เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 248.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 248.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 248.2

“อ๊ะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

ในตอนนั้นเองก็บังเอิญพบกับเฟเรสเข้าพอดี

ท่าทางต่างจากตอนที่ปฏิบัติต่อโยบาเนสเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เจ้าหน้าที่โค้งศีรษะลงต่ำ ทักทายเฟเรสด้วยความเคารพ

“มาพบฝ่าบาทหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”

เจ้าหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้เฟเรสฟัง และเอ่ยถามราวกับต้องการขออนุญาตเป็นการปิดท้าย

“ทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หากฉุกคิดดูเสียหน่อย มันเป็นคำถามที่ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้ได้ว่ามันแปลกพิกล

ถามเจ้าชายที่ยังไม่แม้แต่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการ ว่าสมควรที่จะปฏิบัติตามรับสั่งของผู้เป็นจักรพรรดิดีหรือเปล่าเนี่ยนะ

ทว่าเจ้าหน้าที่กลับไม่ได้คิดถึงมุมมองนั้นเลยสักนิด

เพราะในฐานะข้าราชบริพารแล้ว เฟเรสที่เขาเฝ้ามองมาตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือและน่าติดตามรับใช้ยิ่งกว่าจักรพรรดิโยบาเนสที่เขาคอยช่วยเหลืองานการมาหลายสิบปีเสียอีก

“ทำตามนั้นเถอะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าชายแล้ว แถมยังจะได้รับเงินรางวัลจากองค์จักรพรรดิอีก เจ้าหน้าที่จึงเดินห่างออกไปไกลด้วยความยินดี

“กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสแวะมายังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิทุกวัน วันละสองรอบ เพื่อมาชงชาให้ตามสัญญา

“เหตุใดจึงมาช้า”

ต่อให้มาถึงตรงเวลา โยบาเนสก็ยังหาข้อตำหนิอยู่ดี

“หากไม่เอาใจใส่ข้า ย่อมมีแต่ผลเสียต่อเจ้าแท้ๆ”

ริมฝีปากคล้ำสีม่วงกระตุกยิ้มเยาะ

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ พอดีกระหม่อมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องอาสทาน่า”

เฟเรสส่งกระดาษรายงานแผ่นหนึ่งให้โยบาเนสด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ขาของอาสทาน่า…ถูกตัดขาด”

“พ่ะย่ะค่ะ ถูกมอนสเตอร์โจมตี จึงต้องตัดขาข้างหนึ่งทิ้งทันที เพื่อที่จะได้รักษาชีวิตเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าโง่นั่น สู้ตายไปเสียยังดีกว่า”

โยบาเนสขมวดคิ้วจนหน้านิ่ว และโยนรายงานแผ่นนั้นทิ้งออกไปนอกเตียงราวกับโยนขยะที่ไม่อยากเห็นทิ้งลงในซอกหลืบ

“แค่เพราะเรื่องของอาสทาน่าถึงได้มาสายงั้นหรือ”

“เป็นเพราะฝ่าบาทอาจจะยังทรงต้องการอาสทาน่าอยู่ กระหม่อมจึงได้จัดการให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ถึงค่อยมาพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“หมายความว่ายังไงกัน”

ต้องการอาสทาน่าเนี่ยนะ

เฟเรสตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่ง

“ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมก็คงไม่อาจรับตำแหน่งรัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ายังไงนะ”

โยบาเนสอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

“เลือดของกระหม่อม กลับกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโตในสิ่งที่กระหม่อมอยากทำมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“เหอะ เจ้าคงจะบ้าไปแล้วกระมัง”

โยบาเนสหัวเราะเยาะด้วยความตกตะลึง

“สายเลือดราชวงศ์ กลับกลายเป็นสิ่งที่ขวางทางเจ้าอย่างนั้นรึ”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลยสักนิด

โยบาเนสมองเฟเรสนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

หากไม่ใช่คนบ้าแล้วละก็ ในโลกนี้จะยังมีใครกล้าปฏิเสธตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือตำแหน่งจักรพรรดิคนถัดไปได้ลงกันล่ะ

มันเป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องอยากได้มันไว้ในครอบครองกันทั้งนั้น

“…โปรดแก้กฎหมายที่บัญญัติเอาไว้ว่า หากขึ้นเป็นจักรพรรดินีแล้ว จะต้องสูญสิ้นฐานะและตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ แล้วกระหม่อมจะลองคิดดูอีกครั้ง”

มันเป็นเงื่อนไขที่โยบาเนสคาดไม่ถึง แต่ก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าเพราะเหตุใด

“เพื่อเด็กลอมบาร์เดียคนนั้น”

โยบาเนสถามด้วยสีหน้ามืดหม่น แต่เฟเรสกลับใช้ความเงียบแทนคำตอบ

“เจ้าบ้าไปแล้วสินะ แค่เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น กลับคิดที่จะทิ้งบัลลังก์ ตามืดบอดหลงใหลเพียงแค่หญิงสาวแบบนั้นได้ยังไง!”

แฮก แฮก โยบาเนสเริ่มหอบหายใจถี่อีกครั้ง

เด็กชั้นต่ำนี่ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ! กล้าดียังไงมายื่นเงื่อนไขพวกนี้

ทั้งยังเป็นเพราะนังเด็กเลือดผสมลอมบาร์เดียนั่น

“ช่างเถอะ! ข้าไม่มอบบัลลังก์ให้คนอย่างเจ้าอีกต่อไป!”

โยบาเนสปฏิเสธอย่างเลือดเย็น พระองค์มั่นใจว่าถ้ายืนกรานเสียงแข็งแบบนี้ อย่างไรสุดท้ายเฟเรสก็ต้องยอมเปลี่ยนเงื่อนไข

พระองค์คิดเช่นนั้น

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นได้โปรดร่างสารเรียกตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับมาเมืองหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเป็นผู้ส่งสารฉบับนี้ไปให้เอง”

เฟเรสจัดเตรียมกระดาษกับปากกาวางลงตรงหน้าโยบาเนสด้วยสีหน้านิ่งสงบ

พอเรื่องราวกลับตาลปัตรกลายเป็นแบบนี้ โยบาเนสกลับกลายเป็นฝ่ายตื่นตระหนกแทน

“เจ้า…”

แต่ต่อให้พระองค์หอบหายใจเรียกเฟเรสด้วยความโมโห สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีแค่ปฏิกิริยาเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกเสียดายแม้แต่เศษเสี้ยว

โยบาเนสตระหนักขึ้นมาได้พร้อมกับความตกตะลึง

“นี่เจ้าคิดจะละทิ้งบัลลังก์จริงๆ งั้นหรือ”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสยืนเอามือไขว้หลัง เด็กหนุ่มพยักหน้าลง

“หากไม่ใช่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ก็ไม่มีใครสามารถเป็นจักรพรรดินีได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นสู้ให้คนอื่นขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนกระหม่อมจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอใช้ชีวิตในฐานะคู่สมรสของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียพ่ะย่ะค่ะ”

“บ้าไปแล้ว เจ้าบ้านี่”

โยบาเนสได้แต่พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา

“หากไม่ชอบใจอาสทาน่า เช่นนั้นส่งสารไปยังตระกูลมาเอียร์ดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”

คำว่าตระกูลมาเอียร์ทำเอาโยบาเนสสะดุ้งเฮือก

เจ้าตระกูลมาเอียร์เป็นบุตรนอกสมรสที่เกิดจากอดีตจักรพรรดิองค์ก่อน

หากโอรสของโยบาเนสไม่อาจสืบทอดบัลลังก์ได้ พวกเขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ที่ถูกต้องตามกฎหมายทันที

โยบาเนสถามขึ้นในขณะที่จ้องหน้าเฟเรสราวกับต้องการจะฆ่าให้ตาย

“เจ้าต้องการราชพินัยกรรมจากข้าสินะ”

หากเด็กชั้นต่ำที่กลายเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนั่นได้ขึ้นนั่งตำแหน่งจักรพรรดินีละก็ ชนชั้นสูงมากมายจะต้องคัดค้านกันเสียงแข็งแน่

ราชพินัยกรรมของจักรพรรดิผู้นอนซมอยู่บนเตียงจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ความขัดแย้งทุกเรื่องสามารถคลี่คลายลงได้อย่างง่ายดาย

“กระหม่อมขอแนะนำอาสทาน่ามากกว่าตระกูลมาเอียร์พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะมีมือแค่ข้างเดียว กับขาอีกข้าง และหัวสมองก็ทึ่มทื่อไปเสียหน่อย แต่อย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสถามโยบาเนส

“คงดีกว่าปล่อยให้บัลลังก์ตกอยู่ในมือของเจ้าตระกูลมาเอียร์”

“เจ้า!”

โยบาเนสถึงกับเค้นเรี่ยวแรงที่เหลือตะโกนเสียงกราดเกรี้ยว

แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี

เฟเรสยังคงยืนเอามือไขว้หลังนิ่ง ก้มหน้ามองโยบาเนสด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ

อัศวินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเองก็ไม่ได้วิ่งเข้ามา

เพราะอย่างไรหลังจากนอนป่วยติดเตียง โยบาเนสก็มักจะอารมณ์เสียพาลไปทั่ววันละสิบสองครั้ง พวกเขาจึงเคยชินกับอารมณ์เช่นนี้กันแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของโยบาเนสในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

หมับ!

โยบาเนสคว้ากระดาษกับปากกาจากมือเฟเรสมาถือไว้

“ได้ เรียกตัวอาสทาน่ากลับมาเดี๋ยวนี้…”

โยบาเนสขยับมือทำท่าคล้ายกับต้องการจะเขียนสารเรียกตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับมายังเมืองหลวงเดี๋ยวนี้

“อาสทาน่า…”

มือที่จับปากกาเอาไว้นั้นมั่นคงต่างจากลมหายใจหอบถี่อย่างสิ้นเชิง

ความรู้สึกราวกับยืนอยู่ริมหน้าผานี่มันอะไรกัน เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับมองเหวลึกใต้ฝ่าเท้า

ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เอ่ยพูดขึ้นราวกับทิ่มแทงหลังเขา

“ฝ่าบาททรงเลือกเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ จะทรงเรียกตัวอาสทาน่ากลับมา หรือจะเหลือราชพินัยกรรมทิ้งไว้”

แฮก แฮก

เสียงหอบหายใจของโยบาเนสดังก้องไปทั่วห้องบรรทม

และไม่นานหลังจากนั้น โยบาเนสก็เริ่มขยับปากกาในมือที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำหมึก

เฟเรสยืนเอามือไขว้หลังเฝ้ามองภาพนั้นอยู่นิ่งๆ มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นอย่างไร้เสียง

* * *

“เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ให้เกียรติแต่งงานกับข้าได้มั้ยครับ”

คำขอแต่งงานของเฟเรสทำเอาสติของเธอหลุดลอยไปไกล ในมือของเด็กหนุ่มกำลังถือแหวนวงหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

แหวนเพชรสีแดงที่เธอเคยปฏิเสธเขาไปเมื่อตอนประกาศหมั้นหมายกันหลอกๆ เพื่อปลดราชโองการสั่งห้ามของท่านปู่วงนั้น

“ข้า…”

พอเธอเปิดปากพูด ก็สังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีแดงของเฟเรสสั่นเทาไม่หยุด

ท่าทางคงจะรู้สึกกระวนกระวายใจมากจริงๆ

กลัวว่าเธอจะปฏิเสธ

ราวกับของที่ยื่นมาตรงหน้าเธอนี่ไม่ใช่แหวนเพชรสีแดง แต่เป็นหัวใจของเจ้าตัว

เฟเรสมีสีหน้าเหมือนกับหากเธอปฏิเสธละก็ เขาคงจะต้องตายลงตรงนี้แน่

เธอเหม่อมองใบหน้าของเฟเรสนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะอยากจะจดจำใบหน้านี้เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น

“อื้อ พวกเราแต่งงานกันเถอะ เฟเรส มาใช้ชีวิตด้วยกันตลอดไปนะ”

วินาทีต่อมา มือสั่นเทาของเฟเรสก็สวมแหวนลงบนนิ้วของเธอ

“เทีย จริงๆ นะ ข้าน่ะ ข้า…”

เฟเรสดึงตัวเธอเข้าไปกอดไว้แน่น เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วด้วยคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์

ตึก ตึก

รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจของเฟเรสที่กระหน่ำเต้นอย่างรุนแรงผ่านกายที่แนบชิดกัน และใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ คืบคลานเข้าหาเธออย่างช้าๆ

และในตอนที่ริมฝีปากของพวกเราใกล้ชิดกันมาก

หมับ!

ปลายนิ้วของเธอก็พุ่งเข้าขวางริมฝีปากของเฟเรสเอาไว้ แล้วเอ่ยพูดกับเฟเรสที่ดูมีสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก

“ก่อนจะประกาศหมั้นหมายกันอีกครั้ง ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 248.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 248.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 248.2

“อ๊ะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

ในตอนนั้นเองก็บังเอิญพบกับเฟเรสเข้าพอดี

ท่าทางต่างจากตอนที่ปฏิบัติต่อโยบาเนสเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เจ้าหน้าที่โค้งศีรษะลงต่ำ ทักทายเฟเรสด้วยความเคารพ

“มาพบฝ่าบาทหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”

เจ้าหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้เฟเรสฟัง และเอ่ยถามราวกับต้องการขออนุญาตเป็นการปิดท้าย

“ทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หากฉุกคิดดูเสียหน่อย มันเป็นคำถามที่ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้ได้ว่ามันแปลกพิกล

ถามเจ้าชายที่ยังไม่แม้แต่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการ ว่าสมควรที่จะปฏิบัติตามรับสั่งของผู้เป็นจักรพรรดิดีหรือเปล่าเนี่ยนะ

ทว่าเจ้าหน้าที่กลับไม่ได้คิดถึงมุมมองนั้นเลยสักนิด

เพราะในฐานะข้าราชบริพารแล้ว เฟเรสที่เขาเฝ้ามองมาตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือและน่าติดตามรับใช้ยิ่งกว่าจักรพรรดิโยบาเนสที่เขาคอยช่วยเหลืองานการมาหลายสิบปีเสียอีก

“ทำตามนั้นเถอะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าชายแล้ว แถมยังจะได้รับเงินรางวัลจากองค์จักรพรรดิอีก เจ้าหน้าที่จึงเดินห่างออกไปไกลด้วยความยินดี

“กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสแวะมายังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิทุกวัน วันละสองรอบ เพื่อมาชงชาให้ตามสัญญา

“เหตุใดจึงมาช้า”

ต่อให้มาถึงตรงเวลา โยบาเนสก็ยังหาข้อตำหนิอยู่ดี

“หากไม่เอาใจใส่ข้า ย่อมมีแต่ผลเสียต่อเจ้าแท้ๆ”

ริมฝีปากคล้ำสีม่วงกระตุกยิ้มเยาะ

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ พอดีกระหม่อมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องอาสทาน่า”

เฟเรสส่งกระดาษรายงานแผ่นหนึ่งให้โยบาเนสด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ขาของอาสทาน่า…ถูกตัดขาด”

“พ่ะย่ะค่ะ ถูกมอนสเตอร์โจมตี จึงต้องตัดขาข้างหนึ่งทิ้งทันที เพื่อที่จะได้รักษาชีวิตเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าโง่นั่น สู้ตายไปเสียยังดีกว่า”

โยบาเนสขมวดคิ้วจนหน้านิ่ว และโยนรายงานแผ่นนั้นทิ้งออกไปนอกเตียงราวกับโยนขยะที่ไม่อยากเห็นทิ้งลงในซอกหลืบ

“แค่เพราะเรื่องของอาสทาน่าถึงได้มาสายงั้นหรือ”

“เป็นเพราะฝ่าบาทอาจจะยังทรงต้องการอาสทาน่าอยู่ กระหม่อมจึงได้จัดการให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ถึงค่อยมาพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“หมายความว่ายังไงกัน”

ต้องการอาสทาน่าเนี่ยนะ

เฟเรสตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่ง

“ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมก็คงไม่อาจรับตำแหน่งรัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ายังไงนะ”

โยบาเนสอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

“เลือดของกระหม่อม กลับกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโตในสิ่งที่กระหม่อมอยากทำมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“เหอะ เจ้าคงจะบ้าไปแล้วกระมัง”

โยบาเนสหัวเราะเยาะด้วยความตกตะลึง

“สายเลือดราชวงศ์ กลับกลายเป็นสิ่งที่ขวางทางเจ้าอย่างนั้นรึ”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลยสักนิด

โยบาเนสมองเฟเรสนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

หากไม่ใช่คนบ้าแล้วละก็ ในโลกนี้จะยังมีใครกล้าปฏิเสธตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือตำแหน่งจักรพรรดิคนถัดไปได้ลงกันล่ะ

มันเป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องอยากได้มันไว้ในครอบครองกันทั้งนั้น

“…โปรดแก้กฎหมายที่บัญญัติเอาไว้ว่า หากขึ้นเป็นจักรพรรดินีแล้ว จะต้องสูญสิ้นฐานะและตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ แล้วกระหม่อมจะลองคิดดูอีกครั้ง”

มันเป็นเงื่อนไขที่โยบาเนสคาดไม่ถึง แต่ก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าเพราะเหตุใด

“เพื่อเด็กลอมบาร์เดียคนนั้น”

โยบาเนสถามด้วยสีหน้ามืดหม่น แต่เฟเรสกลับใช้ความเงียบแทนคำตอบ

“เจ้าบ้าไปแล้วสินะ แค่เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น กลับคิดที่จะทิ้งบัลลังก์ ตามืดบอดหลงใหลเพียงแค่หญิงสาวแบบนั้นได้ยังไง!”

แฮก แฮก โยบาเนสเริ่มหอบหายใจถี่อีกครั้ง

เด็กชั้นต่ำนี่ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ! กล้าดียังไงมายื่นเงื่อนไขพวกนี้

ทั้งยังเป็นเพราะนังเด็กเลือดผสมลอมบาร์เดียนั่น

“ช่างเถอะ! ข้าไม่มอบบัลลังก์ให้คนอย่างเจ้าอีกต่อไป!”

โยบาเนสปฏิเสธอย่างเลือดเย็น พระองค์มั่นใจว่าถ้ายืนกรานเสียงแข็งแบบนี้ อย่างไรสุดท้ายเฟเรสก็ต้องยอมเปลี่ยนเงื่อนไข

พระองค์คิดเช่นนั้น

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นได้โปรดร่างสารเรียกตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับมาเมืองหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเป็นผู้ส่งสารฉบับนี้ไปให้เอง”

เฟเรสจัดเตรียมกระดาษกับปากกาวางลงตรงหน้าโยบาเนสด้วยสีหน้านิ่งสงบ

พอเรื่องราวกลับตาลปัตรกลายเป็นแบบนี้ โยบาเนสกลับกลายเป็นฝ่ายตื่นตระหนกแทน

“เจ้า…”

แต่ต่อให้พระองค์หอบหายใจเรียกเฟเรสด้วยความโมโห สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีแค่ปฏิกิริยาเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกเสียดายแม้แต่เศษเสี้ยว

โยบาเนสตระหนักขึ้นมาได้พร้อมกับความตกตะลึง

“นี่เจ้าคิดจะละทิ้งบัลลังก์จริงๆ งั้นหรือ”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสยืนเอามือไขว้หลัง เด็กหนุ่มพยักหน้าลง

“หากไม่ใช่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ก็ไม่มีใครสามารถเป็นจักรพรรดินีได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นสู้ให้คนอื่นขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนกระหม่อมจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอใช้ชีวิตในฐานะคู่สมรสของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียพ่ะย่ะค่ะ”

“บ้าไปแล้ว เจ้าบ้านี่”

โยบาเนสได้แต่พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา

“หากไม่ชอบใจอาสทาน่า เช่นนั้นส่งสารไปยังตระกูลมาเอียร์ดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”

คำว่าตระกูลมาเอียร์ทำเอาโยบาเนสสะดุ้งเฮือก

เจ้าตระกูลมาเอียร์เป็นบุตรนอกสมรสที่เกิดจากอดีตจักรพรรดิองค์ก่อน

หากโอรสของโยบาเนสไม่อาจสืบทอดบัลลังก์ได้ พวกเขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ที่ถูกต้องตามกฎหมายทันที

โยบาเนสถามขึ้นในขณะที่จ้องหน้าเฟเรสราวกับต้องการจะฆ่าให้ตาย

“เจ้าต้องการราชพินัยกรรมจากข้าสินะ”

หากเด็กชั้นต่ำที่กลายเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนั่นได้ขึ้นนั่งตำแหน่งจักรพรรดินีละก็ ชนชั้นสูงมากมายจะต้องคัดค้านกันเสียงแข็งแน่

ราชพินัยกรรมของจักรพรรดิผู้นอนซมอยู่บนเตียงจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ความขัดแย้งทุกเรื่องสามารถคลี่คลายลงได้อย่างง่ายดาย

“กระหม่อมขอแนะนำอาสทาน่ามากกว่าตระกูลมาเอียร์พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะมีมือแค่ข้างเดียว กับขาอีกข้าง และหัวสมองก็ทึ่มทื่อไปเสียหน่อย แต่อย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสถามโยบาเนส

“คงดีกว่าปล่อยให้บัลลังก์ตกอยู่ในมือของเจ้าตระกูลมาเอียร์”

“เจ้า!”

โยบาเนสถึงกับเค้นเรี่ยวแรงที่เหลือตะโกนเสียงกราดเกรี้ยว

แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี

เฟเรสยังคงยืนเอามือไขว้หลังนิ่ง ก้มหน้ามองโยบาเนสด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ

อัศวินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเองก็ไม่ได้วิ่งเข้ามา

เพราะอย่างไรหลังจากนอนป่วยติดเตียง โยบาเนสก็มักจะอารมณ์เสียพาลไปทั่ววันละสิบสองครั้ง พวกเขาจึงเคยชินกับอารมณ์เช่นนี้กันแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของโยบาเนสในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

หมับ!

โยบาเนสคว้ากระดาษกับปากกาจากมือเฟเรสมาถือไว้

“ได้ เรียกตัวอาสทาน่ากลับมาเดี๋ยวนี้…”

โยบาเนสขยับมือทำท่าคล้ายกับต้องการจะเขียนสารเรียกตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับมายังเมืองหลวงเดี๋ยวนี้

“อาสทาน่า…”

มือที่จับปากกาเอาไว้นั้นมั่นคงต่างจากลมหายใจหอบถี่อย่างสิ้นเชิง

ความรู้สึกราวกับยืนอยู่ริมหน้าผานี่มันอะไรกัน เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับมองเหวลึกใต้ฝ่าเท้า

ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เอ่ยพูดขึ้นราวกับทิ่มแทงหลังเขา

“ฝ่าบาททรงเลือกเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ จะทรงเรียกตัวอาสทาน่ากลับมา หรือจะเหลือราชพินัยกรรมทิ้งไว้”

แฮก แฮก

เสียงหอบหายใจของโยบาเนสดังก้องไปทั่วห้องบรรทม

และไม่นานหลังจากนั้น โยบาเนสก็เริ่มขยับปากกาในมือที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำหมึก

เฟเรสยืนเอามือไขว้หลังเฝ้ามองภาพนั้นอยู่นิ่งๆ มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นอย่างไร้เสียง

* * *

“เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ให้เกียรติแต่งงานกับข้าได้มั้ยครับ”

คำขอแต่งงานของเฟเรสทำเอาสติของเธอหลุดลอยไปไกล ในมือของเด็กหนุ่มกำลังถือแหวนวงหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

แหวนเพชรสีแดงที่เธอเคยปฏิเสธเขาไปเมื่อตอนประกาศหมั้นหมายกันหลอกๆ เพื่อปลดราชโองการสั่งห้ามของท่านปู่วงนั้น

“ข้า…”

พอเธอเปิดปากพูด ก็สังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีแดงของเฟเรสสั่นเทาไม่หยุด

ท่าทางคงจะรู้สึกกระวนกระวายใจมากจริงๆ

กลัวว่าเธอจะปฏิเสธ

ราวกับของที่ยื่นมาตรงหน้าเธอนี่ไม่ใช่แหวนเพชรสีแดง แต่เป็นหัวใจของเจ้าตัว

เฟเรสมีสีหน้าเหมือนกับหากเธอปฏิเสธละก็ เขาคงจะต้องตายลงตรงนี้แน่

เธอเหม่อมองใบหน้าของเฟเรสนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะอยากจะจดจำใบหน้านี้เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น

“อื้อ พวกเราแต่งงานกันเถอะ เฟเรส มาใช้ชีวิตด้วยกันตลอดไปนะ”

วินาทีต่อมา มือสั่นเทาของเฟเรสก็สวมแหวนลงบนนิ้วของเธอ

“เทีย จริงๆ นะ ข้าน่ะ ข้า…”

เฟเรสดึงตัวเธอเข้าไปกอดไว้แน่น เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วด้วยคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์

ตึก ตึก

รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจของเฟเรสที่กระหน่ำเต้นอย่างรุนแรงผ่านกายที่แนบชิดกัน และใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ คืบคลานเข้าหาเธออย่างช้าๆ

และในตอนที่ริมฝีปากของพวกเราใกล้ชิดกันมาก

หมับ!

ปลายนิ้วของเธอก็พุ่งเข้าขวางริมฝีปากของเฟเรสเอาไว้ แล้วเอ่ยพูดกับเฟเรสที่ดูมีสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก

“ก่อนจะประกาศหมั้นหมายกันอีกครั้ง ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด