ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1045 เตรียมพร้อมโจมตี

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1045 เตรียมพร้อมโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงปลิวกลิ้งออกไปหลายสิบจั้งกว่าจะตั้งหลักได้อย่างหวุดหวิด สีหน้าซีดเผือด กระอักเลือดออกมาติดกันหลายคำ

สีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนเผ่ามนุษย์คนนี้จะทนรับการโจมตีเกือบเต็มแรงของเขาได้โดยที่ยังมีชีวิต เพียงกระอักเลือดออกมาไม่กี่คำ

เขาสีหน้าเคร่งเครียด มือข้างหนึ่งเหวี่ยงตบไปทางท้องฟ้าด้านบนของหลิ่วหมิง

เสียงสั่นสะเทือนดัง “วิ้งๆ” ดังขึ้นกลางท้องฟ้า สายลมแรงหอบพัด จากนั้นแสงแวววาวสีดำสายแล้วสายเล่าพลันปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ก่อตัวเป็นก้อนกลายเป็นขวานยักษ์สีดำขนาดเท่าตึกอันหนึ่งในพริบตา มันสั่นไหวเบาๆ แล้วฟันลงมาเหนือศีรษะหลิ่วหมิงทันที

แรงกดดันจิตวิญญาณอันคมกริบและหนักหน่วงสายหนึ่งปะทุออกมา แม้แต่อากาศรอบด้านก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป เกิดเป็นรอยคลื่นที่ตาเปล่ามองเห็น

พริบตาเดียวแรงกดดันจิตวิญญาณก็ส่งผลกับร่างของหลิ่วหมิง ทำให้ร่างกายเขาฉับพลันหนักอึ้ง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกทั่วร่างราวกับจะระเบิดในอึดใจต่อมา!

หลิ่วหมิงตื่นตระหนก เขากำลังจะลงมือทำบางอย่าง ทันใดนั้นแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่มาจากทางเมืองจินกวัง โจมตีบนขวานใหญ่สีดำดุจสายฟ้าแลบ

แสงสีขาวกับสีดำระเบิดไปรอบด้าน หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างจากทั้งสองใกล้ที่สุด ความคิดแล่นเร็วจี๋ เร่งปราณดำรอบร่างออกมาปกป้องทั้งร่างเอาไว้ จึงไม่ถูกแสงทั้งสองสีทำร้าย

เวลานี้เขาพอมองเห็นชัดว่าใจกลางแสงสีขาวคือกำไลหยกสีขาวขนาดหนึ่งจั้งกว่าชิ้นหนึ่งซึ่งมีกลิ่นอายมงคลลอยขึ้นมาพร้อมกับพลังจิตวิญญาณดุจสิ่งมีชีวิต

นี่คืออาวุธเวทชิ้นหนึ่ง!

บนกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าแซ่เหยายืนโต้สายลม สายตาประสานกับผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์จากไกลๆ

สองมือของเขายิงเคล็ดวิชาหลายสายออกมาอย่างต่อเนื่อง กำไลหยกสีขาวที่ต้านขวานยักษ์สีดำอยู่เปล่งแสงเจิดจ้า เสียงปังดังขึ้นครั้งหนึ่ง มันก็ดีดขวานยักษ์สีดำออกแล้วพุ่งเร็วจี๋กลับไป

กำไลหยกระเบิดแสงสีขาวสายหนึ่งออกมาม้วนหลิ่วหมิงเข้าไปข้างใน

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่ศพขาดวิ่นชุดดำร่างนั้นที่อยู่ไกลๆ แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่กลับมา

กลางแสงสีทองคือยันต์สีทองอ่อนแผ่นหนึ่ง มันคือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง

ใช้ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองเป็นตัวตายตัวแทนเป็นวิธีที่หลิ่วหมิงใช้จนชำนาญ วันนี้ก็ได้ผลดังที่คิดเหมือนเดิม

ชั่วอึดใจแสงสีขาวก็ล้อมร่างกายของหลิ่วหมิงไว้จนหมดแล้วกลายเป็นรุ้งแวววาวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าไปพร้อมกำไลหยกสีขาว ผีแม่ทัพใหญ่ตนนั้นไม่ทันลงมือขัดขวางสักนิด กำไลหยกก็กะพริบวูบวาบไม่กี่หนร่อนลงบนกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองจินกวัง

“ขอบคุณผู้อาวุโสเหยายิ่งนัก!”

บนกำแพงเมือง หลังจากหลิ่วหมิงเก็บยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองไปแล้วก็หันไปค้อมกายคำนับผู้เฒ่าแซ่เหยา

ผู้เฒ่าแซ่เหยารั้งสายตากลับมาจากมือหลิ่วหมิงแล้วโบกมือเบาๆ ให้เขา จากนั้นสายตาจึงมองไปนอกเมือง

บนท้องฟ้านอกเมือง ผีแม่ทัพใหญ่เกราะเงินขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ไล่ตามโจมตีต่อ เขากวักมือข้างหนึ่ง ขวานใหญ่สีดำพลันกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือของเขา

ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีเสียงหวีดแหลมยาวดังขึ้นหลายครั้งจากกองทัพผีร้ายที่ล้อมโจมตีเมืองจินกวังอยู่ จากนั้นกองทัพก็ค่อยๆ ผละถอย วางธงพักรบชั่วคราว

ผู้เฒ่าแซ่เหยาเห็นกองทัพผีนอกเมืองถอยไปชั่วคราวก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมา ขณะที่คิดจะเอ่ยปากถามอันใด แสงสีเทาสายหนึ่งพลันพุ่งลงมา เงาของบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาก็คือผู้อาวุโสแซ่เว่ยนั่นเอง

“พี่เหยา!” บุรุษวัยพลางคนเส้นผมสีเทากับผู้อาวุโสเหยาทักทายกันเล็กน้อยแล้วเลื่อนสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสอง” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับทันที

“ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่อหลิ่วหมิงสินะ ก่อนหน้านี้ถูกส่งไปป้อมปราการไท่เทียน” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทามองหลิ่วหมิง ใบหน้าเผยสีหน้าสงสัยออกมาเล็กน้อย

“ใช่ศิษย์เองขอรับ ครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสเผิงคุน ฝ่าวงล้อมที่ป้อมปราการไท่เทียนมาถึงที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญต้องแจ้งผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสอง” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม

แม้ผู้อาวุโสแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาในใจจะคาดเดาได้อยู่เลือนราง แต่หลังจากได้ฟังก็ยังตกใจ

ยามนี้เมืองจินกวังทั้งเมืองแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง กับป้อมปราการไท่เทียนยิ่งถูกตัดการติดต่อ แม้พวกเขาสองคนต้องการส่งศิษย์ฝ่าวงล้อมออกไป แต่เพราะสาเหตุนานาประการจึงไม่สำเร็จ

“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย มาเถอะ” ผู้เฒ่าแซ่เหยาโบกแขนเสื้อ แสงสีขาวสายหนึ่งม้วนออกมาหุ้มร่างของหลิ่วหมิงเอาไว้ แล้วเหาะไปที่หอสูงใจกลางเมือง

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาสั่งเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการระดับแก่นแท้บนกำแพงเมืองให้ป้องกันกองทัพผีร้ายนอกกำแพงเมืองอย่างเข้มงวด จากนั้นร่างกายจึงขยับติดตามไปด้วย

“คนผู้นั้นเมื่อครู่ ไม่ใช่หลิ่วหมิงหรือ” ในหมู่ศิษย์ที่ปกป้องเมือง มีคนจดจำหลิ่วหมิงได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก

  ในเวลาห้าปีนี้ หลิ่วหมิงก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างคนหนึ่งในกองทัพแสงทอง คนที่รู้จักเขาย่อมไม่น้อย

“ได้ยินว่าเขาถูกส่งไปป้อมปราการไท่เทียนไม่ใช่หรือ ทำไมมาปรากฏตัวที่นี่ได้”

“หรือเขาจะหนีออกมาจากป้อมปราการไท่เทียน?” ผู้ฝึกฝนรอบด้านต่างพากันถกเถียง

บนกำแพงเมืองอีกด้านหนึ่ง ทารกเฮ่าเยวี่ยสบตากับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่นึกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน แต่เวลานี้หลิ่วหมิงถูกผู้อาวุโสเหยากับผู้อาวุโสเว่ยพาตัวไปแล้ว พวกเขาสองคนย่อมไม่อาจสอดปาก

“ศิษย์น้องหลิ่วกลับมาได้อย่างไร…”

หมิ่นหรงอดีตหัวหน้าหน่วยย่อยเจ็ดที่อยู่บนกำแพงเมืองมองเงาของหลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สองคนเดินหายเข้าไปในหอหลักใจกลางเมือง ปากก็เอ่ยพึมพำกับตนเองเช่นเดียวกัน

หลิ่วหมิงถูกผู้อาวุโสแซ่เหยากับผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งพาตรงมายังห้องลับห้องหนึ่งในหอหลัก ผู้อาวุโสแซ่เหยาสะบัดแขนเสื้อ กางเขตแดนปิดกั้นเสียง

“เอาล่ะ ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว” ผู้อาวุโสแซ่เหยาเอ่ยเรียบๆ

“สถานการณ์ที่ป้อมปราการไท่เทียนตอนนี้เป็นอย่างไร?” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหวเล็กน้อย

“หลายวันก่อนป้อมปราการไท่เทียนถูกกองทัพผีร้ายจู่โจมกะทันหัน โชคดีที่ผู้อาวุโสสี่ท่านในเมืองร่วมมือกันใช้ค่ายกลไท่เทียนโจมตีกองทัพผีให้ถอยร่นไปได้อย่างหวุดหวิด…ตอนนี้ทั้งเมืองถูกกองทัพผีใช้ ‘ค่ายกลสุสานผีประตูดำ’ ผนึกทั้งเมืองเอาไว้ ผู้ฝึกฝนทั้งหมดในเมืองรวมถึงผู้อาวุโสทั้งสี่ล้วนถูกขังอยู่ด้านใน ข่าวสารทั้งหมดในป้อมปราการล้วนถูกตัดขาดสิ้น…นอกจากนี้ ในกองทัพศัตรูยังมีผีระดับแม่ทัพใหญ่อยู่สี่ตน…” หลิ่วหมิงบอกเล่าสถานการณ์ของป้อมปราการไท่เทียนอย่างสั้นกระชับตรงประเด็นไม่กล้าปิดบังทันที

“ค่ายกลสุสานผีประตูดำ! ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่า…” ผู้เฒ่าแซ่เหยาแววตาไหววูบแล้วถอนหายใจแผ่วเบา

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาได้ยินว่ายังมีผีแม่ทัพใหญ่อีกสี่ตน คิ้วก็ขมวดแน่นดุจเดียวกัน

นอกเมืองแสงทองตอนนี้ก็มีผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์สองตน คาดว่าเมืองอื่นอีกสามเมืองก็คงสถานการณ์พอกัน ครั้งนี้กองทัพผีร้ายคงจะทุ่มสุดกำลังหมายจะถอนรากถอนโคนสี่กองทัพใหญ่ในคราวเดียว

“ใช่แล้ว อาจารย์อาหั่วเยี่ยปรากฏตัวหรือไม่?” ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาก็คิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยปากถาม

“ปรมาจารย์หั่วเยี่ยไม่ปรากฏตัวเลย ดังนั้นผู้อาวุโสเผิงกับผู้อาวุโสอีกสามนิกายที่เหลือจึงหารือกันแล้วตัดสินใจส่งศิษย์คนหนึ่งจากแต่ละนิกายฝ่าวงล้อมออกจากเมืองรีบเร่งเดินทางมายังเมืองหลักทั้งสี่…นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเผิงวานศิษย์มอบให้ผู้อาวุโสทั้งสอง” แสงสีเงินสว่างขึ้นในมือหลิ่วหมิงแล้วแผ่นกลมขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

แผ่นกลมแผ่นนี้เหมือนใช้โลหะพิเศษบางอย่างหลอมขึ้นมาทั้งชิ้น มองแวบแรกไม่สะดุดตา แต่กลับแผ่กลิ่นอายประหลาดบางอย่างออกมา

ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาเห็นแผ่นกลมสีเงินในมือหลิ่วหมิง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขาสบตากันอย่างอดไม่ได้

“ผู้อาวุโสเผิงยังมีคำใดฝากมาถึงพวกเราหรือไม่?” ผู้อาวุโสแซ่เหยาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม

“ผู้อาวุโสเผิงบอกว่ายามนี้สถานการณ์ดำเนินมาถึงช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตายแล้ว มีแต่ต้องใช้วิธีนี้จึงจะพลิกสถานการณ์ได้ กองทัพอื่นก็จะทำเช่นนี้ดุจเดียวกัน” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม

“เจตนาของพวกเขา ข้าเข้าใจแล้ว ความจริงพวกเราสองคนก็มีความคิดนี้นานแล้ว แต่จนปัญญาที่ไม่มีตราชิ้นที่สามนี่” ผู้อาวุโสแซ่เหยารับแผ่นกลมมาจากมือหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเอื่อยๆ

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาพยักหน้า

“จริงสิ การจะใช้มาตรการสุดท้ายนี่ต้องใช้ตราสามชิ้น แต่ละชิ้นต้องมีมนตร์ลับพิเศษที่สอดพ้องกัน ผู้อาวุโสเผิงน่าจะเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วกระมัง?” ผู้อาวุโสแซ่เหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นมา

“ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล ผู้อาวุโสเผิงถ่ายทอดมนตร์ให้ศิษย์แล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้าบาดเจ็บอยู่ โคจรปราณอยู่ที่นี่ก่อนสักพัก ตอนจะเริ่มยังต้องให้เจ้าช่วยอีก” ผู้อาวุโสแซ่เหยาพยักหน้าเอ่ยขึ้นมา

หลิ่วหมิงขานรับคำหนึ่งแล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิที่มุมห้องโถง

……

นอกเมืองขุ่ยเหล่ยที่นิกายเทียนกงอยู่ก็ถูกกองทัพผีร้ายหลายหมื่นล้อมอยู่ดุจเดียวกัน จำนวนมีแต่จะมากกว่าเมืองจินกวังไม่มีน้อยกว่า

แต่ยามนี้กองทัพนอกเมืองแลดูอลหม่านเล็กน้อย บนที่ราบใกล้กำแพงเมืองทิศใต้ของเมืองมีเศษซากหุ่นเรือเหาะขนาดหลายจั้งอยู่ลำหนึ่ง ดูจากร่องรอยความเสียหายเหมือนเพิ่งถูกทำลายไม่นาน

ณ ตำหนักใหญ่หลังหนึ่งในเมืองขุ่ยเหล่ย ชายหนุ่มหน้าซื่อผู้สวมอาภรณ์สีเหลืองยามนี้เสื้อผ้าขาดวิ่น บนร่างมีแผลเพิ่มมาหลายแห่ง เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น บุรุษวัยกลางคนผมขาวรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ฝ่ามือส่งแสงสีขาวน้ำนมสายหนึ่งออกมาล้อมชายหนุ่มหน้าซื่อไว้ด้านใน

ด้านข้างชายหนุ่มมีผู้เฒ่าร่างแคระสวมเสื้อสีแดงอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง แม้รูปร่างจะผิดแปลก แต่ลมปราณที่แผ่ออกมา เมื่อเทียบกับบุรุษวัยกลางคนผมขาวแล้วไม่อ่อนแอกว่าแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปเนิ่นนานชายหนุ่มหน้าซื่อจึงลืมตาขึ้น บาดแผลบนร่างสมานตัวแล้วมากกว่าครึ่ง เขาลุกขึ้นยืนจากนั้นค้อมกายเอ่ยขึ้นว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโสโหยวที่ลงมือช่วยเหลือ ศิษย์ไม่เป็นไรแล้ว!”

“เอาล่ะ คำพูดไร้สาระเอาไว้ค่อยพูดกัน เจ้าจากป้อมปราการไท่เทียนมาที่นี่ เจ้าหมอนั่นน่าจะมีเรื่องสำคัญต้องบอกพวกเราสองคนสินะ” บุรุษวัยกลายคนผมขาวเก็บแสงสีขาวในมือไปแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ขอรับ ผู้อาวุโสฝางคิดจะใช้หุ่นเทพอนธการ” ชายหนุ่มหน้าซื่อพลิกมือ ในมือพลันปรากฏวงล้อรูปหกเหลี่ยมชิ้นหนึ่งขึ้นในมือ

บุรุษวัยกลางคนผมขาวเห็นเช่นนี้ รูม่านตาพลันหดเล็กลงเล็กน้อย เขาแลกสายตากับบุรุษร่างแคระชุดแดง จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้านิดๆ

……

ห้องลับที่หอแห่งหนึ่งในเมืองฝูหมัว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสสือเห็นด้วยกับการปลุกกิ้งก่ามารคลั่ง พวกเราก็ทำเช่นนั้นเถิด นอกจากนี้ก็ไม่มีวิธีดีอื่นใดแล้ว” หญิงงามแซ่ฉีถอนหายใจ

ข้างกายนาง ชายหนุ่มคิ้วยาวอาภรณ์สีดำกลับตื่นเต้นเล็กน้อย

เบื้องหน้าทั้งสองคน สตรีผู้ปิดบังใบหน้าคนหนึ่งกำลังยืนตรงสีหน้านอบน้อม หน้าอกพองขึ้นยุบลงคล้ายพลังเวทพร่องไปอยู่บ้าง

“ถ่ายทอดคำสั่งไป ศิษย์กองทัพซ่อนมารทั้งหมดในเมืองเตรียมตัวให้พร้อม อีกครึ่งวันโต้กลับ!” หญิงงามแซ่ฉีสั่งเสียงเย็นชา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1045 เตรียมพร้อมโจมตี

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1045 เตรียมพร้อมโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงปลิวกลิ้งออกไปหลายสิบจั้งกว่าจะตั้งหลักได้อย่างหวุดหวิด สีหน้าซีดเผือด กระอักเลือดออกมาติดกันหลายคำ

สีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนเผ่ามนุษย์คนนี้จะทนรับการโจมตีเกือบเต็มแรงของเขาได้โดยที่ยังมีชีวิต เพียงกระอักเลือดออกมาไม่กี่คำ

เขาสีหน้าเคร่งเครียด มือข้างหนึ่งเหวี่ยงตบไปทางท้องฟ้าด้านบนของหลิ่วหมิง

เสียงสั่นสะเทือนดัง “วิ้งๆ” ดังขึ้นกลางท้องฟ้า สายลมแรงหอบพัด จากนั้นแสงแวววาวสีดำสายแล้วสายเล่าพลันปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ก่อตัวเป็นก้อนกลายเป็นขวานยักษ์สีดำขนาดเท่าตึกอันหนึ่งในพริบตา มันสั่นไหวเบาๆ แล้วฟันลงมาเหนือศีรษะหลิ่วหมิงทันที

แรงกดดันจิตวิญญาณอันคมกริบและหนักหน่วงสายหนึ่งปะทุออกมา แม้แต่อากาศรอบด้านก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป เกิดเป็นรอยคลื่นที่ตาเปล่ามองเห็น

พริบตาเดียวแรงกดดันจิตวิญญาณก็ส่งผลกับร่างของหลิ่วหมิง ทำให้ร่างกายเขาฉับพลันหนักอึ้ง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกทั่วร่างราวกับจะระเบิดในอึดใจต่อมา!

หลิ่วหมิงตื่นตระหนก เขากำลังจะลงมือทำบางอย่าง ทันใดนั้นแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่มาจากทางเมืองจินกวัง โจมตีบนขวานใหญ่สีดำดุจสายฟ้าแลบ

แสงสีขาวกับสีดำระเบิดไปรอบด้าน หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างจากทั้งสองใกล้ที่สุด ความคิดแล่นเร็วจี๋ เร่งปราณดำรอบร่างออกมาปกป้องทั้งร่างเอาไว้ จึงไม่ถูกแสงทั้งสองสีทำร้าย

เวลานี้เขาพอมองเห็นชัดว่าใจกลางแสงสีขาวคือกำไลหยกสีขาวขนาดหนึ่งจั้งกว่าชิ้นหนึ่งซึ่งมีกลิ่นอายมงคลลอยขึ้นมาพร้อมกับพลังจิตวิญญาณดุจสิ่งมีชีวิต

นี่คืออาวุธเวทชิ้นหนึ่ง!

บนกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าแซ่เหยายืนโต้สายลม สายตาประสานกับผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์จากไกลๆ

สองมือของเขายิงเคล็ดวิชาหลายสายออกมาอย่างต่อเนื่อง กำไลหยกสีขาวที่ต้านขวานยักษ์สีดำอยู่เปล่งแสงเจิดจ้า เสียงปังดังขึ้นครั้งหนึ่ง มันก็ดีดขวานยักษ์สีดำออกแล้วพุ่งเร็วจี๋กลับไป

กำไลหยกระเบิดแสงสีขาวสายหนึ่งออกมาม้วนหลิ่วหมิงเข้าไปข้างใน

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่ศพขาดวิ่นชุดดำร่างนั้นที่อยู่ไกลๆ แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่กลับมา

กลางแสงสีทองคือยันต์สีทองอ่อนแผ่นหนึ่ง มันคือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง

ใช้ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองเป็นตัวตายตัวแทนเป็นวิธีที่หลิ่วหมิงใช้จนชำนาญ วันนี้ก็ได้ผลดังที่คิดเหมือนเดิม

ชั่วอึดใจแสงสีขาวก็ล้อมร่างกายของหลิ่วหมิงไว้จนหมดแล้วกลายเป็นรุ้งแวววาวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าไปพร้อมกำไลหยกสีขาว ผีแม่ทัพใหญ่ตนนั้นไม่ทันลงมือขัดขวางสักนิด กำไลหยกก็กะพริบวูบวาบไม่กี่หนร่อนลงบนกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองจินกวัง

“ขอบคุณผู้อาวุโสเหยายิ่งนัก!”

บนกำแพงเมือง หลังจากหลิ่วหมิงเก็บยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองไปแล้วก็หันไปค้อมกายคำนับผู้เฒ่าแซ่เหยา

ผู้เฒ่าแซ่เหยารั้งสายตากลับมาจากมือหลิ่วหมิงแล้วโบกมือเบาๆ ให้เขา จากนั้นสายตาจึงมองไปนอกเมือง

บนท้องฟ้านอกเมือง ผีแม่ทัพใหญ่เกราะเงินขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ไล่ตามโจมตีต่อ เขากวักมือข้างหนึ่ง ขวานใหญ่สีดำพลันกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือของเขา

ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีเสียงหวีดแหลมยาวดังขึ้นหลายครั้งจากกองทัพผีร้ายที่ล้อมโจมตีเมืองจินกวังอยู่ จากนั้นกองทัพก็ค่อยๆ ผละถอย วางธงพักรบชั่วคราว

ผู้เฒ่าแซ่เหยาเห็นกองทัพผีนอกเมืองถอยไปชั่วคราวก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมา ขณะที่คิดจะเอ่ยปากถามอันใด แสงสีเทาสายหนึ่งพลันพุ่งลงมา เงาของบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาก็คือผู้อาวุโสแซ่เว่ยนั่นเอง

“พี่เหยา!” บุรุษวัยพลางคนเส้นผมสีเทากับผู้อาวุโสเหยาทักทายกันเล็กน้อยแล้วเลื่อนสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสอง” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับทันที

“ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่อหลิ่วหมิงสินะ ก่อนหน้านี้ถูกส่งไปป้อมปราการไท่เทียน” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทามองหลิ่วหมิง ใบหน้าเผยสีหน้าสงสัยออกมาเล็กน้อย

“ใช่ศิษย์เองขอรับ ครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสเผิงคุน ฝ่าวงล้อมที่ป้อมปราการไท่เทียนมาถึงที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญต้องแจ้งผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสอง” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม

แม้ผู้อาวุโสแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาในใจจะคาดเดาได้อยู่เลือนราง แต่หลังจากได้ฟังก็ยังตกใจ

ยามนี้เมืองจินกวังทั้งเมืองแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง กับป้อมปราการไท่เทียนยิ่งถูกตัดการติดต่อ แม้พวกเขาสองคนต้องการส่งศิษย์ฝ่าวงล้อมออกไป แต่เพราะสาเหตุนานาประการจึงไม่สำเร็จ

“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย มาเถอะ” ผู้เฒ่าแซ่เหยาโบกแขนเสื้อ แสงสีขาวสายหนึ่งม้วนออกมาหุ้มร่างของหลิ่วหมิงเอาไว้ แล้วเหาะไปที่หอสูงใจกลางเมือง

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาสั่งเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการระดับแก่นแท้บนกำแพงเมืองให้ป้องกันกองทัพผีร้ายนอกกำแพงเมืองอย่างเข้มงวด จากนั้นร่างกายจึงขยับติดตามไปด้วย

“คนผู้นั้นเมื่อครู่ ไม่ใช่หลิ่วหมิงหรือ” ในหมู่ศิษย์ที่ปกป้องเมือง มีคนจดจำหลิ่วหมิงได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก

  ในเวลาห้าปีนี้ หลิ่วหมิงก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างคนหนึ่งในกองทัพแสงทอง คนที่รู้จักเขาย่อมไม่น้อย

“ได้ยินว่าเขาถูกส่งไปป้อมปราการไท่เทียนไม่ใช่หรือ ทำไมมาปรากฏตัวที่นี่ได้”

“หรือเขาจะหนีออกมาจากป้อมปราการไท่เทียน?” ผู้ฝึกฝนรอบด้านต่างพากันถกเถียง

บนกำแพงเมืองอีกด้านหนึ่ง ทารกเฮ่าเยวี่ยสบตากับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่นึกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน แต่เวลานี้หลิ่วหมิงถูกผู้อาวุโสเหยากับผู้อาวุโสเว่ยพาตัวไปแล้ว พวกเขาสองคนย่อมไม่อาจสอดปาก

“ศิษย์น้องหลิ่วกลับมาได้อย่างไร…”

หมิ่นหรงอดีตหัวหน้าหน่วยย่อยเจ็ดที่อยู่บนกำแพงเมืองมองเงาของหลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สองคนเดินหายเข้าไปในหอหลักใจกลางเมือง ปากก็เอ่ยพึมพำกับตนเองเช่นเดียวกัน

หลิ่วหมิงถูกผู้อาวุโสแซ่เหยากับผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งพาตรงมายังห้องลับห้องหนึ่งในหอหลัก ผู้อาวุโสแซ่เหยาสะบัดแขนเสื้อ กางเขตแดนปิดกั้นเสียง

“เอาล่ะ ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว” ผู้อาวุโสแซ่เหยาเอ่ยเรียบๆ

“สถานการณ์ที่ป้อมปราการไท่เทียนตอนนี้เป็นอย่างไร?” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหวเล็กน้อย

“หลายวันก่อนป้อมปราการไท่เทียนถูกกองทัพผีร้ายจู่โจมกะทันหัน โชคดีที่ผู้อาวุโสสี่ท่านในเมืองร่วมมือกันใช้ค่ายกลไท่เทียนโจมตีกองทัพผีให้ถอยร่นไปได้อย่างหวุดหวิด…ตอนนี้ทั้งเมืองถูกกองทัพผีใช้ ‘ค่ายกลสุสานผีประตูดำ’ ผนึกทั้งเมืองเอาไว้ ผู้ฝึกฝนทั้งหมดในเมืองรวมถึงผู้อาวุโสทั้งสี่ล้วนถูกขังอยู่ด้านใน ข่าวสารทั้งหมดในป้อมปราการล้วนถูกตัดขาดสิ้น…นอกจากนี้ ในกองทัพศัตรูยังมีผีระดับแม่ทัพใหญ่อยู่สี่ตน…” หลิ่วหมิงบอกเล่าสถานการณ์ของป้อมปราการไท่เทียนอย่างสั้นกระชับตรงประเด็นไม่กล้าปิดบังทันที

“ค่ายกลสุสานผีประตูดำ! ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่า…” ผู้เฒ่าแซ่เหยาแววตาไหววูบแล้วถอนหายใจแผ่วเบา

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาได้ยินว่ายังมีผีแม่ทัพใหญ่อีกสี่ตน คิ้วก็ขมวดแน่นดุจเดียวกัน

นอกเมืองแสงทองตอนนี้ก็มีผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์สองตน คาดว่าเมืองอื่นอีกสามเมืองก็คงสถานการณ์พอกัน ครั้งนี้กองทัพผีร้ายคงจะทุ่มสุดกำลังหมายจะถอนรากถอนโคนสี่กองทัพใหญ่ในคราวเดียว

“ใช่แล้ว อาจารย์อาหั่วเยี่ยปรากฏตัวหรือไม่?” ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาก็คิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยปากถาม

“ปรมาจารย์หั่วเยี่ยไม่ปรากฏตัวเลย ดังนั้นผู้อาวุโสเผิงกับผู้อาวุโสอีกสามนิกายที่เหลือจึงหารือกันแล้วตัดสินใจส่งศิษย์คนหนึ่งจากแต่ละนิกายฝ่าวงล้อมออกจากเมืองรีบเร่งเดินทางมายังเมืองหลักทั้งสี่…นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเผิงวานศิษย์มอบให้ผู้อาวุโสทั้งสอง” แสงสีเงินสว่างขึ้นในมือหลิ่วหมิงแล้วแผ่นกลมขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

แผ่นกลมแผ่นนี้เหมือนใช้โลหะพิเศษบางอย่างหลอมขึ้นมาทั้งชิ้น มองแวบแรกไม่สะดุดตา แต่กลับแผ่กลิ่นอายประหลาดบางอย่างออกมา

ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาเห็นแผ่นกลมสีเงินในมือหลิ่วหมิง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขาสบตากันอย่างอดไม่ได้

“ผู้อาวุโสเผิงยังมีคำใดฝากมาถึงพวกเราหรือไม่?” ผู้อาวุโสแซ่เหยาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม

“ผู้อาวุโสเผิงบอกว่ายามนี้สถานการณ์ดำเนินมาถึงช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตายแล้ว มีแต่ต้องใช้วิธีนี้จึงจะพลิกสถานการณ์ได้ กองทัพอื่นก็จะทำเช่นนี้ดุจเดียวกัน” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม

“เจตนาของพวกเขา ข้าเข้าใจแล้ว ความจริงพวกเราสองคนก็มีความคิดนี้นานแล้ว แต่จนปัญญาที่ไม่มีตราชิ้นที่สามนี่” ผู้อาวุโสแซ่เหยารับแผ่นกลมมาจากมือหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเอื่อยๆ

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาพยักหน้า

“จริงสิ การจะใช้มาตรการสุดท้ายนี่ต้องใช้ตราสามชิ้น แต่ละชิ้นต้องมีมนตร์ลับพิเศษที่สอดพ้องกัน ผู้อาวุโสเผิงน่าจะเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วกระมัง?” ผู้อาวุโสแซ่เหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นมา

“ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล ผู้อาวุโสเผิงถ่ายทอดมนตร์ให้ศิษย์แล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้าบาดเจ็บอยู่ โคจรปราณอยู่ที่นี่ก่อนสักพัก ตอนจะเริ่มยังต้องให้เจ้าช่วยอีก” ผู้อาวุโสแซ่เหยาพยักหน้าเอ่ยขึ้นมา

หลิ่วหมิงขานรับคำหนึ่งแล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิที่มุมห้องโถง

……

นอกเมืองขุ่ยเหล่ยที่นิกายเทียนกงอยู่ก็ถูกกองทัพผีร้ายหลายหมื่นล้อมอยู่ดุจเดียวกัน จำนวนมีแต่จะมากกว่าเมืองจินกวังไม่มีน้อยกว่า

แต่ยามนี้กองทัพนอกเมืองแลดูอลหม่านเล็กน้อย บนที่ราบใกล้กำแพงเมืองทิศใต้ของเมืองมีเศษซากหุ่นเรือเหาะขนาดหลายจั้งอยู่ลำหนึ่ง ดูจากร่องรอยความเสียหายเหมือนเพิ่งถูกทำลายไม่นาน

ณ ตำหนักใหญ่หลังหนึ่งในเมืองขุ่ยเหล่ย ชายหนุ่มหน้าซื่อผู้สวมอาภรณ์สีเหลืองยามนี้เสื้อผ้าขาดวิ่น บนร่างมีแผลเพิ่มมาหลายแห่ง เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น บุรุษวัยกลางคนผมขาวรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ฝ่ามือส่งแสงสีขาวน้ำนมสายหนึ่งออกมาล้อมชายหนุ่มหน้าซื่อไว้ด้านใน

ด้านข้างชายหนุ่มมีผู้เฒ่าร่างแคระสวมเสื้อสีแดงอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง แม้รูปร่างจะผิดแปลก แต่ลมปราณที่แผ่ออกมา เมื่อเทียบกับบุรุษวัยกลางคนผมขาวแล้วไม่อ่อนแอกว่าแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปเนิ่นนานชายหนุ่มหน้าซื่อจึงลืมตาขึ้น บาดแผลบนร่างสมานตัวแล้วมากกว่าครึ่ง เขาลุกขึ้นยืนจากนั้นค้อมกายเอ่ยขึ้นว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโสโหยวที่ลงมือช่วยเหลือ ศิษย์ไม่เป็นไรแล้ว!”

“เอาล่ะ คำพูดไร้สาระเอาไว้ค่อยพูดกัน เจ้าจากป้อมปราการไท่เทียนมาที่นี่ เจ้าหมอนั่นน่าจะมีเรื่องสำคัญต้องบอกพวกเราสองคนสินะ” บุรุษวัยกลายคนผมขาวเก็บแสงสีขาวในมือไปแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ขอรับ ผู้อาวุโสฝางคิดจะใช้หุ่นเทพอนธการ” ชายหนุ่มหน้าซื่อพลิกมือ ในมือพลันปรากฏวงล้อรูปหกเหลี่ยมชิ้นหนึ่งขึ้นในมือ

บุรุษวัยกลางคนผมขาวเห็นเช่นนี้ รูม่านตาพลันหดเล็กลงเล็กน้อย เขาแลกสายตากับบุรุษร่างแคระชุดแดง จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้านิดๆ

……

ห้องลับที่หอแห่งหนึ่งในเมืองฝูหมัว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสสือเห็นด้วยกับการปลุกกิ้งก่ามารคลั่ง พวกเราก็ทำเช่นนั้นเถิด นอกจากนี้ก็ไม่มีวิธีดีอื่นใดแล้ว” หญิงงามแซ่ฉีถอนหายใจ

ข้างกายนาง ชายหนุ่มคิ้วยาวอาภรณ์สีดำกลับตื่นเต้นเล็กน้อย

เบื้องหน้าทั้งสองคน สตรีผู้ปิดบังใบหน้าคนหนึ่งกำลังยืนตรงสีหน้านอบน้อม หน้าอกพองขึ้นยุบลงคล้ายพลังเวทพร่องไปอยู่บ้าง

“ถ่ายทอดคำสั่งไป ศิษย์กองทัพซ่อนมารทั้งหมดในเมืองเตรียมตัวให้พร้อม อีกครึ่งวันโต้กลับ!” หญิงงามแซ่ฉีสั่งเสียงเย็นชา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+