เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 255.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 255.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 255.2

ใบหน้าของโยบาเนสบิดเบี้ยวไม่น่ามอง

ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดเรื่องอะไรนั่น ทำเอาเฟเรสแสยะยิ้ม

“ดูท่าจะยังนึกไม่ออกสินะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งๆ ที่จนถึงตอนนี้กระหม่อมไม่เคยลืมคำพูดประโยคนั้นเลยแท้ๆ”

“นะ…นั่นมันเรื่องอะไรกัน…”

“คำที่เจ้าพูดตอนยัดยาพิษใส่มือมารดาของข้ายังไงล่ะ”

นัยน์ตาทั้งสองข้างของโยบาเนสเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

“ระ…เรื่องนั้น เจ้า…”

“คืนนั้นท่านแม่มีไข้สูงมาก ข้าเลยลงไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำด้านล่าง แล้วกลับขึ้นไป”

เฟเรสเอ่ยพลางนึกถึงคืนเดือนมืดคืนนั้น

“เจ้าอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะส่งจดหมายไปสิบหรือร้อยพันฉบับ อ้อนวอนขอร้องให้ส่งตัวแพทย์หลวงมาให้ ก็ไม่แม้แต่จะยอมโผล่ชายเสื้อมาให้เห็น”

เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องสกปรกแค่ไหน

คืนวันนั้น โยบาเนสจึงเลือกมาเยือนวังเล็กเพียงลำพัง ไม่พามหาดเล็กติดตามมาด้วย ไม่มีกระทั่งองครักษ์รอบกาย

น่าขันนัก แต่คืนนั้นเป็นวันแรกที่เฟเรสได้พบบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเขาเป็นครั้งแรก

ภาพด้านหลังที่ได้เห็นผ่านประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ดื่มนี่ลงไปแล้วจบชีวิตลงเสีย บุตรชายของเจ้า ข้าจะรับผิดชอบช่วยเก็บรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ให้ ดังนั้นจงตายเสียเถอะ หากเจ้าไม่ยอมตาย ฐานะของข้าคงมีแต่จะลำบากยิ่ง”

เฟเรสเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นในความทรงจำของเขาอย่างสงบเยือกเย็น

“ปัดมือของท่านแม่ที่รั้งชายเสื้อของเจ้า อ้อนวอนทั้งน้ำตาขอให้ไว้ชีวิตอย่างโหดร้าย ฝ่าบาทน่ะ”

“ระ…เรื่องนั้น…ตอนนั้นมัน…”

โยบาเนสอ้าปากพยายามจะแก้ตัวออกไป แต่ตอนนี้แค่หายใจยังลำบาก แล้วจะพูดออกไปจบประโยคได้ยังไง

เฟเรสยกยิ้มด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“รีบๆ ตายไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าฝ่าบาทไม่ยอมตาย ฐานะของกระหม่อมคงจะลำบากยิ่งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“คะ…ค็อก!”

สุดท้ายในตาของโยบาเนสก็เริ่มเลื่อนลอยเหลือกขึ้นจนเห็นแต่ตาขาว

คงจะหวาดกลัวมากจนพระบังคนเบารดตัวเอง กลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วเตียงนอน

เสียงของเฟเรสดังก้องไปทั่วหูของโยบาเนสที่ร่างกายกระตุกเฮือก

“เรื่องของฝ่าบาทกระหม่อมจะรับผิดชอบเอง จะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาอย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรมาก่อน ดังนั้นไปให้สบายเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“กะ…กรอด…”

เสียงคำรามไร้ซึ่งความหมายราวกับสัตว์ร้ายน้ำลายฟูมปากใกล้จะตายดังออกมาจากปากของโยบาเนส

เสียงดิ้นรนพยายามหายใจของคนที่สมควรจะตายไปตั้งนานแล้ว

ช่างเป็นความโลภอันไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ

ในที่สุดการเคลื่อนไหวของโยบาเนสก็เริ่มแผ่วลง

เฟเรสมองนัยน์ตาเบิกโพลงของโยบาเนสนิ่ง

นัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอยเปี่ยมไปด้วยคำกล่าวโทษในความผิดที่เจ้าตัวยังไม่อาจตระหนักได้แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต

แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น

เฟเรสเอื้อมมือออกไปปิดนัยน์ตาของโยบาเนสลงด้วยใบหน้าเรียบเฉย

มือที่เคยกุมแน่นอยู่ที่ลำคอเองก็จัดการเปลี่ยนท่วงท่าขยับให้วางแนบข้างลำตัวทั้งสองข้าง ปากที่อ้ากว้างเหมือนปลาทองเองก็จัดการปิดให้สนิท

เพียงแค่นั้นโยบาเนสก็ดูสงบราวกับเพียงแค่หลับใหลไปเท่านั้น

ห้องบรรทมที่ไม่เคยเงียบเลยสักวันด้วยเสียงหอบหายใจของโยบาเนสตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ในที่สุดก็ตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างแท้จริงเสียที

เฟเรสหมุนตัวหันหลัง เดินตรงไปเปิดประตูห้องบรรทมออก

“ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว”

ในระหว่างที่เหล่าอัศวินต่างก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกใจ นางกำนัลกับแพทย์หลวงที่เฝ้ารออยู่นอกห้องบรรทมก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“ฝะ…ฝ่าบาท!”

แพทย์หลวงตรวจสอบลมหายใจกับชีพจรของโยบาเนส แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

“ฮึก! ฮึก!”

เมื่อจักรพรรดิสวรรคต บรรดาผู้คนทั้งหลายที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายและประชาชนทั้งอาณาจักรย่อมต้องตกอยู่ในความโศกเศร้าเป็นธรรมดา

“ฝ่าบาท…”

กระทั่งบรรดาอัศวินเองก็ยังโค้งศีรษะลงนิ่งด้วยความอาลัย

แต่ระหว่างนั้นเฟเรสกลับเดินห่างออกมาจากพวกเขา

“ข้าจะไปแจ้งข่าวการสวรรคต”

แต่แล้วในจังหวะที่กล่าวสั้นๆ ออกไปแบบนั้น แล้วหมุนตัวหันหลัง

“…เทีย”

ปลายโถงทางเดินกลับมีฟีเรนเทียยืนอยู่

วินาทีนั้น เขาสามารถรู้ได้ในทันที

ว่าหญิงสาวล่วงรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว

ใบหน้าของเฟเรสเกร็งไปหมด เขาอยากจะหนีไปให้พ้น เหมือนคนที่ถูกจับได้ว่าได้ลงมือทำเรื่องสกปรกน่าละอายลงไป

เขาหวาดกลัว

กลัวว่าหญิงสาวจะเหยียดหยามเขา

กลัวว่าจะด่าทอว่าเขามันสกปรก ว่าเขามันโหดเหี้ยมอำมหิต

ยิ่งนางเดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ความคิดเช่นนั้นในใจมันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

และเมื่อยืนเผชิญหน้ากันในที่สุด

“เฟเรส”

นางเอ่ยเรียกชื่อเขาพร้อมกับสวมกอดเขาแน่น

ร่างกายแข็งเกร็งรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันแสนอบอุ่นจากฟีเรนเทีย

สายตาของมหาดเล็กรวมถึงเหล่าอัศวินที่อยู่แถวห้องบรรทมต่างก็จับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสองคน

หญิงสาวโน้มศีรษะของเฟเรสลงไป นางกระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูเพื่อไม่ให้คนพวกนั้นได้ยิน

“ขอโทษนะ เฟเรส”

น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้า

“ขอโทษที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเจ้า”

มือทั้งสองข้างที่โอบรอบเอวเขาไว้เลื่อนขึ้นมาลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ

“ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องทนเจ็บปวดอยู่คนเดียว”

ติ๋ง

เสียงแผ่วเบากะเทาะเปลือกอันแข็งแกร่งให้เกิดรอยร้าว

หยาดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นจากนัยน์ตาของเขา มันไหลซึมลงไปบนไหล่ของหญิงสาว

เฟเรสคู้กายสูงใหญ่ลง

หญิงสาวรับกายของเขาเอาไว้ในอ้อมกอดราวกับกำลังปกป้อง

สำหรับคนอื่นๆ ที่เฝ้ามองดูภาพนั้นแล้ว มันก็เป็นเพียงภาพของ ‘องค์รัชทายาทที่โศกเศร้ากับการสวรรคตของฝ่าบาท’ เท่านั้นเอง

ความรู้สึกของคู่รักที่โอบกอดกันแน่น แบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อกัน ราวกับจะบอกว่า ความลับของเจ้า ข้าจะเป็นผู้เก็บมันไว้เอง

ราวกับต้องการจะปกป้องกันและกัน

ไม่มีใครรับรู้ได้ทั้งสิ้น

องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรแลมบลู โยบาเนสสวรรคตแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 255.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 255.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 255.2

ใบหน้าของโยบาเนสบิดเบี้ยวไม่น่ามอง

ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดเรื่องอะไรนั่น ทำเอาเฟเรสแสยะยิ้ม

“ดูท่าจะยังนึกไม่ออกสินะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งๆ ที่จนถึงตอนนี้กระหม่อมไม่เคยลืมคำพูดประโยคนั้นเลยแท้ๆ”

“นะ…นั่นมันเรื่องอะไรกัน…”

“คำที่เจ้าพูดตอนยัดยาพิษใส่มือมารดาของข้ายังไงล่ะ”

นัยน์ตาทั้งสองข้างของโยบาเนสเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

“ระ…เรื่องนั้น เจ้า…”

“คืนนั้นท่านแม่มีไข้สูงมาก ข้าเลยลงไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำด้านล่าง แล้วกลับขึ้นไป”

เฟเรสเอ่ยพลางนึกถึงคืนเดือนมืดคืนนั้น

“เจ้าอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะส่งจดหมายไปสิบหรือร้อยพันฉบับ อ้อนวอนขอร้องให้ส่งตัวแพทย์หลวงมาให้ ก็ไม่แม้แต่จะยอมโผล่ชายเสื้อมาให้เห็น”

เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องสกปรกแค่ไหน

คืนวันนั้น โยบาเนสจึงเลือกมาเยือนวังเล็กเพียงลำพัง ไม่พามหาดเล็กติดตามมาด้วย ไม่มีกระทั่งองครักษ์รอบกาย

น่าขันนัก แต่คืนนั้นเป็นวันแรกที่เฟเรสได้พบบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเขาเป็นครั้งแรก

ภาพด้านหลังที่ได้เห็นผ่านประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ดื่มนี่ลงไปแล้วจบชีวิตลงเสีย บุตรชายของเจ้า ข้าจะรับผิดชอบช่วยเก็บรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ให้ ดังนั้นจงตายเสียเถอะ หากเจ้าไม่ยอมตาย ฐานะของข้าคงมีแต่จะลำบากยิ่ง”

เฟเรสเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นในความทรงจำของเขาอย่างสงบเยือกเย็น

“ปัดมือของท่านแม่ที่รั้งชายเสื้อของเจ้า อ้อนวอนทั้งน้ำตาขอให้ไว้ชีวิตอย่างโหดร้าย ฝ่าบาทน่ะ”

“ระ…เรื่องนั้น…ตอนนั้นมัน…”

โยบาเนสอ้าปากพยายามจะแก้ตัวออกไป แต่ตอนนี้แค่หายใจยังลำบาก แล้วจะพูดออกไปจบประโยคได้ยังไง

เฟเรสยกยิ้มด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“รีบๆ ตายไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าฝ่าบาทไม่ยอมตาย ฐานะของกระหม่อมคงจะลำบากยิ่งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“คะ…ค็อก!”

สุดท้ายในตาของโยบาเนสก็เริ่มเลื่อนลอยเหลือกขึ้นจนเห็นแต่ตาขาว

คงจะหวาดกลัวมากจนพระบังคนเบารดตัวเอง กลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วเตียงนอน

เสียงของเฟเรสดังก้องไปทั่วหูของโยบาเนสที่ร่างกายกระตุกเฮือก

“เรื่องของฝ่าบาทกระหม่อมจะรับผิดชอบเอง จะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาอย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรมาก่อน ดังนั้นไปให้สบายเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“กะ…กรอด…”

เสียงคำรามไร้ซึ่งความหมายราวกับสัตว์ร้ายน้ำลายฟูมปากใกล้จะตายดังออกมาจากปากของโยบาเนส

เสียงดิ้นรนพยายามหายใจของคนที่สมควรจะตายไปตั้งนานแล้ว

ช่างเป็นความโลภอันไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ

ในที่สุดการเคลื่อนไหวของโยบาเนสก็เริ่มแผ่วลง

เฟเรสมองนัยน์ตาเบิกโพลงของโยบาเนสนิ่ง

นัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอยเปี่ยมไปด้วยคำกล่าวโทษในความผิดที่เจ้าตัวยังไม่อาจตระหนักได้แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต

แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น

เฟเรสเอื้อมมือออกไปปิดนัยน์ตาของโยบาเนสลงด้วยใบหน้าเรียบเฉย

มือที่เคยกุมแน่นอยู่ที่ลำคอเองก็จัดการเปลี่ยนท่วงท่าขยับให้วางแนบข้างลำตัวทั้งสองข้าง ปากที่อ้ากว้างเหมือนปลาทองเองก็จัดการปิดให้สนิท

เพียงแค่นั้นโยบาเนสก็ดูสงบราวกับเพียงแค่หลับใหลไปเท่านั้น

ห้องบรรทมที่ไม่เคยเงียบเลยสักวันด้วยเสียงหอบหายใจของโยบาเนสตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ในที่สุดก็ตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างแท้จริงเสียที

เฟเรสหมุนตัวหันหลัง เดินตรงไปเปิดประตูห้องบรรทมออก

“ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว”

ในระหว่างที่เหล่าอัศวินต่างก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกใจ นางกำนัลกับแพทย์หลวงที่เฝ้ารออยู่นอกห้องบรรทมก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“ฝะ…ฝ่าบาท!”

แพทย์หลวงตรวจสอบลมหายใจกับชีพจรของโยบาเนส แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

“ฮึก! ฮึก!”

เมื่อจักรพรรดิสวรรคต บรรดาผู้คนทั้งหลายที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายและประชาชนทั้งอาณาจักรย่อมต้องตกอยู่ในความโศกเศร้าเป็นธรรมดา

“ฝ่าบาท…”

กระทั่งบรรดาอัศวินเองก็ยังโค้งศีรษะลงนิ่งด้วยความอาลัย

แต่ระหว่างนั้นเฟเรสกลับเดินห่างออกมาจากพวกเขา

“ข้าจะไปแจ้งข่าวการสวรรคต”

แต่แล้วในจังหวะที่กล่าวสั้นๆ ออกไปแบบนั้น แล้วหมุนตัวหันหลัง

“…เทีย”

ปลายโถงทางเดินกลับมีฟีเรนเทียยืนอยู่

วินาทีนั้น เขาสามารถรู้ได้ในทันที

ว่าหญิงสาวล่วงรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว

ใบหน้าของเฟเรสเกร็งไปหมด เขาอยากจะหนีไปให้พ้น เหมือนคนที่ถูกจับได้ว่าได้ลงมือทำเรื่องสกปรกน่าละอายลงไป

เขาหวาดกลัว

กลัวว่าหญิงสาวจะเหยียดหยามเขา

กลัวว่าจะด่าทอว่าเขามันสกปรก ว่าเขามันโหดเหี้ยมอำมหิต

ยิ่งนางเดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ความคิดเช่นนั้นในใจมันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

และเมื่อยืนเผชิญหน้ากันในที่สุด

“เฟเรส”

นางเอ่ยเรียกชื่อเขาพร้อมกับสวมกอดเขาแน่น

ร่างกายแข็งเกร็งรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันแสนอบอุ่นจากฟีเรนเทีย

สายตาของมหาดเล็กรวมถึงเหล่าอัศวินที่อยู่แถวห้องบรรทมต่างก็จับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสองคน

หญิงสาวโน้มศีรษะของเฟเรสลงไป นางกระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูเพื่อไม่ให้คนพวกนั้นได้ยิน

“ขอโทษนะ เฟเรส”

น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้า

“ขอโทษที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเจ้า”

มือทั้งสองข้างที่โอบรอบเอวเขาไว้เลื่อนขึ้นมาลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ

“ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องทนเจ็บปวดอยู่คนเดียว”

ติ๋ง

เสียงแผ่วเบากะเทาะเปลือกอันแข็งแกร่งให้เกิดรอยร้าว

หยาดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นจากนัยน์ตาของเขา มันไหลซึมลงไปบนไหล่ของหญิงสาว

เฟเรสคู้กายสูงใหญ่ลง

หญิงสาวรับกายของเขาเอาไว้ในอ้อมกอดราวกับกำลังปกป้อง

สำหรับคนอื่นๆ ที่เฝ้ามองดูภาพนั้นแล้ว มันก็เป็นเพียงภาพของ ‘องค์รัชทายาทที่โศกเศร้ากับการสวรรคตของฝ่าบาท’ เท่านั้นเอง

ความรู้สึกของคู่รักที่โอบกอดกันแน่น แบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อกัน ราวกับจะบอกว่า ความลับของเจ้า ข้าจะเป็นผู้เก็บมันไว้เอง

ราวกับต้องการจะปกป้องกันและกัน

ไม่มีใครรับรู้ได้ทั้งสิ้น

องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรแลมบลู โยบาเนสสวรรคตแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด