ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 90 ต้วนฉานจู่

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 90 ต้วนฉานจู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 90 ต้วนฉานจู่

และศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ก็รีบแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม แล้วล้อมรอบลานประลองหินจนแน่นขนัด

แน่นอนว่าลานประลองหินที่อยู่อันดับท้ายๆ จะถูกรายล้อมด้วยคนจำนวนมากกว่าที่อื่น

จากการประลองใหญ่ที่ผ่านมา ศิษย์แกนนำที่มีชื่ออยู่อันดับท้ายๆ จะถูกท้าสู้บ่อยที่สุด

เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”

เมฆเทาแต่ละก้อนทะยานขึ้นฟ้า ศิษย์แกนนำแต่ละคนต่างก็ยืนอยู่ใต้ธงที่บ่งบอกตำแหน่งของตนเองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่กลิ่นไอพลังของแต่ละคนนั้นไม่อาจสบประมาทได้

ผู้คนที่อยู่ใต้ลานประลองหินต่างก็ค่อยๆ เลือกท้าสู้คนที่ต้องการ ลานประลองหินบางแห่งมีคนสี่ห้าคนขึ้นไปท้าสู้พร้อมกันบนลานแล้ว

อาจารย์จิตวิญญาณที่รับผิดชอบดำเนินการประลอง ให้คนเหล่านี้กับคู่ต่อสู้ลงนามความเป็นความตาย และกระตุ้นค่ายกลป้องกันที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก

ม่านโปร่งแสงปรากฏออกมาปกคลุมลานประลองไว้

คู่ต่อสู้แต่ละคู่ต่างก็แสดงวิชาหรือเรียกปีศาจของตนเองออกมาแล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น และเพียงครู่เดียวก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้สมที่อยู่นอกม่านแสง

หลิ่วหมิงไม่ได้อยู่ในลานประลองเหล่านี้ แต่กลับเดินไปยังด้านหน้าลานประลองหินของศิษย์แกนนำอันดับหนึ่งถึงสิบ

ลานประลองนี้เงียบสงัดมาก แต่บริเวณนั้นก็มีคนเบียดเสียดกันอยู่ไม่น้อย พวกเขาต่างก็จ้องมองศิษย์แกนนำทั้งสิบที่อยู่บนลานประลอง และวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างกันเบาๆ

สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว การประลองใหญ่ครั้งนี้เขาจะต้องชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาให้ได้ เช่นนี้แล้วถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายในภายหลัง เขามุ่งหวังที่จะได้รับทรัพยากรและผลประโยชน์ในการฝึกฝนที่มากยิ่งขึ้น และจะได้บรรลุเข้าถึงศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้เร็วขึ้นด้วย

ด้วยเหตุนี้ คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขาย่อมเป็นศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และผู้ท้าสู้คนอื่นๆ ที่ต้องการเข้าร่วมการจัดอันดับเดียวกัน

หลิ่วหมิงแค่กวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆ ก็เห็นเกาชง เหลยเจิ้น เจียหลาน และคนอื่นที่ใบหน้าคุ้นเคย รวมทั้งศิษย์หลายคนที่ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

พอคนเหล่านี้เห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย บางคนก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา บางคนก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

ส่วนศิษย์แกนนำบนลานประลองทั้งสิบ หลิ่วหมิงแค่มองออกไปก็เห็นหยางเฉียนที่ใส่หน้ากากสีเงินอยู่

ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกายปีศาจที่ผู้คนร่ำลือกันผู้นี้ กำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ธงอย่างไม่สะทกสะท้าน

ภายใต้ธงเสาที่สอง คือชายรูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่ง ที่มีผมยาวยุ่งเหยิงเต็มศีรษะ และแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาไม่หยุด ส่วนลำดับถัดมาเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวทั้งตัว ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเรียวเล็ก ทำให้คนรู้สึกอันตรายเป็นอย่างมาก

ใต้เสาธงที่สี่เป็นหญิงเสื้อเหลืองที่ใบหน้าสวยงาม นางชื่อ ‘เฉียนฮุ่ยเหนียง’ ที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยเห็นชื่อของนางบนแผ่นศิลาจันทรา

คนที่ห้าคือ…

หลิ่วหมิวพินิจดูศิษย์เหล่านี้ทีละคน และคิดทบทวนไปมาในใจอย่างรวดเร็ว

ลานประลองหินอื่นๆ ต่างก็มีคนเริ่มประลองกันแล้ว แต่ลานประลองหินนี้ยังคงเงียบสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนขึ้นไปท้าสู้

แต่ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมผ้าดิ้นหนวดเคราเต็มหน้า ที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณรับผิดชอบดำเนินการประลองในลานประลองนี้ กลับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาพลันสะบัดแขนเสื้อขึ้นมา นาฬิกาทรายขนาดเล็กลื่นไหลออกมาจากในนั้นพร้อมกับกล่าวอย่างราบเรียบว่า

“ถ้าไม่มีคนขึ้นมาท้าชิงภายในเวลาหนึ่งเค่อ[1] จะถือว่าศิษย์ทั้งหมดสละสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งของศิษย์แกนนำบนลานประลองนี้ ข้าจะเริ่มจับเวลาตั้งแต่บัดนี้!”

เม็ดทรายเล็กละเอียดค่อยๆ ไหลลงด้านล่าง

ฉากนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองเกิดความวุ่นวายขึ้นมา

สุดท้ายก็มีคนกระโดดเหาะขึ้นไปบนลานประลอง

“ศิษย์ตู้อวี้ อยากขอท้าสู้กับศิษย์พี่เย่ที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับสิบ!” ผู้ที่กระโดดขึ้นบนลานประลองเป็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือพัดดอกท้อสีชมพูอยู่ด้ามหนึ่ง เขากล่าวกับชายชุดผ้าดิ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน

“เฮ่อๆ! คิดที่จะท้าสู้กับข้าเหรอ ข้าเองก็ว่างจนคันไม้คันมืออยู่พอดี” ที่ตรงด้านใต้ของธงเสาที่สิบ ชายหนุ่มร่างกำยำสวมห่วงทองรัดศีรษะผู้หนึ่งได้ยืนขึ้น แล้วหัวเราะกล่าวออกมา

“ดี! พวกเจ้าลงนามความเป็นความตายก่อน!” ชายฉกรรจ์คว้ามือไปดูดนาฬิกาทรายเก็บเข้าไปที่เดิม ส่วนมืออีกข้างก็มีแสงเปล่งประกายม้วนตัวออกมา ป้ายคำสั่งสีแดงเลือดแผ่นหนึ่งลอยออกมาแล้วหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ

เมื่อทั้งสองเห็นเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที แล้วต่างก็หยดเลือดบริสุทธิ์ลงไปบนป้ายคำสั่ง จากนั้นก็ถอยออกไปหลายก้าวแล้วจ้องมองดูอยู่ไกลๆ

เสียงดังกังวานออกมาจากแผ่นป้ายคำสั่ง อักขระสีเลือดพรั่งพรูกันออกมา จากนั้นก็หายเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ชายชุดผ้าดิ้นเห็นเช่นนี้ ถึงได้เรียกป้ายคำสั่งกลับมาแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ

“การประลองเริ่มต้น ณ บัดนี้!”

พอเสียงสิ้นสุดลง เขาก็กระทืบเท้าทันที ค่ายกลสีขาวเปล่งประกายออกมา ม่านแสงสีขาวมัวปรากฏขึ้นแล้วปกคลุมลานประลองไว้ ขณะเดียวกันเขาก็ถอยตัวออกไปจากม่านแสงนั้น ก่อนที่จะมันจะปกคลุมจนทั่วลานประลอง แล้วค่อยๆ เหาะขึ้นไปยืนดูอยู่บนม่านแสง

“พรึ่บ!”

ชายหนุ่มถือพัดแค่สะบัดข้อมือ พัดดอกท้อในมือก็กลายเป็นพายุสีชมพูม้วนตัวออกไป ในขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้าง กลิ่นไอหอมหวานตลบอบอวลไปทั่วม่านแสงภายในพริบตาเดียว

“กลิ่นหอมมหาเสน่ห์! ดูท่าเจ้าคงจะเป็นศิษย์สาขาพิษจิตวิญญาณ!” ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะเห็นนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่เขาร่ายคาถา อักขระสีดำก็เปล่งประกายออกมาจากร่างเขา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นชายร่างยักษ์ที่สูงสองจั้ง และชกหมัดออกมาสามครั้งติดต่อกัน คลื่นพลังไร้รูปโจมตีออกไป

พายุสีชมพูถูกพลังมหาศาลตรงด้านหน้าต้านทานไว้ หลังจากที่มันเกาะผนึกกันแล้วก็ม้วนตัวสะท้อนกลับมา

ชายหนุ่มถือพัดไม่ทันได้ป้องกันตัว เขาแค่รู้สึกอึกอัดจากนั้นร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลพุ่งชนใส่จนกระเด็นไปชนม่านแสงด้านหลังอย่างแรง เขากระอักเลือดออกมาด้วยสภาพที่อิดโรย

ชายร่างยักษ์รีบก้าวเท้ายาวเข้ามาด้วยท่าทางที่ดุดัน

“เป็นไปไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ได้ผลกระทับจากกลิ่นหอมมหาเสน่ห์! เจ้า… เจ้าคือร่างฝึก…ข้ายอมแพ้แล้ว!” ชายถือพัดเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง และยอมรับความพ่ายแพ้ขึ้นมาทันที

“ฮึ! ที่แท้ก็ไอ้สวะดีๆ นี่เอง ความสามารถแค่นี้ก็กล้ามาท้าสู้กับข้า!” ชายร่างยักษ์หยุดฝีเท้าพร้อมกับกล่าวออกมา จากนั้นก็ฟื้นร่างกลับมาเป็นปกติแล้วหันตัวเดินกลับไปยังใต้ธงของตัวเอง

ค่ายกลบนลานประลองเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง จากนั้นม่านแสงก็หายไป ชายหนุ่มถือพัดรีบกระโดดลงลานประลองด้วยสีหน้าอับอาย พริบตาเดียวเขาก็ออกไปไกลจากบริเวณนั้นแล้ว

ตอนนี้อาจารย์จิตวิญญาณถึงได้ลอยลงมามาประกาศชัยชนะของชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เขาตั้งนาฬิกาทรายอีกครั้ง และรอคอยอย่างสงบ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะได้ชัยชนะมาง่ายดายเกินไปหรือเปล่าถึงได้ยังไม่มีคนขึ้นไปอีก จนกระทั่งเม็ดทรายไหลไปได้เกือบครึ่งถึงมีเสียงคนกระแอมไอเบาๆ แล้วกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง

คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มสีหน้าเหลืองซีด อายุยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี คลุมเสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อน พอปรากฏตัวขึ้นเขาก็รีบโค้งคารวะอาจารย์จิตวิญญาณแล้วกล่าวออกมา

“อาจารย์อา ข้าน้อยต้วนฉานจู่ อยากจะขอท้าสู้กับศิษย์พี่เฟยที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับหก!”

พอเขาเอ่ยปากก็ทำให้ทุกคนใจเต้นขึ้นมา ผู้คนจำนวนมากจ้องมองคนผู้นี้ด้วยความตื่นตะลึง

พลังของศิษย์แกนนำอันดับสิบกับอันดับหกนั้นต่างกันอย่างน่าตกใจทีเดียว

“ต้วนฉานจู่ มีคนเคยได้ยินชื่อนี้ไหม?”

“ไม่อ่ะ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก”

“ดูเหมือนจะเป็นศิษย์สาขาฝึกศพ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร”

ผู้คนด้านล่างต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา

ผู้ที่นั่งอยู่ใต้ธงเสาที่หก เป็นหญิงที่สวมชุดยาวสีแดง พอได้ยินเช่นนี้นางก็เลิกคิ้วขึ้น และลุกขึ้นมาพร้อมกับง่ามสั้นคู่หนึ่งที่สะพายอยู่บนหลัง

ครู่ต่อมา ทั้งสองก็ลงนามความเป็นความความตายกันเรียบร้อย จากนั้นม่านแสงก็ปรากฏออกมาปกคลุมลานประลองอีกครั้ง

“เจ้าบังอาจท้าสู้ข้า ช่างใจกล้าไม่เบา ถึงแม้ง่ามบินอัคคีคู่นี้จะไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสุดยอด ระวังอย่าโดนมันเข้าจนเสียชีวิตล่ะ” หญิงชุดแดงกล่าวอย่างเยือกเย็น พอกล่าวจบนางก็สะบัดไหล่ ง่ามสีแดงอันหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีแดงพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

หลังจากที่ดวงตาทั้งสองของต้วนฉานจู่เปล่งประกาย เขาก็ยกหมัดโจมตีออกไป

“เพล้ง!” เสียงกระทบกันดังขึ้น แสงสีแดงเปลี่ยนกลับเป็นง่ามบินอัคคีสะท้อนกลับไป

และผ้าขาวชั้นหนึ่งที่ห่อหุ้มหมัดข้างนั้นอยู่ ก็แตกกระจายออกจากกันทันที เผยให้เห็นผ้าพันแผลสีเหลืองเข้มที่พันตั้งแต่ฝ่ามือ แขน จนถึงข้อศอก ราวกับว่ามันพันไปจนถึงต้นแขนเลยทีเดียว

พอชายผมยาวร่างผอมแห้งที่อยู่ใต้ธงเสาที่สองเห็นลักษณะของผ้าพันแผลบนมือของต้วนฉานจู่ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา และพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ผู้อื่นๆ มิอาจได้ยินได้

“อาภรณ์ศพวังสวรรค์ ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องต้วนผู้นี้จะฝึกเคล็ดวิชาที่รุนแรงเช่นนี้ ดูเหมือนว่าฝึกจนเชี่ยวชาญแล้ว”

พอหญิงเสื้อแดงที่อยู่ตรงข้ามเห็นง่ามบินอัคคีถูกหมัดฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนกระเด็นออกไปก็รู้สึกตกใจมาก แต่ครู่เดียวก็ชี้นิ้วร่ายคาถาขึ้นมา

ง่ามบินอัคคีหมุนวนหนึ่งรอบ ขณะเดียวกันแสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมาบนพื้นผิวของมัน หลังจากเสียงดัง “ฟู่” มันก็กลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนพุ่งยิงไปหาต้วนฉานจู่

ต้วนฉานจู่เห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ สะบัดข้อมือ แถบผ้าสีเหลืองยาวเจ็ดถึงแปดเส้นก็ดีดตัวออกไป ขณะเดียวกันก็บังเกิดพายุหมุนวนขึ้น จากนั้นแถบผ้าสีเหลืองก็กลายเป็นเงาคุ้มกันร่างเขาไว้

เปลวไฟสีแดงโจมตีไปยังด้านบนด้วยเสียงอันดังสะเทือนเลือนลั่น จากนั้นเปลวไฟก็แตกกระจายกระเด็นไปทั่วทิศ

ง่ามบินอัคคีถูกดีดออกอีกครั้งหลังจากที่พลังอันมหาศาลประทุเข้ามา

และเงาแถบผ้าสีเหลืองนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย ดูเหมือนว่ามันจะไม่กลัวเปลวไฟเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

หญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ สีหน้านางก็ดูไม่ได้ขึ้นมา หลังจากที่นางตะคอกเสียงต่ำออกมาก็สะบัดหัวไหล่อีกครั้ง ง่ามบินอัคคีอีกอันก็ลอยออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง

พริบตานั้นเอง เปลวไฟสองกลุ่มคุโชนอยู่รอบใต้เท้าของต้วนฉานจู่ แสงสีแดงพลันสว่างพลันมืด จากนั้นไอร้อนระอุก็ม้วนตัวหายไป อานุภาพของมันช่างน่ากลัวเป็นยิ่งนัก

แต่แถบผ้ายาวสีเหลืองเหล่านั้นกลับตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ หลังจากที่มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเปลวไฟทั้งสองก็ถูกสกัดอยู่ด้านนอก โดยไม่สามารถเข้าไปข้างได้แม้แต่น้อย

หญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ ก็หน้าเขียวปั๊ดขึ้นมาเล็กน้อย พลันทำท่ามือด้วยมือเดียวและร่ายคาถาออกมา นิ้วมือนิ้วหนึ่งค่อยๆ ยกขึ้น ฉับพลันปลายนิ้วก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา

……………………………………….

[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับ เวลาราวๆ 15 นาที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด