My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา 818 การตามล่าของนิกายโลหิตสีชาด

Now you are reading My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา Chapter 818 การตามล่าของนิกายโลหิตสีชาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  ที่นิกายแวมไพร์
  จ้าวนิกายโลหิตสีชาดและอาวุโสอีกสองคนออกจากนิกายแวมไพร์และบินไปยังภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของนิกายโลหิตสีชาด
  ชายคนที่เป็นผู้นำนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาซึ่งคล้ายกับเหลิงเสวี่ยมากดวงตาของเขาเปล่งประกายเรืองรองด้วยร่องรอยที่ดูชั่วร้าย
  ชื่อของเขาคือเซวี่ยอู่เต๋าเขาเป็นจ้าวนิกายโลหิตสีชาดและเป็นพ่อของเหลิงเสวี่ย
  ในคราวนี้เขาพาผู้อาวุโสหนึ่งและอาวุโสสองมาด้วยที่นิกายแวมไพร์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือต่างๆที่พวกเขามีต่อกัน
  “ท่านจ้าวนิกายพวกเราต้องได้สมบัติบางอย่างติดมือกลับมาแน่นอนเมื่อยามที่ดินแดนต้องห้ามบนภูเขาคุนหลุนเปิดขึ้น เพราะเราร่วมมือเป็นพันธมิตรกับนิกายแวมไพร์” หนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายกล่าว
  เขาอายุราวๆหกสิบกว่าปีและมีกลิ่นอายที่ทรงพลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
  ชื่อของเขาคือเซวี่ยหมิงเขาคืออาวุโสหนึ่งของนิกายโลหิตสีชาดและเป็นยอดฝีมือระดับสูง
  ส่วนอาวุโสอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเซวี่ยหมิงก็คืออาวุโสสองและเป็นยอดฝีมือเช่นเดียวกัน
  ถ้าหากเซวี่ยอู่เต๋าไม่ได้พาคนทั้งคู่มาที่นิกายแวมไพร์การที่ฉิงเฟิงบุกเข้าไปในนิกายและสังหารผู้คนไปมากมายคงไม่ง่ายดายนัก
  ในฐานะที่เป็นกองกำลังผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตระดับสูงนิกายโลหิตสีชาดไม่ได้อ่อนแออย่างที่เข้าใจกัน
  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความเชื่อมั่นเกินตัวของเหลิงเสวี่ยนั่นเองเขาคิดว่าสระปีศาจโลหิตและลำพังตัวเขาก็เพียงพอแล้วในการฆ่าหลี่ฉิงเฟิง แต่เขาคาดไม่ถึงว่างูสีเลือดเหล่านั้นกลับไม่ทำอันตรายต่อฉิงเฟิง จนเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องตายเสียเอง
  จ้าวนิกายเซวี่ยอู่เต๋ามีพลังอยู่ในระดับขั้นสูงสุดของขอบเขตแกรนด์มาสเตอร์แล้วและอาวุโสอีกสองคนก็อยู่ในขอบเขตแกรนด์มาสเตอร์ขั้นปลาย พวกเขาบินกลับมาถึงนิกายเร็วมาก
  “หืม มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนัก เกิดอะไรขึ้น ?” พวกเขาได้กลิ่นเลือดทันทีที่เข้าใกล้ภูเขา
  พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะสามารถแยกออกได้ว่ากลิ่นเลือดนี่ไม่ได้เป็นของสิ่งมีชีวิตธรรมดา แต่มันเป็นกลิ่นเลือดของสาวกในนิกาย เนื่องจากทุกคนในนิกายจะมีกลิ่นอายชั่วร้ายแฝงอยู่ในเลือด
  เมื่อสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติเซวี่ยอู่เต๋านำอาวุโสทั้งสองคนวิ่งตรงเข้านิกายโลหิตสีชาดในทันที  พวกเขาเดินผ่านโล่หมอกและได้เห็นศพมากมายกองอยู่ตรงหน้าพวกเขากลิ่นคาวเลือดมาจากที่นั่นเอง
  “นี่มันอาวุโสสามเซวี่ยเจิ้น”อาวุโสสองตะโกนและวิ่งไปที่ศพศพหนึ่ง
  นี่คือคนที่ถูกฉิงเฟิงตบตายคนแรกอาวุโสสามเซวี่ยเจิ้นนั่นเอง ผู้อาวุโสสองรู้สึกเสียใจมากที่ได้เห็นการตายของเขาเพราะพวกเขาสนิทสนมกันมาก
  “เป็นฝีมือผู้ใด! ใครฆ่าสาวกนิกายข้ามากมายเช่นนี้ ข้าจะสับมันเป็นล้านๆชิ้น !!”
  เซวี่ยอู่เต๋าคำรามกึกก้องขึ้นไปบนฟ้าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
  นิกายโลหิตสีชาดโลดแล่นอย่างเสรีไร้ผู้ต้านทานในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์โบราณมานับร้อยปีในฐานะนิกายนอกรีตระดับท็อบไม่มีผู้ใดกล้าโจมตีพวกเขา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการฆ่าเหล่าสาวกและอาวุโสในนิกาย เซวี่ยอู่เต๋าโกรธเกรี้ยวอย่างมากกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้  “
  ไม่
  ..!
  แล้วเหลิงเสวี่ยจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า
  เขากำลังฝึกฝนอยู่ในถ้ำปีศาจโลหิต”
  เซวี่ยอู่เต๋าฉุกคิดขึ้นได้และรีบเหินร่างเข้าไปในถ้ำราวกับพายุทอร์นาโดที่โหมกระหน่ำ
  เขายิ่งโกรธแค้นมากขึ้นเมื่อได้เห็นสาวกหลายสิบคนตกตายต่อหน้าภายในถ้ำปีศาจโลหิต
  เสวี่ยอู่เต๋าไม่ต้องการเสียเวลาแม้เพียงชั่วครู่ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว เขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากโครงกระดูกทันทีที่เขาเข้ามาถึงด้านในของสระปีศาจโลหิต ไร้วี่แววของเหลิงเสวี่ยบุตรชาย
  “คนตรงนั้นใช่สาวกนิกายข้าหรือไม่” เซวี่ยอู่เต๋ารู้สึกงงงวยและสังเกตเห็นสาวกนิกายโลหิตสีชาดที่อยู่ไม่ไกลจากสระปีศาจโลหิตใบหน้าของเขาซีดเซียวแต่ก็ยังคงหายใจขณะหลับตาอยู่
  สาวกตื่นขึ้นทันทีจากการตบหน้าของเซวี่ยอู่เต๋าเขายกมือกุมแก้มที่บวมแดงและเตรียมจะด่าทอคนที่ตบหน้าเขา แต่ทันทีที่เขาเห็นว่าเป็นจ้าวนิกายเซวี่ย ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดราวกับคนตายและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
  “ทะ…ท่านจ้าวนิกาย ท่านกลับมาแล้ว!” สาวกคนนั้นคุกเข่าอย่างสุภาพและกล่าวทักทาย
  “ขอถามเจ้าเหลิงเสวี่ยบุตรชายข้าอยู่ที่ไหน ” เซวี่ยอู่เต๋าจ้องไปที่สาวกคนนั้นและถามขึ้น
  สาวกตัวสั่นเทาขณะที่ชี้ไปที่โครงกระดูกในสระปีศาจโลหิตและกล่าวเสียงสั่นว่า“นะ อยู่ที่นั่นขอรับ นั่นคือคุณชายน้อย..”
  เมื่อได้ยินเช่นนี้เซวี่ยอู่เต๋าก็แหงนหน้าตะโกนขึ้นฟ้าพร้อมกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวว่า“เหลิงเสวี่ยลูกชายของข้า ! เจ้าช่างตายอย่างน่าอนาถนัก !”   ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเซวี่ยอู่เต๋ามีสัมผัสของสายเลือดพ่อลูกกับโครงกระดูกนั่นแต่แรก แต่เขาก็ยังคงมีความหวังเล็กน้อยว่ามันต้องไม่ใช่ลูกชายของเขา คำพูดของสาวกทำลายความหวังที่ริบหรี่ของเขาจนหมดสิ้น
  เซวี่ยอู่เต๋ารู้ว่าลูกชายของเขาตายแล้วเขากลายเป็นโครงกระดูกในสระปีศาจโลหิต
  แกร่ก!
  เซวี่ยอู่เต๋าเหยียดมือขวาออกอย่างรวดเร็วและคว้าจับที่ลำคอของสาวกคนนั้นและกล่าวถามอย่างดุร้ายว่า“บอกข้า ! ใครฆ่าลูกชายข้าและสาวกมากมายเหล่านี้ !”
  “ทะ…ท่านจ้าวนิกาย มันผู้นั้นคือหลี่ฉิงเฟิงขอรับ ได้โปรดปล่อยขอน้อยไปเถอะ ข้าน้อยหายใจไม่….ออก….” สาวกกลัวด้วยความหวาดกลัวและยกมือกุมมือของเซวี่ยอู่เต๋า
  เซวี่ยอู่เต๋าแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและกล่าวว่า“ในเมื่อลูกชายข้าตายไปแล้ว งั้นเจ้าก็ตายไปเป็นเพื่อนเขาก็แล้วกัน !”   ซ่า!
  เซวี่ยอู่เต๋าเหวี่ยงสาวกคนนั้นลงไปในสระปีศาจโลหิตงูสีเลือดจำนวนมหาศาลกรูกันเข้ามาดูดเลือดและฉีกเนื้อของเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
  ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของสาวกที่ถูกรุมทึ้งไปด้วยงูสีเลือดเขาเปลี่ยนเป็นซากโครงกระดูกภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
  “พวกเราควรทำเช่นไรกันดีขอรับท่านจ้าวนิกาย” อาวุโสหนึ่งที่ตามหลังมาก้มศีรษะลงและถาม
  เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนจ้าวนิกายเนื่องจากเขาสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าจ้าวนิกายในตอนนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
  “ฮึ่ม! ข้าจะไปฆ่าหลี่ฉิงเฟิง ในเมื่อมันกำแหงเช่นนี้” เซวี่ยอู่เต๋าคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จิตสังหารแผ่ซ่านรอบตัวของเขา
  เหลิงเสวี่ยเป็นลูกชายคนเดียวของเขาและเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในบรรดาสาวกทั้งมวลแต่ตอนนี้ถูกหลี่ฉิงเฟิงฆ่าตายไปแล้ว มันเป็นธรรมดาที่เซวี่ยอู่เต๋าจะต้องล้างแค้นให้ลูกชายของเขา
  แน่นอนว่าเซวี่ยอู่เต๋าย่อมรู้จักหลี่ฉิงเฟิงเป็นอย่างดีเขาคือดาวจรัสแสงที่สุดในยุทธภพแห่งผู้ฝึกยุทธ์ของยุคนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นที่รู้จักกันในนามยอดฝีมือฝ่ายธรรมะที่อายุน้อยที่สุดในขอบเขตแกรนด์มาสเตอร์
  อาวุโสหนึ่งและอาวุโสสองหันไปมองหน้าแลกเปลี่ยนสายตาซึ่งกันและกันก่อนที่พวกเขาจะติดตามเซวี่ยอู่เต๋าออกไปนอกถ้ำพวกเขารู้ว่าบุคคลที่ชื่อหลี่ฉิงเฟิงจะต้องตายอย่างอนาถแน่นอนเพราะไม่มีใครรอดพ้นเงื้อมมือของจ้าวนิกายเซวี่ยอู่เต๋าไปได้
  ………
  ฉิงเฟิงสะดุ้งขนลุกขึ้นมาทันทียามที่เขาอยู่บนเครื่องบินเขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกสัตว์ที่ดุร้ายจับจ้องเป็นเป้าหมาย
  เขาหันไปมองรอบๆรวมถึงแผ่จิตสัมผัสออกไปสำรวจผู้โดยสารบนเที่ยวบินนี้และขมวดคิ้ว
  “
  ก็ไม่มีอันตรายอะไรนี่นาทำไมจู่ๆฉันถึงรู้สึกใจสั่น
  ”
  ฉิงเฟิงพึมพำกับตัวเอง
  เขามีความอ่อนไหวต่อภยันตรายอย่างมากเนื่องจากร่างกายของเขาถูกฝึกมาให้ตอบสนองต่อทุกครั้งที่อาจจะเกิดวิกฤติซึ่งความรู้สึกที่ฝึกฝนมาอย่างดีนี้ช่วยชีวิตเขาไว้ได้หลายครั้งในอดีต
  “
  บางทีอาจจะเป็นคนอื่นที่ไม่ได้อยู่บนเครื่อง
  ”
  ฉิงเฟิงสับสนไม่น้อยว่าที่มาของความรู้สึกนี้มาจากไหนเพราะเขามีศัตรูมากเกินไปนั่นเอง  “ที่รักเกิดอะไรขึ้น” หลินเสวี่ยเปิดตาคู่งามและถามด้วยความสงสัย
  เธอกำลังหลับอยู่และสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเห็นอาการสั่นและใบหน้าที่จริงจังของฉิงเฟิง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *