My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา 1017 ทะลวงสู่ขอบเขตจิตโลกา

Now you are reading My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา Chapter 1017 ทะลวงสู่ขอบเขตจิตโลกา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1017 ทะลวงสู่ขอบเขตจิตโลกา
  “บอสครับบอสนี่โคตรเด็ด ! เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็จัดการกับไอ้เจ้าดอกไม้กินคนได้” ลู่ซวนจี๋มาอยู่ตรงหน้าฉิงเฟิงและกล่าวด้วยแววตาที่ชื่นชม
  ไม่เพียงแค่ลู่ซวนจี๋เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงฮวาเซียนจื่อและฉินเซียนจื่อที่เดินมาข้างๆเขาและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมมันราวกับว่าดวงตาของพวกเธอเต็มไปด้วยดวงดาวที่เปล่งประกาย หากพวกเธอต้องปะทะกับดอกไม้กินคนตัวนี้ พวกเธอคงถูกฆ่าตายภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ฉิงเฟิงกลับฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย
  ส่วนลูกหมาสีดำที่ได้รับแก่นอสูรไปถึงสองเม็ดก็ยังมองไปที่ฉิงเฟิงตอนแรกมันต้องการที่จะโชว์ออฟ แต่หลังจากที่เห็นว่าฉิงเฟิงทรงพลังเพียงใดมันก็หวาดกลัวและก้มหัวลงโดยไม่พูดอะไรออกมา
  ฉิงเฟิงพยักหน้าโบกมือแล้วพูดว่า“พวก
ตอนที่ 1017 ทะลวงสู่ขอบเขตจิตโลกา
  “บอสครับบอสนี่โคตรเด็ด ! เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็จัดการกับไอ้เจ้าดอกไม้กินคนได้” ลู่ซวนจี๋มาอยู่ตรงหน้าฉิงเฟิงและกล่าวด้วยแววตาที่ชื่นชม
  ไม่เพียงแค่ลู่ซวนจี๋เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงฮวาเซียนจื่อและฉินเซียนจื่อที่เดินมาข้างๆเขาและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมมันราวกับว่าดวงตาของพวกเธอเต็มไปด้วยดวงดาวที่เปล่งประกาย หากพวกเธอต้องปะทะกับดอกไม้กินคนตัวนี้ พวกเธอคงถูกฆ่าตายภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ฉิงเฟิงกลับฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย
  ส่วนลูกหมาสีดำที่ได้รับแก่นอสูรไปถึงสองเม็ดก็ยังมองไปที่ฉิงเฟิงตอนแรกมันต้องการที่จะโชว์ออฟ แต่หลังจากที่เห็นว่าฉิงเฟิงทรงพลังเพียงใดมันก็หวาดกลัวและก้มหัวลงโดยไม่พูดอะไรออกมา
  ฉิงเฟิงพยักหน้าโบกมือแล้วพูดว่า“พวกเราไปกันต่อเถอะ !”
  ในตอนนี้ฉิงเฟิงเป็นนักสู้ในขอบเขตจิตโลกาแล้วเมื่อเขาได้พบกับสัตว์อสูรทั่วไปในระดับจิตโลกาจึงสามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย สัตว์อสูรธรรมดานั้นไม่ใช่คู่มือของเขาอีกต่อไป
  จากนั้นฉิงเฟิงและพรรคพวกก็มุ่งหน้าต่อไประหว่างทางพวกเขาพบผู้คนมากมายซึ่งทุกคนล้วนเป็นสาวกจากนิกายต่างๆ
  นิกายกระบี่สวรรค์,นิกายดาบทมิฬ, นิกายศิลาและนิกายอื่นๆต่างก็ส่งคนมายังภูเขาคุนหลุนในครั้งนี้มากมาย แต่ละนิกายมียอดฝีมือมากกว่า 100 คนซึ่งรวมทั้งสิ้นแล้วนับพันคน ฉิงเฟิงเพิ่งฆ่าไปเพียงไม่กี่สิบคน ดังนั้นยังมียอดฝีมืออีกมากมายที่เขายังไม่เคยเจอ
  “เจ้ารู้หรือเปล่า หุบเขารังสีกระบี่อยู่เบื้องหน้านี่เอง”
  “ข้าก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันสาวกของนิกายต่างๆมากมายต่างก็มารวมตัวกันที่นั่น ว่ากันว่ามีนักสู้ขอบเขตจิตราชันผู้หนึ่งแยกขุนเขาเป็นสองส่วนและสร้างหุบเขารังสีกระบี่แห่งนี้ขึ้น”
  “มีพลังงานกระบี่จำนวนมากในหุบเขารังสีกระบี่ด้วยพลังกระบี่เหล่านี้ หากเจ้าฝึกวิชาสายกระบี่จะสามารถเพิ่มระดับขึ้นไปได้” สาวกที่ผ่านมาพูดคุยกันถึงเรื่องของหุบเขารังสีกระบี่ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา
  เมื่อได้ยินการสนทนาของคนเหล่านี้หัวใจของฉิงเฟิงก็พุ่งพล่าน เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการที่จะพัฒนาความเข้าใจในเชิงกระบี่ของเขา เขาตัดสินใจว่าจะต้องไปที่หุบเขารังสีกระบี่ให้ได้
  จักรพรรดิราตรีที่เป็นผู้คอยชี้แนะเขากำลังจำศีลยาวอยู่ในกระบี่เพลิงคะนองเขาจะตื่นขึ้นได้ด้วยการดูดซับพลังงานกระบี่จำนวนมหาศาลเท่านั้น เขาสัญญาไว้ว่าจะช่วยปลุกจักรพรรดิราตรีขึ้นมาอีกครั้งให้ได้ เพราะชายชราผู้นี้เป็นดั่งอาจารย์ของเขาอีกคน
  ……………..  หุบเขารังสีกระบี่อยู่ห่างไปทางใต้ของเทือกเขาคุนหลุนประมาณ50 ไมล์ มันเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูกโดยที่แต่ละลูกมีความสูงกว่า 1,000 เมตร มันเต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหินขรุขระที่แหลมคม นอกจากนี้ยังมีพลังกระบี่อันน่าอัศจรรย์แผ่ซ่านออกมาด้วยอีกด้วย
  หุบเขารังสีกระบี่อยู่ระหว่างภูเขาทั้งสองลูกนี้มันมีลมกระโชกแรงที่ก่อตัวเป็นคมกระบี่สายลมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้นก็ยิ่งมีพลังงานกระบี่มากขึ้นและคมกระบี่ที่ก่อตัวจากสายลมเหล่านี้ก็ยิ่งดุดันมากขึ้น มันดูราวกับลำแสงสีขาวที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ
  ตรงกลางหุบเขารังสีกระบี่มีหญ้าสีขาวจำนวนมากหญ้าเหล่านี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ใบของมันมีความคมอย่างยิ่งยวดและเปล่งพลังงานกระบี่อันแหลมคมออกมา นี่คือหญ้าพลังกระบี่ ที่แต่เดิมเป็นเพียงหญ้าธรรมดาแต่ได้ดูดซับพลังงานกระบี่มาตลอดชีวิตจนมันพัฒนาเป็นโอสถชนิดหนึ่ง
  เมื่อมาถึงจุดนี้หุบเขารังสีกระบี่ต่างก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายรวมไปถึงจ้าวเอ้อเจียนแห่งนิกายกระบี่สวรรค์ผู้ซึ่งเป็นศิษย์พี่อาวุโสของจ้าวซานเจียน และยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมากในขอบเขตจิตโลกาขั้นต้น เขายืนอยู่ทางทิศเหนือโดยที่ครอบครองชัยภูมิที่ดีที่สุดของหุบเขา
  ชายหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งยืนอยู่ทิศใต้เขาคือเฮยจวงและเป็นน้องชายของเฮยชวง นอกจากนี้เขายังแข็งแกร่งกว่าเฮยชวงอีกด้วย เขามีพลังในระดับจิตโลกาขั้นต้น
  ทางทิศตะวันออกมีชายหนุ่มร่างผอมสูงที่ดูแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อยืนอยู่เขาคือพานกัง ศิษย์อัจฉริยะจากนิกายศิลา
  สุดท้ายเป็นรุ่นเยาว์ที่สวมชุดสีแดงเลือดยืนทางฝั่งตะวันตกชื่อของเขาคือเซวี่ยต้า เขาเป็นหนึ่งในห้าสาวกที่ทรงพลังที่สุดของนิกายอสูรโลหิต
  เหล่าสาวกนิกายผู้ฝึกตนเหล่านี้ต่างก็กำลังจับจ้องไปที่หญ้าพลังงานกระบี่ในหุบเขารังสีกระบี่พวกเขาต่างก็ต้องการหญ้าเหล่านี้
  พวกเขาแยกกันครอบครองทั้งสี่ทิศเหนือ ใต้ ออก ตก และสาวกที่มีพลังน้อยกว่าต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังและมองจากที่ไกลๆ
  เฉพาะผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้นที่มีโอกาสในนิกายผู้ฝึกตนต่างก็ใช้กฎแห่งป่า ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น
  “เฮยจวงเจ้าบ่มเพาะวิชาดาบ หญ้าพลังกระบี่แทบไม่มีผลอันใดต่อเจ้า ถอนตัวซะแล้วมอบมันให้ข้าเสียดีกว่า” จ้าวเอ้อเจียนกล่าวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
  ริมฝีปากของเฮยจวงโค้งขึ้นและพูดว่า“หญ้าพวกนี้เปี่ยมไปด้วยพลังงานกระบี่ ข้าสามารถนำมันไปประมูลเพื่อแลกเปลี่ยนกับหินวิญญาณได้ในโลกภายนอก ข้าไม่อาจมอบมันให้เจ้าได้”
  พานกังจากนิกายศิลาไม่ได้กล่าวอันใดออกมาแต่ความตั้งใจของเขาชัดเจน เขาไม่สามารถยกหญ้าพลังกระบี่ให้ผู้อื่นได้เช่นกัน
  เมื่อฉิงเฟิงมาถึงเขาก็ได้ยินผู้คนถกเถียงกันเรื่องหญ้าพลังกระบี่ เขารู้ดีว่าต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างแน่นอน
  ฉิงเฟิงก้าวเดินขึ้นมาเพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกสาวกผมสั้นผู้หนึ่งขวางไว้เขากล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้ามาเป็นคนสุดท้าย ถอยไปซะและไปต่อแถวหลังสุด”
  หลังจากฉิงเฟิงได้ยินเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดและกล่าวอย่างเย็นชาว่า
  “ไสหัวไป!”
  “เจ้าหนูข้าเป็นคนของนิกายเจ็ดดารา เจ้ากล้าขึ้นเสียงบอกให้ข้าไสหัวไปงั้นหรือ !” สาวกผมสั้นแสยะยิ้มและกล่าวอย่างเยือกเย็น
  นิกายเจ็ดดารา
  !
  ฉิงเฟิงขมวดคิ้วและลองใช้ความคิดแต่เขาก็จำชื่อนิกายนี้ไม่ได้
  ฮวาเซียนจื่อกล่าวขึ้นในเวลานี้เธออธิบายว่า “นิกายเจ็ดดาราเป็นนิกายผู้ฝึกตนในระดับจิตวิญญาณซึ่งอยู่ระดับเดียวกับตำหนักร้อยบุปผา”
  หลังจากฟังคำอธิบายของฮวาเซียนจื่อฉิงเฟิงก็เข้าใจทุกอย่าง แต่แม้กระทั่งตำหนักร้อยบุปผาเขายังไม่สนใจ นับประสาอะไรกับนิกายเจ็ดดารา
  “ฉันจะพูดอีกครั้งไสหัวไปซะไม่งั้นฉันจะฆ่าแก” ฉิงเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา
  ฉิงเฟิงต้องการหญ้าพลังกระบี่เพื่อรักษาจักรพรรดิราตรีเขาจะฆ่าทุกคนที่ขวางทาง
  ใบหน้าของสาวกนิกายเจ็ดดาราเปลี่ยนไปดวงตาของเขาปรากฏแสงเย็นชา เขาคิดว่าเพียงเอ่ยชื่อนิกายออกไปแล้วชายหนุ่มคนนี้จะหวาดกลัว แต่เขาคิดผิด ฉิงเฟิงไม่สนใจแม้แต่น้อย
  สาวกของนิกายเจ็ดดาราชักกระบี่ออกมาและฟาดฟันผ่านอากาศพลังงานกระบี่อันรุนแรงพุ่งเข้าหาฉิงเฟิงอย่างโหดเหี้ยม  เช้ง!
  ฉิงเฟิงพลิกข้อมือของเขาและดึงกระบี่เพลิงคะนองออกมามันวาดเป็นวงโค้งในอากาศ พลังงานกระบี่ของกระบี่เพลิงคะนองฟาดฟันเข้าใส่กระบี่ของสาวกนิกายเจ็ดดาราจนแตกสลายในทันที
  หลังจากทำลายกระบี่ของนิกายเจ็ดดาราฉิงเฟิงก็แทงกระบี่ทะลุลำคอของเขาจนสาวกผู้นั้นล้มลงกับพื้นและตายอย่างรวดเร็ว
  สาวกคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกับสาวกผมสั้นที่ตายไปต่างก็ต้องการล้างแค้นให้ศิษย์พี่ที่ถูกฆ่าตายพวกเขาชักกระบี่ตรงไปที่ฉิงเฟิง
  กระบี่ของฉิงเฟิงกวัดแกว่งไปทั่วท้องฟ้าก่อให้เกิดเส้นโค้งในอากาศเขาเจาะกระบี่ทั้งหมดของสาวกนิกายเจ็ดดาราและทิ้งคราบเลือดไว้ที่คอของพวกเขาเช่นกัน
  ฉัวะฉัวะ ฉัวะ …
  สาวกทั้งหมดของนิกายเจ็ดดาราต่างก็ร่วงลงกับพื้นเลือดฉีดพุ่งออกมาจากลำคอของพวกเขาและตายทั้งหมด
  ฉิงเฟิงเก็บกวาดสาวกนิกายเจ็ดดาราทั้งหมดจนเหล่าผู้คนของนิกายอื่นที่อยู่รอบๆต่างก็หน้าซีดเซียวชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมเด็ดขาด เขาฆ่าคนไม่กระพริบตาเพียงแค่เรื่องบาดหมางเล็กน้อยเท่านั้น !
  ฉิงเฟิงเดินตรงไปข้างหน้าโดยที่ผู้คนโดยรอบต่างก็หลีกทางให้ไม่มีใครกล้าหยุดเขา
  หลังจากนั้นไม่นานฉิงเฟิงก็มาถึงหน้าหุบเขารังสีกระบี่เหล่าสาวกนิกายเล็กๆไม่มีใครกล้าหยุดเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านิกายขนาดใหญ่จะหยุดเขาไม่ได้
  “เจ้าหนูเจ้ากล้าดียังไงถึงฆ่าคนต่อหน้าข้า ! เจ้ามันโอหังเกินไปแล้ว”
  จ้าวเอ้อเจียนแห่งนิกายกระบี่สวรรค์คำรามออกมาด้วยแววตาเย็นชาในขณะที่กล่าวกับฉิงเฟิง
  、

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *