ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 551 แผ่นล่อวิญญาณ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 551 แผ่นล่อวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงเรียกทรายทองคำร่วงกลับมา จากนั้นก็เก็บพัดดับวิญญาณ และถุงมือสีดำขึ้นมา

พัดดับวิญญาณเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่แท้จริง แม้จะไม่สอดคล้องกับวิชาที่เขาฝึก แต่หากนำมาขายล่ะก็ สามารถแลกได้ร้อยล้านกว่าหินจิตวิญญาณ ถุงมือสีดำสามารถรับแสงกระบี่ของกระบี่บินได้ ย่อมนับว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ไม่เลว น่าเสียดายที่ถูกทรายทองคำร่วงของเขาทำลายไปข้างหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่ข้างเดียว คงจะแลกหินจิตวิญญาณได้จำนวนหนึ่ง

หลังจากเก็บของทั้งสองอย่างเข้าไปแล้ว เขาก็ก้มลงไปค้นตัวชายหนุ่มชุดเขียว ไม่นานก็ค้นเจอยันต์เก็บของที่เปล่งแสงสีทองอยู่

เขายัดยันต์เก็บของเข้าไปในอก จากนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ พอแสงสีแดงเปล่งประกายในมือ ศีรษะของชายหนุ่มชุดเขียวก็ถูกตัดจนขาด

หากนำศีรษะของปีศาจหยินหยางไปที่หอความเป็นความตาย ก็สามารถแลกแต้มคุณูปการได้สามหมื่นแต้ม เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ปีศาจหยินหยางปรากฏตัวในรูปแบบของชายฉกรรจ์หน้าหยินหยาง ไม่รู้ว่าหอความเป็นความตายจะรู้ใบหน้าที่แท้จริงของปีศาจหยินหยางหรือไม่

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองนำไปดู ทันใดนั้นเขาก็แยกศีรษะใส่เข้าไปในยันต์เก็บของอีกผืน

จากนั้นหลิ่วหมิงก็จ้องมองร่างไร้ศีรษะด้วยสายตาเยือกเย็น พอสะบัดแขนเสื้อ ลูกเปลวไฟสีแดงก็ร่วงลงมาตรงหน้า พริบตาเดียวก็เผาไหม้ศพของชายหนุ่มชุดเขียวจนกลายเป็นขี้เถ้า

อีกด้านหนึ่ง พอชายหนุ่มชุดเขียวเสียชีวิต หุ่นนักรบทั้งสามก็สูญเสียการควบคุม และนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็โบกมือเรียกหัวบิน แมงป่องกระดูก และนักรบยันต์ผ้าเหลืองที่คอยเฝ้าอยู่บริเวณนั้นกลับมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว เพื่อลองเรียกเก็บหุ่นเหล่านั้น ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในที่สุดก็ทำให้หุ่นทั้งสี่กลายเป็นมุกกลมๆ สีเหลือง และเก็บมันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน

หุ่นชุดนี้เทียบเท่าได้กับยอดฝีมือระดับผลึกคนหนึ่ง จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นสิ่งของที่ดีที่สุดที่ได้รับหลังจากการต่อสู้ในวันนี้

แม้หนึ่งในนั้นจะถูกทำลายแกนสำคัญไป แต่ตอนที่ลงมือ เขาก็รู้จักบันยะบันยังดี จึงไม่ได้ทำลายร่างของหุ่นจนไม่อาจกอบกู้คืนมาได้ เพียงแค่ทำการซ่อมแซมเล็กน้อย คิดว่าคงสามารถฟื้นคืนสภาพเดิมได้

หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ไม่อยู่ที่นี่นานอีกต่อไป พอเมฆดำใต้เท้าพยุงร่างขึ้นมา เขาก็พุ่งกลับไปทางตลาด

……

ขณะที่ดวงจิตของชายหนุ่มชุดเขียวถูกทำลายนั้น พลันมีเสียงดัง “ตู้ม!” บนหลังคาชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตลาดฉางหยาง จนหลังคากลายเป็นรูขนาดใหญ่

แสงสีดำเปล่งประกาย ชายฉกรรจ์ถือแผ่นค่ายกลสีดำ และลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าอึมครึม

เกิดเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ ทำให้ผู้คนบริเวณรอบๆ โรงเตี๊ยมพากันออกมาดู

และชายฉกรรจ์ก็ไม่สนใจเหตุการณ์บริเวณรอบๆ เลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่จ้องมองแผ่นค่ายกลสีดำ ทันใดนั้นก็คำรามออกมาด้วยความโมโห แสงสีดำม้วนตัวพุ่งออกไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มขุดเขียวเสียชีวิต

……

หลิ่วหมิงยืนเหยียบเมฆดำอยู่ และกลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งไปตลาดฉางหยางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ระหว่างทางที่กลับมาก็ไม่เจอผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ

ขณะที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางระยะหนึ่งนั้น สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มีจุดสีดำเล็กๆ พุ่งมาจากด้านหน้า ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ขยายใหญ่หลายเท่า และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แม้จะมองไม่ออกว่าจุดสีดำนี้เป็นใคร แต่ในใจก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว

ดูจากความเร็วที่พุ่งเข้ามา เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามมีระดับการฝึกฝนที่ไม่ต่ำเลย มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก และกลิ่นไอที่แผ่ออกจากแสงสีดำ ก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย

ขณะที่หลิ่วคิดที่จะซ่อนร่องรอยนั้น พลังจิตอันแข็งแกร่งก็กวาดเข้ามา และปกคลุมหลิ่วหมิงไว้

หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา คิดจะซ่อนตัวตอนนี้ก็ช้าไปเสียแล้ว หลังจากทำเสียงฮึดฮัดแล้ว เขาก็พุ่งไปทางตลาดต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ไม่นาน ไอดำก็ม้วนตัวเข้ามาถึง และหยุดอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ไกลมาก

พอไอดำสลายไป ร่างของชายฉกรรจ์รูปร่างขนาดใหญ่ ก็มองเข้ามาด้วยสายตาเยือกเย็น

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ชายฉกรรจ์ตรงหน้าคือผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่ปรากฏตัวในงานประมูลพร้อมกับชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น!

“ไม่ทราบว่าที่ผู้อาวุโสขัดขวางข้า มีธุระอันใดหรือ? หากไม่มีล่ะก็ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าสงบ

ชายฉกรรจ์สังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยแววตาเยือกเย็น และหยิบแผ่นค่ายกลสีดำออกมา

“ท่านมีจุดประสงค์ใด?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ชายฉกรรจ์ไม่สนใจคำถามของหลิ่วหมิง เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา และปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลในมือ

มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากแผ่นค่ายกล ขณะเดียวกันหมอกโลหิตก็พุ่งออกมา และก่อตัวเป็นหนวดสัมผัสสีแดงเจ็ดแปดเส้นที่มีลักษณะคล้ายปลาหมึก และโบกสะบัดมาทางหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด

“เจ้าเป็นคนฆ่าคุณชายใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาอาฆาตออกมา ดวงตาดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก

“ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าน้อยดูเหมือนจะไม่เข้าใจ” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และกล่าวอย่างราบเรียบ

“ฮึ! บนตัวเจ้ามีพลังดวงจิตส่วนหนึ่งของคุณชายอยู่ แผ่นล่อวิญญาณสัมผัสได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาชีวิตมาชดใช้เถอะ!” ชายฉกรรจ์มองดูหลิ่วหมิงราวกับมองดูคนที่ตายไปแล้ว

ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มีสีหน้าหนักอึ้ง ในเมื่อถูกจับได้แล้ว ชายฉกรรจ์ผู้นี้คงไม่ปล่อยเขาไปแน่ คงจะต้องต่อสู้กันแล้ว

แต่จากคำพูดของชายฉกรรจ์ ทำให้เขายืนยันเรื่องหนึ่งได้ ไหมสีแดงในร่างของเขาคงเป็นพลังดวงจิตที่ชายฉกรรจ์พูดถึง คงเป็นตราประทับในการติดตาม สิ่งนี้กลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

หากเป็นพลังเช่นนี้ล่ะก็ โดยทั่วไปไม่อาจอยู่ในร่างได้นานมากนัก

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดนั้น ไอดำบนตัวชายฉกรรจ์ก็ม้วนตัวออกมา และร่างของเขาก็กระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง

ครู่ต่อมา ฝ่ามือสีดำที่มีขนาดใหญ่ราวกับพัดใบลาน ก็คว้ามาเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง

เห็นได้ชัดว่า ชายฉกรรจ์ผู้นี้คิดที่จะโจมตีศีรษะของหลิ่วหมิงให้ระเบิดในทีเดียว

หลิ่วหมิงไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว เท้าข้างหนึ่งแตะลงบนอากาศ จากนั้นก็ขยับตัวไปด้านหลังจนกลายเป็นเงา ทำให้พอที่จะหลบการโจมตีของชายฉกรรจ์ไปได้

ชายฉกรรจ์คว้าได้แต่ความว่างเปล่า สีหน้าเผยแววประหลาดใจออกมา ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงสามารถเคลื่อนไหวได้รวดูเร็วเช่นนี้

พริบตานั้น พอชายฉกรรจ์ดึงมือกลับ นิ้วทั้งห้าก็ส่งเสียงดังออกมา และลากแสงสีดำขนาดยาวครึ่งฉื่อออกมาด้วย จากนั้นก็คว้าไปบริเวณหน้าอกหลิ่วหมิงอีกครั้ง

ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายแวววาว ไม่รู้ว่าเกล็ดมังกรจำนวนมากปกคลุมอยู่บนกำปั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาชกใส่มือยักษ์ของชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

“ปัง!”

หลิ่วหมิงถูกกระเทือนจนร่นถอยออกไปสิบกว่าก้าว ไอดำบนตัวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ ตั้งหลักขึ้นมาได้

และร่างของชายฉกรรจ์ก็สั่นไหวเล็กน้อย สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็กล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“เจ้าก็เป็นผู้ฝึกร่างหรือ?”

วิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนเป็นเคล็ดวิชาฝึกร่างของนิกายปีศาจลี้ลับ ซึ่งมีน้อยคนที่จะเทียบได้ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวตรงหน้าจะปะทะกันตรงๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งออกไปด้านหลังทันที ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีแดงที่ยาวจั้งกว่าๆ พุ่งออกจากมือไปฟันชายฉกรรจ์

ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แรงอาฆาตเพิ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่แสงกระบี่สีแดงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้น เขากลับไม่ต้านทานเลยแม้แต่น้อย

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา

แสงกระบี่ฟันใส่ไหล่ของชายฉกรรจ์ แต่กลับกระเด็นออกมาราวกับฟันลงบนแท่งเหล็ก และกลายเป็นกระบี่เล็กสีแดงเล่มหนึ่ง ทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวจางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ผิวหนังก็ไม่ฉีกขาดเลยแม้แต่น้อย

ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างเยือกเย็น พอนิ้วทั้งห้ากางออกมา แสงสีดำก็พุ่งออกจากมือ และคว้าไปด้านหน้าทันที

“ฟิ้วๆ!”

แสงสีดำห้าลำพุ่งออกจากปลายนิ้วทั้งห้า และก่อตัวเป็นแสงรูปครึ่งวงกลม พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง พอสะบัดแขนเสื้อ ม่านทรายสีทองก็ปรากฏออกมา ครู่เดียวก็กลายเป็นม่านทรายสีทองห้าชั้นบังอยู่ตรงหน้า

“เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!”

ม่านทรายทองคำถูกฟันขาดไปสี่ชั้น จนเข้ามาถึงชั้นที่ห้า ม่านทรายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่แสงทั้งห้ากลายเป็นแสงแวววาวและค่อยๆ สลายไปนั้น ม่านทรายก็แตกกระจายออกมา

ชายฉกรรจ์เผยแววตาประหลาดใจออกมา คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่งจะสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้

หลิ่วหมิงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ควบคุมกระบี่บินให้ฟันชายฉกรรจ์อีกครั้ง

ครั้งนี้เขากลับไม่ได้ใช้แสงกระบี่ที่มีอานุภาพ แต่กลับทำกระบี่บินให้กลายเป็นแสงกระบี่แคบยาวหมุนวนรอบตัวชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว

ปลายแหลมแทงไปที่ดวงตาทั้งคู่ หอคอย และจุดอ่อนอื่นๆ ของชายฉกรรจ์

ในขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็ตบถุงหนังอย่างเงียบๆ

แม้ชายฉกรรจ์จะไม่เกรงกลัวการโจมตีของแสงกระบี่เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ยอมให้กระบี่บินทำลายจุดอ่อนของตนเองได้ ในระหว่างที่แขนทั้งสองป้องกันอยู่นั้น ความเร็วในการโจมตีของเขาก็ลดลง

ขณะนั้นเอง ไอดำสองสายก็ม้วนตัวออกจากเอวของหลิ่วหมิง ซึ่งก็คือแมงป่องกระดูกกับหัวบินนั่นเอง พอมันปรากฏตัวก็พุ่งไปทั้งสองด้านของชายฉกรรจ์

แมงป่องกระดูกเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาถึงด้านซ้ายของชายฉกรรจ์ จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟสีม่วงออกมา ขณะเดียวกันหางตะขอรูปมังกรตรงหลังก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง และกลายเป็นเส้นสีดำพุ่งเข้าหาชายฉกรรจ์เป็นจำนวนมาก

ขณะนี้ชายฉกรรจ์กำลังโบกสะบัดแขนโจมตีกระบินสีแดงอยู่ พอแสงสีดำบนตัวเปล่งประกาย เปลวไฟสีม่วงบนตัวก็ถูกสั่นสะเทือนจนสลายไป และหลังจากมีเสียงคำรามออกมา มือข้างหนึ่งก็จมเข้าไปในเส้นสีดำอย่างรวดเร็ว พอกำนิ้วทั้งห้า ก็คว้าเอาหางตะขอสีดำม่วงเอาไว้ได้

แต่ขณะนั้นเอง หางตะขอก็พร่ามัวหายไปจากมือยักษ์ของชายฉกรรจ์ จากนั้นก็เกิดเสียงดังกึกก้อง เงาตะขอจางๆ ปรากฏอยู่ด้านหลังศีรษะของชายฉกรรจ์ และเสียบเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด