ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 71 ขายกระดูก

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 71 ขายกระดูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 71 ขายกระดูก

ช่วงเวลาหลายวันนั้น หลิ่วหมิงนั่งกำหนดลมหายใจเข้าฌานอยู่บนเรือสายหมอก และก็ไม่มีคนอื่นๆ มาหาเขาอีก

แต่เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรือสายหมอกนี้จะค่อยๆ จางลง แน่นอนการเคลื่อนของมันก็ช้าลงมาก

ห้าวันผ่านไป ในที่สุดเรือสายหมอกก็เหาะมาถึงเป้าหมาย ตลาดเว่ยโจวตั้งอยู่บริเวณหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางเข้าออกได้สะดวกหลายเส้นทาง

หุบเขานี้มีเหมือนจะขนาดกว้างสิบกว่าลี้ มองลงมาจากฟ้าไกลๆ มีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ จำนวนมากตั้งเรียงเป็นระเบียบ ขณะเดียวกันมีเงาร่างคนที่ดูเป็นจุดสีดำจำนวนมากเดินเข้าออกจากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้อยู่ตลอด

เสียงดัง “ฟู่!”

เรือสายหมอกร่อนลงบนพื้นที่ว่างที่ห่างจากหุบเขาหลายลี้จากนั้นก็หายไปกับอากาศ

“พวกเจ้าฟังให้ดีนะ ตลาดเว่ยโจวเป็นหนึ่งในสามตลาดใหญ่ที่นิกายต่างๆ ในแคว้นของเราร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา ดังนั้นไม่ว่าศิษย์นิกายไหนก็ไม่มีอำนาจพิเศษในที่แห่งนี้ และก็ห้ามฝ่าฝืนกฎของตลาด หนึ่งในกฎที่สำคัญที่สุดก็คือใครก็ไม่สามารถต่อสู้หรือใช้วิชาเหินเวหาภายในระยะสิบลี้จากพื้นที่โดยรอบตลาดรวมถึงการขี่อาวุธเหาะทุกชนิด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกจับและลงโทษอย่างหนัก ใช่สิ! แต่ละนิกายจะส่งอาจารย์จิตวิญญาณหนึ่งคนมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแล พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะโชคดีรอดไปได้ อาจารย์จิตวิญญาณจากนิกายเราที่มาดูแลที่นี่คืออาจารย์อาหลิวจากสาขายันต์มหาเวท ถ้าพวกเจ้ามีโอกาสล่ะก็อาจจะได้เจอท่าน พวกเจ้าส่วนมากต่างก็มาตลาดรวมขนาดใหญ่นี้เป็นครั้งแรกคงจะได้เปิดโลกทรรศน์ไม่น้อย แต่ถ้าหากจะซื้อขายอะไรล่ะก็จะต้องตรวจสอบให้ละเอียด ที่นี่มีคนปลิ้นปล้อนเยอะมาก ในนั้นมีผู้ฝึกฝนอิสระอยู่ไม่น้อย และยังมีศิษย์นิกายอื่นจากแคว้นเพื่อนบ้านหลายแคว้น พวกเขาส่วนมากเป็นศิษย์จิตวิญญาณแต่ก็อาจจะมีอาจารย์จิตวิญญาณปรากฏอยู่บ้าง ถ้าหากตนเองตาไม่ถึงแล้วถูกหลอกล่ะก็ทางนิกายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เอาล่ะ! เรื่องที่ควรพูดข้าก็ได้พูดหมดแล้ว สามวันให้หลังข้าจะกลับมารับพวกเจ้าที่นี่เพื่อกลับนิกาย ตอนนี้ศิษย์น้องทุกท่านสามารถไปได้แล้ว”

พอศิษย์พี่เฉียนกล่าวจบ ก็พาดรุณีน้อยชุดเขียวเดินไปยังทางเข้าตรงหุบเขา

คนอื่นๆ มองหน้ากันสักพัก ผู้ที่ใจร้อนก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว และก็มีคนรวมกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคนเพื่อพูดคุยกันก่อน

เหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรพูดคุยกันแค่สองประโยค แล้วก็เดินไปยังหุบเขาเช่นกัน

หลิ่วหมิงคิดจะเดินคนเดียวตั้งแต่แรกอยู่แล้วย่อมไม่หน่วงเหนี่ยวอะไรอีก หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปอย่างไม่รีบร้อน

เวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็มาถึงทางเข้าตรงหุบเขา เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจลอยมาจากที่ไกลๆ

ตาเขาเป็นประกายเล็กน้อยแล้วเท้าทั้งสองก็ก้าวต่อไม่หยุด จนเดินมาถึงถนนหินที่สะอาดเรียบร้อยเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว

บริเวณถนนทั้งสองด้านคือสิ่งก่อสร้างที่ใช้หินมาก่อเป็นชั้นๆ สิ่งก่อสร้างที่สูงคือหอที่สูงสิบว่าจั้ง สิ่งก่อสร้างที่เตี้ยจะเป็นบ้านเดี่ยวที่สูงไม่เกินจั้งกว่า ดูลักษณะแล้วล้วนเป็นร้านค้าที่ผู้ฝึกฝนเปิดขึ้นมา

ผู้ฝึกฝนจำนวนมากมีการแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เดินอยู่บนถนน บ้างก็เดินเข้าออกสิ่งก่อสร้างบนถนนทั้งสองข้าง

และก่อนหน้านั้นเขายังสามารถเห็นศิษย์นิกายเดียวกันจากที่ไกลๆ หลายคน แต่แค่พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วไม่รู้ว่าไปตรงกันบ้าง

ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงยิ่งไม่รีบร้อนค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปตามถนน สายตาสังเกตดูร้านค้าสองข้างทางไม่หยุด

ผ่านไปไม่นานเขาก็พอจะเริ่มเข้าใจบ้าง

ร้านค้าเหล่านี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่น้อยแต่ส่วนมากก็แบ่งได้ไม่กี่ประเภท

บ้างก็เป็นร้านค้าที่ขายและรับซื้อวัสดุต่างๆ โดยเฉพาะ และมีร้านที่ขายโอสถสำเร็จรูปหรือยันต์โดยเฉพาะด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีร้านที่ขายหรือสร้างอาวุธอาญาสิทธิ์หลากหลายชนิด แต่หน้าร้านของร้านเหล่านั้นค่อนข้างกว้างส่วนมากจะทำทุกอย่าง แม้กระทั่งมีร้านหนึ่งติดป้ายเชิญชวนว่าข้างในมีอาวุธจิตวิญญาณขาย ทำให้หลิ่วหมิงหยุดชะงักหน้าร้านอย่างอดไม่ได้ แต่สักครู่ก็ต้องจากไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น

ถึงแม้เขาไม่ต้องถามก็รู้ว่าอาวุธจิตวิญญาณที่ขายในที่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าอาวุธมันมีปัญหาในตัวก็ต้องมีราคาสูงเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้

หลิ่วหมิงสังเกตดูร้านค้าไปด้วย และเดินเข้าออกหลายร้านอยู่ตลอดเพื่อสอบถามราคาสิ่งของต่างๆ

พอเขาดูร้านตรงถนนเส้นนี้หมดแล้ว ก็เลี้ยวไปยังถนนอีกเส้นที่อยู่บริเวณนั้น

สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงเดินออกจากถนนสุดสายเส้นหนึ่ง ลานกว้างหลายหมู่ปรากฏต่อหน้าเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีคนจำนวนมากตั้งแผงบนพื้นในที่แห่งนี้ มันไม่แตกต่างจากตลาดสีเทาในนิกายปีศาจมากนัก

ภายใต้ความรู้สึกแปลกใจ หลิ่วหมิงเดินดูแผงเหล่านี้อย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับค้นพบว่ามีของดีๆ ขายจำนวนไม่น้อย แต่พอสอบถามราคาแล้วก็ได้แต่แบะปากส่ายหัวเดินออกมา

เมื่อเขาเดินมาถึงตรงหน้าชายวัยกลางคนหนึ่งที่ดูจากสีหน้าเหมือนว่ากำลังป่วยอยู่ แต่เขากลับสะดุดตากับคัมภีร์หนังสัตว์โบราณเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านหน้า และอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาพลิกดูซักพักแล้วถึงเอ่ยปากถาม

“รวมวิธีปรุงโอสถพื้นฐานเล่มนี้ขายอย่างไร?”

“หนังสือเล่มนี้นอกจากจะแนะนำความรู้พื้นฐานในการปรุงโอสถแล้ว ยังรวมสูตรปรุงโอสถพื้นฐานไว้ในนั้นด้วย ราคาเป็นหินจิตวิญญาณห้าสิบก้อน ไม่มีราคาอื่นแล้ว” ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวอย่างเฉื่อยชา

“หินจิตวิญญาณห้าสิบก้อน”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายศีรษะแล้ววางมันลงไป แต่สายตามองไปยังสิ่งของกองหนึ่งที่อยู่บนแผงแล้วก็อดถามออกมาไม่ได้

“สิ่งของพวกนี้ล่ะ!”

“อุปกรณ์ปรุงยาระดับต่ำครบชุด ชุดหนึ่งใช้หินจิตวิญญาณสามร้อยก้อน”

ชายวัยกลางคนมองสิ่งของค่อนข้างเก่าบนนั้นที่มีหม้อปรุงยาหนึ่งใบ โถยาหนึ่งใบ และสากหนึ่งอัน แล้วตอบอย่างเมินเฉย

“ถ้าให้หนังสือเล่มนี้เป็นของแถมล่ะก็ข้าจะซื้อสิ่งของชุดนี่” ครั้งหลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล

สิ่งของเช่นเดียวกันนี้ เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งมันขายห้าร้อยหินจิตวิญญาณ และดูจากสิ่งของเหล่านี้ที่แฝงด้วยกลิ่นไอของโอสถแล้ว คงจะเป็นอุปกรณ์ปรุงยาอย่างแน่นอน

“แถมให้เจ้า! ช่างเถอะ เห็นแก่ที่วันนี้เจ้าเป็นลูกค้าคนแรก ข้าจะยอมเสียเปรียบเจ้า” ชายวัยกลางคนได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ เงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีกครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“หลิ่วหมิงดีใจเป็นอย่างมาก หยิบหินจิตวิญญาณใสๆ ออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้สามก้อน

ชายวัยกลางคนรับไปในทันที และตรวจดูคุณภาพของหินจิตวิญญาณเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้า

หลิ่วหมิงจึงเก็บหนังสือเล่มนั้นกับอุปกรณ์ปรุงโอสถขึ้นมา แล้วไปจากลานกว้างแห่งนั้น

ตลาดทั้งตลาดค่อนข้างใหญ่มาก เกือบจะเท่าๆ กับเมืองขนาดกลางเมืองหนึ่ง

หลิ่วหมิงใช้เวลาทั้งหมดไปหนึ่งวัน ก็เดินดูร้านค้าได้แค่กว่าครึ่งหนึ่งของตลาดเท่านั้น

ดังนั้นพอฟ้ามืดแล้ว เขาก็ไปหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่สร้างมาเพื่อให้คนได้พักผ่อนโดยเฉพาะแล้วก็นอนไปหนึ่งคืน เช้าวันที่สองถึงได้สำรวจดูถนนเส้นที่เหลือ

ถึงแม้ว่าร้านค้ามากมายต่างก็มีโอสถเพิ่มพลังเวทออกมาขาย แต่เขามีหินจิตวิญญาณอยู่ในมือแค่เล็กน้อย ทั้งยังคิดที่จะขายสิ่งของบางอย่าง ย่อมต้องหาสถานที่ที่ให้ราคาค่อนข้างสูงหน่อย ดูๆ แล้วต้องเป็นร้านค้าที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ถึงจะขายได้

ตอนเที่ยง เมื่อเขาสำรวจดูร้านค้าร้านสุดท้ายเสร็จแล้ว เขาก็ตัดสินใจได้

ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาเดินเข้าไปหอสองชั้นมี่ป้ายแขวนว่า “เรือนร้อยสมบัติ”

ร้านค้านี้นับว่าเป็นร้านค้าระดับกลางในหุบเขานี้ ข้างในมีชั้นไม้หลายชั้นเรียงกันเป็นแถว บนนั้นมีสิ่งของมากมายวางอยู่ และมีพนักงานสองคนกำลังแนะนำสิ่งของในร้านให้กับลูกค้า ยังมีผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้ดูแลร้านนั่งอยู่หลังโต๊ะ

ในหอนี้ดูเหมือนจะค้าขายได้ดีเป็นพิเศษ มีผู้ฝึกฝนทยอยเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย

หลิ่วหมิงเดินเข้าไปได้สักครู่ ถึงหาโอกาสที่ไม่มีคนเดินไปยังหน้าโต๊ะได้ เขานำตลับใบหนึ่งวางลงข้างบนโต๊ะ แล้วกล่าวกับผู้อาวุโส

“ท่านช่วยข้าตีราคาสิ่งของในนี้หน่อยว่าได้เหรียญจิตวิญญาณกี่ก้อน จากนั้นพวกเราค่อยคุยเรื่องอื่นๆ กัน”

ผู้อาวุโสได้ยินกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับพยักหน้ากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ได้ สหายโปรดรอสักครู่ ข้าจะดูมันซะก่อน” ระหว่างที่พูดอยู่ ผู้อาวุโสก็เปิดตลับออก เขาเขม้นตามองไปยังสิ่งของในนั้น แต่สีหน้าเขาพลันค่อยๆ เปลี่ยนขึ้นมา

“กลิ่นไอแข็งแกร่งมาก นี่คือ…” ผู้อาวุโสตกใจจนมือไม้สั่น คีบสิ่งของสีขาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองขึ้นมา มันคือเศษกระดูกของหนูยักษ์ขนเขียวตัวนั้น

“ขอถามสหายหน่อย สิ่งของนี้คือชิ้นส่วนของปีศาจอสูรชนิดใด?” ผู้อาวุโสสมกับเป็นเถ้าแก่ของที่นี้ พอดูก็มองออกว่ามันคืออะไร

“คือชิ้นส่วนของปีศาจอสูรหนูยักษ์ตนหนึ่ง” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ปิดบัง

“ชิ้นส่วนปีศาจหนู นี้ก็ออกจะแปลกประหลาดไปหน่อย โดยทั่วไปปีศาจอสูรจำพวกหนูมีน้อยมากที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงได้ สหายรอสักครู่ข้าจะวัดดูความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันก่อน” ผู้อาวุโสได้ยินก็กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าฉงน

หลิ่วหมิงย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด เขาก็แปลกใจเหมือนกันว่าหนูยักษ์ขนเขียวตนนั้นแท้ที่จริงแล้วอยู่ในระดับใด

ผู้อาวุโสก้มตัวลงหยิบแผ่นค่ายกลสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และนำเศษกระดูกวางลงบนนั้นแล้วทำท่ามือด้วยมือเดียว

ครู่ต่อมา ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ จากแผ่นค่ายกล ขณะเดียวกันก็มีอักขระที่ไม่รู้จัดลอยออกมาเปลี่ยนรูปร่างอยู่ไม่หยุด

“ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย!” ครู่ต่อมาผู้อาวุโสก็หลุดปากออกมา ดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นแล้วรีบกระตุ้นแผ่นค่ายกลอีกรอบ แต่อักขระบนค่ายกลยังคงเหมือนเดิมไม่ผิด

“สหายรอสักครู่ สิ่งของเหล่านี้มีมูลค่ามาก เกรงว่าข้าก็ไม่อาจตัดสินได้ คงต้องให้เจ้าของร้านมาคุยด้วยตนเอง สหายเก็บของสิ่งนี้ให้ดี แล้วไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถอะ” ผู้อาวุโสถอนหายใจยาวแล้วรีบกล่าวกับหลิ่วหมิง

“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้วกัน” เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

ตอนแรกเขาคาดว่าอย่างสูงก็คงไม่เกินระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น นี้ไม่ใช่เท่ากับว่าหนูยักษ์ขนเขียวตนนั้นเป็นปีศาจอสูรหนูชั้นสูงที่อยู่ห่างไม่ไกลจากระดับผลึกจิตวิญญาณแล้ว

มันห่างกว่าที่เขาคาดไว้ตั้งสองขั้น มูลค่าของเศษกระดูกเหล่านั้นย่อมสูงกว่าที่เขาคาดไว้มาก มิน่าล่ะ! เลือดเนื้อหนูยักษ์ที่เขาทานเข้าไปถึงได้ได้ผลลัพธ์ได้ถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะทานโดยไม่ได้นำไปปรุงเป็นโอสถก็ยังทำให้พลังเวทของเขามาถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้

หญิงผู้ชื่อเย่เทียนเหมยผู้นั้นสามารถสังหารปีศาจตนนี้ได้ จะต้องอยู่ระดับผลึกจิตวิญญาณเหมือนกันกับอาจารย์ปู่ในนิกายผู้นั้นอย่างแน่นอน

พอหลิ่วหมิงนึกถึงใบหน้างดงามของหญิงผู้นั้น ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด