ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 457 ชนะอย่างง่ายดาย

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 457 ชนะอย่างง่ายดาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายผอมสูงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมองเห็นร่างจริงของเขาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้  ทั้งยังรวดเร็วจนเขาแทบจะรับมือไม่ทัน

ชายผอมสูงรีบเอาพัดมาต้านทานไว้บริเวณหน้าอก ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา แสงสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกจากพัดขนนก และเกาะตัวเป็นโล่สีเขียวมาบังอยู่ตรงหน้า

ชายร่างผอมสูงเพิ่งจะแสดงวิชาเสร็จ ก็เห็นกำปั้นที่มีไอดำลอยวนโจมตีลงบนโล่แสงสีเขียว ทันใดนั้นพลังมหาศาลบางอย่างก็ทะลักออกมา

“เพล้ง!” โล่แสงสีเขียวแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

และแขนข้างที่จับพัดขนนกอยู่ ก็ถูกพลังมหาศาลแฉลบผ่านไปจนทำให้บิดเบี้ยวเป็นรูปร่างแปลกๆ ไม่รู้ว่ากระดูกที่อยู่ข้างในจะหักไปแล้วกี่ท่อน ส่วนพัดขนนกก็กระเด็นออกไป

ยังไม่ทันที่ชายผอมสูงจะดึงสติกลับมาได้ กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็พุ่งเข้ามาถึง

ในขณะที่ชายผอมสูงรู้สึกหวาดกลัวนั้นปราณแกร่งคุ้มร่างสีเขียวก็พุ่งออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วร่าง แต่สำหรับกำปั้นของหลิ่วหมิงแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น หลังจากมีเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา ร่างของเขาก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และตกลงบนพื้นราวกับดินเลนที่เฉอะแฉะ จากนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

ตั้งแต่ตอนที่ชายผอมสูงหยิบพัดขนนกและปล่อยเงาร่างออกมา จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนกระเด็นออกไปนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น

พริบตาเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!

พลังอันน่าตกใจที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ที่รับชมอยู่รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเท่านั้น แม้แต่แม่ชีชุดดำกับหญิงแซ่เซียวก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา

เฟิงจ้านก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

“เจ้าเด็กนี่รวดเร็วมาก ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิชามายาของนิกายวิหคสรรค์เท่านั้น แต่กำปั้นสองลูกในเมื่อครู่ ยังแฝงพลังอันน่ากลัวที่มีน้ำหนักหลายหมื่นชั่งอยู่ด้วย คิดไม่ถึงว่าในมือของพี่เฟิง จะยังมีผู้ที่มีพลังระดับนี้อยู่ด้วย” นักพรตแซ่สือมองเฟิงจ้านทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายอันลึกซึ้ง

เฟิงจ้านได้ยินก็ยิ้มแห้งๆ และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“การต่อสู้ครั้งที่สาม พรรคฉางเฟิงชนะ” แม่ชีชุดดำประกาศออกมาหลังเรียกสติกลับมาได้

ประมุขนิกายวิหคสวรรค์จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าอึมครึม หลังจากโบกมือและออกคำสั่งไปสองสามประโยคแล้ว ก็มีศิษย์สองคนไปยกร่างชายผอมสูงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสออกมา

หลังจากชายจมูกเหยี่ยวใช้จิตกวาดดูศิษย์คนนี้แล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายรอบ

ดูเหมือนกระดูกของศิษย์ตรงหน้าจะหักเกือบหมด และกระดูกบริเวณหน้าอกกับแขนขวาสาหัสยิ่งกว่า

หยวนจุ้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโอสถให้ชายผอมสูงทานไปหลายเม็ด และถือโอกาสปล่อยพลังไปกระตุ้นฤทธิ์ของโอสถ จนสามารถระงับอาการบาดเจ็บได้ชั่วคราว

“สหายหลิ่วไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญสายกระบี่เท่านั้น แต่พลังของกายเนื้อก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนควบคู่ทั้งร่างฝึกและกระบี่” พอเฟิงจ้านเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็เดินออกไปรับด้วยรอยยิ้ม

“ท่านประมุขชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่โชคดีเอาชนะได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน

ขณะนี้ นักพรตแซ่สือที่อยู่ไม่ไกลกำลังยืนฟั่นหนวดสังเกตดูหลิ่วหมิง ดวงตาของเขาฉายแววฉงนเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังนึกอะไรอยู่

“พี่หลิ่วลงมือได้ไม่ธรรมดา ดูท่าเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้คงต้องพึ่งพวกเราทั้งสองแล้ว” ซินหยวนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา และเหลือบตามองดูมองดูชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงหมดสติอยู่

“นี่เป็นเพราะว่าคนนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้นดูเบาศัตรูไปหน่อย ข้าถึงมองวิชาของเขาออก” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ

ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ภายในกลุ่มอิทธิพลทั้งสาม นิกายวิหคสวรรค์มีผู้ชนะหนึ่งคน ส่วนพรรคฉางเฟิงแม้ว่าเว่ยจ้งจะพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง แต่หลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับชนะติดต่อกัน ขณะนี้จึงมีแค่พันธมิตรจินอวี้เท่านั้นที่ยังไม่มีผู้ชนะ

ไม่นาน การต่อสู้คู่ที่สี่ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างพันธมิตรจินอวี้กับนิกายวิหคสวรรค์ก็เริ่มขึ้นหลังจากที่แม่ชีชุดดำประกาศออกมา

ผู้ที่ออกไปต่อสู้ของฝั่งพันธมิตรจินอวี้ ก็คือบัณฑิตชุดคลุมสีทองที่มีรูปร่างผอมบางผู้นั้น ส่วนนิกายวิหคสวรรค์ก็เป็นชายฉกรรจ์ผมแดงผู้นั้น

พอทั้งสองเหยียบเท้าเข้าไปในค่ายกลแล้ว ก็ไม่พูดจาอะไรให้มากความอีก ต่างคนต่างหยิบอาวุธจิตวิญญาณออกมาตั้งท่าไว้

ที่เหนือความคาดหมายก็คือ อาวุธจิตวิญญาณที่บัณฑิตชุดคลุมสีทองใช้นั้น เป็นพู่กันหยกขาว และชายฉกรรจ์ผมแดงก็ใช้พู่กันไผ่เขียว

“ทั้งสองมีระดับการฝึกฝนเทียบเท่ากัน อาวุธจิตวิญญาณก็คล้ายกัน ต้องดูว่าพลังเวทของใครจะหนาแน่นกว่ากันแล้ว” นักพรตแซ่สือเอ่ยปากออกมา จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางค่ายกล ชายฉกรรจ์ผมแดงได้ลงมือก่อน พู่กันไผ่ในมือโบกสะบัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่ายคาถาออกมา

พอเขาวาดพู่กันไผ่ผ่านอากาศตรงหน้า มันก็ก่อตัวเป็นรูปนกนางแอ่นสีดำที่ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง หลังจากปล่อยพลังใส่อีกครั้ง เงานกนางแอ่นแต่ละตัวก็พุ่งออกจากภาพในทันที และพุ่งเข้าหาบัณฑิตชุดคลุมสีทองท่ามกลางเสียงที่ดังก้อง

บัณฑิตชุดคลุมสีทองเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับร่ายคาถาออกมา พอโบกสะบัดพู่กันหยกในมือ ก็มีรูปภาพปรากฏขึ้นมากลางอากาศเช่นกัน

พอแสงสีทองเปล่งประกาย ดอกบัวสีทองแต่ละดอกก็ปรากฏตรงหน้า และพอชี้พู่กันหยกออกไป มันก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว

“เปรี๊ยะๆ!”

นกนางแอ่นสีดำโจมตีดอกบัวสีทองติดต่อกัน ทันใดนั้น มันก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีดำในทันที

ขณะที่แสงสีทองกับแสงสีดำเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งนั้น ดอกบัวสีทองก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ!” จากนั้นก็กลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนหายไปในอากาศ

บัณฑิตชุดคลุมสีทองยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยน พอโบกสะบัดพู่กันหยก ดอกบัวสีทองก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง และเขายังคงร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง พู่กันหยกสั่นสะท้านจนกลายเป็นเงา ดอกบัวสีทองล้อมรอบตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา

นกนางแอ่นสีดำตรงหน้าก็โจมตีติดต่อกันราวกับไม่มีวันหมด ทั้งสองต่อสู้กันอุตลุดจนดูไม่ออกว่าใครได้เปรียบกว่ากัน

“ทั้งสองต่อสู้กันเช่นนี้ ต้องดูว่าพลังเวทของใครหนาแน่นกว่ากันแล้ว” ซินหยวนจ้องมองสถานการณ์ในลานต่อสู้ และกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด

คู่ต่อสู้ทั้งสองยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน พู่กันในมือสะบัดไปมา ฉากนี้ดูไม่เหมือนกับการต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองกำลังวาดลวดลายโอ้อวดกันอยู่ จึงไม่แปลกที่ซินหยวนจะกล่าวเช่นนี้

หลิ่วหมิงยิ้มบางๆ และส่ายศีรษะไปมา

ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ผมแดงจะไม่พอใจสถานการณ์ในตอนนี้มากนัก พอโบกสะบัดพู่กันไผ่ เขาก็วาดรูปออกมาหนึ่งรูป ซึ่งเป็นรูปค้างคาวสีดำหนึ่งตัว

ท่ามกลางเสียงร้องดัง เงาค้างคาวดำจำนวนมากต่างก็พุ่งออกมา

บัณฑิตชุดคลุมสีทองเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา พู่กันหยกในมือพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นดอกบัวสีทองจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกไปต้านทานเงาค้างคาวไว้

ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันเป็นเวลาราวๆ หนึ่งเค่อ ชายฉกรรจ์ผมแดงวาดสัตว์ปีกชนิดต่างๆ ออกมา เช่นนกนางแอ่น ค้างคาว เหยี่ยวหัวดำ เป็นต้น แต่ละชนิดล้วนดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก

และบัณฑิตทางฝั่งพันธมิตรจินอวี้ ก็อาศัยดอกบัวสีทองแต่ละดอกป้องกันตัวอย่างหนาแน่น จนแม้แต่น้ำก็ไม่อาจเล็ดรอดผ่านไปได้

แต่ในที่สุดก็แบ่งแยกความสามารถสูงต่ำของทั้งสองได้แล้ว  หลังจากโจมตีติดต่อกันอย่างบ้าคลั่ง บัณฑิตชุดคลุมสีทองก็ดูเหมือนจะสูญเสียพลังเวทจากการรับมือกับอุปสรรคจำนวนมาก

ทั้งสองต่อสู้กันราวๆ ครึ่งชั่วยาม สุดท้ายพลังเวทของบัณฑิตฝ่ายพันธมิตรจินอวี้ก็หมดสิ้นก่อน จึงได้แต่ยอมแพ้ในที่สุด

ชายฉกรรจ์ผมแดงนิกายวิหคสวรรค์เห็นเช่นนี้ ก็แหงนหน้าหัวเราะด้วยความพอใจ จากนั้นก็โบกมือสลายวิชา และเก็บพู่กันไผ่เข้าไป

แต่ว่าจากการวิเคราะห์ของหลิ่วหมิง คนผู้นี้มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าก็เหลือพลังเวทไม่มากเช่นกัน หากบัณฑิตชุดคลุมสีทองยืนหยัดอีกเล็กน้อยล่ะก็ อาจจะชนะก็เป็นได้

“การต่อสู้คู่ที่สี่ นิกายวิหคสรรค์ชนะ การต่อสู้รอบแรกสิ้นสุดลงแล้ว ทุกท่านสามารถพักผ่อนได้ครึ่งวันเพื่อฟื้นฟูพลังเวท ตอนบ่ายค่อยมาจับฉลากรอบที่สอง” แม่ชีชุดคลุมสีดำเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาทันที

การต่อสู้ในรอบแรก บางคนก็รู้สึกดีใจ บางคนก็รู้สึกกลัดกลุ้ม

เฟิงจ้านฝากความหวังไว้ที่เว่ยจ้งทั้งหมด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับเจียหลานตั้งแต่รอบแรก ดีที่ว่าหลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็ชนะรอบแรกไปได้

ประมุขพรรคฉางเฟิงพูดให้กำลังใจหลิ่วหมิงกับซินหยวนอีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโอสถสองขวดมามอบให้พวกเขาทั้งสอง และให้พวกเขารีบฟื้นฟูพลังเวท

นักพรตแซ่สือก็ยืนซึมกระซืออยู่อีกด้านหนึ่ง โดยไม่คิดจะเอ่ยปากออกมาแม้แต่น้อย

ขณะนี้ ตู๋กูอวี้แห่งพันธมิตรจินอวี้กลับมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด ศิษย์ทั้งสองต่างก็พ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรก ซึ่งเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก หลังจากพูดกับหญิงแซ่เซียวสองสามประโยคแล้ว ก็หันไปพูดกับชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าอีกสองสามประโยค จากนั้นสีหน้าถึงกลับมาเป็นปกติ

แม่ชีชุดคลุมสีดำเดินมาด้านข้างชายจมูกเหยี่ยว และพูดกำชับเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นก็พาศิษย์สองสามคนไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ

ครึ่งวันต่อมา ภายใต้พลังเสริมจากโอสถ ทำให้พลังเวทของหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว และแม่ชีชุดดำก็ประกาศให้เริ่มทำการต่อสู้รอบที่สองได้

ผู้ที่เข้าจับฉลากในรอบนี้มีหลิ่วหมิง ซินหยวน เจียหลาน ชายฉกรรจ์ผมแดงจากนิกายวิหคสวรรค์ และชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าจากพันธมิตรจินอวี้

จำนวนคนต่อสู้ทั้งหมดมีห้าคน ด้วยเหตุนี้หลังจากที่แม่ชีปล่อยบาตรสีเงินออกมาแล้ว นางก็หยิบไม้ไผ่ที่เขียนหมายเลขสามกับสี่ออกไป และกวักมือให้ผู้เข้าร่วมการต่อสู้เข้าไปจับฉลากได้

ชายฉกรรจ์ผมแดงจากนิกายวิหคสรรค์เข้าไปเป็นคนแรก หลังจากจับๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบแผ่นไผ่เปล่าๆ ออกมา คนผู้นี้โชคดีเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะไร้คู่ต่อสู้ในรอบนี้

ชายฉกรรจ์ผมแดงหัวเราะฮ่าๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง คู่ต่อสู้ที่เหลืออยู่ในขณะนี้ล้วนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ตนเองจับได้แผ่นเปล่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง! ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาทั้งสองจะต้องแยกกันต่อสู้กับชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและเจียหลานแล้ว

ทั้งสองรู้ดีว่า ถ้าดูจากระดับการฝึกฝน ชายฉกรรจ์ผมแดงที่อยู่ระดับของเหลวขั้นปลาย ย่อมมีระดับการฝึกฝนสูงสุด แต่ดูจากพลังที่เจียหลานแสดงออกมา ย่อมเหนือชั้นกว่าเขาเป็นอย่างมาก

ส่วนชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าผู้นั้น ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงมือ แต่ในเมื่อเป็นผู้ที่พันธมิตรจินอวี้ฝากความหวังไว้ ย่อมไม่อาจดูเบาได้!

หลังจากชายฉกรรจ์เดินออกไปแล้ว เจียหลานก็เดินเข้าไปช้าๆ มือเรียวเล็กของนางค่อยๆ ชี้ออกไป จากนั้นแผ่นไผ่ก็พุ่งออกจากบาตรมาอันหนึ่ง พอมองออกไปจะเห็นว่ามีหมายเลขหนึ่งเขียนติดอยู่

จากนั้นซินหยวนก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า และคว้ามือออกไป ซึ่งเขาจับได้หมายเลขหนึ่งเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงกับชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็ไม่จำเป็นต้องจับฉลากแล้ว

แม่ชีเมี่ยวซินยกแขนเสื้อขึ้น และเก็บบาตรสีเงินเข้าไปทันที จากนั้นก็ประกาศผลการจับฉลากออกมา

หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง หลังจากเฟิงจ้านครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็ให้สัญญากับทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง

“เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ หากท่านทั้งสองทำให้พรรคฉางเฟิงเราชนะได้ ข้าเฟิงจ้านสัญญาว่าสมบัติล้ำค่าในคลังสมบัติ จะให้พวกท่านเลือกได้สองอย่างเพื่อเป็นการขอบคุณ”

มาถึงเวลานี้ เฟิงจ้านก็ได้แต่พูดจายั่วยวน เพื่อกระตุ้นอารมณ์ต่อสู้ของทั้งสอง

“ท่านประมุขวางใจเถอะ! พวกข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” เฟิงจ้านกล่าวเช่นนี้ ทำให้ซินหยวนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

หลิ่วหมิงเองก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด