เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 237.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 237.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 237.1

ตอนที่ 237

“โคล่ก!”

เบเจอร์สำลักน้ำที่กำลังดื่มลงคอจนหน้าแดงก่ำ

รูลลักเฝ้ารออยู่นิ่งๆ ให้เบเจอร์เลิกไอเสียก่อนโดยไม่ได้พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

“ออกไปจากคฤหาสน์เนี่ยนะครับ!”

เบเจอร์ตะโกนเสียงดังใส่รูลลัก

“ถะ…ถ้าออกไปจากคฤหาสน์แล้ว จะให้ข้าไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ!”

“ไม่รู้สิ เรื่องนั้นเจ้าต้องจัดการเอาเอง”

ถึงแม้เบเจอร์จะกระวนกระวายใจแค่ไหน แต่รูลลักก็ไม่คิดแยแส

เพียงแค่กล่าวด้วยเสียงแห้งผากตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้น

ท่าทางเป็นทางการราวกับคนแปลกหน้า

เบเจอร์ไม่คุ้นเคยกับท่าทีเช่นนี้ของบิดาเลยสักนิด

จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นมักจะมองตนด้วยความไม่พอใจอยู่เสมอ

แต่ถึงแม้นัยน์ตาคู่นั้นจะเข้มงวดกวดขันกันแค่ไหน ก็ยังมีความรัก ความสงสารหลงเหลือให้เห็นอยู่ทุกครา

แต่ในตอนนี้รูลลักกลับปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์

“ข้าบอกลอเรนซ์เอาไว้แล้ว เจ้านั่นจะไปอยู่ที่ตระกูลคิเนฟอร์คของบ้านภริยา”

“แต่ท่านพ่อ…”

เบเจอร์ผุดลุกผุดนั่งขยับก้นลุกจากเก้าอี้ไปหาบิดาตั้งใจจะหาวิธีขอร้องอ้อนวอน

“ข้าไม่เหลือกระทั่งตระกูลฝ่ายภริยาแล้วนะครับ! อังเกนัสก็กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว…”

เบเจอร์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่มักจะทำให้บิดาใจอ่อนอยู่เสมอ

เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านพ่อจะผลักไสบุตรชายคนโตอย่างเขาไปได้อย่างไร

“เซรัลกับเบเลซักเป็นยังไงกันบ้าง”

รูลลักถามขึ้น

“ครับ อา สองคนนั่น…”

เบเจอร์ไม่อาจตอบออกไปได้ง่ายๆ

มันก็แน่อยู่แล้ว

เขาได้ยินข่าวอยู่หรอกว่าเบเลซักถูกปล่อยตัวแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้าค่าตากันอีกเลย เซรัลเองก็เช่นกัน

วันหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมามาย พอกลับมาถึงบ้าน ข้าวของมีค่าต่างๆ ของภริยาก็หายไปจากเรือนเล็กไม่เหลือทิ้งไว้เลยสักชิ้น

“…เจ้าคนน่าสมเพช”

รูลลักเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ

“ภริยากับบุตรชายของตัวเองเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้…นึกว่าเจ้าจะรู้จักดูแลครอบครัวตัวเองเสียบ้าง”

“หรือท่านพ่อทราบครับว่าภริยาของข้ากับเบเลซักอยู่ที่ใด”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้”

รูลลักกล่าวเช่นนั้น แล้วเดาะลิ้นเสียงดังอีกครั้ง

“ข้าจะไม่พูดอะไรยืดเยื้อ เบเจอร์ อีกไม่นานข้าจะมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้กับเทีย ดังนั้นเจ้าจงออกไปก่อนจะถึงเวลานั้น นี่คือเรื่องสุดท้ายที่เจ้าจะสามารถทำได้เพื่ออนาคตของลอมบาร์เดีย”

“เทีย เทีย! ท่านพ่อสนใจแต่นังเด็กไร้หัวนอนปลายเท้านั่นหรือไงครับ!”

เบเจอร์ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห

“ให้นังนั่นเป็นผู้นำตระกูลนี้ มอบทุกสิ่งให้กับมัน! เหอะ! ทั่วอาณาจักรคงได้หัวเราะเยาะกันเป็นแน่! มอบตระกูลให้แก่หลานสาวที่ถือกำเนิดจากคนเร่ร่อนไร้ที่มาที่ไปนั่นเนี่ยนะ! ท่านพ่อคงจะเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ!”

เบเจอร์ตะโกนเสียงแข็งจนน้ำลายสาดกระเซ็น

“ที่บอกว่าร้านค้าเพลเลสเป็นของตัวเองนั่นก็คงโกหกทั้งเพแหละครับ! เจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็คงคิดหาวิธีเล่นแง่สร้างเรื่องขึ้นมานั่นแหละ!”

ทว่าร่างกายที่มึนเมาไปด้วยฤทธิ์เหล้าย่อมไม่อาจทนต่อไปได้นาน

“แฮก แฮก…”

เบเจอร์ใช้ชายเสื้อเช็ดหนวดเครารอบริมฝีปากที่รกครึ้ม ก่อนจะชี้นิ้วไปยังรูลลัก

“ตอนนี้ท่านพ่อกำลังทำลายตระกูลนี้ด้วยมือของท่านพ่อเอง! ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลนี้! ท่านพ่อกำลังทำลายลอมบาร์เดียนะครับ!”

“คิดแบบนั้นจริงหรือ”

รูลลักถามเสียงเรียบ

“หากเจ้าได้นั่งตำแหน่งนั้น คิดว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปล่ะ เบเจอร์”

“ก็…!”

เบเจอร์ตั้งใจจะตอบออกไปว่ามันก็แน่นอนอยู่แล้ว

แต่ลำคอกลับตีบตันจนหายใจแทบไม่ออก

ไม่รู้สาเหตุ

แต่ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ว่า ‘ข้าย่อมทำได้ดีกว่า’

รูลลักมองเบเจอร์ที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทอง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า แล้วหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งที่เก็บไว้ในลิ้นชักส่งให้เบเจอร์

“ลายมือเบเลซัก…”

เบเจอร์รับจดหมายฉบับนั้นมาถือไว้ด้วยมือสั่นเทาจากอาการติดเหล้า ก่อนจะกางมันออกอ่าน

ข้างในจดหมายบอกเล่าถึงเรื่องราวความเป็นไปล่าสุดของเซรัลกับเบเลซักด้วยตัวหนังสือที่ดูหนักแน่น และเป็นระเบียบมากกว่าที่เขาเคยจดจำได้

“เทียคอยช่วยดูแลเบเลซักจนถึงที่สุด”

รูลลักเอ่ยพูดกับเบเจอร์

“จักรพรรดินีสั่งการให้คนสังหารเบเลซัก แล้วจัดฉากให้เป็นการฆ่าตัวตาย”

“…ฆะ…ฆ่าตัวตาย”

“ตั้งใจจะใช้เบเลซักให้เป็นแพะรับบาปแทนอาสทาน่ายังไงล่ะ แต่เพราะเทีย เบเลซักถึงได้รอดมาได้”

“เรื่องแบบนั้น…”

“แถมนั่นยังเป็นเรื่องแรกที่เด็กคนนั้นทำหลังจากได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเสียด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยหาบ้านให้เบเลซักกับเซรัลได้อาศัยอยู่เงียบๆ อีกด้วย”

รูลลักชี้ไปยังจดหมายในมือของเบเจอร์

“นี่เป็นจดหมายที่เบเลซักส่งมาเพื่อขอบคุณเรื่องที่ว่านั่น”

เบเจอร์อ่านจดหมายของเบเลซักด้วยนัยน์ตาสั่นไหว

ถึงแม้มันจะเป็นจดหมายเนื้อหยาบจนเทียบกับกระดาษจดหมายที่ใช้กันในคฤหาสน์ลอมบาร์เดียไม่ติดก็ตาม

แต่เพียงแค่ไม่กี่บรรทัดนั่น มันก็มากพอจะถ่ายทอดออกมาให้เขาได้รู้แล้วว่า ชีวิตของเบเลซักนั้นมั่นคงกว่าแต่ก่อนมากเพียงไหน

[…ข้าคงได้แต่ขอโทษ และขอบคุณเท่านั้น ฟีเรนเทีย ไม่สิ รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ฝากขอโทษนางด้วยนะครับ ข้าจะคอยอวยพรให้หนทางข้างหน้าของลอมบาร์เดียมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอยู่จากที่ไกลๆ …]

เบเลซักขอโทษจากใจจริง

“เทียทำงานได้สมกับเป็นเจ้าตระกูลยิ่งกว่าใคร”

ไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ปกป้องและโอบกอดสมาชิกในตระกูลเอาไว้ไม่ให้ใครมาทำร้ายกันได้ นั่นเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้เป็นเจ้าตระกูล

“ดังนั้นเบเจอร์ข้าจะตอบให้เอง เจ้าน่ะ ไม่มีวันเป็นเจ้าตระกูลที่ดีได้ และตระกูลลอมบาร์เดียจะยิ่งใหญ่กว่านี้ภายใต้การนำพาของเทีย”

รูลลักมั่นใจในคำพูดของตัวเองอย่างไม่สั่นคลอน

เบเจอร์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว เขากล่าวเสียงสะอื้นไห้

“ข้ามันอ่อนด้อยเองครับ…เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ…”

เบเจอร์รู้สึกเสียใจจากใจจริงแต่มันสายเกินไปเสียแล้ว

“หากตำแหน่งเจ้าตระกูลคนต่อไปได้ถูกเลือกแล้ว คนอื่นๆ ที่เคยแข่งขันกับคนคนนั้นจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะออกจากตระกูลหรือจะทำงานต่อไปเพื่อตระกูลนี้โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าตระกูล”

บรรดาพี่น้องของรูลลักเองก็เช่นเดียวกัน ครึ่งหนึ่งเลือกที่จะจากตระกูลนี้ไป ส่วนอีกครึ่งนั้นยังคงอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูล

มันเป็นกฎของตระกูลที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

“เพราะฉะนั้นเบเจอร์ เจ้าไม่มีสิทธิ์ให้เลือกอีกต่อไป นี่เป็นบทลงโทษสำหรับเรื่องโง่เขลาทั้งหลายที่เจ้าได้กระทำลงไป”

รูลลักยังคงประกาศบทลงโทษของเบเจอร์ต่อไปเสียงเรียบ

“มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองความคิดที่ว่าเมื่อเจ้าตระหนักขึ้นมาได้ ก็คงจะช่วยเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้บ้างมันเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจงจากไปให้ไกลเสียเถอะ เบเจอร์”

ในตอนนี้รูลลักคิดถึงเพียงแต่เทียที่จะต้องขึ้นรับตำแหน่งต่อจากเขาเท่านั้น

มันเป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อหลานสาวที่จะต้องสืบทอดตระกูลนี้

“เก็บข้าวของออกไปจากคฤหาสน์ก่อนที่เทียจะขึ้นรับตำแหน่งเจ้าตระกูล ไม่จำเป็นต้องร่ำลาบอกกล่าวใครใดๆ ทั้งนั้น”

เบเจอร์ได้แต่เหม่อมองรูลลักด้วยนัยน์ตาว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง

ตระหนักได้ว่า ตอนนี้ตนไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

ทั้งตระกูล ทั้งครอบครัว

มันเป็นความจริงที่ต่อให้ดื่มเหล้าจนหมดโลกก็ไม่อาจช่วยให้ลืมเลือนได้

ตุบ!

เบเจอร์วางจดหมายของเบเลซักลงตรงหน้ารูลลักเงียบๆ

และโค้งศีรษะกล่าวลาบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

ตึก ตึก

แต่แล้วในตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องทำงานเจ้าตระกูล ก้าวออกไปด้วยฝีเท้าไร้เรี่ยวแรง

“เบเจอร์”

รูลลักก็เอ่ยขึ้น

“อย่าดื่มเหล้าให้มากนัก ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย”

นั่นเป็นความห่วงใยสุดท้ายที่ผู้เป็นบิดาจะทำให้บุตรชายได้

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 237.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 237.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 237.1

ตอนที่ 237

“โคล่ก!”

เบเจอร์สำลักน้ำที่กำลังดื่มลงคอจนหน้าแดงก่ำ

รูลลักเฝ้ารออยู่นิ่งๆ ให้เบเจอร์เลิกไอเสียก่อนโดยไม่ได้พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

“ออกไปจากคฤหาสน์เนี่ยนะครับ!”

เบเจอร์ตะโกนเสียงดังใส่รูลลัก

“ถะ…ถ้าออกไปจากคฤหาสน์แล้ว จะให้ข้าไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ!”

“ไม่รู้สิ เรื่องนั้นเจ้าต้องจัดการเอาเอง”

ถึงแม้เบเจอร์จะกระวนกระวายใจแค่ไหน แต่รูลลักก็ไม่คิดแยแส

เพียงแค่กล่าวด้วยเสียงแห้งผากตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้น

ท่าทางเป็นทางการราวกับคนแปลกหน้า

เบเจอร์ไม่คุ้นเคยกับท่าทีเช่นนี้ของบิดาเลยสักนิด

จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นมักจะมองตนด้วยความไม่พอใจอยู่เสมอ

แต่ถึงแม้นัยน์ตาคู่นั้นจะเข้มงวดกวดขันกันแค่ไหน ก็ยังมีความรัก ความสงสารหลงเหลือให้เห็นอยู่ทุกครา

แต่ในตอนนี้รูลลักกลับปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์

“ข้าบอกลอเรนซ์เอาไว้แล้ว เจ้านั่นจะไปอยู่ที่ตระกูลคิเนฟอร์คของบ้านภริยา”

“แต่ท่านพ่อ…”

เบเจอร์ผุดลุกผุดนั่งขยับก้นลุกจากเก้าอี้ไปหาบิดาตั้งใจจะหาวิธีขอร้องอ้อนวอน

“ข้าไม่เหลือกระทั่งตระกูลฝ่ายภริยาแล้วนะครับ! อังเกนัสก็กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว…”

เบเจอร์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่มักจะทำให้บิดาใจอ่อนอยู่เสมอ

เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านพ่อจะผลักไสบุตรชายคนโตอย่างเขาไปได้อย่างไร

“เซรัลกับเบเลซักเป็นยังไงกันบ้าง”

รูลลักถามขึ้น

“ครับ อา สองคนนั่น…”

เบเจอร์ไม่อาจตอบออกไปได้ง่ายๆ

มันก็แน่อยู่แล้ว

เขาได้ยินข่าวอยู่หรอกว่าเบเลซักถูกปล่อยตัวแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้าค่าตากันอีกเลย เซรัลเองก็เช่นกัน

วันหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมามาย พอกลับมาถึงบ้าน ข้าวของมีค่าต่างๆ ของภริยาก็หายไปจากเรือนเล็กไม่เหลือทิ้งไว้เลยสักชิ้น

“…เจ้าคนน่าสมเพช”

รูลลักเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ

“ภริยากับบุตรชายของตัวเองเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้…นึกว่าเจ้าจะรู้จักดูแลครอบครัวตัวเองเสียบ้าง”

“หรือท่านพ่อทราบครับว่าภริยาของข้ากับเบเลซักอยู่ที่ใด”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้”

รูลลักกล่าวเช่นนั้น แล้วเดาะลิ้นเสียงดังอีกครั้ง

“ข้าจะไม่พูดอะไรยืดเยื้อ เบเจอร์ อีกไม่นานข้าจะมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้กับเทีย ดังนั้นเจ้าจงออกไปก่อนจะถึงเวลานั้น นี่คือเรื่องสุดท้ายที่เจ้าจะสามารถทำได้เพื่ออนาคตของลอมบาร์เดีย”

“เทีย เทีย! ท่านพ่อสนใจแต่นังเด็กไร้หัวนอนปลายเท้านั่นหรือไงครับ!”

เบเจอร์ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห

“ให้นังนั่นเป็นผู้นำตระกูลนี้ มอบทุกสิ่งให้กับมัน! เหอะ! ทั่วอาณาจักรคงได้หัวเราะเยาะกันเป็นแน่! มอบตระกูลให้แก่หลานสาวที่ถือกำเนิดจากคนเร่ร่อนไร้ที่มาที่ไปนั่นเนี่ยนะ! ท่านพ่อคงจะเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ!”

เบเจอร์ตะโกนเสียงแข็งจนน้ำลายสาดกระเซ็น

“ที่บอกว่าร้านค้าเพลเลสเป็นของตัวเองนั่นก็คงโกหกทั้งเพแหละครับ! เจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็คงคิดหาวิธีเล่นแง่สร้างเรื่องขึ้นมานั่นแหละ!”

ทว่าร่างกายที่มึนเมาไปด้วยฤทธิ์เหล้าย่อมไม่อาจทนต่อไปได้นาน

“แฮก แฮก…”

เบเจอร์ใช้ชายเสื้อเช็ดหนวดเครารอบริมฝีปากที่รกครึ้ม ก่อนจะชี้นิ้วไปยังรูลลัก

“ตอนนี้ท่านพ่อกำลังทำลายตระกูลนี้ด้วยมือของท่านพ่อเอง! ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลนี้! ท่านพ่อกำลังทำลายลอมบาร์เดียนะครับ!”

“คิดแบบนั้นจริงหรือ”

รูลลักถามเสียงเรียบ

“หากเจ้าได้นั่งตำแหน่งนั้น คิดว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปล่ะ เบเจอร์”

“ก็…!”

เบเจอร์ตั้งใจจะตอบออกไปว่ามันก็แน่นอนอยู่แล้ว

แต่ลำคอกลับตีบตันจนหายใจแทบไม่ออก

ไม่รู้สาเหตุ

แต่ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ว่า ‘ข้าย่อมทำได้ดีกว่า’

รูลลักมองเบเจอร์ที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทอง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า แล้วหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งที่เก็บไว้ในลิ้นชักส่งให้เบเจอร์

“ลายมือเบเลซัก…”

เบเจอร์รับจดหมายฉบับนั้นมาถือไว้ด้วยมือสั่นเทาจากอาการติดเหล้า ก่อนจะกางมันออกอ่าน

ข้างในจดหมายบอกเล่าถึงเรื่องราวความเป็นไปล่าสุดของเซรัลกับเบเลซักด้วยตัวหนังสือที่ดูหนักแน่น และเป็นระเบียบมากกว่าที่เขาเคยจดจำได้

“เทียคอยช่วยดูแลเบเลซักจนถึงที่สุด”

รูลลักเอ่ยพูดกับเบเจอร์

“จักรพรรดินีสั่งการให้คนสังหารเบเลซัก แล้วจัดฉากให้เป็นการฆ่าตัวตาย”

“…ฆะ…ฆ่าตัวตาย”

“ตั้งใจจะใช้เบเลซักให้เป็นแพะรับบาปแทนอาสทาน่ายังไงล่ะ แต่เพราะเทีย เบเลซักถึงได้รอดมาได้”

“เรื่องแบบนั้น…”

“แถมนั่นยังเป็นเรื่องแรกที่เด็กคนนั้นทำหลังจากได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเสียด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยหาบ้านให้เบเลซักกับเซรัลได้อาศัยอยู่เงียบๆ อีกด้วย”

รูลลักชี้ไปยังจดหมายในมือของเบเจอร์

“นี่เป็นจดหมายที่เบเลซักส่งมาเพื่อขอบคุณเรื่องที่ว่านั่น”

เบเจอร์อ่านจดหมายของเบเลซักด้วยนัยน์ตาสั่นไหว

ถึงแม้มันจะเป็นจดหมายเนื้อหยาบจนเทียบกับกระดาษจดหมายที่ใช้กันในคฤหาสน์ลอมบาร์เดียไม่ติดก็ตาม

แต่เพียงแค่ไม่กี่บรรทัดนั่น มันก็มากพอจะถ่ายทอดออกมาให้เขาได้รู้แล้วว่า ชีวิตของเบเลซักนั้นมั่นคงกว่าแต่ก่อนมากเพียงไหน

[…ข้าคงได้แต่ขอโทษ และขอบคุณเท่านั้น ฟีเรนเทีย ไม่สิ รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ฝากขอโทษนางด้วยนะครับ ข้าจะคอยอวยพรให้หนทางข้างหน้าของลอมบาร์เดียมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอยู่จากที่ไกลๆ …]

เบเลซักขอโทษจากใจจริง

“เทียทำงานได้สมกับเป็นเจ้าตระกูลยิ่งกว่าใคร”

ไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ปกป้องและโอบกอดสมาชิกในตระกูลเอาไว้ไม่ให้ใครมาทำร้ายกันได้ นั่นเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้เป็นเจ้าตระกูล

“ดังนั้นเบเจอร์ข้าจะตอบให้เอง เจ้าน่ะ ไม่มีวันเป็นเจ้าตระกูลที่ดีได้ และตระกูลลอมบาร์เดียจะยิ่งใหญ่กว่านี้ภายใต้การนำพาของเทีย”

รูลลักมั่นใจในคำพูดของตัวเองอย่างไม่สั่นคลอน

เบเจอร์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว เขากล่าวเสียงสะอื้นไห้

“ข้ามันอ่อนด้อยเองครับ…เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ…”

เบเจอร์รู้สึกเสียใจจากใจจริงแต่มันสายเกินไปเสียแล้ว

“หากตำแหน่งเจ้าตระกูลคนต่อไปได้ถูกเลือกแล้ว คนอื่นๆ ที่เคยแข่งขันกับคนคนนั้นจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะออกจากตระกูลหรือจะทำงานต่อไปเพื่อตระกูลนี้โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าตระกูล”

บรรดาพี่น้องของรูลลักเองก็เช่นเดียวกัน ครึ่งหนึ่งเลือกที่จะจากตระกูลนี้ไป ส่วนอีกครึ่งนั้นยังคงอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูล

มันเป็นกฎของตระกูลที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

“เพราะฉะนั้นเบเจอร์ เจ้าไม่มีสิทธิ์ให้เลือกอีกต่อไป นี่เป็นบทลงโทษสำหรับเรื่องโง่เขลาทั้งหลายที่เจ้าได้กระทำลงไป”

รูลลักยังคงประกาศบทลงโทษของเบเจอร์ต่อไปเสียงเรียบ

“มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองความคิดที่ว่าเมื่อเจ้าตระหนักขึ้นมาได้ ก็คงจะช่วยเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้บ้างมันเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจงจากไปให้ไกลเสียเถอะ เบเจอร์”

ในตอนนี้รูลลักคิดถึงเพียงแต่เทียที่จะต้องขึ้นรับตำแหน่งต่อจากเขาเท่านั้น

มันเป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อหลานสาวที่จะต้องสืบทอดตระกูลนี้

“เก็บข้าวของออกไปจากคฤหาสน์ก่อนที่เทียจะขึ้นรับตำแหน่งเจ้าตระกูล ไม่จำเป็นต้องร่ำลาบอกกล่าวใครใดๆ ทั้งนั้น”

เบเจอร์ได้แต่เหม่อมองรูลลักด้วยนัยน์ตาว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง

ตระหนักได้ว่า ตอนนี้ตนไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

ทั้งตระกูล ทั้งครอบครัว

มันเป็นความจริงที่ต่อให้ดื่มเหล้าจนหมดโลกก็ไม่อาจช่วยให้ลืมเลือนได้

ตุบ!

เบเจอร์วางจดหมายของเบเลซักลงตรงหน้ารูลลักเงียบๆ

และโค้งศีรษะกล่าวลาบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

ตึก ตึก

แต่แล้วในตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องทำงานเจ้าตระกูล ก้าวออกไปด้วยฝีเท้าไร้เรี่ยวแรง

“เบเจอร์”

รูลลักก็เอ่ยขึ้น

“อย่าดื่มเหล้าให้มากนัก ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย”

นั่นเป็นความห่วงใยสุดท้ายที่ผู้เป็นบิดาจะทำให้บุตรชายได้

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+