My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา 991 พลังของประมุขร้อยบุปผา

Now you are reading My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา Chapter 991 พลังของประมุขร้อยบุปผา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 991 พลังของประมุขร้อยบุปผา
  “เจ้าเป็นใคร” ประมุขตำหนักร้อยบุปผาไตร่ถามฉิงเฟิงหลังจากเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงระหว่างเขากับราชันผู้พิชิต เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับราชันผู้พิชิตอย่างไรเพื่อระงับความสงสัย
  ที่จริงแล้วในใจของเธอบอกต่อเธอว่าชายหนุ่มคนนี้มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับราชันผู้พิชิตมิฉะนั้นพวกเขาไม่มีใบหน้าที่คล้ายกันอย่างกับแกะเช่นนี้
  ฉิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า“ผมชื่อหลี่ฉิงเฟิง เป็นคนของตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงจิง”
  ประมุขร้อยบุปผาสูญเสียความเยือกเย็นและถามต่อไปว่า“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับราชันผู้พิชิตหลี่ซานเย่ !”
  “เขาคือพ่อของผมเอง”ฉิงเฟิงตอบ
  หลังจากได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าของประมุขร้อยบุปผาก็แปรเปลี่ยนไปแววตาของเธอเย็นชาขึ้นในทันที ชายหนุ่มผู้นี้เป็นลูกชายของราชันผู้พิชิต เพลย์บอยตัวพ่อคนนั้น !
  เมื่อเธอคิดถึงเรื่องของเธอกับราชันผู้พิชิตในอดีตหัวใจของเธอก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวด ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เธอหลงรักราชันผู้พิชิตอย่างสุดหัวใจและยอมสละตำแหน่งนักบุญหญิงของตำหนักร้อยบุปผาอย่างไม่ลังเลเพื่อให้ได้อยู่ร่วมกับเขาตลอดไป
  แต่สิ่งที่เธอหวังก็ไม่สัมฤทธิ์ผลราชันผู้พิชิตตกหลุมรักสตรีอีกนางหนึ่งซึ่งก็คือแม่ของฉิงเฟิง แม่ของเขาไม่เพียงแค่เป็นสุดยอดสาวงามแห่งยุคแต่ยังทรงพลังและมีอิทธิพลยิ่งใหญ่อีกด้วย ทำให้ราชันผู้พิชิตเริ่มตีตัวออกห่างจากเธอ (จนบัดนี้แอดก็ยังไม่รู้เลยครับว่าแม่มันเป็นใครมาจากไหน ในเรื่องกล่าวถึงน้อยมากๆ แต่คิดว่าคงเป็นกุญแจสำคัญของพลังสายเลือดผู้กลืนกินในร่างพระเอก)
  ตูม  !!
  ใบหน้าประมุขร้อยบุปผามืดมนเธอปลดปล่อยกลิ่นอายอันรุนแรงออกมา ออร่าทรงพลังของเธอก่อตัวเป็นม่านแสงสีขาวที่ล้อมรอบฉิงเฟิงไว้โดยตรง
  ม่านแสงจิตโลกา
  !
  ใบหน้าของฉิงเฟิงเปลี่ยนไปเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในม่านแสงนี้ แม้แต่ปากก็ขยับไม่ได้ เขาทำได้เพียงกระพริบตาเท่านั้น
  เธอเป็นยอดฝีมือระดับจิตโลกา
  !
  ฉิงเฟิงตื่นตระหนกเขาคาดไม่ถึงว่าประมุขร้อยบุปผาจะเป็นถึงผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตโลกา
  สิ่งหนึ่งที่ควรรู้คือผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตโลกานั้นหาได้ยากยิ่งเช่นสันตะปาปาแห่งทวีปเสือ, ราชินีอสูรเพลิง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ยากที่จะเข้าถึงขอบเขตนี้ แม้แต่ฉิงเฟิงเองที่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ก็ยังอยู่แค่ระดับจิตวิญญาณแท้จริงเท่านั้น
  ประมุขร้อยบุปผาพันธนาการฉิงเฟิงเอาไว้ดวงตาของเธอเปล่งจิตสังหารอย่างรุนแรงออกมา เธอต้องการฆ่าเขาเพราะเขาเป็นลูกชายของผู้หญิงคนนั้น
  “นังผู้หญิงบ้านั่น! วันนั้นเจ้าพรากหลี่ซานเย่ไปจากข้า วันนี้ข้าจะสังหารลูกชายของเจ้าเพื่อชำระแค้น !” ประมุขร้อยบุปผากล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
  ทันทีที่เห็นประมุขลงมือและแสดงเจตนาฮวาเซียนจื่อก็ขมวดคิ้วแน่นและรีบวิ่งไปขวางหน้าฉิงเฟิง เธอกล่าวกับอาจารย์ว่า “ท่านประมุข ถ้าท่านจะสังหารเขา งั้นก็ฆ่าข้าก่อนเถอะ !”
  ฮวาเซียนจื่อจะยอมให้อาจารย์ของเธอฆ่าฉิงเฟิงหรือไม่ แน่นอนว่าไม่มีทาง หลี่ฉิงเฟิงถ่อมาที่นี่เพื่อช่วยเธอ หากเขาต้องตายที่นี่เธอคงไม่อาจมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดนี้ได้
  ใบหน้าของประมุขร้อยบุปผาเปลี่ยนไปจากบรรดาสาวกหลายร้อยคนเธอรักและเอ็นดูฮวาเซียนจื่อมากที่สุด เธอตั้งความหวังต่อตัวเธอไว้สูงมาก
  ในอดีตฮวาเซียนจื่อเป็นถึงยอดฝีมือระดับจิตวิญญาณแท้จริงที่แข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดที่สุดในบรรดาสาวกของเธอ แต่ครั้งล่าสุดที่เธอกลับตำหนัก พลังของเธอกลับลดลงไปอยู่ที่ขั้นเหนือสวรรค์
  ประมุขร้อยบุปผาไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดพลังของศิษย์รักของเธอถึงลดลงฮวบฮาบแต่ตอนนี้เริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว การที่พลังของฮวาเซียนจื่อลดลง สาเหตุน่าจะเกิดจากชายหนุ่มที่ชื่อหลี่ฉิงเฟิงคนนี้
  เฮ้อ….นี่มันเวรกรรมของพวกเราศิษย์อาจารย์โดยแท้
  !
  ประมุขร้อยบุปผาลอบทอดถอนใจเธอเคยตกหลุมรักราชันผู้พิชิตในอดีต และตอนนี้ศิษย์คนโปรดของเธอก็ตกหลุมรักลูกชายของราชันผู้พิชิตอีก หากสิ่งนี้ไม่ใช่ชะตากรรมแล้วมันคืออะไร
  ประมุขร้อยบุปผาสลายม่านแสงออกและมองไปที่ใบหน้างามไร้ที่ติของฮวาเซียนจื่อเธอรู้ทันทีว่าไม่อาจฆ่าหลี่ฉิงเฟิงได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะฆ่าไม่ได้แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยเขาไปง่ายๆเช่นกัน
  หลังจากม่านแสงสลายไปไม่มีผู้ใดตระหนักได้เลยว่าที่นิ้วชี้ของประมุขร้อยบุปผาลอบยิงแสงสีเขียวออกมา มันเบาบางและเร็วมาก มันยิงเข้าสู่ร่างกายของฉิงเฟิงโดยตรง
  นี่คือการโจมตีของขอบเขตจิตโลกาจุดประสงค์ก็เพื่อทำลายเส้นลมปราณของเขา ฉิงเฟิงเห็นการกระทำของเธออย่างแน่นอนและแสงเย็นกระพริบผ่านดวงตาของเขา
  “
  บัดซบ
  !
  นังประมุขคนนี้หมายจะทำลายพลังบ่มเพาะของฉันยัยป้ามหาภัยเอ้ย
  !
  คอยดูเถอะสักวันหนึ่งถ้าฉันแข็งแกร่งขึ้นฉันจะกลับมาสั่งสอนบทเรียนเธอแน่
  ”
  ฉิงเฟิงขบคิดในใจอย่างเจ็บแค้น
  สายเลือดผู้กลืนกินถูกกระตุ้นในทันทีมันกลายเป็นวังวนสีดำซึ่งดูดกลืนแสงสีเขียวของประมุขร้อยบุปผาโดยตรงและเปลี่ยนมันเป็นพลังแท้ให้ฉิงเฟิง
  หากประมุขร้อยบุปผารู้ว่าการโจมตีเพื่อหวังทำลายอนาคตของฉิงเฟิงกลับกลายเป็นการช่วยเสริมพลังให้เขาเธอคงอกแตกตายเพราะเธอไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้แม้แต่น้อย…
  ฮวาเซียนจื่อที่ยืนอยู่ใกล้ๆฉิงเฟิงและสัมผัสได้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย เธอไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการอะไรในการนำเอาพลังของอาจารย์เธอมาเสริมแกร่งให้ตนเอง ชายคนนี้ช่างเป็นอัจฉริยะ
  “หลี่ฉิงเฟิงหากท่านลงประลองในฐานะผู้พิทักษ์ของข้า ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะเป็นผู้ชนะ ” ฮวาเซียนจื่อถาม
  ฉิงเฟิงยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า“คุณมั่นใจได้เลย นอกจากอาจารย์ของคุณแล้วไม่มีใครเอาชนะฉันได้”
  ฮวาเซียนจื่อกลอกตากลมโตของเธอและพูดไม่ออกเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย เย่อหยิ่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขามองว่าเกือบทุกคนในตำหนักร้อยบุปผาไม่มีค่าให้เหลียวมอง
  บุคลภายนอกอาจไม่รู้ถึงพลังและความสามารถของเหล่าสาวกในตำหนักร้อยบุปผาแต่ฮวาเซียนจื่อย่อมรู้ดี แม้ศิษย์พี่ศิษย์เหล่านี้จะเป็นศัตรู แต่ความแข็งแกร่งของพวกเธอก็ไม่อาจมองข้ามได้ บางคนแม้แต่ก้าวไปถึงขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงขั้นปลายแล้วด้วยซ้ำ !   ส่วนผู้พิทักษ์ของเหล่าศิษย์พี่ของเธอล้วนแต่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามีบางคนเป็นอาวุโสของนิกายและมีพลังระดับครึ่งก้าวจิตโลกา คนเหล่านี้มีอำนาจเป็นอันดับสองรองจากประมุข
  เมื่อก่อนฮวาเซียนจื่อก็ยังไม่อาจเอาชนะอาวุโสเหล่านั้นได้แต่วันนี้หลี่ฉิงเฟิงกลับบอกว่าสามารถทำได้ คำพูดของเขาทำให้ฮวาเซียนจื่อค่อนข้างกังขา
  แม้ว่าจะไม่เชื่อเต็มร้อยแต่ฮวาเซียนจื่อก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาเพราะเขามาที่นี่เพื่อช่วยเธอ
  หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงการแข่งขันเพื่อตำแหน่งนักบุญก็เริ่มขึ้นโดยประมุขร้อยบุปผาเป็นเจ้าภาพด้วยตัวเอง
  กฎของการแข่งขันนั้นง่ายมากมันเป็นการประลองของเหล่าสาวกหรือไม่ก็ให้ผู้พิทักษ์ลงประลองแทน
  หลี่ฉิงเฟิงเป็นผู้พิทักษ์ของฮวาเซียนจื่อและยังเป็นผู้เข้าร่วมที่เป็นชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
  ประมุขร้อยบุปผาถือกระบอกไม้ไผ่ไว้ในกระบอกมีแท่งไม้ไผ่ที่มีความยาวเท่ากับตะเกียบและกลม ชื่อของผู้เข้าร่วมทั้งหมดจะถูกเขียนลงบนแท่งไม้ไผ่ที่อยู่ในกระบอกนี้
  เมื่อหลี่ฉิงเฟิงเดินมาที่กระบอกไม้ไผ่จับคู่ประมุขร้อยบุปผาก็แสดงถึงสีหน้าไม่มีความสุขออกมา มีหลายครั้งที่เธอคิดอยากจะตบชายหนุ่มคนนี้ให้เละคามือ แต่สุดท้ายเธอต้องข่มอารมณ์เพื่อศิษย์รัก
  “ท่านประมุขอย่าทำหน้าคิ้วขมวดโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ใบหน้าโกรธของท่านไม่น่าดูเท่าใดนักหรอกนะครับ” ฉิงเฟิงหยอกล้อเธอด้วยรอยยิ้ม
  “หลี่ฉิงเฟิงเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาสอนสั่งข้า ”
  “ท่านประมุขผมไม่ได้มีเจตนาสอนสั่งท่าน แต่ผมเห็นว่าท่านมีใบหน้างดงามราวกับสาวน้อยแรกแย้มวัยยี่สิบปี … เช่นเดียวกับแฟนของผม ผมแค่ไม่อยากให้ท่านทำสีหน้าโกรธแบบนี้เพราะมันจะทำให้ริ้วรอยปรากฏขึ้น”
  “หลี่ฉิงเฟิงหยุดพูดไร้สาระมิฉะนั้นข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย !” ประมุขร้อยบุปผากล่าวในขณะที่ดวงตาเปล่งประกายหมายจะฆ่าเขาให้ตาย ฉิงเฟิงทำให้เธอโกรธจริงๆ
  ในฐานะประมุขแห่งตำหนักร้อยบุปผาเธอได้รับความเคารพรักและเชิดชูจากทุกคน แต่หลี่ฉิงเฟิงกลับไม่ยำเกรงเธอแม้แต่น้อย แถมยังกล้าหยอกล้อเธอราวกับเป็นเพื่อน เขาถึงกลับกล้าบอกว่าเธอต้องทำยังไง !

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *