอน คลังก์ ผู้รับผิดชอบการคมนาคมและไปรษณีย์ลอมบาร์เดียนั่นเอง

“เมื่อครู่นี้ยังกล่าวอยู่เลยว่า ได้ทำงานกับท่านชานาเนสแล้วรู้สึกมั่นคงไม่ใช่หรือครับ”

คลังก์ เดวอน หันไปมองเจ้าตระกูลกรีนิคซึ่งเป็นผู้เอ่ยประโยคที่เขาอ้างอิงถึง ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“ตอนได้ทำงานกับท่านฟีเรนเทีย…ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองไร้เทียมทานเลยละครับ”

“ระ…ไร้เทียมทาน?”

“ครับ ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ขอเพียงแค่เชื่อมั่นและติดตามท่านฟีเรนเทีย ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกต่อไป ความรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ”

“เหอะ นั่นมันช่าง…”

เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเอ่ยขัดขึ้นมา

“เจ้าตระกูลดิลลาร์ด ถึงจะบอกว่าฉลาดหลักแหลมแค่ไหนก็เถอะ แต่ท่านฟีเรนเทียก็ยังเด็กมากอยู่เลยมิใช่หรือไงกัน อีกอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้หมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่สองไปแล้ว ท่านจะมาเป็นผู้สืบทอดได้ยังไงกัน”

ที่กล่าวมานี่ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

สายตาของทุกคนเบนกลับไปหาโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ก็ส่ายศีรษะไปมา มุมปากยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เพียงแค่หมั้นหมายกันเท่านั้นเอง ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องแต่งงานอย่างเป็นทางการเสียหน่อย ส่วนเรื่องอายุที่ว่านั่น”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด พูดพลางจ้องหน้าเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งตรงๆ ไม่หลบสายตา

“ถึงจะยังเด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่ลอมบาร์เดียเสียหน่อยมิใช่หรือ”

พูดง่ายๆ ก็คือ มีสิทธิ์มากพอจะเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งเช่นกัน

บทสนทนาโต้เถียงแสดงความเห็นต่างๆ เป็นไปอย่างดุเดือด ก่อนที่ห้องประชุมจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้เสียที

แต่คราวนี้กระทั่งรูลลักเองก็ปิดปากแน่น จมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง

เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีชื่อของชานาเนสกับแคลอฮันถูกเสนอขึ้นมา แต่การเสนอชื่อฟีเรนเทียผู้เป็นหลานสาวนั้น รูลลักเองก็ไม่ทันได้คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

รูลลักลูบเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างดี ขณะเดียวกันก็ชายตามองโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อยู่เงียบๆ

ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด แต่ไหนแต่ไรโรมาเชียร์คนนี้ก็เป็นคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของรูลลัก และประเมินออกได้ดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วรูลลักต้องการสิ่งใด

‘คราวนี้เองก็เช่นกัน ไม่อย่างนั้น หรือว่า…’

ในสมัยที่รูลลักยังหนุ่ม โรมาเชียร์เป็นหนึ่งในผู้คนที่เสนอชื่อรูลลักขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นคนแรกๆ

หลังจากนั้นจะว่ารูลลักกับโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด เติบโตขึ้นมาด้วยกันก็ไม่ผิดนัก

แต่จู่ๆ คนคนนี้กลับเสนอเลือกฟีเรนเทีย

การกระทำเช่นนั้นย่อมมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของรูลลักอยู่มาก

ขณะเดียวกันก็พลันรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง

‘โรมาเชียร์มองเห็นอะไรในตัวเทียกันแน่’

ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเสนอชื่อฟีเรนเทียขึ้นในการประชุมอย่างเป็นทางการแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลใดรองรับอย่างแน่นอน

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด จะต้องมั่นใจมากอย่างแน่นอน

ว่าเทียจะเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียรุ่นต่อไปยิ่งกว่าแคลอฮันกับชานาเนส

‘จะต้องมีอะไรเก็บงำไว้เป็นแน่’

ความสงสัยของรูลลักเริ่มเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาขึ้นเรื่อยๆ

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 192.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 192.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 192.1

ตอนที่ 192

คำว่าผู้สืบทอดทำให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก

“ท่านเจ้าตระกูล เรื่องนั้นยัง…”

“จะบอกว่าเร็วเกินไปงั้นหรือ”

รูลลักถามกลับยิ้มๆ

“ข้าเองก็ถึงเวลาต้องพักได้แล้วมิใช่หรือ นี่กระมังที่คนเขาว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง”

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีสีหน้าหม่นหมอง

โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังถือว่าหนุ่มอยู่บ้างเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ยิ่งแล้วใหญ่

เนื่องจากเจ้าตระกูลที่พวกเขารู้จักมาตั้งแต่เกิดมีเพียงแค่รูลลักผู้เดียว จึงไม่อาจจินตนาการภาพบุคคลอื่นที่ไม่ใช่รูลลักขึ้นมานั่งดำรงตำแหน่งเจ้าตระกูลได้เลย

ทั่วห้องประชุมจึงตกอยู่ในความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน

“พวกเจ้านี่นะ ข้าบอกหรือว่าจะลงจากตำแหน่งตอนนี้ ทำไมถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายกันแบบนั้นเล่า”

รูลลักหัวเราะหยอกเย้า

“เอาละๆ เช่นนั้นก็เสนอความเห็นกันตามสบายเถอะ ข้าควรจะเชื่อใจและส่งมอบตระกูลต่อให้ผู้ใด”

และความเงียบแบบอื่นก็เข้าครอบงำไปทั่วห้องอีกครั้ง

ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเป็นคนแรกที่กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ท่านชานาเนสเป็นเช่นไรครับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ที่ผ่านมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการณ์เจ้าตระกูล ลงมือทำงานด้วยตัวเองในหลายๆ ด้านไม่ใช่หรือครับ นั่นก็ไม่ต่างอันใดจากการได้พิสูจน์ความสามารถให้ประจักษ์แจ้งแล้ว ข้าคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”

“อืมมมม คนอื่นๆ เองก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ”

คราวนี้เป็นเจ้าตระกูลกรีนิค ผู้ดูแลจัดการที่ดินเป็นคนตอบคำถามรูลลัก

“ข้าเคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับท่านชานาเนสมาก่อนครับ อันที่จริงทุกครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าคล่องแคล่วมากจนไม่จำเป็นต้องให้เวลาได้ทดลองฝีมือกันเลย ราวกับข้ากำลังทำงานอยู่กับท่านเจ้าตระกูลเลยละครับ”

“ใช่แล้วละครับ อีกอย่าง ความสามารถในการจัดการเหตุวิกฤตต่างๆ ของท่านชานาเนสเองก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ด้วย”

เจ้าตระกูลทลทาร์ ผู้บริหารจัดการดูแลกิจการเหมืองแร่เสนอตัวเห็นด้วย

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเบรย์ ผู้รับผิดชอบธนาคารลอมบาร์เดียก็เปิดปากพูดขึ้นบ้าง

“ข้าคิดว่าท่านแคลอฮันก็น่าจะเหมาะนะครับ”

“โอ้”

รูลลักเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินนามอื่นดังขึ้นบ้าง

“เหตุผลใดกัน”

“ท่านแคลอฮันเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านพัฒนาและบริหารจัดการเขตแดนอยู่ก่อนแล้วนี่ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

“ก็จริง เชซายูพัฒนาขึ้นมากในระยะเวลาสั้นๆ เลยทีเดียว”

“ครับ ขนาดคนที่ดูแลด้านการเงินโดยตรงอย่างข้ายังรู้สึกประหลาดใจเลยละครับ ท่านแคลอฮันมีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจและการเงินสูงมาก”

ยิ่งเป็นคำพูดของเจ้าตระกูลเบรย์ผู้ตระหนี่ในเรื่องเงินทองแล้ว ยิ่งสร้างน้ำหนักให้แก่ความเห็นของเขาได้มากยิ่งขึ้น

“เรื่องนั้นท่านแคลอฮันเองก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกันนะครับ”

“ใช่แล้วละครับ แถมถ้าโยกย้ายเชซายูให้กลายมาเป็นเขตแดนของลอมบาร์เดียได้ด้วยละก็ คงสามารถเล็งเห็นถึงผลสำเร็จที่จะตามมาทางด้านการค้าเลยไม่ใช่หรือครับ คิดเห็นเช่นไรครับ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด”

สายตาของทุกคนมองจ้องตรงไปยังโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกันอย่างพร้อมเพรียง

รูลลักเองก็เช่นกัน

“ข้า…”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ตอบเสียงเรียบ

“ข้าคิดว่าทั้งท่านชานาเนส ทั้งท่านแคลอฮันต่างก็ต้องเป็นตัวเลือกผู้สืบทอดที่ดีได้แน่นอนครับ แต่คิดว่านั่นยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“หมายความว่ายังไงกัน”

เจ้าตระกูลทลทาร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความตกใจ

“ยังมีตัวเลือกอื่นนอกจากท่านชานาเนสกับท่านแคลอฮันอีกหรือไงกัน ไม่สิ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด เจ้าคงจะไม่…”

ไม่ได้พูดถึงท่านเบเจอร์หรอกใช่มั้ย

นัยน์ตาของเจ้าตระกูลทลทาร์เบิกกว้าง ประโยคสุดท้ายไม่อาจหลุดออกไปจากปากของเขาได้

“ไม่ครับ ข้ากำลังพูดถึงท่านฟีเรนเทียครับ”

คราวนี้เป็นความเห็นที่ยิ่งก่อให้เกิดคลื่นกระทบตามมาหนักกว่าเดิม

“ฟีเรนเทีย?”

“ท่านฟีเรนเทีย เช่นนั้นก็หมายถึงบุตรสาวของท่านแคลอฮันไม่ใช่หรือนั่น”

“คุณหนูยังเด็กอยู่เลย ทำไมถึง…”

ความเห็นต่างๆ นานาดังขึ้นท่ามกลางบรรดาเจ้าตระกูลทั้งหลายที่เสนอชานาเนสกับแคลอฮัน

แต่โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ก็ยังคงความนิ่งสงบเอาไว้ได้

“คุณหนูเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ หลังจากบรรลุนิติภาวะก็นำพากิจการมากมายของลอมบาร์เดียให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม อีกอย่าง ในประวัติศาสตร์ลอมบาร์เดียเอง ก็ยังไม่เคยมีผู้สืบทอดข้ามรุ่นแบบนี้เลยไม่ใช่หรือครับ”

“นั่นก็จริง แต่ว่า…”

ในตอนนั้นเอง ความเห็นอีกหนึ่งเสียงก็ดังแทรกขึ้นจากบุคคลที่พวกเขาไม่คาดคิด

“ข้าเองก็นึกถึงท่านฟีเรนเทียเป็นคนแรกตอนที่ได้ยินคำของท่านเจ้าตระกูลเช่นเดียวกันครับ”

เจ้าตระกูลเดวอน คลังก์ ผู้รับผิดชอบการคมนาคมและไปรษณีย์ลอมบาร์เดียนั่นเอง

“เมื่อครู่นี้ยังกล่าวอยู่เลยว่า ได้ทำงานกับท่านชานาเนสแล้วรู้สึกมั่นคงไม่ใช่หรือครับ”

คลังก์ เดวอน หันไปมองเจ้าตระกูลกรีนิคซึ่งเป็นผู้เอ่ยประโยคที่เขาอ้างอิงถึง ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“ตอนได้ทำงานกับท่านฟีเรนเทีย…ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองไร้เทียมทานเลยละครับ”

“ระ…ไร้เทียมทาน?”

“ครับ ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ขอเพียงแค่เชื่อมั่นและติดตามท่านฟีเรนเทีย ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกต่อไป ความรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ”

“เหอะ นั่นมันช่าง…”

เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเอ่ยขัดขึ้นมา

“เจ้าตระกูลดิลลาร์ด ถึงจะบอกว่าฉลาดหลักแหลมแค่ไหนก็เถอะ แต่ท่านฟีเรนเทียก็ยังเด็กมากอยู่เลยมิใช่หรือไงกัน อีกอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้หมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่สองไปแล้ว ท่านจะมาเป็นผู้สืบทอดได้ยังไงกัน”

ที่กล่าวมานี่ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

สายตาของทุกคนเบนกลับไปหาโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ก็ส่ายศีรษะไปมา มุมปากยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เพียงแค่หมั้นหมายกันเท่านั้นเอง ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องแต่งงานอย่างเป็นทางการเสียหน่อย ส่วนเรื่องอายุที่ว่านั่น”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด พูดพลางจ้องหน้าเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งตรงๆ ไม่หลบสายตา

“ถึงจะยังเด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่ลอมบาร์เดียเสียหน่อยมิใช่หรือ”

พูดง่ายๆ ก็คือ มีสิทธิ์มากพอจะเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งเช่นกัน

บทสนทนาโต้เถียงแสดงความเห็นต่างๆ เป็นไปอย่างดุเดือด ก่อนที่ห้องประชุมจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้เสียที

แต่คราวนี้กระทั่งรูลลักเองก็ปิดปากแน่น จมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง

เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีชื่อของชานาเนสกับแคลอฮันถูกเสนอขึ้นมา แต่การเสนอชื่อฟีเรนเทียผู้เป็นหลานสาวนั้น รูลลักเองก็ไม่ทันได้คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

รูลลักลูบเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างดี ขณะเดียวกันก็ชายตามองโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อยู่เงียบๆ

ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด แต่ไหนแต่ไรโรมาเชียร์คนนี้ก็เป็นคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของรูลลัก และประเมินออกได้ดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วรูลลักต้องการสิ่งใด

‘คราวนี้เองก็เช่นกัน ไม่อย่างนั้น หรือว่า…’

ในสมัยที่รูลลักยังหนุ่ม โรมาเชียร์เป็นหนึ่งในผู้คนที่เสนอชื่อรูลลักขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นคนแรกๆ

หลังจากนั้นจะว่ารูลลักกับโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด เติบโตขึ้นมาด้วยกันก็ไม่ผิดนัก

แต่จู่ๆ คนคนนี้กลับเสนอเลือกฟีเรนเทีย

การกระทำเช่นนั้นย่อมมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของรูลลักอยู่มาก

ขณะเดียวกันก็พลันรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง

‘โรมาเชียร์มองเห็นอะไรในตัวเทียกันแน่’

ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเสนอชื่อฟีเรนเทียขึ้นในการประชุมอย่างเป็นทางการแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลใดรองรับอย่างแน่นอน

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด จะต้องมั่นใจมากอย่างแน่นอน

ว่าเทียจะเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียรุ่นต่อไปยิ่งกว่าแคลอฮันกับชานาเนส

‘จะต้องมีอะไรเก็บงำไว้เป็นแน่’

ความสงสัยของรูลลักเริ่มเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาขึ้นเรื่อยๆ

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 192.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 192.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 192.1

ตอนที่ 192

คำว่าผู้สืบทอดทำให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก

“ท่านเจ้าตระกูล เรื่องนั้นยัง…”

“จะบอกว่าเร็วเกินไปงั้นหรือ”

รูลลักถามกลับยิ้มๆ

“ข้าเองก็ถึงเวลาต้องพักได้แล้วมิใช่หรือ นี่กระมังที่คนเขาว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง”

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีสีหน้าหม่นหมอง

โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังถือว่าหนุ่มอยู่บ้างเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ยิ่งแล้วใหญ่

เนื่องจากเจ้าตระกูลที่พวกเขารู้จักมาตั้งแต่เกิดมีเพียงแค่รูลลักผู้เดียว จึงไม่อาจจินตนาการภาพบุคคลอื่นที่ไม่ใช่รูลลักขึ้นมานั่งดำรงตำแหน่งเจ้าตระกูลได้เลย

ทั่วห้องประชุมจึงตกอยู่ในความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน

“พวกเจ้านี่นะ ข้าบอกหรือว่าจะลงจากตำแหน่งตอนนี้ ทำไมถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายกันแบบนั้นเล่า”

รูลลักหัวเราะหยอกเย้า

“เอาละๆ เช่นนั้นก็เสนอความเห็นกันตามสบายเถอะ ข้าควรจะเชื่อใจและส่งมอบตระกูลต่อให้ผู้ใด”

และความเงียบแบบอื่นก็เข้าครอบงำไปทั่วห้องอีกครั้ง

ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเป็นคนแรกที่กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ท่านชานาเนสเป็นเช่นไรครับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ที่ผ่านมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการณ์เจ้าตระกูล ลงมือทำงานด้วยตัวเองในหลายๆ ด้านไม่ใช่หรือครับ นั่นก็ไม่ต่างอันใดจากการได้พิสูจน์ความสามารถให้ประจักษ์แจ้งแล้ว ข้าคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”

“อืมมมม คนอื่นๆ เองก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ”

คราวนี้เป็นเจ้าตระกูลกรีนิค ผู้ดูแลจัดการที่ดินเป็นคนตอบคำถามรูลลัก

“ข้าเคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับท่านชานาเนสมาก่อนครับ อันที่จริงทุกครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าคล่องแคล่วมากจนไม่จำเป็นต้องให้เวลาได้ทดลองฝีมือกันเลย ราวกับข้ากำลังทำงานอยู่กับท่านเจ้าตระกูลเลยละครับ”

“ใช่แล้วละครับ อีกอย่าง ความสามารถในการจัดการเหตุวิกฤตต่างๆ ของท่านชานาเนสเองก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ด้วย”

เจ้าตระกูลทลทาร์ ผู้บริหารจัดการดูแลกิจการเหมืองแร่เสนอตัวเห็นด้วย

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเบรย์ ผู้รับผิดชอบธนาคารลอมบาร์เดียก็เปิดปากพูดขึ้นบ้าง

“ข้าคิดว่าท่านแคลอฮันก็น่าจะเหมาะนะครับ”

“โอ้”

รูลลักเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินนามอื่นดังขึ้นบ้าง

“เหตุผลใดกัน”

“ท่านแคลอฮันเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านพัฒนาและบริหารจัดการเขตแดนอยู่ก่อนแล้วนี่ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

“ก็จริง เชซายูพัฒนาขึ้นมากในระยะเวลาสั้นๆ เลยทีเดียว”

“ครับ ขนาดคนที่ดูแลด้านการเงินโดยตรงอย่างข้ายังรู้สึกประหลาดใจเลยละครับ ท่านแคลอฮันมีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจและการเงินสูงมาก”

ยิ่งเป็นคำพูดของเจ้าตระกูลเบรย์ผู้ตระหนี่ในเรื่องเงินทองแล้ว ยิ่งสร้างน้ำหนักให้แก่ความเห็นของเขาได้มากยิ่งขึ้น

“เรื่องนั้นท่านแคลอฮันเองก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกันนะครับ”

“ใช่แล้วละครับ แถมถ้าโยกย้ายเชซายูให้กลายมาเป็นเขตแดนของลอมบาร์เดียได้ด้วยละก็ คงสามารถเล็งเห็นถึงผลสำเร็จที่จะตามมาทางด้านการค้าเลยไม่ใช่หรือครับ คิดเห็นเช่นไรครับ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด”

สายตาของทุกคนมองจ้องตรงไปยังโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกันอย่างพร้อมเพรียง

รูลลักเองก็เช่นกัน

“ข้า…”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ตอบเสียงเรียบ

“ข้าคิดว่าทั้งท่านชานาเนส ทั้งท่านแคลอฮันต่างก็ต้องเป็นตัวเลือกผู้สืบทอดที่ดีได้แน่นอนครับ แต่คิดว่านั่นยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“หมายความว่ายังไงกัน”

เจ้าตระกูลทลทาร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความตกใจ

“ยังมีตัวเลือกอื่นนอกจากท่านชานาเนสกับท่านแคลอฮันอีกหรือไงกัน ไม่สิ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด เจ้าคงจะไม่…”

ไม่ได้พูดถึงท่านเบเจอร์หรอกใช่มั้ย

นัยน์ตาของเจ้าตระกูลทลทาร์เบิกกว้าง ประโยคสุดท้ายไม่อาจหลุดออกไปจากปากของเขาได้

“ไม่ครับ ข้ากำลังพูดถึงท่านฟีเรนเทียครับ”

คราวนี้เป็นความเห็นที่ยิ่งก่อให้เกิดคลื่นกระทบตามมาหนักกว่าเดิม

“ฟีเรนเทีย?”

“ท่านฟีเรนเทีย เช่นนั้นก็หมายถึงบุตรสาวของท่านแคลอฮันไม่ใช่หรือนั่น”

“คุณหนูยังเด็กอยู่เลย ทำไมถึง…”

ความเห็นต่างๆ นานาดังขึ้นท่ามกลางบรรดาเจ้าตระกูลทั้งหลายที่เสนอชานาเนสกับแคลอฮัน

แต่โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ก็ยังคงความนิ่งสงบเอาไว้ได้

“คุณหนูเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ หลังจากบรรลุนิติภาวะก็นำพากิจการมากมายของลอมบาร์เดียให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม อีกอย่าง ในประวัติศาสตร์ลอมบาร์เดียเอง ก็ยังไม่เคยมีผู้สืบทอดข้ามรุ่นแบบนี้เลยไม่ใช่หรือครับ”

“นั่นก็จริง แต่ว่า…”

ในตอนนั้นเอง ความเห็นอีกหนึ่งเสียงก็ดังแทรกขึ้นจากบุคคลที่พวกเขาไม่คาดคิด

“ข้าเองก็นึกถึงท่านฟีเรนเทียเป็นคนแรกตอนที่ได้ยินคำของท่านเจ้าตระกูลเช่นเดียวกันครับ”

เจ้าตระกูลเดวอน คลังก์ ผู้รับผิดชอบการคมนาคมและไปรษณีย์ลอมบาร์เดียนั่นเอง

“เมื่อครู่นี้ยังกล่าวอยู่เลยว่า ได้ทำงานกับท่านชานาเนสแล้วรู้สึกมั่นคงไม่ใช่หรือครับ”

คลังก์ เดวอน หันไปมองเจ้าตระกูลกรีนิคซึ่งเป็นผู้เอ่ยประโยคที่เขาอ้างอิงถึง ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“ตอนได้ทำงานกับท่านฟีเรนเทีย…ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองไร้เทียมทานเลยละครับ”

“ระ…ไร้เทียมทาน?”

“ครับ ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ขอเพียงแค่เชื่อมั่นและติดตามท่านฟีเรนเทีย ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกต่อไป ความรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ”

“เหอะ นั่นมันช่าง…”

เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเอ่ยขัดขึ้นมา

“เจ้าตระกูลดิลลาร์ด ถึงจะบอกว่าฉลาดหลักแหลมแค่ไหนก็เถอะ แต่ท่านฟีเรนเทียก็ยังเด็กมากอยู่เลยมิใช่หรือไงกัน อีกอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้หมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่สองไปแล้ว ท่านจะมาเป็นผู้สืบทอดได้ยังไงกัน”

ที่กล่าวมานี่ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

สายตาของทุกคนเบนกลับไปหาโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ก็ส่ายศีรษะไปมา มุมปากยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เพียงแค่หมั้นหมายกันเท่านั้นเอง ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องแต่งงานอย่างเป็นทางการเสียหน่อย ส่วนเรื่องอายุที่ว่านั่น”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด พูดพลางจ้องหน้าเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งตรงๆ ไม่หลบสายตา

“ถึงจะยังเด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่ลอมบาร์เดียเสียหน่อยมิใช่หรือ”

พูดง่ายๆ ก็คือ มีสิทธิ์มากพอจะเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งเช่นกัน

บทสนทนาโต้เถียงแสดงความเห็นต่างๆ เป็นไปอย่างดุเดือด ก่อนที่ห้องประชุมจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้เสียที

แต่คราวนี้กระทั่งรูลลักเองก็ปิดปากแน่น จมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง

เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีชื่อของชานาเนสกับแคลอฮันถูกเสนอขึ้นมา แต่การเสนอชื่อฟีเรนเทียผู้เป็นหลานสาวนั้น รูลลักเองก็ไม่ทันได้คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

รูลลักลูบเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างดี ขณะเดียวกันก็ชายตามองโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อยู่เงียบๆ

ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด แต่ไหนแต่ไรโรมาเชียร์คนนี้ก็เป็นคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของรูลลัก และประเมินออกได้ดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วรูลลักต้องการสิ่งใด

‘คราวนี้เองก็เช่นกัน ไม่อย่างนั้น หรือว่า…’

ในสมัยที่รูลลักยังหนุ่ม โรมาเชียร์เป็นหนึ่งในผู้คนที่เสนอชื่อรูลลักขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นคนแรกๆ

หลังจากนั้นจะว่ารูลลักกับโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด เติบโตขึ้นมาด้วยกันก็ไม่ผิดนัก

แต่จู่ๆ คนคนนี้กลับเสนอเลือกฟีเรนเทีย

การกระทำเช่นนั้นย่อมมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของรูลลักอยู่มาก

ขณะเดียวกันก็พลันรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง

‘โรมาเชียร์มองเห็นอะไรในตัวเทียกันแน่’

ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเสนอชื่อฟีเรนเทียขึ้นในการประชุมอย่างเป็นทางการแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลใดรองรับอย่างแน่นอน

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด จะต้องมั่นใจมากอย่างแน่นอน

ว่าเทียจะเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียรุ่นต่อไปยิ่งกว่าแคลอฮันกับชานาเนส

‘จะต้องมีอะไรเก็บงำไว้เป็นแน่’

ความสงสัยของรูลลักเริ่มเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาขึ้นเรื่อยๆ

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+