ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 134 ดินปราณ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 134 ดินปราณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 134 ดินปราณ

แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงดูอยู่ครึ่งค่อนวัน นอกจากรู้สึกว่าลูกท้อในมือเล็กกว่าลูกท้อทั่วไปนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ค้นพบอะไรที่ผิดปกติ!

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ คนที่มาก่อนหน้าจึงไม่ได้สังเกตว่าลูกท้อเหล่านี้คือผลไม้จิตวิญญาณ มิเช่นนั้นล่ะก็คงไม่มีเหลือไว้แม้แต่ลูกเดียว

หลิ่วหมิงเก็บลูกท้อบนพื้นยัดใส่หน้าอกสองสามลูก จากนั้นก็เก็บที่เหลือไว้ในผ้าย่อส่วน เขามองต้นท้อที่อยู่บริเวณนั้นแวบหนึ่งแล้วพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเดินเข้าไปโอบกอดลำต้นด้วยแขนทั้งสองไว้แน่น จากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดที่เขามีเขย่าลำต้นของมัน

เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ต้นท้อเพียงแค่แกว่งไปมาสองสามทีโดยไม่แตกหักออกมาเลย

หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบเปลี่ยนทิศทางการออกแรงโดยเปลี่ยนจากเขย่าเป็นดึงขึ้นที

ต้นไม้จิตวิญญาณถูกสั่นไหวจนใบไม้พร่วงพรูลงมา แต่ส่วนล่างของต้นไม้ยังคงปักแน่นอยู่ในดินโดยไม่มีท่าทีว่าจะขยับเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงเห็นนี้ก็ไม่ได้โมโหแต่กลับรู้สึกดีใจขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อก่อนที่กระบี่สั้นเขียวจะปรากฏออกมา หลังจากที่หมุนตัวไปยังใจกลางของต้นท้อสิบกว่าต้น ข้อมือของเขาก็สั่นไหว ขณะเดียวกันปราณกระบี่สีเขียวก็ประสานกันออกมา…

ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อหลิ่วหมิงใช้ปราณกระบี่ขุดหลุมได้ลึกสามสี่จั้ง เขาก็พบกับรากขนาดใหญ่จำนวนมากที่เจาะลงไปในดิน ซึ่งไม่รู้ว่าเจาะลึกลงไปเท่าไหร่ ตอนนี้สีหน้าเขาดูมีความสุขมากกว่าเดิม

ปราณกระบี่พวยพุ่งอยู่ในมือเขาไม่หยุด หลังจากที่ขุดลงลึกตามรากไปเจ็ดแปดจั้ง ถึงพบกับสิ่งของที่ดูราวกับเป็นดินเหนียวสีทองอ่อน

พอหลิ่วหมิงเห็นดินเหนียวสีทองก้อนนี้ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก! เขาก็สะบัดแขนเสื้อเอากล่องหยกออกมา ก่อนที่จะใช้พลังยกดินเหนียวสีทองอ่อนขึ้นมาอย่างอ่อนโยนและค่อยๆ วางลงในกล่อง

หลิ่วหมิงก้มตัวลงหยิบรากไม้ยาวครึ่งฉื่อที่ถูกเขาตัดออกมาในก่อนหน้านั้น จากนั้นก็ปักมันลงในดินเหนียวสีทองอ่อน

ฉากอันเหลือเชื่อได้ปรากฏขึ้นแล้ว

พอรากไม้สีเหลืองอ่อนสัมผัสถูกดินเหนียวสีทองมันก็ตั้งตรงขึ้นมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว และเริ่มแตกกิ่งใบออกมาอย่างรวดเร็ว

“ที่แท้ก็เป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์! มิเช่นนั้นต้นท้อธรรมดาเหล่านั้นก็คงไม่กลายไปเป็นต้นไม้จิตวิญญาณ และลูกของมันก็คงไม่มีผลลัพธ์ในการเพิ่มพลังเวทย์เช่นนี้ ถ้านำดินปราณนี้ออกไปยังโลกภายนอกไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญพืชจิตวิญญาณกับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคลุ้มคลั่งสักแค่ไหน” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำด้วยความดีใจ ก่อนที่จะก็ดึงรากไม้ออกจากดินเหนียวสีทอง จากนั้นก็ปิดฝากล่องแล้วเก็บเข้าไปอย่างระมัดระวัง

ดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้ถึงแม้จะมีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่งของบรรดาดินปราณ แต่เมื่อเทียบกับดินปราณเพาะปลูกพืชจิตวิญญาณที่ช่วยเพิ่มพลังเวทย์ได้เล็กน้อยแล้วมันคนละเรื่องกันเลย!

อย่างแรกเป็นวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินแท้จริงที่หาได้ยากในโลกใบนี้ อย่างหลังกลับเป็นแค่ดินปราณธรรมดาในโลกผู้ฝึกฝนเท่านั้น

แน่นอนว่าตอนแรกดินปราณทองคำบริสุทธิ์ก็เป็นแค่ดินปราณธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าถูกปราณจิตวิญญาณชะล้างมากี่หมื่นปีถึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์

ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง ที่บอกว่าใต้ดินลึกของสถานที่มีต้นไม้จิตวิญญาณรวมตัวกันสิบกว่าต้นขึ้นไป ถึงจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อยในการหาดินปราณทองคำบริสุทธิ์เจอได้ เกรงว่าเขาคงไม่คิดที่จะขุดดินลึกลงไปเพื่อหาของสิ่งนี้

ดินปราณทองคำนี้ดูเหมือนไม่ค่อยจะสะดุดตา แต่น้ำหนักแค่หนึ่งถึงสองเฉียน[1] ของมันมีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณหมื่นก้อน และยังมีราคาสูงมากจนไม่มีคนยอมนำออกมาขาย

เพราะว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่เพียงแต่จะทำให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรจิตวิญญาณที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดระยะเวลาการเติบโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสร้างอาวุธจิตวิญญาณและเตาหลอมโอสถ แม้แต่อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับต่ำอย่างเตาหลอมโอสถ ถ้าหากผสมดินปราณทองคำบริสุทธิ์ลงไปหนึ่งสองเฉียนก็สามารถยกระดับของอาวุธอาญาสิทธิ์ให้อยู่ในระดับสุดยอดได้

สำหรับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้วอาวุธจิตวิญญาณกับเตาหลอมโอสถเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอะไรนั้น ผู้ฝึกฝนทั้งหมดต่างก็รู้กันดี

กล่าวเช่นนี้คือ ถ้าหากให้เลือกระหว่างอาวุธจิตวิญญาณระดับที่มีคุณภาพไม่เลวสิบชิ้น กับเตาหลอมโอสถที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนไหนก็ย่อมเลือกอย่างที่สองอย่างไม่ลังเล

เพราะว่าแค่มีอาวุธจิตวิญญาณอย่างเตาหลอมโอสถที่สามารถปรุงโอสถและเชื่อมกับจิตของตนเองได้ ประสิทธิภาพของโอสถก็จะสูงขึ้นหนึ่งถึงสามในสี่ส่วนเลยทีเดียว

ผลลัพธ์ที่เพิ่มทวีอย่างนี้ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนใดต่างก็ฝันอยากจะมีไว้ครอบครอง

และดินปราณทองคำบริสุทธิ์ยังหนักผิดปกติเป็นอย่างมาก ก้อนที่หลิ่วหมิงเก็บไปเมื่อครู่ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ไม่เกินไปกว่าลูกกำปั้นเท่านั้น แต่ความจริงแล้วกลับหนักถึงสามชั่งกว่าๆ

เพียงแค่มูลค่าของวัตถุชิ้นนี้ มันก็มีมากกว่าของที่เขาหามาได้ทั้งหมดในก่อนหน้านั้นแล้ว

แต่ถ้าวัตถุชิ้นนี้ถูกคนอื่นพบเข้า เกรงว่าแม้แต่ศิษย์ร่วมนิกายอย่างหยางเฉียนก็คงเข้ามาแย่งชิงอย่างอดไม่ได้ ศิษย์นิกายอื่นๆ นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

หลิ่วหมิงระงับอาการตื่นเต้น จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากหลุมที่ขุดไว้ขึ้นมาอยู่บนพื้นด้านบนอีกครั้ง แต่พอมองกวาดสายตามองไปรอบด้านก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ต้นท้อสิบกว่าต้นแห้งเหี่ยวเป็นอย่างมาก ใบไม้ร่วงมาจนหมดต้น และมองไม่เห็นสีเขียวบนต้นของมันเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองทำท่ามือขึ้นมาในทันที ลูกเปลวไฟสิบกว่าลูกกลายเป็นคลื่นสองสายพุ่งออกไปรอบด้าน

ชั่วพริบตาเดียวต้นท้อทั้งหมดก็ถูกเปลวไฟแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าสีดำ

หลิ่วหมิงยังไม่รามือแค่นี้ หลังจากที่กระบี่สั้นสีเขียวในมือเปล่งประกาย ปราณกระบี่เจ็ดแปดสายก็ฟันออกไปยังหลุมยักษ์ที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นก็บังเกิดร่องน้ำขึ้นบนลานเรียบ มันทำลายทุกอย่างบริเวณนั้นจนไม่เหลือสภาพเดิมในก่อนหน้านี้

เช่นนี้แล้วหลิ่วหมิงถึงได้เก็บกระบี่สั้นสีเขียวด้วยความพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวไปยังถ้ำหินและนั่งกลั่นเอาพลังจากผลลูกท้อที่ทานไปก่อนหน้านั้น

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับกลายเป็นดูเคร่งขรึมขึ้น

พลังที่แฝงอยู่ในผลลูกท้อบริสุทธิ์กว่าที่เขาคิดไว้มาก ระยะเวลาสั้นๆ เพียงเช่นนี้ก็สามารถกลั่นพลังได้จนหมดสิ้น แต่พลังเวทย์ที่ได้จากการกลั่นนี้ไม่ค่อยเพียงพอ มันเทียบเท่ากับพลังเวทย์ที่ได้การฝึกฝนเดือนกว่าๆ เท่านั้น

โชคดีที่เขาเก็บลูกท้อได้เกือบร้อยกว่าลูก แค่เขาทานมันไปครึ่งหนึ่งก็สามารถผลักดันให้พลังเวทย์ของเขาไปอยู่ในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้

แต่ถ้านำลูกท้อจิตวิญญาณเหล่านี้ออกไปล่ะก็ จำต้องมอบมันกว่าครึ่งหนึ่งให้กับนิกาย ถ้าเป็นเช่นนี้แผนการเพิ่มพลังเวทย์ของเขาก็จะล้มเหลว

ดูท่าเขาต้องหาโอกาสทานลูกท้อจิตวิญญาณเหล่านี้ก่อนที่จะออกไปจากแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นออกไปจากถ้ำหิน แล้วไปหาสมุนไพรจิตวิญญาณอื่นๆ

……

สองพี่น้องตระกูลหลานลืมตาทั้งสองขึ้นพร้อมกัน หลังจากที่สบตากันทีหนึ่งแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งไปยังจุดสูงสุดบนยอดเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองก็มายืนอยู่บนที่กว้างโล่งบนจุดสูงสุดของยอดเขา และสังเกตมองดูรอบด้าน

“พี่ใหญ่จากนี้ไปคงต้องพึ่งการรับรู้จากท่านแล้ว” หญิงร่างอรชรกล่าวกับชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“วางใจเถอะ! ต่อให้มันซ่อนตัวอยู่ใต้ดินลึกหมื่นจั้ง ข้าก็สามารถหามันเจอ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีฮึกเหิม จากนั้นก็หลับตาทั้งสอง และทำท่ามือด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันอักขระสีน้ำเงินก็ปรากฏออกมาตรงแก้มทั้งสองข้าง

ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ถึงแม้จะหลับตาแต่ก็ดูราวกับมองเห็นหมดทุกสิ่ง เขาค่อยๆ ก้าวไปทิศทางบางแห่งทีละก้าวโดยสามารถหลบหลีกต้นไม้ที่ขวางทางได้

หญิงร่างอรชรขมวดคิ้วแล้วก็เดินตามไปเงียบๆ

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เท้าทั้งสองชองชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็หยุดลงแล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“คงจะเป็นที่นี่!”

เพิ่งจะกล่าวจบ เขาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในทันที แต่พอมองเห็นสิ่งที่มีขนาดมหึมาด้านหน้าแล้วก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย

ด้านหน้าของเขามีหินยักษ์สีขาวเทาสูงสิบกว่าจั้งยืนตั้งตระหง่านอยู่

“พี่ใหญ่ ที่ท่านรับรู้ได้คือที่แห่งนี้?” หญิงร่างอรชรมองดูหินด้านหน้าสองสามทีแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“คงไม่ผิดพลาด” ชายเผ่าเจ้าสมุทรเดินวนหินยักษ์สองสามรอบแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“งั้นก็หมูเลย จัดการหินก้อนนี้ให้แตกละเอียด แล้วก็จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในแล้วมิใช่หรือ?” หญิงร่างอรชรหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เจ้าถอยไปหน่อย” ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วขยี้ยันต์ผืนหนึ่งจนแตกละเอียด หลังจากที่ม่านแสงสีฟ้าหนาๆ ปรากฏออกมา เขาถึงได้กางนิ้วทั้งห้าและกดลงไปบนหินด้วยมือทั้งสอง

ครู่ต่อมานิ้วทั้งสิบแค่เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย ก็มีคลื่นสั่นไหวออกมาจากนิ้วทั้งสิบและจมหายเข้าไปในหิน

เสียงดัง “โครม!” หินยักษ์สีขาวเทาพังทลายลงมาเป็นชิ้นๆ

พริบตาเดียวร่างของชายหนุ่มก็ตีลังกาดีดตัวกลับไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วยืนมองไปยังท่ามกลางเศษหินพร้อมกับหญิงร่างอรชรด้วยท่าทีตื่นเต้น

แต่ข้างในนั้นกลับว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาของมังกรแดงอยู่

ครั้งนี้ชายหนุ่มเผ่าสมุทรตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ แล้ว

หญิงร่างอรชรกลับเดินไปยังกองหินด้วยตาที่เป็นประกาย หลังจากที่ตรวจดูเล็กน้อยก็หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากในนั้น

มันคือเกล็ดแวววับขนาดเท่าฝ่ามือ และเปล่งประกายแสงสีแดงออกมา

“เกล็ดมังกร! เป็นไปไม่ได้ หรือว่าสิ่งที่ข้ารับรู้ได้คือเจ้าสิ่งนี้?” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเป็นอย่างมาก

“มันก็ไม่แน่ เกล็ดมังกรทั่วไปมีกลิ่นไอมังกรแฝงอยู่น้อยมาก มันไม่สามารถดึงดูดท่านพี่มาถึงที่นี่ได้ นอกเสียจากว่ามันจะเป็นเกล็ดใต้คอมังกร!” หญิงร่างอรชรค่อยๆ กล่าวออกมา

“เกล็ดใต้คอมังกร? เป็นไปไม่ได้ สำหรับมังการแล้ว เกล็ดใต้คอมีความสำคัญรองลงมาจากมุกมังกร มันจะทิ้งไว้ที่นี่ได้อย่างไร!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวด้วยความตกใจ

“ในสถานการณ์ปกติย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามังกรตนนี้เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดล่ะ นับประสาอะไรกับเกล็ดใต้คอเพียงแค่เกล็ดเดียว พี่ใหญ่ท่านสะสางเศษหินพวกนี้ให้เรียบร้อย ลองดูว่ายังมีสิ่งใดอยู่ข้างใต้หรือไม่?” หญิงร่างอรชรยิ้มแล้วกล่าวออกมา

“ได้!”

ชายเผ่าเจ้าสมุทรกางเขนทั้งสองออกในทันที พลังมหาศาลพุ่งออกจากตัวของเขาและผลักดันกองหินออกไปทั้งหมด

เผยให้เห็นหลุมสีดำที่ลึกลงไป

“ที่แท้ก็มีสิ่งเร้นลับซ่อนอยู่ด้านล่าง มังกรแดงตัวนั้นจะต้องซ่อนอยู่ในนั้นเป็นแน่” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็พูดออกมาด้วยความดีใจ

“ถ้ามังกรแดงอยู่ด้านล่างจริงๆ ล่ะก็ พี่ใหญ่ต้องระวังให้มาก” หญิงร่างอรชรกล่าวเตือนด้วยตาที่เป็นประกาย

“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรสะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีดาบสั้นวาววับเล่มหนึ่งปรากฏในมือ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ปล่อยลูกเปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งนำลงไปในถ้ำก่อน

……………………………………….

[1] เฉียน หน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 เฉียน เท่ากับ 5 กรัม โดยประมาณ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด