ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 594 จี้หยก

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 594 จี้หยก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่งเก็บกระบี่เล็กกลับมา และร่ายคาถาออกมาสองสามคำ พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ไอดำบนพื้นผิวก็ม้วนตัวออกมา จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวในพริบตา

ครู่ต่อมา ได้เกิดฉากแปลกประหลาดขึ้น!

ร่างหลิ่วหมิงบิดเบี้ยวแปลกประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายวับผ่านเงากระบี่จำนวนมากโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“นี่คือวิชาอะไร?”

ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่อาจวินิจฉัยสถานการณ์ตรงหน้าได้ชั่วขณะ เขาพอตัดสินใจทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอีกครั้ง เงากระบี่จำนวนมากที่อยู่ไม่ไกลก็ดับลง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวหมุนวนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง

หลิ่วหมิงกระแทกเท้าข้างหนึ่งลงพื้นทันที มีแสงสลัวๆ บนตัว จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นเงาร่างจางๆ พุ่งเข้าหาซาทงเทียน

ซาทงเทียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอพลิกมือข้างหนึ่ง กระบี่สีดำแวววาวก็ปรากฏบนมือ ทันใดนั้นแสงกระบี่สีขาวโพลนก็ม้วนตัวไปรับมือกับหลิ่วหมิง

“ฟู่!”

เงาที่หลิ่วหมิงกลายร่างมา ยืดยาวราวกับสายยาง จากนั้นก็บิดตัวอย่างแปลกประหลาดไม่กี่ที ก็ปลิวสะบัดผ่านแสงกระบี่อันครั่นคร้ามไป

ซาทงเทียนรู้สึกใจเย็นสะท้าน ขณะที่คิดจะกระตุ้นกระบี่สีดำในมือนั้น ภาพตรงหน้าก็พร่ามัว หลิ่วหมิงที่เดิมทีอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง กลับพร่ามัวกระโจนมาตรงหน้าเขา

ซาทงเทียนตกใจจนหน้าถอดสี และรีบพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งในทันที จากนั้นถึงหมุนตัวหนึ่งรอบแล้วร่อนลงบนแท่นประลอง

และแสงสีดำสลัวๆ บนตัวหลิ่วหมิงกลับสลายไป เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

แม้ว่าซาทงเทียนจะเป็นผู้มีใจลุ่มลึกมาโดยตลอด แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากนั้นก็ยกมือเก็บกระบี่อีกเล่มกลับมา และกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ข้ายอมแพ้!”

จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลอง

หลังจากซาทงเทียนเห็นท่าร่างของหลิ่วหมิงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม ก็รู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสชนะมากนัก จึงยอมแพ้แต่โดยดี

ฉากที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่รอบด้านหยุดการตอบสนองไปชั่วขณะ พอได้ยินซาทงเทียนบอกว่ายอมแพ้ ถึงกับพากันฮือฮาขึ้นมา

ขณะเดียวกันนี้ แม้ว่าศิษย์ระดับผลึกสองคนที่ตามซาทงเทียนมา จะไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่หลังจากมองหน้ากันแล้ว ต่างก็เห็นความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย

เหลียงจ้านเกอที่อยู่บนแท่นประลองกลับพยักหน้า และประกาศผลออกมา

และซาทงเทียนก็ขี่เมฆทะยานฟ้าไปกับพรรคพวกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรออกมา

แม้ว่าสีหน้าหลิ่วหมิงจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเคล็ดวิชาเงาสามส่วนนี้ใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก แค่ขั้นแรกก็มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าถ้าฝึกขั้นที่สองสำเร็จ และสร้างเงาร่างแปลกปลอมขึ้นมาจะมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ถึงเพียงใด

เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากโค้งคารวะเหลียงจ้านเกอแล้ว ก็ล่องลอยจากไปเช่นกัน

ไม่นาน เรื่องที่หลิ่วหมิงเงียบหายไปสองปีจากงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก และเอาชนะซาทงเทียนที่เป็นศิษย์สายในได้ ก็ถูกเผยแพร่ในบรรดาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ สิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง

แต่หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย หลังกลับไปถึงถ้ำที่พักก็เข้าไปกักตัวฝึกฝนในห้องลับ

เมื่อกาลเวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป หลิ่วหมิงก็อยู่ที่นิกายสายนอกมานานหลายปีแล้ว

ในระหว่างเวลานี้ นอกจากเขาจะไปตลาดแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ออกจากถ้ำที่พักเลย และย่อมไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์สายนอกคนอื่นๆ การประลองเล็กในสาขาก็ไม่ได้เข้าร่วม

นอกจากจะปรุงโอสถ ทานโอสถ และฝึกฝนเคล็ดวิชาแล้ว เขายังเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาทุกวันด้วย

หลังผ่านการฝึกฝนใช้เคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนขั้นที่หนึ่งจนชำนาญ เมื่อหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจเผชิญกับราชาปีศาจสมุทรระดับแก่นแท้ ก็มีโอกาสชนะมากขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

เมื่อกาลเวลาเคลื่อนย้ายผ่านไป หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของบรรดาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ทิ้งไว้เพียงข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น

เพราะนิกายยอดบริสุทธิ์ที่สืบทอดมาไม่รู้กี่หมื่นปีมานี้ จุดสนใจของผู้คนถูกเคลื่อนย้ายได้ง่ายมาก

ห้าปีต่อมา

ยอดเขาสูงใหญ่นับร้อยนับพันที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่มีเมฆหมอกรายล้อม ยังคงตั้งตระหง่านอย่างสงบเหมือนกับนับพันนับหมื่นปีที่ผ่านพ้นไป

มีแสงแปลกประหลาดพุ่งออกจากยอดเขาแต่ละแห่ง และพุ่งไปยังยอกเขาอีกแห่งอยู่ไม่ขาด ทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้บนอากาศ

สถานที่บางแห่งด้านหลังยอดเขาเลื่อนลอยที่สูงเสียดเมฆ ริมลำธารใสสะอาดที่เห็นฝูงมัจฉาแหวกว่ายไปมา มีหอประณีตงดงามที่สร้างขึ้นติดภูเขาอยู่หลังหนึ่ง

ดูเหมือนว่าด้านนอกของหอแห่งนี้ จะปกคลุมไปด้วยชั้นจำกัดม่านแสงที่ดูคล้ายกับคลื่นวารีสีฟ้า

ภายในหอ แสงสีม่วงเข้มกำลังขยายและหดตัวเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง พอมันสัมผัสกับชั้นจำกัดรอบด้านเล็กน้อย ก็กระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นสีฟ้าอยู่พักหนึ่ง

ไม่นาน ขณะที่เกิดเสียงสั่นสะเทือนของหุบเขาอย่างชัดเจน ลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากหอ และทะลุออกจากม่านแสงสีฟ้าที่อยู่ด้านบน จากนั้นก็หายไปบนท้องฟ้า ลำแสงนี้มีแสงสีม่วงหมุนวนเป็นเกลียวราวกับเมฆที่มีแสงเรืองรอง

ในขณะเดียวกัน อากาศบริเวณรอบๆ ลำแสงก็มีเมฆบางๆ ลอยวนอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถมองเห็นเม็ดแสงสีม่วงสิบกว่าเม็ดอยู่ในนั้นอยู่รำไร มันจัดเรียงวงโคจรที่แน่นอน และเปล่งประกายแวววาวราวกับดวงดาว

ในขณะเดียวกัน

“พลังเวทเกาะตัวเป็นผลึก!”

“มีคนเข้าสู่เข้าสู่ระดับผลึกแล้ว”

ศิษย์บนยอดเขาเลื่อนลอยเห็นเช่นนี้ ก็พากันหลุดปากออกมา บ้างก็เผยสีหน้าอิจฉาออกมา

ปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ได้ดึงดูดความสนใจของยอดเขาอื่นๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ศิษย์สายในจำนวนหนึ่งพากันเดินออกจากสถานที่ฝึกฝน และกระตุ้นแสงหลบหลีกมาบนยอดเขาที่อยู่บริเวณยอดเขาเลื่อนลอย และทำการชี้ไปต่างๆ นานา

บนพื้นที่กว้างติดกับยอดเขาอันยิ่งใหญ่ มีแสงหลบหลีกพุ่งเข้ามาและร่วงลงไปบริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด

ขณะนี้มีศิษย์สวมชุดศิษย์สายในสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้

หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจำโหวคุน เจ้าอั้นอิน และคนอื่นๆ ที่เข้าเป็นศิษย์สายในหลังงานประลองใหญ่ได้ ขณะนี้พวกเขากำลังจ้องมองปรากฏการณ์บนยอดเขาเลื่อนลอยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ในบรรดาคนเหล่านี้กลับมีชายหนุ่มใบหน้าแคบยาวผู้หนึ่ง ที่โดดเด่นราวกับนกกระสาในฝูงไก่ บนตัวแผ่คลื่นปราณกระบี่อันน่าตกใจออกมา พลังเวทของเขาได้เข้าถึงระดับผลึกแล้ว เขาก็คือซาทงเทียนนั่นเอง

“ไม่ทราบว่าสหายยอดเขาเลื่อนลอยท่านใดเข้าสู่ระดับผลึก ถึงได้เกิดปรากฏการณ์อันน่าตกใจเช่นนี้ แต่ว่าพลังต้นกำเนิดจะเกาะผลึกพลังเวทมาได้เพียงสิบแปดเม็ดเท่านั้น ดูท่าคงจะมีคุณสมบัติไม่เบา ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเสียจริง!” โหวคุนชายหนุ่มผมขาวกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“หลายปีมานี้ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ซาจะขยันเข้าออกยอดเขาเลื่อนลอยมาก มักจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับศิษย์พี่เจียหลานอยู่บ่อยๆ คงพอจะรู้เส้นสนกลในอยู่บ้าง?” เจ้าอั้นอินชำเลืองมองซาทงเทียนทีหนึ่งแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ

ตั้งแต่นางเข้านิกายสายในมา ไม่รู้ว่าฝึกฝนวิชาอะไรถึงทำให้แผลเป็นบนใบหน้าหายไปจนหมดสิ้น ตอนนี้ดูงดงามขึ้นมามาก

ซาทงเทียนยืนเอามือไขว้หลังจ้องมองไปทางยอดเขาเลื่อนลอยอย่างเงียบๆ แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา

“หรือว่า…… ผู้ที่เข้าสู่ระดับผลึกผู้นี้จะเป็นศิษย์พี่เจียหลาน?” ศิษย์สายในที่มีคิ้วหนาตาโตอีกคนกล่าวด้วยความตกใจ

“ศิษย์พี่เจียหลานเข้านิกายได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนจนถึงระดับผลึกแล้ว” ประจักษ์ชัดว่าโหวคุนก็ได้ยินชื่อเจียหลานมาก่อน ถึงได้กล่าวด้วยความประหลาดใจ

“เจียหลานมีร่างมายาสวรรค์ที่เหมาะสมสำหรับฝึกฝนทางด้านวิชามายา ตอนอยู่ระดับของเหลวขั้นปลายก็เคยสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาแล้ว สองปีก่อนก็พบกับความโชคดี ทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าไปมาก ทำให้ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้ในคราเดียว จึงทำให้ทะลวงคอขวดระดับผลึกได้เร็วเช่นนี้” ในที่สุดซาทงเทียนก็เอ่ยปากออกมา สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากยอดเขาเลื่อนลอยเลยแม้แต่น้อย

“ร่างมายาสวรรค์ เป็นร่างจิตวิญญาณที่ฝึกฝนวิชามายาได้ดีที่สุดหรือ?” พอโหวคุนได้ยินก็ตาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง

เขานับว่าเป็นร่างจิตวิญญาณห้าธาตุที่พบเจอในรอบร้อยปี ดังนั้นย่อมรู้สึกสนใจร่างมายาสวรรค์ที่พบเจอได้น้อยเช่นนี้

ซาทงเทียนกลับไม่ยอมพูดอะไรมาก ยังคงจ้องมองยอดเขาเลื่อนลอยด้วยแววตาหลงใหล ดวงตาดูปรือเล็กน้อย

แวบแรกที่เขาเห็นเจียหลานในงานเฉลิมฉลองเมื่อหลายปีก่อน ก็ตกตะลึงในความงามและพลังอันน่าตกใจของนาง ตั้งแต่นั้นมาก็หาข้ออ้างต่างๆ เข้าออกยอดเขาเลื่อนลอยอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าเจียหลานกลับมีท่าทีเฉยๆ กับเขามาโดยตลอด ทำให้เขาระทมทุกข์อยู่ไม่หยุด

บนต้นไม้ที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาสูงชันอีกลูก จินเทียนชื่อกำลังดื่มสุรารสเลิศจากน้ำเต้าสีเงินในมือ และมองดูปรากฏการณ์ทางด้านยอดเขาเลื่อนลอยด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

……

หลายวันต่อมา ข่าวที่เจียหลานเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ ก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในนิกายยอดบริสุทธิ์ ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจเป็นจำนวนมาก

เพราะใบหน้างดงามของเจียหลานได้รับการพูดถึงจากศิษย์ชายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายในหรือสายนอก ล้วนให้ความสนใจนางทั้งสิ้น

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงรีบกักตัวหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ

หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง ข่าวนี้ก็ค่อยๆ เงียบลงไป

……

ครึ่งปีต่อมา

หลิ่งหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ในมือกำลังถือจี้หยกสีดำมืดด้วยสีหน้าครุ่นคิด

จี้หยกนี้มีเนื้อเป็นสีดำมืด จะว่าเป็นไม้ก็ไม่ใช่เป็นโลหะก็ไม่เชิง รูปร่างก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ด้านหน้ามีภาพดวงดาวประทับอยู่ ด้านหลังกลับมีคำว่าดาวเป๋ยโต่ว[1]ประทับอยู่

สิ่งนี้หลิ่วหมิงได้มาจากยันต์เก็บของของปีศาจหยินหยาง

ตอนนั้นเขาใช้จิตกวาดดูแล้วก็ไม่ค้นพบอะไรเป็นพิเศษ จึงคิดว่าของสิ่งนี้เป็นแค่อาวุธเวททั่วไปเท่านั้น ถึงได้เอามันใส่ไว้ในแหวนย่อส่วนโดยไม่ได้สนใจอีก

แต่ทว่าในหลายวันก่อนที่หลิ่วหมิงไปค้นคว้าคัมภีร์ในหอเก็บคัมภีร์นั้น กลับค้นพบบันทึกเกี่ยวกับของสิ่งนี้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

………………………………

[1] ดาวเป๋ยโต่ว คือกลุ่มดาวหมีใหญ่หรือกลุ่มดาวจระข้ กลุ่มดาวนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในอดีตเป็นอย่างมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด