ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 538 ลายโอสถหกเส้น

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 538 ลายโอสถหกเส้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากนั้นเขาก็เก็บผลผลึกเขียวทั้งหมดเข้าไป และกล่าวลาหญิงชุดดำกับเถ้าแก่เผ่าค้างคาว

……

หลังจากเถ้าแก่เผ่าค้างคาวผู้นั้นไปส่งหลิ่วหมิงแล้ว ก็กลับขึ้นมาบนหอชั้นสาม และประสานมือคารวะหญิงชุดดำด้วยสีหน้าดีใจ

“ฮูหยิน ยินดีด้วย! มีโอสถเหล่านี้แล้ว การทะลวงคอขวดระดับผลึกของนายน้อย ก็มีความหวังขึ้นมามากแล้ว”

หญิงชุดดำได้ยินก็พยักหน้าด้วยความดีใจ ขณะนี้ มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งก็คือชายวัยกลางคนที่จัดวัตถุดิบโอสถอยู่ในหอนั่นเอง

“วิชาดวงตาของเจ้า สามารถมองออกได้ว่าคนผู้นี้ใช้วิชาแปลงร่างหรือไม่?” หญิงชุดดำกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“เรียนฮูหยินกง ข้าใช้วิชาดวงตาโลหิตสังเกตดูแล้ว คนผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาบางอย่างในการเปลี่ยนแปลงกระดูก คิดว่าใบหน้าในตอนนี้ก็คงไม่ใช่ใบหน้าเดิมของเขา นอกจากนี้ ความจริงแล้วคนผู้นี้มีอายุไม่มาก การฝึกฝนก็อยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายจริงๆ” ชายวัยกลางคนโค้งคารวะ และกล่าวอย่างนอบน้อม

“ทำไมหรือ? ฮูหยินรู้สึกว่าคนผู้นี้มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?” เถ้าแก่ชุดดำถาม

“ข้ารู้สึกสงสัยเล็กน้อย หากคนผู้นี้เป็นลูกน้องหรือศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านหนึ่งล่ะก็ ตามหลักแล้วจะไม่พกโอสถระดับพสุธาติดตัวเป็นจำนวนมากเช่นนี้ อีกอย่าง การที่เขาสามารถตัดสินใจแลกโอสถอย่างง่ายดาย มันก็ทำให้น่าสงสัยแล้ว แต่เขาอายุน้อยเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยเหมือนไปหน่อย ช่างเถอะ! ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถหรือไม่ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้เช่นนี้ ส่วนมากเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่ไม่อยากผูกมัดกับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ มิเช่นนั้นคงไม่ระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในตลาดจับจ้องเขา เขาก็หยุดขายโอสถในทันที” หญิงชุดดำคิดไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

“ฮูหยินกล่าวได้มีเหตุผล แต่หากคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนอิสระจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเผ่าค้างคาวเรา เผ่าเราชำนาญการปลูกผลผลึกเขียว แต่ในเผ่ากลับไม่มีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถขั้นสูง และโอสถเพิ่มพูนพลังเวทอย่างโอสถผลึกเย็นกลับมีความต้องการเป็นอย่างมาก” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมา

“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เผ่าเราจะต้องตีสนิทเขาให้มาก การค้าในปกติก็ให้ผลประโยชน์เขามากหน่อย หากเราสามารถใช้งานคนผู้นี้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องโอสถอีก และหากในมือเขายังมีโอสถพสุธาล่ะก็ ไม่แน่เผ่าเราอาจจะมีระดับผลึกเกิดขึ้นอีกหลายคน” หญิงชุดดำพยักหน้า และหันไปกำชับเถ้าแก่ชุดดำ

“ข้าน้อยรับทราบ ฮูหยินวางใจได้” เถ้าแก่ชุดดำรีบตอบรับอย่างนอบน้อม

……

บนถนนมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของตลาด หลิ่วหมิงที่ปลอมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำ ดูเหมือนจะเดินแทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างไร้จุดหมาย

การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เขาได้รับผลประโยชน์มามาก นอกจากผลผลึกเขียวพันปีห้าลูกแล้ว หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณก็ช่วยแก้ปัญหาจวนตัวในการเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ในครั้งนี้ได้

หลังจากกลับมาหอร้อยหลอม เขาก็กำชับให้เถ้าแก่เย่ดูแลร้านให้ดี จากนี้ไปเขาจะกักตัวฝึกฝนครึ่งเดือน หากมีเรื่องเร่งด่วนก็ให้บอกเขาผ่านแผ่นค่ายกล

หลังจากพูดกำชับเสร็จ เขาก็เข้าไปในห้องลับบนชั้นสาม และนั่งขัดสมาธิลงไป

……

สิบวันต่อมา

ภายในห้องลับ

หลิ่วหมิงจ้องมองผลผลึกเขียวที่เปล่งประกายอยู่บนมือ มันคือผลผลึกเขียวที่มีอายุหนึ่งพันสามร้อยปีนั่นเอง

และในกล่องหยกที่อยู่ข้างเขา ก็มีโอสถธรรมดาวางอยู่สิบสองเม็ด และโอสถพสุธาแปดเม็ด เจ็ดเม็ดในนั้นมีลายโอสถสี่เส้น อีกเม็ดมีไอเย็นลอยวนอยู่ ซึ่งมันคือโอสถพสุธาที่มีลายโอสถห้าเส้น

หลายวันก่อน เขาได้นำผลผลึกเขียวทั้งสี่มาปรุงจนหมด และรับรู้ได้ลางๆ ว่าดูเหมือนวิชาปรุงโอสถของเขาจะก้าวหน้าไปอีกเล็กน้อย

“โอสถที่ปรุงขึ้นจากผลผลึกเขียวพันปีเหล่านี้ ล้วนเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมด ไม่รู้ว่าผลผลึกเขียวหนึ่งพันสามร้อยปีลูกนี้ จะปรุงโอสถระดับที่สูงยิ่งกว่าได้หรือไม่?” ดวงตาหลิ่วหมิงดูเร่าร้อนขึ้นมา และพูดพึมพำอย่างอดไม่ได้

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ลังเล และปล่อยพลังออกไป พอมีเสียงดัง “โครมคราม!” เตาหลอมสีเงินตรงหน้าก็สั่นสะท้าน และฝาของมันก็ค่อยๆ เปิดออกมา

เขาโยนมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศเบาๆ จากนั้นผลผลึกเขียวที่มีแสงเปล่งประกาย ก็พุ่งออกไป และหล่นลงในเตาหลอม

พอเขาตบพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง ลมเย็นสบายก็พัดขึ้นจากพื้น และวัตถุดิบเสริมหลายอย่างก็ค่อยๆ ถูกม้วนเข้าไปในเตาหลอม

พอเขาโบกแขนเสื้อ ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง

จากนั้นนิ้วมือทั้งสิบก็เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ขณะเดียวก็ร่ายคาถาออกมา อักขระสีเงินบนเตาหลอมค่อยๆ เปล่งประกาย ทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงก็ลุกโชนขึ้นมาจากด้านล่างเตาหลอม

……

สามวันต่อมา เตาหลอมสีเงินลอยอยู่กลางอากาศ ขณะเดียวก็ถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มส่วนล่างไว้

หลิ่วหมิงเดินวนรอบๆ เตาหลอมเป็นระยะๆ และปล่อยพลังใส่ตลอดเวลา เพื่อรักษอุณหภูมิของเปลวไฟ ขณะเดียวกันก็มีสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

การใช้ผลผลึกเขียวที่มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ใช้ในการปรุงโอสถก็นานขึ้นด้วยเช่นกัน

ด้วยระดับประสบการณ์ของหลิ่วหมิง ผลผลึกเขียวสองร้อยปีลงมา ใช้เวลาครึ่งวันก็ปรุงออกมาได้หนึ่งเตา ห้าร้อยปีก็ใช้เวลาหนึ่งวัน และหนึ่งพันปีขึ้นไปใช้เวลาประมาณสองวัน

ส่วนผลผลึกเขียวอายุหนึ่งพันสามร้อยปีนี้ ใช้เวลาปรุงมาเกือบสามวันแล้ว แต่โอสถก็ยังไม่ออกจากเตา สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงหงุดหงิดเล็กน้อย ขณะเดียวก็รู้สึกรอคอยด้วย

ทันใดนั้น ก็มีไอเย็นสะท้านแผ่ออกมาจากในห้องลับ และรวมตัวกันภายในช่องว่างของห้องลับโดยฉับพลัน จากนั้นก็กลายเป็นหมอกเมฆสีขาวเทาลอยอยู่เหนือเตาหลอมสีเงิน

และเตาหลอมก็ส่งเสียงดังออกมาเบาๆ

หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าไอเย็นซึมเข้าไปในร่าง พริบตาเดียวก็กระตุ้นพลังเวทในร่างขับไล่ไอเย็นนี้จนสลายไป

ครู่ต่อมา ก้อนเมฆสีขาวเทาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และค่อยๆ จมเข้าไปในเตาหลอม ขณะเดียวกันเปลวไฟสีแดงด้านล่างเตาหลอมก็หายไป

“ตู๊ม!”

ราวกับว่ามีเสียงระเบิดในเตาหลอม ไอเย็นสะท้านม้วนตัวออกไปทั่วทิศ

ปรากฎการณ์เช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงที่อยู่อีกด้านรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็เขม้นมองไปโดยไม่กระพริบตา

เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ไอเย็นยะเยือกก็ค่อยๆ สลายไปจนหมดสิ้น ทุกอย่างในห้องลับกลับมาเป็นปกติ

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา พอโบกแขนเสื้อฝาเตาหลอมก็เปิดออก

“ฟู่!”

แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งขึ้นด้านบน เผยให้เห็นโอสถผลึกเย็นอยู่ในเตาหลอมห้าเม็ด

เมื่อมองดูอย่างละเอียด หนึ่งในนั้นเป็นโอสถธรรมดาที่มีลายโอสถแค่สามเส้นเท่านั้น อีกสองเม็ดมีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอย่างชัดเจน อีกเม็ดถูกไอเย็นลอยวนอยู่ มองเห็นได้ลางๆ ว่ามีลายโอสถจางๆ ปรากฏอยู่ห้าเส้น และเม็ดที่อยู่ตรงมุมกลับถูกหมอกสีขาวห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา ไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีลายโอสถกี่เส้น

ทันทีที่เขาโบกมือ โอสถทั้งห้าก็ลอยออกจากเตาหลอม และหล่นลงบนมือของเขา หลังจากใส่เข้าไปในกล่องหยกสี่เม็ดแล้ว เขาก็สังเกตดูเม็ดสุดท้ายอย่างละเอียด

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ไอดำสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้ว และค่อยๆ ขับไล่หมอกขาวบนผิวโอสถอย่างระมัดระวัง ดวงตาทั้งคู่หรี่ลง และสังเกตดูมันอย่างละเอียด

ครู่ต่อมา ใบหน้ารอคอยของเขาก็เปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมา สุดท้ายก็หัวเราะเป็นการใหญ่

“ลายโอสถหกเส้น มีลายโอสถหกเส้นจริงๆ ด้วย นี่เกือบจะเข้าสู่โอสถระดับสวรรค์แล้ว!”

มือข้างหนึ่งของเขาประคองโอสถพสุธาที่มีลายโอสถหกเส้นขึ้นมาด้วยความดีใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คิดว่าคงเกิดจากโอสถเม็ดนี้

เขานำโอสถเม็ดนี้แยกใส่ในกล่องหยกสีเทาที่เย็นสะท้าน และเก็บเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างระมัดระวัง จากนั้นถึงนั่งสมาธิหลับตาพักผ่อน

……

ภายในห้องรับรองในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณเรือนร้อยหลอม ชายหนุ่มชุดเขียวหน้าตาชั่วช้า อายุราวๆ ยี่สิบสามปี กำลังโอบกอดหญิงงดงามสองนางอยู่

พอรับรู้ได้ถึงคลื่นสะสั่นเทือนเบาๆ กับไอเย็นสะท้านจางๆ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นก็มองไปยังร้านหลอมอาวุธที่อยู่นอกหน้าต่าง

“คุณชาย เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หญิงสาวรูปร่างงดงามผู้หนึ่งที่มีปิ่นปักผมสีทองอยู่บนศีรษะ กำลังเอามือข้างหนึ่งวางอยู่บนหน้าอกของชายหนุ่ม และถามออกมา

“ไม่มีอะไร แค่มีนกยูงสีเขียวบินผ่านตรงขอบฟ้าตัวหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดเขียวละสายตากลับมาแล้วยิ้มมุมปาก

“คุณชาย มีนกยูงที่ไหนกัน ทำไมข้าน้อยถึงมองไม่เห็น” หญิงสาวสวมชุดเย้ายวนอิงแอบแนบชิดชายหนุ่ม และกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล

“อยู่นี่ไง!” พอชายหนุ่มชุดเขียวทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ไอหมอกสีเขียวก็พวยพุ่งออกจากตัว และก่อตัวเป็นนกยูงสีเขียวอยู่ตรงหน้าเขา

มีเสียงหยอกล้อกันคิกคักดังออกมาจากห้องรับรองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ด้านนอกห้องรับรอง ชายฉกรรจ์ที่สูงจั้งกว่าๆ กำลังยืนเอามือกอดอกนิ่งๆ ราวกับเป็นเจดีย์เหล็ก และดูเหมือนจะไม่สนใจเสียงหยอกล้อที่อยู่ด้านใน

……

ณ เรือนโอสถเฮ่าหราน

ภายในห้องที่ถูกหมอกควันสีขาวสลัวๆ ปกคลุมไปทั่ว และมีไอเย็นสะท้านพุ่งออกมาเป็นระยะๆ

“ใครกันที่ทำให้ปราณจิตวิญญาณสั่นสะเทือน จนเกือบจะรบกวนการฝึกฝนของข้า”

หมอกควันสีขาวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็หดเข้าไปด้านใน และเผยให้เห็นร่างของชายผู้หนึ่ง

เขาก็คือบัณฑิตวัยกลางคนที่หลิ่วหมิงเคยเจอในร้านขายอสูรจิตวิญญาณนั่นเอง

บัณฑิตวัยกลางคนลุกเดินออกไปจากห้องลับทันที และมองไปทางเรือนร้อยหลอมทีหนึ่งด้วยสีหน้าฉงน แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าเดินกลับเข้าไปในห้องลับ และตั้งใจทำการฝึกฝนต่อ

ขณะเดียวกัน ห้องรับรองข้างห้องโถงของเรือนโอสถเฮ่าหราน

บัณฑิตหนุ่มกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และจ้องมองชายร่างผอมที่มีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ให้เจ้าไปสืบตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีแม้แต่เบาะแสของชายฉกรรจ์หน้าดำ ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!” บัณฑิตหนุ่มตำหนิด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“คุณชายโปรดอภัย! แต่ว่าคนที่คุณชายพูดถึงอาจจะออกไปจากตลาดฉางหยางแล้วก็ได้” ชายร่างผอมก้มหน้าพูด

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด