ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 529 หอร้อยหลอม

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 529 หอร้อยหลอม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้า และนำป้ายนิกายโบกไปยังชั้นจำกัดบนประตูเบาๆ

แสงสีเขียวจางๆ กระพริบออกจากป้าย และพุ่งลงบนม่านแสง จากนั้นพื้นผิวบนประตูหินก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา พอมีเสียงดัง “แอ๊ด!” ประตูก็เปิดออกมา

พอเขาเดินเข้าไปในห้องหิน ศิษย์อวบอ้วนที่สวมชุดศิษย์ดำเนินการ ก็เดินตาปรือเข้ามา

“ศิษย์น้องผู้นี้ มีภารกิจเร่งด่วนหรือ มาเช้าจริงๆ” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนขยี้ตา และค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยใบหน้าสีหน้าฝืนใจ

“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนของศิษย์พี่ ข้ามาค่ายกลส่งตัวพิเศษเป็นครั้งแรก ครั้งนี้รับภารกิจของนิกายที่ตลาดฉางหยาง” หลิ่วหมิงคารวะและกล่าวอย่างนอบน้อม

“อ้อ! ตลาดฉางหยาง… เจ้าตามข้ามาเถอะ!” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนได้ยินก็ชะงักเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขึ้นมา หลังจากสังเกตุดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินไปด้านหลังของห้องหิน

หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าฉงนออกมา แต่ก็ตามศิษย์อวบอ้วนผู้นี้ไปโดยไม่พูดอะไรมาก

อีกอย่างที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างตกใจก็คือ ด้านหลังของห้องหินเป็นพื้นราบเรียบที่สร้างขึ้นภายในถ้ำภูเขา สถานที่แห่งนี้มีขนาดหมู่กว่าๆ มีค่ายกลส่งตัวสิบกว่าหลังตั้งอยู่เรียงราย

เทียบกับค่ายกลส่งตัวธรรมดาที่มีคนเข้านอกในก่อนหน้านั้นแล้ว ที่นี้กลับไม่มีคนอื่นๆ อยู่เลย

“ค่ายกลส่งตัวเหล่านี้ ส่วนมากส่งไปยังสถานที่นอกนิกายที่ค่อนข้างไกล หากเจ้าจะไปตลาดฉางหยางล่ะก็ จะต้องถูกส่งตัวในระหว่างทางหลายครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนหัวเราะ และอธิบายออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ

“เมื่อเจ้าถูกส่งตัวไปแล้ว ทางด้านนั้นจะมีคนเฝ้าค่ายกลอยู่ เจ้าก็แค่บอกว่าต้องการไปตลาดฉางหยาง พวกเขาก็จะบอกเองว่าต้องใช้ค่ายกลส่งตัวอันใด” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนพูดกำชับอีกเล็กน้อย

“ขอบคุณศิษย์พี่” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะและกล่าวขอบคุณออกมา

“เอาล่ะ! ไปที่ค่ายกลส่งตัวที่อยู่มุมทางด้านนั้น” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนชี้ไปยังค่ายกลสีแดงจางๆ ทางด้านซ้ายสุด

หลิ่วหมิงได้ยินก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ครู่ต่อมา ป้ายนิกายบนเอวเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงสีแดงพุ่งขึ้นจากค่ายตรงเท้า จากนั้นร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ศิษย์น้องผู้นี้มาเช้าขนาดนี้ ที่แท้คนที่ไปตลาดฉางหยางล้วนพิลึกกึกกือยิ่งนัก ก็ไม่แปลก! มีแต่คนพิลึกๆ เท่านั้นถึงคบค้าสมาคมกับมนุษย์ค้างคาวได้” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็กลับไปนอนในห้องหินต่อ

หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่ามีเสียงแหลมดังอยู่ข้างหูชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่มืดลง จากนั้นก็มาปรากฏตัวในเขาลูกเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปกี่หมื่นลี้

และตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล ก็มีค่ายกลส่งตัวราวๆ ห้าหกหลังตั้งวางอยู่

“ศิษย์พี่ผู้นี้ ต้องการไปที่ใดหรือ?” ชายหนุ่มอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีเดินเข้ามาโค้งคารวะเล็กน้อยแล้วถามออกมา

“ไปตลาดฉางหยาง” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ตลาดฉางหยางล่ะก็ เชิญศิษย์พี่ทางด้านค่ายกลสีฟ้าเลย”

“ขอบคุณมาก!” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินเข้าไปในค่ายกลสีฟ้า

ต่อมาแสงสีฟ้าก็เปล่งประกาย และเขาก็หายไปอีกครั้ง

เขาถูกส่งตัวเช่นนี้ถึงสี่ครั้ง จากนั้นก็มาปรากฏท่ามกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นหญ้าแปลกตา

พอเขาเดินวนดูในหุบเขาเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าค่ายกลที่เป็นของนิกายยอดบริสุทธิ์มีเพียงหลังเดียว และค่ายกลที่มีลักษณะคล้ายกันก็มีอยู่หลายหลัง ทั้งยังมีคนจำนวนมากเข้าออกค่ายกลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และดูจากกลิ่นไอแล้ว ต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจำนวนหนึ่ง

หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจคนเหล่านี้มากนัก พอเหยียบเท้าลงบนเมฆดำแล้ว ก็ทะยานออกไปทันที

ระหว่างทาง เขานึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับตลาดฉางหยางที่สืบค้นมาก่อนเดินทาง

ในข้อมูลกล่าวได้ว่า เป็นเพราะตลาดฉางหยางแห่งนี้ตั้งอยู่ตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษ เป็นพรมแดนระหว่างนิกายยอดบริสุทธิ์กับกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ในตลาดจึงไม่เพียงแต่มีร้านของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น ทั้งยังมีร้านที่กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ เปิดขึ้นมา แม้กระทั่งหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่อย่างสำนักเฮ่าหรานกับมนุษย์ค้างคาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็อยู่ในนั้นด้วย และยังมีผู้ฝึกฝนตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับแก่นแท้

และเทือกเขาต้นกล้าเขียวที่มนุษย์ค้างคาวอยู่อาศัยนั้น อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไม่กี่สิบลี้

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็วางแผนไว้ในใจ

หลังจากเหาะผ่านเทือกเขาหินที่รกร้างว่างเปล่าเป็นเวลาสิบกว่าวัน พื้นที่กว้างราบเรียบขนาดหลายร้อยหมู่ก็ปรากฏตรงหน้า

บนพื้นราบเรียบครึ่งหนึ่งเป็นหมู่บ้าน อีกครึ่งหนึ่งเป็นเมืองเล็กๆ มีแสงหลบหลีกหลายลำพุ่งเข้าพุ่งออกในเมืองอยู่ตลอดเวลา

หลังผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงก็มาถึงอากาศที่อยู่ห่างจากตลาดไปไม่ไกล

เขาไม่ได้ร่อนลงไปในทันที แต่กลับกวาดสายตาสังเกตดูสถานการณ์ในเมืองไปรอบหนึ่ง

ตลาดฉางหยางมีขนาดใหญ่กว่าตลาดในนิกายเป็นอย่างมาก มีทางเข้าออกสองแห่งคือทางด้านตะวันออกทางกับทางใต้

ใจกลางตลาดเป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่มีขนาดสิบกว่าหมู่ และรอบด้านมีกำแพงดินสีเหลืองขนาดสูงต่ำไม่เท่ากัน

รอบด้านทะเลสาบมีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ ตั้งอยู่อย่างแน่นหนา

หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ร่อนลงตรงทางเข้าตลาดที่อยู่ตรงหน้า และก้าวยาวๆ เข้าไปยังร้านหลอมอาวุธของนิกายยอดบริสุทธิ์

ตลาดทางด้านตะวันตก ภายในร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่งที่มีป้ายแขวนอยู่ว่า ‘หอร้อยหลอม’

หลิ่วหมิงอยู่ที่ห้องรับแขกบนชั้นสอง และกำลังสนทนาอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มผอมสูงด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์น้อง ในที่สุดเจ้าก็มา ข้ารออยู่ที่นี่มานานแล้ว บอกอย่างไม่ปิดบัง ตระกูลข้ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องกลับไปจัดการเล็กน้อย แต่ว่าหาคนมาแทนข้าไม่ได้สักที จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนถึงได้ข่าวจากนิกายว่า ศิษย์น้องยอมมาแทนชั่วคราว เจ้าช่างเข้าใจเรื่องเร่งด่วนของข้าจริงๆ” ชายหนุ่มผอมสูงที่มีชื่อว่าซูฉงกล่าวอย่างอบอุ่น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมพูดอย่างเกรงใจไปสองสามประโยค

“ใช่สิ! ข้ายังไม่รู้ว่าศิษย์น้องมีชื่อว่าอะไร?” ชายหนุ่มผอมสูงเกาศีรษะและหัวเราะก่อนถามออกมา

“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลิ่ว เรื่องในตระกูลข้าถูกยืดเยื้อมานานแล้ว เกรงว่าจะต้องออกเดินทางทันที หากทุกอย่างราบรื่น ครึ่งปีกว่าๆ ก็กลับมาได้แล้ว จะต้องไม่เกินหนึ่งปีอย่างแน่นอน แต่ก่อนเถ้าแก่เย่ที่อยู่ในร้านกับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธสองท่าน ต่างก็เป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนกัน เรื่องราวเกี่ยวกับที่นี่ที่ต้องจัดการ ก็ให้เขาบอกก็พอแล้ว” ชายหนุ่มผอมสูงพูดโขมงโฉงเฉงด้วยสีหน้ารีบร้อน

หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าตอบรับ

“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วมาก พวกเรามาทำพิธีส่งมอบกันเถอะ!” ชายผอมสูงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็หยิบป้ายนิกายของตนเองออกมาจากเอว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็นำป้ายนิกายของตนเองออกมาจากเอว และชูขึ้นมา

พอชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงเอามือข้างหนึ่งตบป้ายเบาๆ แสงทรงกลดสีฟ้าก็พุ่งยิงออกมา และจมลงบนแผ่นป้ายของหลิ่วหมิง

จากนั้นเขาก็นำกล่องออกจากยันต์เก็บของมายื่นให้หลิ่วหมิง และอธิบายสิ่งต่างๆ ในนั้นไปหนึ่งรอบ

หลิ่วหมิงรับกล่องมาแล้ว ด้านหนึ่งก็ฟังชายหนุ่มบรรยายอย่างเงียบๆ อีกด้านหนึ่งก็ปล่อยจิตกวาดดูด้านในกล่อง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปในยันต์เก็บของ

“เช่นนี้ก็ได้แล้ว ขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วมาก” ดูเหมือนชายหนุ่มผอมสูงจะรู้สึกโล่งใจราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก และกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานใจ

“ศิษย์พี่ซูไม่ต้องเกรงใจ” หลิ่วหมิงเก็บของในมือ

“การทำการค้าที่นี่ ปกติเถ้าแก่เย่จะเป็นคนรับผิดชอบ เขาก็คือผู้ที่อยู่หลังตู้ตรงชั้นหนึ่ง หากหลังจากนี้ศิษย์น้องหลิ่วมีอะไรไม่เข้าใจ ก็สอบถามเขาได้เลย ข้าได้กำชับเขาไว้แล้ว นอกจากนี้ ศิษย์น้องจำไว้ให้ดี ในตลาดฉางหยางแห่งนี้ มนุษย์ค้างคาวกับคนของสำนักเฮ่าหรานไม่อาจมีเรื่องได้”

พอพูดจบ ชายหนุ่มผอมสูงก็คารวะหลิ่วหมิงอีกที และกล่าวลาด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็เดินลงบันไดออกจากร้านไป

หลิ่วหมิงยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าต่างสักครู่ ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องรับแขก

“ผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยทำหรือ?” พอเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ไม่ไกลก็รีบวิ่งเข้ามา และถามอย่างระมัดระวัง

“เชิญเถ้าแก่และผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธขึ้นมาเถอะ! ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องชี้แจงสักหน่อย” หลิ่วหมิงสั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในห้อง

“ทราบ! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” คนรับใช้ตอบรับไปหนึ่งคำแล้วก็รีบหมุนตัววิ่งลงไป

ไม่นาน มีเสียงเดินขึ้นบันไดดัง “ก๊อกๆ!”

ผู้เฒ่าชุดผ้าดิ้นอายุเลยหกสิบผู้หนึ่ง กับชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสองคน มาปรากฏตัวทางบันได และเดินตรงมายังห้องรับแขกที่หลิ่วหมิงอยู่

นอกจากทั้งสามแล้ว บริเวณนั้นก็ไม่มีคนอื่นอีก คนรับใช้ในร้านพากันหลบไปไกลๆ อย่างรู้งาน

“เถ้าแก่เย่ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง ไม่ต้องเกรงใจ เข้ามาเถอะ!” พอทั้งสามมาถึงหน้าประตู ก็มีน้ำเสียงราบเรียบของหลิ่วหมิงดังมาจากด้านใน

ทั้งสามสบตากันทีหนึ่ง ผู้เฒ่าอายุเลยหกสิบยื่นมือไปผลักประตู และพาทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน

หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องอย่างเงียบๆ และสังเกตดูทั้งสามด้วยรอยยิ้ม

“คารวะท่านทูต” เถ้าแก่เย่ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงก้าวไปคารวะ

พอเห็นเถ้าแก่เย่ทำเช่นนี้ ชายวัยกลางคนทั้งสองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และคารวะตามผู้อาวุโสทันที

“สหายทั้งสามไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ต่อไปนี้พวกเราจะต้องทำงานด้วยกันระยะหนึ่ง” หลิ่วหมิงลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม

เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสอง ต่างก็เคยเป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์ ต่อมาเป็นเพราะอายุมาก ไม่มีหวังได้เป็นศิษย์สายนอก จึงยื่นเรื่องมาที่ตลาดฉางหยาง ช่วยนิกายยอดบริสุทธิ์ดูแลการค้า

เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์ธรรมดาจำนวนมากที่มีพลังไม่พอ และไม่ยอมถูกคนในนิกายควบคุม ต่างก็ทำเช่นนี้

แต่โดยปกติ เมื่อผ่านระยะเวลาหนึ่งไปแล้ว หากศิษย์ประเภทนี้ไม่ได้ทำคุณงามความดีเป็นพิเศษ ก็จะถูกดึงรายชื่อออกจากบัญชีศิษย์ธรรมดา ถือว่าเป็นกำลังภายนอกที่มีความสัมพันธ์กับนิกายอีกรูปแบบหนึ่ง

ชายวัยกลางคนทั้งสองต่างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น เถ้าแก่เย่มีอายุมากสุด กลับมีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น แต่พลังเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะรับตำแหน่งเถ้าแก่แล้ว

พอทั้งสามเผชิญหน้ากับศิษย์สายนอกที่แท้จริงอย่างหลิ่วหมิง และมีอนาคตไกลเช่นนี้ ย่อมแสดงออกอย่างนอบน้อม

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด