Alchemy Emperor of the Divine Dao 2017 หลันเทียนอวี่

Now you are reading Alchemy Emperor of the Divine Dao Chapter 2017 หลันเทียนอวี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2017 หลันเทียนอวี่

 

หลันรั่วจ่อเผยรอยยิ้มพึงพอใจ นางมั่นใจมากว่าเสน่ห์ของนางนั้นมากล้นอย่างไม่มีใครเทียบซึ่งต่อให้เป็นหลิงฮันก็ไม่มีทางต้านทานได้

 

ความมั่นใจของนางช่างเป็นกบในกะลาอย่างแท้จริง

 

บนเกาะแห่งนี้มีคนอยู่กี่คนกัน? นางมีรูปลักษณ์งดงามและเสน่ห์อันล้นพ้น การที่จะได้เป็นดอกไม้อันแสนวิเศษของที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากนางออกไปยังดินแดนแห่งเซียนภายนอกแม้นางจะยังพอกล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่งดงาม แต่ก็ยังห่างชั้นกับความงามที่แท้จริงอยู่ดี

 

แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามหาใครเปรียบของจริงกันล่ะ?

 

“ถ้างั้นข้าจะนําทางนายน้อยหลิงไปเดินชมรอบๆ เอง” นางกล่าวชวน

 

หลิงฮันพยักหน้า เขาไม่ปฏิเสธเพราะอยากจะรู้ข้อมูลเกาะแห่งนี้แห่งมากขึ้น

 

ทั้งสองเริ่มเดินวนไปรอบปราสาท ประตูทางเดินต่างๆ ที่เคยถูกห้ามไม่ได้ผ่านเข้าไป ตอนนี้เมื่อมีบุตรสาวของเจ้าของเกาะเป็นคนนําทาง หลิงฮันจึงสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

 

“ประตูนั่นคือทางเข้าไปยังที่ใดกัน?” หลิงฮันชี้ไปยังประตูหินบานหนึ่ง

 

ก่อนหน้านี้เมื่อใดที่เจอประตูที่ปิดอยู่ หลันรั่วจือจะเปิดประตูนําทางเขาเข้าไปชมทันที แต่เมื่อเห็นประตูหินบานนี้ นางกลับเมินเฉยไม่เปิดเข้าไป

 

หลิงฮันมองตรวจสอบและพบมีบนบานประตูมีรูปแบบอาคมสลักเอาไว้ มันคือรูปแบบอาคมที่ถ้าหากไม่สามารถแก้รูปแบบอาคมเปิดประตูได้ในทันที รูปแบบอาคมจะไม่ทําการโจมตีแต่จะส่งเสียงเตือนออกมาแทน

 

หลันรั่วจ่อยิ้มและกล่าว “เรื่องนี้ต้องรอให้นายน้อยหลิงเป็นคนของพวกเราก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติได้รับรู้”

 

“มันลึกลับเช่นนั้นเลยรึ?” หลิงฮันรู้สึกสงสัย

 

“ฮิๆๆ หลันรั่วจือปิดปากแน่นไม่หลุดพูดอะไรออกมา และพาหลิงฮันเดินไปจากประตูหินบานนี้

 

หลังจากนั้นหลิงฮันได้นําหัวข้อนี้กลับมาพูดอยู่หลายครั้ง แต่หลันรั่วจ่อก็เอาแต่พูดประโยคเดิมๆว่าต้องเป็นคนของฝั่งนางอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รู้

ทั้งสองเดินชมรอบปราสาทอย่างรวดเร็ว

 

“หืม?” จู่ๆ หลิงฮันก็ขมวดคิ้ว เขาสัมสัมผัสได้ถึงออร่าอันแปลกประหลาด

 

“มีอะไรงั้นรึ?” หลันรั่วจ่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

 

“ฮ่าๆๆ สมกับเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ไม่คาดคิดว่าจะพบข้าได้รวดเร็วขนาดนี้” เสียงหัวเราะลากยาวดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มร่างผอมได้ก้าวเดินออกมาจากเสาหินแห่งหนึ่ง

 

“อาสี่!” เมื่อหลันรั่วจื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินออกมา นางก็รีบคารวะทักทายอย่างสุภาพ

 

หลิงฮันมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า คนผู้นี้มีรูปลักษณ์เยาว์วัยและหล่อเหลาเป็นอย่างมากประเด็นสําคัญคือชายหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายอันทรงพลัง ที่ทําให้หลิงฮันรู้สึกอึดอัดได้

 

“ข้าได้ยินมาว่าที่ใครบางคนเซียวจชิ้นได้ ข้าเลยอยากมาดูด้วยตาตัวเองเสียหน่อย” ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าว ในดินแดนแห่งเซียนนั้น รูปลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ถึงอายุของจอมยุทธเพราะบางที่ชายชราผมขาวโพลน ก็อาจจะชายหนุ่มว่าบรรพบุรุษ

 

“คนผู้นี้คือหลิงฮัน” หลันรั่วจื่อกล่าวแนะนํา “ส่วนคนผู้นี้คือท่านอาสี่ของข้า หลันเทียนอวี่” 

 

หลิงฮันผสานมือเข้าหากันและโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อทักทาย “ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสหลัน”

 

หลันเทียนอวชี้นิ้วออกมา “พรึบ” แหวนบนนิ้วของเขา ปลดปล่อยคลื่นพลังปกคลุมร่างของทั้ง

 

สามคนเอาไว้

 

ในมุมมองของหลิงฮัน จู่ๆ ทิวทัศน์รอบข้างก็ขยายใหญ่ขึ้นสุดลูกหูลูกตา แต่หากมองจากมุมนอก จะเห็นว่าเป็นร่างของพวกหลิงฮันทั้งสามคนต่างหากที่มีขนาดเล็กน้อย

 

แหวนวงนั้นคืออุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ แต่มันไม่ใช่ประเภทที่เอาไว้ให้คนเข้าไปด้านใน แต่เป็นอุปกรณ์มิติ ที่จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบแทน

 

ตราบใดที่หลิงฮันทะยานร่างออกจากรัศมีอํานาจของแหวนมิติ เขาก็จะสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ในทันที

 

หลิงฮันไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่หวาดกลัวต่อการท้าทาย แต่การดึงคนอื่นลงสู่สนามประลองโดยไม่ถามความสมัครใจฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ เป็นการกระทําที่เขารังเกียจเป็นอย่างมาก

 

“เข้ามา ขอข้าประลองชี้แนะด้วยหน่อย” หลันเทียนอวี่พุ่งทะยานโจมตีใส่หลิงฮัน

 

แน่นอนว่าทักษะบ่มเพาะของเขาคือรูปแบบบ่มเพาะที่แตกต่าง บนฝ่ามือของเขาไม่มีคลื่นผันผวนของอํานาจแห่งเต๋ หรือแสงของอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ สิ่งเดียวที่ปกคลุมอยู่รอบฝ่ามือของเขาคือคลื่นแสงสีดําที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายและทรงพลัง

 

หลิงฮันกําหมัดและโจมตีตอบโต้

 

ตูม” ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด และแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันหลายสิบกระบวนท่าในพริบตา

 

หลันเทียนอวี่จ้องมองด้วยแววตาตกตะลึง ถึงแม้นางจะมีพลังอยู่ในระดับจักรพรรดิเหมือนกันแต่ก็ยังมองการต่อสู้ตรงหน้าไม่ทัน

 

ทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินไป

 

หลันเทียนอวี่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนนั้นนางรู้อยู่แล้ว แต่ที่ทําให้นางตกตะลึงก็คือ การที่หลิงฮันสามารถตอบโต้การโจมตีของหลันเทียนอวีได้

 

ต้องรู้ก่อนว่าหลันเทียนอวนั้นมีระดับพลังสูงกว่าเซียวจนเสียอีก!

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

หลิงฮันกับหลันเทียนอวี่เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งพวกเขาก็โจมตีอย่างรวดเร็วโดยกระหน่ําจู่โจมหลายสิบครั้งออกไปในพริบตา แต่บางครั้งพวกเขาก็โจมตีอย่างเชื่องช้าโดยการเว้นระยะสามถึงสี่ลมหายใจ ก่อนจะโจมตีออกไปหนึ่งครั้ง

 

แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์จะพ่ายแพ้มากกว่าก็คือหลันเทียนอวี่ เนื่องจากกายหยาบของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งเกินไป ในระดับแบ่งแยกวิญญาณไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงฮันไม่ต้องการเผยข้อมูลในเรื่องนี้ เขาคงใช้ร่างกายเข้าปะทะเพื่อสร้างบาดแผลให้แก่อีกฝ่ายแล้ว

 

หลันเทียนอวนั้นแข็งแกร่งกว่าเซียวจขึ้นจริงๆ แถมยังไม่ได้เหนือกว่าเพียงครึ่งขั้นด้วยซ้ํา เพiาะงั้นหลิงฮันจึงถูกกดดันอย่างหนักหน่วง จากการคาดการณ์ของหลิงฮัน พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้สมควรอยู่ในระดับตัดวิญญาณปฐพีขั้นสูงสุด โดยที่หลังจากหยิบยืมพลังจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าดวงวิญญาณนิรันดร์ แล้ว พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายจะพุ่งทะยานขึ้นไปถึงระดับตัดวิญญาณสวรรค์ขั้นต้นหรืออาจจะขึ้นไปถึงขั้นกลาง

 

ซึ่งพลังต่อสู้ในระดับนี้เพียงพอเป็นอย่างมาก ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันหรืออาจจะเหนือกว่า

 

นี่คือเหตุผลที่ว่าทําไมบนเกราะนี้ถึงมีจักรพรรดิ หรือราชาในหมู่ราชาอยู่มากมาย พลังต่อสู้ที่พวกเขาแสดงออกมานั้นไม่ใช่พลังของตนเอง

 

“อาสี่ ข้าว่าพอได้แล้วรึเปล่า?” หลันรั่วจ่อเอ่ยแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง

 

“ก็ได้!” หลันเทียนอวีหยุดมือและเผยรอยยิ้มหยิ่งทะนง ถึงแม้การต่อสู้จะยังยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นฝ่ายชนะ แต่เขาก็มั่นใจว่าหากสู้ต่อไปอีกไม่กี่กระบวนท่า เขาจะต้องขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบแน่นอน

 

ซึ่งเขาก็เชื่อด้วยว่าหลิงฮันเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ได้

 

ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเหนือกว่าแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องสู้ต่อ เนื่องจากเหตุผลที่เขามาท้าประลองหลิงฮันในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการสังหาร แต่เพื่อทําให้หลิงฮันรับรู้ว่า ที่นี่ยังมีคนที่สามารถเหนือกว่าอยู่

 

หลิงฮันเองก็ยิ้มเล็กน้อย ในด้านของพลังต่อสู้ หลั่นเทียนอวี่เหนือกว่าเขาส่วนหนึ่งจริงๆแต่ไม่ว่าอย่างไรพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ําอยู่ การวัดกันด้วยพลังต่อสู้ที่แท้จริงล่ะก็ เขาสามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้ด้วยหนึ่งมืออย่างแน่นอน

 

อีกอย่างถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะสามารถหยิบยืมพลังภายนอกมาใช้ได้ แต่เจ้าจะสามารถหยิบยีมมาใช้ไปได้ตลอดเวลา หรือทุกๆ ที่ในดินแดนแห่งเซียนงั้นรึ? แล้วเจ้ามั่นใจรึเปล่าว่าหลังจากบรรลุระดับราชานิรันดร์ไปแล้ว จะยังหยิบยืมพลังที่ว่ามาใช้ได้?

 

หลิงฮันไม่เชื่อว่าเรื่องเช่นนั้นจะเป็นไปได้

 

พลังที่คนเหล่านี้หยิบยืมมานั้น ไม่ใช่พลังจากสวรรค์และปฐพี แต่เป็นพลังจากตัวตนที่ทรงอํานาจอย่างราชานิรันดร์ระดับเก้า เพียงแต่ราชานิรันดร์ระดับเก้าก็ใช่ว่าจะทําได้ทุกอย่างยกตัวอย่างถ้าหากมีราชานิรันดร์ระดับเก้าเหมือนกัน ต้องการหยิบยืมพลังล่ะ คิดว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นรึ?

 

เมื่อเทียบกันแล้ว หลิงฮันจึงเชื่อมั่นใจพลังของตนเองมากกว่า

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Alchemy Emperor of the Divine Dao 2017 หลันเทียนอวี่

Now you are reading Alchemy Emperor of the Divine Dao Chapter 2017 หลันเทียนอวี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2017 หลันเทียนอวี่

 

หลันรั่วจ่อเผยรอยยิ้มพึงพอใจ นางมั่นใจมากว่าเสน่ห์ของนางนั้นมากล้นอย่างไม่มีใครเทียบซึ่งต่อให้เป็นหลิงฮันก็ไม่มีทางต้านทานได้

 

ความมั่นใจของนางช่างเป็นกบในกะลาอย่างแท้จริง

 

บนเกาะแห่งนี้มีคนอยู่กี่คนกัน? นางมีรูปลักษณ์งดงามและเสน่ห์อันล้นพ้น การที่จะได้เป็นดอกไม้อันแสนวิเศษของที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากนางออกไปยังดินแดนแห่งเซียนภายนอกแม้นางจะยังพอกล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่งดงาม แต่ก็ยังห่างชั้นกับความงามที่แท้จริงอยู่ดี

 

แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามหาใครเปรียบของจริงกันล่ะ?

 

“ถ้างั้นข้าจะนําทางนายน้อยหลิงไปเดินชมรอบๆ เอง” นางกล่าวชวน

 

หลิงฮันพยักหน้า เขาไม่ปฏิเสธเพราะอยากจะรู้ข้อมูลเกาะแห่งนี้แห่งมากขึ้น

 

ทั้งสองเริ่มเดินวนไปรอบปราสาท ประตูทางเดินต่างๆ ที่เคยถูกห้ามไม่ได้ผ่านเข้าไป ตอนนี้เมื่อมีบุตรสาวของเจ้าของเกาะเป็นคนนําทาง หลิงฮันจึงสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

 

“ประตูนั่นคือทางเข้าไปยังที่ใดกัน?” หลิงฮันชี้ไปยังประตูหินบานหนึ่ง

 

ก่อนหน้านี้เมื่อใดที่เจอประตูที่ปิดอยู่ หลันรั่วจือจะเปิดประตูนําทางเขาเข้าไปชมทันที แต่เมื่อเห็นประตูหินบานนี้ นางกลับเมินเฉยไม่เปิดเข้าไป

 

หลิงฮันมองตรวจสอบและพบมีบนบานประตูมีรูปแบบอาคมสลักเอาไว้ มันคือรูปแบบอาคมที่ถ้าหากไม่สามารถแก้รูปแบบอาคมเปิดประตูได้ในทันที รูปแบบอาคมจะไม่ทําการโจมตีแต่จะส่งเสียงเตือนออกมาแทน

 

หลันรั่วจ่อยิ้มและกล่าว “เรื่องนี้ต้องรอให้นายน้อยหลิงเป็นคนของพวกเราก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติได้รับรู้”

 

“มันลึกลับเช่นนั้นเลยรึ?” หลิงฮันรู้สึกสงสัย

 

“ฮิๆๆ หลันรั่วจือปิดปากแน่นไม่หลุดพูดอะไรออกมา และพาหลิงฮันเดินไปจากประตูหินบานนี้

 

หลังจากนั้นหลิงฮันได้นําหัวข้อนี้กลับมาพูดอยู่หลายครั้ง แต่หลันรั่วจ่อก็เอาแต่พูดประโยคเดิมๆว่าต้องเป็นคนของฝั่งนางอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รู้

ทั้งสองเดินชมรอบปราสาทอย่างรวดเร็ว

 

“หืม?” จู่ๆ หลิงฮันก็ขมวดคิ้ว เขาสัมสัมผัสได้ถึงออร่าอันแปลกประหลาด

 

“มีอะไรงั้นรึ?” หลันรั่วจ่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

 

“ฮ่าๆๆ สมกับเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ไม่คาดคิดว่าจะพบข้าได้รวดเร็วขนาดนี้” เสียงหัวเราะลากยาวดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มร่างผอมได้ก้าวเดินออกมาจากเสาหินแห่งหนึ่ง

 

“อาสี่!” เมื่อหลันรั่วจื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินออกมา นางก็รีบคารวะทักทายอย่างสุภาพ

 

หลิงฮันมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า คนผู้นี้มีรูปลักษณ์เยาว์วัยและหล่อเหลาเป็นอย่างมากประเด็นสําคัญคือชายหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายอันทรงพลัง ที่ทําให้หลิงฮันรู้สึกอึดอัดได้

 

“ข้าได้ยินมาว่าที่ใครบางคนเซียวจชิ้นได้ ข้าเลยอยากมาดูด้วยตาตัวเองเสียหน่อย” ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าว ในดินแดนแห่งเซียนนั้น รูปลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ถึงอายุของจอมยุทธเพราะบางที่ชายชราผมขาวโพลน ก็อาจจะชายหนุ่มว่าบรรพบุรุษ

 

“คนผู้นี้คือหลิงฮัน” หลันรั่วจื่อกล่าวแนะนํา “ส่วนคนผู้นี้คือท่านอาสี่ของข้า หลันเทียนอวี่” 

 

หลิงฮันผสานมือเข้าหากันและโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อทักทาย “ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสหลัน”

 

หลันเทียนอวชี้นิ้วออกมา “พรึบ” แหวนบนนิ้วของเขา ปลดปล่อยคลื่นพลังปกคลุมร่างของทั้ง

 

สามคนเอาไว้

 

ในมุมมองของหลิงฮัน จู่ๆ ทิวทัศน์รอบข้างก็ขยายใหญ่ขึ้นสุดลูกหูลูกตา แต่หากมองจากมุมนอก จะเห็นว่าเป็นร่างของพวกหลิงฮันทั้งสามคนต่างหากที่มีขนาดเล็กน้อย

 

แหวนวงนั้นคืออุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ แต่มันไม่ใช่ประเภทที่เอาไว้ให้คนเข้าไปด้านใน แต่เป็นอุปกรณ์มิติ ที่จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบแทน

 

ตราบใดที่หลิงฮันทะยานร่างออกจากรัศมีอํานาจของแหวนมิติ เขาก็จะสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ในทันที

 

หลิงฮันไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่หวาดกลัวต่อการท้าทาย แต่การดึงคนอื่นลงสู่สนามประลองโดยไม่ถามความสมัครใจฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ เป็นการกระทําที่เขารังเกียจเป็นอย่างมาก

 

“เข้ามา ขอข้าประลองชี้แนะด้วยหน่อย” หลันเทียนอวี่พุ่งทะยานโจมตีใส่หลิงฮัน

 

แน่นอนว่าทักษะบ่มเพาะของเขาคือรูปแบบบ่มเพาะที่แตกต่าง บนฝ่ามือของเขาไม่มีคลื่นผันผวนของอํานาจแห่งเต๋ หรือแสงของอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ สิ่งเดียวที่ปกคลุมอยู่รอบฝ่ามือของเขาคือคลื่นแสงสีดําที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายและทรงพลัง

 

หลิงฮันกําหมัดและโจมตีตอบโต้

 

ตูม” ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด และแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันหลายสิบกระบวนท่าในพริบตา

 

หลันเทียนอวี่จ้องมองด้วยแววตาตกตะลึง ถึงแม้นางจะมีพลังอยู่ในระดับจักรพรรดิเหมือนกันแต่ก็ยังมองการต่อสู้ตรงหน้าไม่ทัน

 

ทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินไป

 

หลันเทียนอวี่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนนั้นนางรู้อยู่แล้ว แต่ที่ทําให้นางตกตะลึงก็คือ การที่หลิงฮันสามารถตอบโต้การโจมตีของหลันเทียนอวีได้

 

ต้องรู้ก่อนว่าหลันเทียนอวนั้นมีระดับพลังสูงกว่าเซียวจนเสียอีก!

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

หลิงฮันกับหลันเทียนอวี่เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งพวกเขาก็โจมตีอย่างรวดเร็วโดยกระหน่ําจู่โจมหลายสิบครั้งออกไปในพริบตา แต่บางครั้งพวกเขาก็โจมตีอย่างเชื่องช้าโดยการเว้นระยะสามถึงสี่ลมหายใจ ก่อนจะโจมตีออกไปหนึ่งครั้ง

 

แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์จะพ่ายแพ้มากกว่าก็คือหลันเทียนอวี่ เนื่องจากกายหยาบของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งเกินไป ในระดับแบ่งแยกวิญญาณไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงฮันไม่ต้องการเผยข้อมูลในเรื่องนี้ เขาคงใช้ร่างกายเข้าปะทะเพื่อสร้างบาดแผลให้แก่อีกฝ่ายแล้ว

 

หลันเทียนอวนั้นแข็งแกร่งกว่าเซียวจขึ้นจริงๆ แถมยังไม่ได้เหนือกว่าเพียงครึ่งขั้นด้วยซ้ํา เพiาะงั้นหลิงฮันจึงถูกกดดันอย่างหนักหน่วง จากการคาดการณ์ของหลิงฮัน พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้สมควรอยู่ในระดับตัดวิญญาณปฐพีขั้นสูงสุด โดยที่หลังจากหยิบยืมพลังจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าดวงวิญญาณนิรันดร์ แล้ว พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายจะพุ่งทะยานขึ้นไปถึงระดับตัดวิญญาณสวรรค์ขั้นต้นหรืออาจจะขึ้นไปถึงขั้นกลาง

 

ซึ่งพลังต่อสู้ในระดับนี้เพียงพอเป็นอย่างมาก ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันหรืออาจจะเหนือกว่า

 

นี่คือเหตุผลที่ว่าทําไมบนเกราะนี้ถึงมีจักรพรรดิ หรือราชาในหมู่ราชาอยู่มากมาย พลังต่อสู้ที่พวกเขาแสดงออกมานั้นไม่ใช่พลังของตนเอง

 

“อาสี่ ข้าว่าพอได้แล้วรึเปล่า?” หลันรั่วจ่อเอ่ยแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง

 

“ก็ได้!” หลันเทียนอวีหยุดมือและเผยรอยยิ้มหยิ่งทะนง ถึงแม้การต่อสู้จะยังยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นฝ่ายชนะ แต่เขาก็มั่นใจว่าหากสู้ต่อไปอีกไม่กี่กระบวนท่า เขาจะต้องขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบแน่นอน

 

ซึ่งเขาก็เชื่อด้วยว่าหลิงฮันเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ได้

 

ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเหนือกว่าแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องสู้ต่อ เนื่องจากเหตุผลที่เขามาท้าประลองหลิงฮันในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการสังหาร แต่เพื่อทําให้หลิงฮันรับรู้ว่า ที่นี่ยังมีคนที่สามารถเหนือกว่าอยู่

 

หลิงฮันเองก็ยิ้มเล็กน้อย ในด้านของพลังต่อสู้ หลั่นเทียนอวี่เหนือกว่าเขาส่วนหนึ่งจริงๆแต่ไม่ว่าอย่างไรพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ําอยู่ การวัดกันด้วยพลังต่อสู้ที่แท้จริงล่ะก็ เขาสามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้ด้วยหนึ่งมืออย่างแน่นอน

 

อีกอย่างถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะสามารถหยิบยืมพลังภายนอกมาใช้ได้ แต่เจ้าจะสามารถหยิบยีมมาใช้ไปได้ตลอดเวลา หรือทุกๆ ที่ในดินแดนแห่งเซียนงั้นรึ? แล้วเจ้ามั่นใจรึเปล่าว่าหลังจากบรรลุระดับราชานิรันดร์ไปแล้ว จะยังหยิบยืมพลังที่ว่ามาใช้ได้?

 

หลิงฮันไม่เชื่อว่าเรื่องเช่นนั้นจะเป็นไปได้

 

พลังที่คนเหล่านี้หยิบยืมมานั้น ไม่ใช่พลังจากสวรรค์และปฐพี แต่เป็นพลังจากตัวตนที่ทรงอํานาจอย่างราชานิรันดร์ระดับเก้า เพียงแต่ราชานิรันดร์ระดับเก้าก็ใช่ว่าจะทําได้ทุกอย่างยกตัวอย่างถ้าหากมีราชานิรันดร์ระดับเก้าเหมือนกัน ต้องการหยิบยืมพลังล่ะ คิดว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นรึ?

 

เมื่อเทียบกันแล้ว หลิงฮันจึงเชื่อมั่นใจพลังของตนเองมากกว่า

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+