เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 233.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 233.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 233.2

จักรพรรดิโยบาเนสเรียกตัวพวกเรากลับเข้าไปเร็วกว่าที่คิด

แต่บรรยากาศในห้องแตกต่างจากตอนที่ออกไปเป็นอย่างมาก

เพราะใบหน้าของโยบาเยสที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่นั้นดูสดใสขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

อีกอย่าง โทสะก็ดูจะเบาบางลงไป เสียงลมหายใจดูสม่ำเสมอขึ้นเยอะ ใบหน้าเองก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแปลกพิลึก

สนทนาเรื่องอะไรกันแน่นะ

ทั้งเฟเรสทั้งเธอต่างก็หันไปมองท่านปู่ด้วยความสงสัย

แต่ท่านปู่ก็แค่ส่งยิ้มให้พวกเรา ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งไปหยิบเสื้อคลุมที่ถอดทิ้งไว้

และในวินาทีต่อมา ความสงสัยของเธอก็ถูกคลี่คลาย

“เจ้าชายลำดับที่สอง เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่”

โยบาเนสกล่าวเรียกเฟเรสด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขอพระองค์รับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงจักรพรรดิตามสัญญาณมือ ก่อนจะเอ่ยตอบ

โยบาเนสมองหน้าเฟเรสอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท”

ห้องบรรทมพลันเงียบสงัด

วินาทีนั้น แม้กระทั่งเสียงลมหายใจหอบของจักรพรรดิก็ยังไม่ได้ยิน

เธอมองสำรวจใบหน้าของเฟเรส

“…”

เด็กหนุ่มคงจะตกใจมากทีเดียว เขาเองแต่ยืนนิ่งมองโยบาเนสตาไม่กะพริบ

ไม่ได้ยินดี แต่ก็ไม่ได้เสียใจ

เฟเรสคล้ายกับคนที่โดนอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่ในคราวเดียว จนไม่รู้ว่าจะต้องคิดหรือทำเช่นไร

เขามองโยบาเนสด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

เธอน่าจะบอกเขาไว้แต่เนิ่นๆ เพราะถึงยังไงเรื่องที่เฟเรสจะได้เป็นรัชทายาทมันก็เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว

ไม่สิ นี่มันช้ากว่าที่คิดด้วยซ้ำ

เพราะเมื่อตอนนั้น เฟเรสได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทก่อน แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันองค์จักรพรรดิถึงได้หมดสติล้มป่วย

เพราะอย่างนั้นเฟเรสจึงไม่ต้องแคร์สายตาใครหน้าไหนทั้งสิ้น และกุมอำนาจทุกอย่างเอาไว้ในกำมือได้ในที่สุด

เป้าหมายแรกของเขาคือเบเจอร์ รวมถึงตระกูลลอมบาร์เดีย

จู่ๆ ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา

ในชีวิตนี้จักรพรรดินีเป็นคนวางยาพิษก็จริง แต่ในชีวิตก่อนล่ะ จักรพรรดิล้มป่วยลงเพราะสาเหตุใดกันแน่

เธอพยายามเก็บความสงสัยลงไป ในขณะที่หันไปมองท่านปู่เงียบๆ

เรื่องที่เฟเรสได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วก็จริง

แต่ตอนที่พวกเราออกไปจากห้อง บรรยากาศมันดูไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้เลยชัดๆ

ท่านปู่ใช้เวทมนตร์อะไรกันแน่

ดูเหมือนความสามารถในการเกลี้ยกล่อมโยบาเนสของท่านปู่จะเก่งกาจกว่าที่เธอคิดไว้เยอะ

“เหตุใดจึงไม่ตอบ”

โยบาเนสถามเฟเรสอีกครั้ง

เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้าหนึ่งครั้ง ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากห้วงความฝัน ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“และจงจัดการลงโทษอังเกนัสกับจักรพรรดินีให้เหมาะสมกับความผิดของพวกนั้น”

คำพูดนั้นค่อยถูกใจเธอหน่อย

ตอนนี้เฟเรสก็จะได้มีข้ออ้างในการลงมือแก้แค้นอย่างสาสมสักที

“นำสิ่งนี้ไป”

โยบาเนสยื่นกระดาษหลายแผ่นให้แก่เฟเรส

“นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“สารถึงบรรดาเจ้าตระกูลในภาคกลาง เหนือ ใต้ ออก ตก ต้องได้รับความเห็นชอบจากพวกเขาไม่ใช่หรือไง”

หากจักรพรรดิคิดที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาท จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากบรรดาเจ้าตระกูลตัวแทนแต่ละเขตแดนเสียก่อน

ทั้งยังต้องเป็นความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ บรรดาเจ้าตระกูลแต่ละเขตแดนจะต้องเดินทางเข้าสู่พระราชวัง เพื่อประทับตราเห็นชอบกันอย่างพร้อมหน้าในวันที่ถูกกำหนด

ตอนนี้คนที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงมีเพียงแค่ตระกูลบราวน์จากเขตตะวันตก เซอเชาว์จากใต้ และลอมบาร์เดียจากส่วนกลางเท่านั้น

มีแค่สามตระกูล

“ไอบันแห่งเหนือ รูมันแห่งตะวันออก กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์”

ท่านปู่กล่าวกับเฟเรส

หลังจากนั้นจึงหันมาพูดกับเธอ ในขณะที่ติดกระดุมเสื้อคลุม

“พวกเรากลับกันเถอะ เทีย”

ในเมื่อสถานการณ์สงบลงแล้ว พวกเราก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องอยู่ในพระราชวังต่อ

“ค่ะ ท่านปู่”

แต่แล้วในตอนที่เธอตอบกลับไปพลางยกมือขึ้นตั้งใจจะสวมเสื้อคลุมที่ถือไว้ในมือ

“เดี๋ยวก่อน”

โยบาเนสก็เอ่ยพูดขึ้น

“รักษาการเจ้าตระกูล ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย”

เรียกเธอทำไมล่ะเนี่ย

แถมยังเรียกเสียเต็มยศรวมตำแหน่ง ‘รักษาการเจ้าตระกูล’ เข้าไปอีก รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่

สังหรณ์ใจว่าจะต้องมีเรื่องน่ารำคาญตามมาแน่

ท่านปู่เองก็ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นเป็นรอย เหลียวกลับไปมองโยบาเนส

“เพคะ ฝ่าบาท”

เธอตอบกลับไปอย่างนอบน้อม

“ข้าขอมอบหมายหน้าที่ให้เจ้า”

หน้าที่? สั่งงานเธอเนี่ยนะ

ชั่วขณะเธอถึงกับต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อกดข่มตัวเอง ไม่ให้เผลอใช้สายตาสมเพชมองโยบาเนสตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

ขนาดท่านปู่ยังเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ถามออกไปโดยไม่คิดเก็บซ่อนความไม่พอใจ

“หน้าที่อะไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ในฐานะตัวแทนชนชั้นสูงของอาณาจักร รักษาการเจ้าตระกูลจงเป็นพยานยืนยันว่าการกระทำทั้งหลายของเจ้าชายลำดับที่สองจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม”

ว่าแล้วเชียว

นี่มันเรื่องน่ารำคาญสุดๆ แค่ได้ยินก็น่าเบื่อแล้ว

“หม่อมฉัน…”

ตั้งใจจะปฏิเสธออกไป

จนกระทั่งโยบาเนสเอ่ยคำพูดประโยคถัดไปออกมา

“หากเจ้าชายลำดับที่สองเรียกเก็บค่าปรับจากอังเกนัสเสร็จเรียบร้อย รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียจงนำเงินพวกนั้นไปแจกจ่ายให้แก่ตระกูลทั้งหลายที่เคยถูกอังเกนัสยืมไป”

โอ้ว ถ้าเป็นเรื่องนั้นละก็ย่อมได้

เธอรีบโค้งศีรษะลง เก็บซ่อนมุมปากที่เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อย

“เหล่าชนชั้นสูงที่เคยถูกอังเกนัสหลอกใช้จะต้องสบายใจแน่เพคะ พวกเขาจะต้องซาบซึ้งในพระคุณและสายตากว้างไกลของฝ่าบาทเป็นแน่”

ไหนๆ ก็อารมณ์ดีแล้ว จะยอมปากหวานชมให้หวานหูหน่อยก็แล้วกัน

ว่ากันว่ามนุษย์เรามักจะยอมทำเรื่องที่ไม่เคยทำก็ยามที่กำลังจะตาย

สำหรับโยบาเนสที่อย่างไรก็คงมีชีวิตต่อไปได้ไม่ยืนยาวนักอยู่แล้ว คำชมแค่นี้ ชมกันนิดชมกันหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรหรอก

เรื่องกลั่นแกล้งพวกอังเกนัสจะขาดเธอได้ยังไงล่ะเนอะ

ไหนจะเงินที่ยืมไป ไหนจะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร้านค้าเพลเลส ไหนจะค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมคฤหาสน์ของเครย์ลีบันอีก เงินจำนวนตั้งเท่าไหร่ที่เธอต้องขูดรีดเอาจากพวกมัน

ถึงแม้จะกังวลอยู่บ้างก็เถอะว่าอังเกนัสที่ใช้เงินสดไปหมดเกลี้ยงจนเหลือแต่เปลือกนอกเนี่ย จะมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่กันเชียว…แต่ว่า

“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาด้วยความยินดียิ่งเพคะ ฝ่าบาท”

คนโบร่ำโบราณเขามีคำกล่าวบอกไว้ว่า ขนาดปลาหมึกแห้ง หากบีบเค้นเสียหน่อยก็ยังมีน้ำไหลออกมาเลยนี่นะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 233.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 233.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 233.2

จักรพรรดิโยบาเนสเรียกตัวพวกเรากลับเข้าไปเร็วกว่าที่คิด

แต่บรรยากาศในห้องแตกต่างจากตอนที่ออกไปเป็นอย่างมาก

เพราะใบหน้าของโยบาเยสที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่นั้นดูสดใสขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

อีกอย่าง โทสะก็ดูจะเบาบางลงไป เสียงลมหายใจดูสม่ำเสมอขึ้นเยอะ ใบหน้าเองก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแปลกพิลึก

สนทนาเรื่องอะไรกันแน่นะ

ทั้งเฟเรสทั้งเธอต่างก็หันไปมองท่านปู่ด้วยความสงสัย

แต่ท่านปู่ก็แค่ส่งยิ้มให้พวกเรา ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งไปหยิบเสื้อคลุมที่ถอดทิ้งไว้

และในวินาทีต่อมา ความสงสัยของเธอก็ถูกคลี่คลาย

“เจ้าชายลำดับที่สอง เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่”

โยบาเนสกล่าวเรียกเฟเรสด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขอพระองค์รับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงจักรพรรดิตามสัญญาณมือ ก่อนจะเอ่ยตอบ

โยบาเนสมองหน้าเฟเรสอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท”

ห้องบรรทมพลันเงียบสงัด

วินาทีนั้น แม้กระทั่งเสียงลมหายใจหอบของจักรพรรดิก็ยังไม่ได้ยิน

เธอมองสำรวจใบหน้าของเฟเรส

“…”

เด็กหนุ่มคงจะตกใจมากทีเดียว เขาเองแต่ยืนนิ่งมองโยบาเนสตาไม่กะพริบ

ไม่ได้ยินดี แต่ก็ไม่ได้เสียใจ

เฟเรสคล้ายกับคนที่โดนอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่ในคราวเดียว จนไม่รู้ว่าจะต้องคิดหรือทำเช่นไร

เขามองโยบาเนสด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

เธอน่าจะบอกเขาไว้แต่เนิ่นๆ เพราะถึงยังไงเรื่องที่เฟเรสจะได้เป็นรัชทายาทมันก็เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว

ไม่สิ นี่มันช้ากว่าที่คิดด้วยซ้ำ

เพราะเมื่อตอนนั้น เฟเรสได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทก่อน แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันองค์จักรพรรดิถึงได้หมดสติล้มป่วย

เพราะอย่างนั้นเฟเรสจึงไม่ต้องแคร์สายตาใครหน้าไหนทั้งสิ้น และกุมอำนาจทุกอย่างเอาไว้ในกำมือได้ในที่สุด

เป้าหมายแรกของเขาคือเบเจอร์ รวมถึงตระกูลลอมบาร์เดีย

จู่ๆ ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา

ในชีวิตนี้จักรพรรดินีเป็นคนวางยาพิษก็จริง แต่ในชีวิตก่อนล่ะ จักรพรรดิล้มป่วยลงเพราะสาเหตุใดกันแน่

เธอพยายามเก็บความสงสัยลงไป ในขณะที่หันไปมองท่านปู่เงียบๆ

เรื่องที่เฟเรสได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วก็จริง

แต่ตอนที่พวกเราออกไปจากห้อง บรรยากาศมันดูไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้เลยชัดๆ

ท่านปู่ใช้เวทมนตร์อะไรกันแน่

ดูเหมือนความสามารถในการเกลี้ยกล่อมโยบาเนสของท่านปู่จะเก่งกาจกว่าที่เธอคิดไว้เยอะ

“เหตุใดจึงไม่ตอบ”

โยบาเนสถามเฟเรสอีกครั้ง

เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้าหนึ่งครั้ง ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากห้วงความฝัน ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“และจงจัดการลงโทษอังเกนัสกับจักรพรรดินีให้เหมาะสมกับความผิดของพวกนั้น”

คำพูดนั้นค่อยถูกใจเธอหน่อย

ตอนนี้เฟเรสก็จะได้มีข้ออ้างในการลงมือแก้แค้นอย่างสาสมสักที

“นำสิ่งนี้ไป”

โยบาเนสยื่นกระดาษหลายแผ่นให้แก่เฟเรส

“นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“สารถึงบรรดาเจ้าตระกูลในภาคกลาง เหนือ ใต้ ออก ตก ต้องได้รับความเห็นชอบจากพวกเขาไม่ใช่หรือไง”

หากจักรพรรดิคิดที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาท จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากบรรดาเจ้าตระกูลตัวแทนแต่ละเขตแดนเสียก่อน

ทั้งยังต้องเป็นความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ บรรดาเจ้าตระกูลแต่ละเขตแดนจะต้องเดินทางเข้าสู่พระราชวัง เพื่อประทับตราเห็นชอบกันอย่างพร้อมหน้าในวันที่ถูกกำหนด

ตอนนี้คนที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงมีเพียงแค่ตระกูลบราวน์จากเขตตะวันตก เซอเชาว์จากใต้ และลอมบาร์เดียจากส่วนกลางเท่านั้น

มีแค่สามตระกูล

“ไอบันแห่งเหนือ รูมันแห่งตะวันออก กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์”

ท่านปู่กล่าวกับเฟเรส

หลังจากนั้นจึงหันมาพูดกับเธอ ในขณะที่ติดกระดุมเสื้อคลุม

“พวกเรากลับกันเถอะ เทีย”

ในเมื่อสถานการณ์สงบลงแล้ว พวกเราก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องอยู่ในพระราชวังต่อ

“ค่ะ ท่านปู่”

แต่แล้วในตอนที่เธอตอบกลับไปพลางยกมือขึ้นตั้งใจจะสวมเสื้อคลุมที่ถือไว้ในมือ

“เดี๋ยวก่อน”

โยบาเนสก็เอ่ยพูดขึ้น

“รักษาการเจ้าตระกูล ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย”

เรียกเธอทำไมล่ะเนี่ย

แถมยังเรียกเสียเต็มยศรวมตำแหน่ง ‘รักษาการเจ้าตระกูล’ เข้าไปอีก รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่

สังหรณ์ใจว่าจะต้องมีเรื่องน่ารำคาญตามมาแน่

ท่านปู่เองก็ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นเป็นรอย เหลียวกลับไปมองโยบาเนส

“เพคะ ฝ่าบาท”

เธอตอบกลับไปอย่างนอบน้อม

“ข้าขอมอบหมายหน้าที่ให้เจ้า”

หน้าที่? สั่งงานเธอเนี่ยนะ

ชั่วขณะเธอถึงกับต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อกดข่มตัวเอง ไม่ให้เผลอใช้สายตาสมเพชมองโยบาเนสตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

ขนาดท่านปู่ยังเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ถามออกไปโดยไม่คิดเก็บซ่อนความไม่พอใจ

“หน้าที่อะไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ในฐานะตัวแทนชนชั้นสูงของอาณาจักร รักษาการเจ้าตระกูลจงเป็นพยานยืนยันว่าการกระทำทั้งหลายของเจ้าชายลำดับที่สองจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม”

ว่าแล้วเชียว

นี่มันเรื่องน่ารำคาญสุดๆ แค่ได้ยินก็น่าเบื่อแล้ว

“หม่อมฉัน…”

ตั้งใจจะปฏิเสธออกไป

จนกระทั่งโยบาเนสเอ่ยคำพูดประโยคถัดไปออกมา

“หากเจ้าชายลำดับที่สองเรียกเก็บค่าปรับจากอังเกนัสเสร็จเรียบร้อย รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียจงนำเงินพวกนั้นไปแจกจ่ายให้แก่ตระกูลทั้งหลายที่เคยถูกอังเกนัสยืมไป”

โอ้ว ถ้าเป็นเรื่องนั้นละก็ย่อมได้

เธอรีบโค้งศีรษะลง เก็บซ่อนมุมปากที่เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อย

“เหล่าชนชั้นสูงที่เคยถูกอังเกนัสหลอกใช้จะต้องสบายใจแน่เพคะ พวกเขาจะต้องซาบซึ้งในพระคุณและสายตากว้างไกลของฝ่าบาทเป็นแน่”

ไหนๆ ก็อารมณ์ดีแล้ว จะยอมปากหวานชมให้หวานหูหน่อยก็แล้วกัน

ว่ากันว่ามนุษย์เรามักจะยอมทำเรื่องที่ไม่เคยทำก็ยามที่กำลังจะตาย

สำหรับโยบาเนสที่อย่างไรก็คงมีชีวิตต่อไปได้ไม่ยืนยาวนักอยู่แล้ว คำชมแค่นี้ ชมกันนิดชมกันหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรหรอก

เรื่องกลั่นแกล้งพวกอังเกนัสจะขาดเธอได้ยังไงล่ะเนอะ

ไหนจะเงินที่ยืมไป ไหนจะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร้านค้าเพลเลส ไหนจะค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมคฤหาสน์ของเครย์ลีบันอีก เงินจำนวนตั้งเท่าไหร่ที่เธอต้องขูดรีดเอาจากพวกมัน

ถึงแม้จะกังวลอยู่บ้างก็เถอะว่าอังเกนัสที่ใช้เงินสดไปหมดเกลี้ยงจนเหลือแต่เปลือกนอกเนี่ย จะมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่กันเชียว…แต่ว่า

“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาด้วยความยินดียิ่งเพคะ ฝ่าบาท”

คนโบร่ำโบราณเขามีคำกล่าวบอกไว้ว่า ขนาดปลาหมึกแห้ง หากบีบเค้นเสียหน่อยก็ยังมีน้ำไหลออกมาเลยนี่นะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+