ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1139 สงครามใหญ่ใกล้เริ่ม

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1139 สงครามใหญ่ใกล้เริ่ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปั้ก!

โลหิตส่องประกายกลางอากาศ เหนือร่างตะขาบเกิดคลื่นสั่นไหว ก่อนที่ความเจ็บปวดรุนแรงจะเข้าเล่นงาน พร้อมกับแขนพร่ามัวข้างหนึ่งที่ทะลวงผ่านหัวของมัน โลหิตพุ่งกระฉูดออกมา

ดวงตาของตะขาบเผยแววตาไม่อยากเชื่อ ร่างกายมหึมาบิดดิ้นกลางอากาศสองสามครั้งก็กะแทกกับแม่น้ำใต้ดินหนักหน่วง ดิ้นอยู่ครั้งสองครั้งก็หมดลมหายใจ

เงาคนพร่ามัวกลางอากาศขยับวูบหนึ่ง คลื่นลูกหนึ่งก็ซัดกลบหายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

มังกรทะลวงดินที่หนีสุดชีวิตอยู่ด้านหน้าสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหัวกลับมามองอย่างตกตะลึง ดวงตาเรียวยาวกะพริบปริบๆ อึดใจต่อมาร่างกายก็สะบัดสองสามครั้งเหาะปรู๊ดจากไปไกล ท่าทางน่าขันยิ่ง

เสียงกรีดร้องเกรี้ยวกราดของแมลงดังขึ้น แมลงหลายตัวมุดเข้ามาริมแม่น้ำใต้ดิน ตัวหัวหน้าเป็นแมลงระดับแก่นแท้อีกตัวหนึ่ง

เมื่อเห็นศพตะขาบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เผ่าหนอนผีเสื้อหลายตัวนี้พลันกรีดร้องอย่างตื่นเต้น ทยอยโถมเข้าไปกัดกินศพคำโต กินมันจนหมดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

จากนั้นเผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้ตัวนี้ก็พาแมลงตัวอื่นตามกลิ่นคาวเลือด ไล่ตามไปทางทิศที่มังกรทะลวงดินหนีไป

หลังจากเผ่าหนอนผีเสื้อหลายตัวนี้จากไป ในแม่น้ำใต้ดินก็มีเงาของคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แสงสีขาวกะพริบวูบไหวเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา

แขนข้างหนึ่งของเขาโชกเลือด เขาสะบัดมันครั้งหนึ่ง ตรงบาดแผลก็ทอแสงสีดำ ก้อนเนื้อจิ๋วนับไม่ถ้วนงอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวแขนก็หายดีดังเดิม

เขามองทิศทางที่เหล่าแมลงจากไปแล้วถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง

แม้ยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงาจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก เก็บซ่อนร่องรอยของคนผู้หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ทำให้คนไร้ตัวตนจริงๆ ไม่ได้ เมื่อพบกับพลังภายนอกก็ยังเผยร่องรอยได้

ที่แห่งนี้อยู่ลึกเข้ามาในกองทัพใหญ่ของเผ่าหนอนผีเสื้อแล้ว หากไม่ระวังแม้เล็กน้อยย่อมถูกเผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงพบเอาได้ เขาไร้ทางเลือกจึงคิดออกแต่วิธียอมเจ็บเพื่อทำร้ายอีกฝ่ายเช่นนี้ โจมตีครั้งเดียวสังหารตะขาบตัวนั้น

ยังดีที่โลหิตปีศาจสวรรค์ในร่างเขามีพลังฟื้นฟูแข็งแกร่งยิ่งนัก ครั้งนี้พลังปราณจึงไม่เสียหายมาก

หลังจากหลิ่วหมิงจัดการบาดแผลแล้วจึงซ่อนอยู่ในสายน้ำ แหวกว่ายไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ

หลังจากผ่านศึกครั้งนี้มา เส้นทางต่อจากนั้น เขาจึงยิ่งระวังขึ้นไปอีก

เมื่อเข้าไปในระยะร้อยลี้จากยอดเขาแสงอัสดง แม้บริเวณแม่น้ำใต้ดินจะไม่มีเสียงแม้แต่น้อย แต่สัมผัสอันเฉียบคมของหลิ่วหมิงก็รับรู้ว่าตรงนี้เผ่าหนอนผีเสื้อเริ่มวางเวรยามมากมายไว้แล้ว

ยังดีที่พลังอำพรางตัวของยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงายอดเยี่ยมยิ่งนัก อีกทั้งตัวหลิ่วหมิงเองก็ระมัดระวังรอบคอบ ในที่สุดสามสี่ชั่วยามหลังจากนั้นจึงมาถึงยอดเขาแสงอัสดง

ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณสี่แสนหลายหมื่นลี้มียอดเขามหึมาสีเทาเข้มอยู่ลูกหนึ่ง ที่แห่งนี้ก็คือยอดเขาแสงอัสดง ใต้ยอดเขามีหุบเขาอันกว้างอยู่แห่งหนึ่ง ภูมิประเทศกว้างขวางอย่างยิ่ง รอบด้านล้วนเป็นภูเขาสูงทอดเป็นแนว

บนท้องฟ้าลึกเข้าไปในหุบเขา รอยแยกมิติมหึมาขนาดสองสามร้อยจั้งเส้นหนึ่งปรากฏอยู่กลางท้องฟ้าเปล่งแสงเรืองรองออกมาดุจบานกระจก ทำให้กระแสอากาศใกล้ๆ โกลาหลอย่างยิ่ง

หุบเขาที่เดิมทีเงียบสงบเวลานี้กลับเต็มไปด้วยเสียงเอะอะทั่วทุกหนทุกแห่ง เผ่าหนอนผีเสื้อตัวใหญ่ตัวน้อยนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่บนที่ราบหุบเขา บ้างก็ปีนป่ายบนเนินเขารอบด้าน

เผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้แลดูสับสนวุ่นวาย แต่ความจริงแบ่งแยกเป็นเขตอย่างชัดเจน แมลงจำนวนมากยิ่งกว่ารวมตัวกันอยู่นอกหุบเขา

เผ่าหนอนผีเสื้อที่อยู่ในหุบเขาโดยพื้นฐานล้วนเป็นระดับผลึกขึ้นไป แท่นหินราบเรียบใต้รอยแยกมิติมีแมลงรูปร่างเหมือนมนุษย์หลายตัวยืนอยู่

ยามเผ่าหนอนผีเสื้อรอบด้านมองไปยังแมลงร่างมนุษย์หลายตัวนั้น พวกมันล้วนเผยสีหน้าหวาดผวา ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไปนัก

แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างของแมลงหลายตัวนี้หนักหน่วงอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าเป็นแมลงระดับดาราพยากรณ์

……

ในถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเขาแห่งหนึ่ง เงาดำที่ไร้ตัวตนร่างหนึ่งลักลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งใกล้ปากถ้ำ

ภายในถ้ำมีแมลงระดับผลึกขั้นปลายอยู่อีกตัว ทว่าแมลงตัวนี้ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าข้างกายมีเงาดำเช่นนี้โผล่ออกมาไม่ไกล

เงาดำร่างนี้ย่อมคือหลิ่วหมิง หลังออกมาจากแม่น้ำใต้ดิน เขาก็เก็บพลังเวททั้งหมดในร่าง ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเล็ดลอดเข้ามายังหุบเขาที่เหล่าแมลงรวมตัวกันอยู่ได้

สิ่งที่เห็นอยู่รอบด้านมีแต่ฝูงแมลงเผ่าหนอนผีเสื้อมากมายยุ่บยั่บ หลิ่วหมิงไม่กล้าแผ่จิตสัมผัสออกไป ใช้แต่สายตากวาดมองรอบด้าน จากนั้นสายตาจึงจับจ้องอยู่ที่รอยแยกมิติในหุบเขา

ตรงนั้นก็คือทางเชื่อมมิติที่ระบุอยูบนแผนที่ รอบด้านบรรยากาศกดดันยิ่งนัก แรงกดดันจิตวิญญาณหลายสายที่แผ่ออกมาจากทางเชื่อมมิติเป็นบางครั้งทำให้เขารู้สึกตัวสั่นเทา

หลิ่วหมิงไม่กล้ามองนาน เขารั้งสายตากลับมาทันที มือขวากำเบาๆ แหวนสีน้ำเงินวงหนึ่งที่สวมอยู่บนมือก็ปริแตกอย่างเงียบเชียบ

ณ ยอดเขาลูกหนึ่งห่างจากยอดเขาแสงอัสดงหลายพันลี้ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เกือบหมื่นคนยืนอยู่ที่นั่น

บนหน้าผาจุดหนึ่งช่วงกลางของยอดเขา เทียนเกอเจินเหรินยืนนิ่งสงบอยู่ ณ ที่นั่น สายตาทอดมองไปยังยอดเขาแสงอัสดงที่อยู่ไกลๆ คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่ง

จินเลี่ยหยางยืนอยู่หลังร่างเขาด้วยกันกับผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่งกับนักพรตหญิงชุดขาวคนหนึ่ง สองคนนี้เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์

ทั้งสี่คนล้วนไม่เอ่ยวาจา ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์รอบด้านย่อมรักษาความเงียบ เฝ้าคอยคำสั่งอย่างสงบด้วย บางครั้งบางคราก็มีคนเลื่อนสายตาสงสัยไปจับบนร่างผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เหล่านี้

ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มศิษย์รอบด้านคือผู้ควบคุมยอดเขาจากแต่ละยอดเขาของสำนักใน พวกเขาต่างนำศิษย์ในสังกัดตนมากลุ่มหนึ่ง

อินจิ่วหลิงแห่งยอดเขาลั่วโยวก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เขายืนอยู่ไม่ไกลจากผาที่เทียนเกอเจินเหรินอยู่ ด้านหลังร่างเขามีศิษย์สายในจากยอดเขาลั่วโยวยี่สิบถึงสามสิบคน เสี่ยวอู่เองก็ยืนอยู่ข้างกายอินจิ่วหลิงด้วย

หลายสิบปีผ่าน หน้าตาของสตรีนางนี้ไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก นางยังคงมีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง มีเพียงบางครั้งที่ดวงตามองไปยังยอดเขาแสงอัสดงเท่านั้นจึงจะเผยแววตาเป็นกังวลออกมาเลือนราง

“อาจารย์ ศิษย์น้องหลิ่วออกเดินทางไปนานมากแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวจะเกิดเรื่องหรือไม่?” เสี่ยวอู่ขยับริมฝีปากเล็กน้อยส่งกระแสจิตถามอินจิ่วหลิง

“วางใจเถิด ยามนี้พลังของหลิ่วหมิงบรรลุจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว อีกทั้งข้ามองเห็นประกายแสงของอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ร่างของเขา คิดว่าคงหลอมมุกบรรพตธาราชุดนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้พลังของเขาคงแข็งแกร่งจนแม้แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ เมื่อรวมกับที่ตัวเขามีสมบัติที่ผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์มอบให้อีก ไม่มีทางเกิดเรื่องไปได้” อินจิ่วหลิงยิ้มน้อยๆ ส่งกระแสจิตตอบกลับมา

“ก็ถูก ด้วยความเฉลียวฉลาดของศิษย์น้องหลิ่ว ต่อให้พบเรื่องอันใดก็คงไม่เป็นอุปสรรค คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์น้องหลิ่วหายตัวไปหลายปีเช่นนี้กลับร่วงหล่นไปถึงยมโลก เล่ากันว่าที่นั่นคือต้นกำเนิดของวิชาสายวิญญาณ…หากมีโอกาสจะต้องให้ศิษย์น้องหลิ่วเล่าเรื่องราวที่นั่นให้ข้าฟังสักหน่อย” เสี่ยวอู่กัดริมฝีปากเบาๆ ดวงตาฉายแววประหลาดใจจางๆ

“รอกวาดล้างแมลงฝูงนี้แล้ว หลิ่วหมิงจะเลื่อนชั้นไปเป็นศิษย์ลับสำเร็จ ทว่าในนาม เขายังเป็นศิษย์ของข้าอยู่ เจ้ายังกลัวไม่มีโอกาสพบเขาอีกหรือ?” อินจิ่วหลิงยิ้มมุมปากมองเสี่ยวอู่แล้วเอ่ยตอบ

“อาจารย์ ท่านพูดอะไร?” ดวงหน้างามของเสี่ยวอู่แดงก่ำพลางมองค้อนอินจิ่วหลิง

“ศิษย์โง่ อาจารย์กำลังเตือนเจ้าจากใจจริง พรสวรรค์กับพลังที่หลิ่วหมิงแสดงให้เห็นยามนี้ ไม่เพียงท่านประมุขเทียนเกอ แม้แต่ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ก็ชื่นชมไม่หยุด ขอเพียงเขายังก้าวหน้าต่อไป วันหน้าจะต้องเป็นบุคคลในตำนานของนิกายยอดบริสุทธิ์ของเราแน่ เฮ้อ ยามนี้อาจารย์เสียดายยิ่งนักที่ตอนนั้นปล่อยให้ศิษย์น้องหลิ่วของเจ้าตกลงเป็นคู่ฝึกฝนกับเจียหลานแห่งยอดเขาเลื่อนลอยผู้นั้น” อินจิ่วหลิงมองเสี่ยวอู่อย่างแฝงความนัย ส่งกระแสจิตเอ่ยขึ้นมา

“อาจารย์ ท่านพูดอะไร…ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วไม่ได้…” เสี่ยวอู่ได้ยินพลันมีสีหน้าเขินอาย ใบหน้าแดงแปร๊ด สายตามองไปรอบด้านอย่างขัดเขิน ยังดีที่ความสนใจของคนอื่นส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ยอดเขาแสงอัสดงที่อยู่ไกลออกไปจึงไม่มีผู้ใดสนใจที่นี่

“เสี่ยวอู่ เจ้ากับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ แล้วยังอยู่ด้วยกันในทางปีศาจร้ายมาเป็นเวลาไม่น้อย อาจารย์คิดว่าเขาคงไม่ได้ไร้ความผูกพันกับเจ้า เจ้าต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ให้ได้ เจียหลานผู้นั้นแม้เป็นคนรู้จักแต่เก่าก่อนของหลิ่วหมิง หน้าตาก็นับว่าไม่เลว แต่ก็เป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ในสถานการณ์ตอนนี้ ฐานะไม่คู่ควรกับหลิ่วหมิงนัก รูปโฉมและพลังในยามนี้ของเจ้าจะข่มนางก็ใช่ว่าจะไม่ได้ หากพลาดโอกาสนี้ไป วันหน้าเกรงว่าเจ้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง” อินจิ่วหลิงหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

เสี่ยวอู่หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมแล้วพลันกระทืบเท้าเบาๆ เดินหนีไปด้านข้าง

อินจิ่วหลิงเห็นเสี่ยวอู่แสดงสีหน้าเช่นนี้ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ในตอนนี้เองบุรุษวัยกลางคนชุดสีเทาผู้หนึ่งก็เหยียบเมฆสีเทาลอยมาถึง เขาก็คือผู้อาวุโสเถียนผู้ที่อินจิ่วหลิงมักจะพึ่งพาบ่อยครั้งนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวอู่ไม่เห็นด้วยหรือ?” เห็นชัดว่าผู้อาวุโสแซ่เถียนรู้เรื่องที่อินจิ่วหลิงกับเสี่ยวอู่ส่งกระแสจิตพูดคุยกันอย่างกระจ่างแจ้ง เขามองเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมา

“สาวน้อยก็แค่หน้าบางเท่านั้น แม้ปากเสี่ยวอู่ไม่ตกลง แต่ข้าคิดว่าในใจนางคงยินยอมพร้อมใจ” อินจิ่วหลิงเอ่ยเรียบๆ

“ศิษย์หลานหลิ่วเป็นมังกรในหมู่คนอย่างแท้จริง เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่” ผู้อาวุโสแซ่เถียนพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจเล็กน้อย

“เรื่องราวขึ้นอยู่คนกระทำ เสี่ยวอู่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่จะรับช่วงผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยว หากผูกหลิ่วหมิงไว้กับยอดเขาลั่วโยวของพวกเราได้ย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่ได้ พวกเราก็ไม่ฝืนใจ แค่ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์นี้ ต่อไปหากเกิดเรื่องใดขึ้นย่อมไม่ต้องกลัวเขาไม่ไยดียอดเขาลั่วโยวของพวกเรา” อินจิ่วหลิงเอ่ยเสียงเบา

ผู้อาวุโสเถียนฟังแล้วก็พยักหน้าเงียบๆ

……

ไม่ไกลจากกลุ่มยอดเขาลั่วโยว เทียนอินซ่างเหรินผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอยก็พาศิษย์ไม่น้อยมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน หญิงสาวรูปโฉมงามล้ำเลิศสวมอาภรณ์สีฟ้าผู้หนึ่งที่ยืนร่างระหงอยู่ด้านหลังเทียนอินซ่างเหรินดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนรอบด้าน

หญิงสาวนางนี้มิใช่ใครอื่น นางก็คือเจียหลานนั่นเอง

ในตอนนี้เองสตรีงามหมดจดสวมอาภรณ์ยาวสีจันทรานางหนึ่งก็เหาะเข้ามา ก่อนจะร่อนลงข้างกายเทียนอินซ่างเหริน นางก็คืออาจารย์ของเจียหลาน อวี้อินจื่อผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเลื่อนลอยนั่นเอง

อวี้อินจื่อมองเจียหลานแวบหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าให้เทียนอินซ่างเหรินก่อนจะเอ่ยว่า

“ไม่ผิด ข้าสืบมาชัดเจนแล้ว ศิษย์ที่ท่านประมุขเทียนเกอสั่งให้ลักลอบเข้าไปในยอดเขาแสงอัสดงครั้งนี้คือหลิ่วหมิงผู้นั้น”

เจียหลานฟังจบ ร่างอ้อนแอ้นพลันสะท้านเบาๆ ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดีออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1139 สงครามใหญ่ใกล้เริ่ม

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1139 สงครามใหญ่ใกล้เริ่ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปั้ก!

โลหิตส่องประกายกลางอากาศ เหนือร่างตะขาบเกิดคลื่นสั่นไหว ก่อนที่ความเจ็บปวดรุนแรงจะเข้าเล่นงาน พร้อมกับแขนพร่ามัวข้างหนึ่งที่ทะลวงผ่านหัวของมัน โลหิตพุ่งกระฉูดออกมา

ดวงตาของตะขาบเผยแววตาไม่อยากเชื่อ ร่างกายมหึมาบิดดิ้นกลางอากาศสองสามครั้งก็กะแทกกับแม่น้ำใต้ดินหนักหน่วง ดิ้นอยู่ครั้งสองครั้งก็หมดลมหายใจ

เงาคนพร่ามัวกลางอากาศขยับวูบหนึ่ง คลื่นลูกหนึ่งก็ซัดกลบหายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

มังกรทะลวงดินที่หนีสุดชีวิตอยู่ด้านหน้าสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหัวกลับมามองอย่างตกตะลึง ดวงตาเรียวยาวกะพริบปริบๆ อึดใจต่อมาร่างกายก็สะบัดสองสามครั้งเหาะปรู๊ดจากไปไกล ท่าทางน่าขันยิ่ง

เสียงกรีดร้องเกรี้ยวกราดของแมลงดังขึ้น แมลงหลายตัวมุดเข้ามาริมแม่น้ำใต้ดิน ตัวหัวหน้าเป็นแมลงระดับแก่นแท้อีกตัวหนึ่ง

เมื่อเห็นศพตะขาบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เผ่าหนอนผีเสื้อหลายตัวนี้พลันกรีดร้องอย่างตื่นเต้น ทยอยโถมเข้าไปกัดกินศพคำโต กินมันจนหมดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

จากนั้นเผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้ตัวนี้ก็พาแมลงตัวอื่นตามกลิ่นคาวเลือด ไล่ตามไปทางทิศที่มังกรทะลวงดินหนีไป

หลังจากเผ่าหนอนผีเสื้อหลายตัวนี้จากไป ในแม่น้ำใต้ดินก็มีเงาของคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แสงสีขาวกะพริบวูบไหวเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา

แขนข้างหนึ่งของเขาโชกเลือด เขาสะบัดมันครั้งหนึ่ง ตรงบาดแผลก็ทอแสงสีดำ ก้อนเนื้อจิ๋วนับไม่ถ้วนงอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวแขนก็หายดีดังเดิม

เขามองทิศทางที่เหล่าแมลงจากไปแล้วถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง

แม้ยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงาจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก เก็บซ่อนร่องรอยของคนผู้หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ทำให้คนไร้ตัวตนจริงๆ ไม่ได้ เมื่อพบกับพลังภายนอกก็ยังเผยร่องรอยได้

ที่แห่งนี้อยู่ลึกเข้ามาในกองทัพใหญ่ของเผ่าหนอนผีเสื้อแล้ว หากไม่ระวังแม้เล็กน้อยย่อมถูกเผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงพบเอาได้ เขาไร้ทางเลือกจึงคิดออกแต่วิธียอมเจ็บเพื่อทำร้ายอีกฝ่ายเช่นนี้ โจมตีครั้งเดียวสังหารตะขาบตัวนั้น

ยังดีที่โลหิตปีศาจสวรรค์ในร่างเขามีพลังฟื้นฟูแข็งแกร่งยิ่งนัก ครั้งนี้พลังปราณจึงไม่เสียหายมาก

หลังจากหลิ่วหมิงจัดการบาดแผลแล้วจึงซ่อนอยู่ในสายน้ำ แหวกว่ายไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ

หลังจากผ่านศึกครั้งนี้มา เส้นทางต่อจากนั้น เขาจึงยิ่งระวังขึ้นไปอีก

เมื่อเข้าไปในระยะร้อยลี้จากยอดเขาแสงอัสดง แม้บริเวณแม่น้ำใต้ดินจะไม่มีเสียงแม้แต่น้อย แต่สัมผัสอันเฉียบคมของหลิ่วหมิงก็รับรู้ว่าตรงนี้เผ่าหนอนผีเสื้อเริ่มวางเวรยามมากมายไว้แล้ว

ยังดีที่พลังอำพรางตัวของยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงายอดเยี่ยมยิ่งนัก อีกทั้งตัวหลิ่วหมิงเองก็ระมัดระวังรอบคอบ ในที่สุดสามสี่ชั่วยามหลังจากนั้นจึงมาถึงยอดเขาแสงอัสดง

ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณสี่แสนหลายหมื่นลี้มียอดเขามหึมาสีเทาเข้มอยู่ลูกหนึ่ง ที่แห่งนี้ก็คือยอดเขาแสงอัสดง ใต้ยอดเขามีหุบเขาอันกว้างอยู่แห่งหนึ่ง ภูมิประเทศกว้างขวางอย่างยิ่ง รอบด้านล้วนเป็นภูเขาสูงทอดเป็นแนว

บนท้องฟ้าลึกเข้าไปในหุบเขา รอยแยกมิติมหึมาขนาดสองสามร้อยจั้งเส้นหนึ่งปรากฏอยู่กลางท้องฟ้าเปล่งแสงเรืองรองออกมาดุจบานกระจก ทำให้กระแสอากาศใกล้ๆ โกลาหลอย่างยิ่ง

หุบเขาที่เดิมทีเงียบสงบเวลานี้กลับเต็มไปด้วยเสียงเอะอะทั่วทุกหนทุกแห่ง เผ่าหนอนผีเสื้อตัวใหญ่ตัวน้อยนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่บนที่ราบหุบเขา บ้างก็ปีนป่ายบนเนินเขารอบด้าน

เผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้แลดูสับสนวุ่นวาย แต่ความจริงแบ่งแยกเป็นเขตอย่างชัดเจน แมลงจำนวนมากยิ่งกว่ารวมตัวกันอยู่นอกหุบเขา

เผ่าหนอนผีเสื้อที่อยู่ในหุบเขาโดยพื้นฐานล้วนเป็นระดับผลึกขึ้นไป แท่นหินราบเรียบใต้รอยแยกมิติมีแมลงรูปร่างเหมือนมนุษย์หลายตัวยืนอยู่

ยามเผ่าหนอนผีเสื้อรอบด้านมองไปยังแมลงร่างมนุษย์หลายตัวนั้น พวกมันล้วนเผยสีหน้าหวาดผวา ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไปนัก

แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างของแมลงหลายตัวนี้หนักหน่วงอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าเป็นแมลงระดับดาราพยากรณ์

……

ในถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเขาแห่งหนึ่ง เงาดำที่ไร้ตัวตนร่างหนึ่งลักลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งใกล้ปากถ้ำ

ภายในถ้ำมีแมลงระดับผลึกขั้นปลายอยู่อีกตัว ทว่าแมลงตัวนี้ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าข้างกายมีเงาดำเช่นนี้โผล่ออกมาไม่ไกล

เงาดำร่างนี้ย่อมคือหลิ่วหมิง หลังออกมาจากแม่น้ำใต้ดิน เขาก็เก็บพลังเวททั้งหมดในร่าง ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเล็ดลอดเข้ามายังหุบเขาที่เหล่าแมลงรวมตัวกันอยู่ได้

สิ่งที่เห็นอยู่รอบด้านมีแต่ฝูงแมลงเผ่าหนอนผีเสื้อมากมายยุ่บยั่บ หลิ่วหมิงไม่กล้าแผ่จิตสัมผัสออกไป ใช้แต่สายตากวาดมองรอบด้าน จากนั้นสายตาจึงจับจ้องอยู่ที่รอยแยกมิติในหุบเขา

ตรงนั้นก็คือทางเชื่อมมิติที่ระบุอยูบนแผนที่ รอบด้านบรรยากาศกดดันยิ่งนัก แรงกดดันจิตวิญญาณหลายสายที่แผ่ออกมาจากทางเชื่อมมิติเป็นบางครั้งทำให้เขารู้สึกตัวสั่นเทา

หลิ่วหมิงไม่กล้ามองนาน เขารั้งสายตากลับมาทันที มือขวากำเบาๆ แหวนสีน้ำเงินวงหนึ่งที่สวมอยู่บนมือก็ปริแตกอย่างเงียบเชียบ

ณ ยอดเขาลูกหนึ่งห่างจากยอดเขาแสงอัสดงหลายพันลี้ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เกือบหมื่นคนยืนอยู่ที่นั่น

บนหน้าผาจุดหนึ่งช่วงกลางของยอดเขา เทียนเกอเจินเหรินยืนนิ่งสงบอยู่ ณ ที่นั่น สายตาทอดมองไปยังยอดเขาแสงอัสดงที่อยู่ไกลๆ คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่ง

จินเลี่ยหยางยืนอยู่หลังร่างเขาด้วยกันกับผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่งกับนักพรตหญิงชุดขาวคนหนึ่ง สองคนนี้เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์

ทั้งสี่คนล้วนไม่เอ่ยวาจา ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์รอบด้านย่อมรักษาความเงียบ เฝ้าคอยคำสั่งอย่างสงบด้วย บางครั้งบางคราก็มีคนเลื่อนสายตาสงสัยไปจับบนร่างผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เหล่านี้

ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มศิษย์รอบด้านคือผู้ควบคุมยอดเขาจากแต่ละยอดเขาของสำนักใน พวกเขาต่างนำศิษย์ในสังกัดตนมากลุ่มหนึ่ง

อินจิ่วหลิงแห่งยอดเขาลั่วโยวก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เขายืนอยู่ไม่ไกลจากผาที่เทียนเกอเจินเหรินอยู่ ด้านหลังร่างเขามีศิษย์สายในจากยอดเขาลั่วโยวยี่สิบถึงสามสิบคน เสี่ยวอู่เองก็ยืนอยู่ข้างกายอินจิ่วหลิงด้วย

หลายสิบปีผ่าน หน้าตาของสตรีนางนี้ไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก นางยังคงมีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง มีเพียงบางครั้งที่ดวงตามองไปยังยอดเขาแสงอัสดงเท่านั้นจึงจะเผยแววตาเป็นกังวลออกมาเลือนราง

“อาจารย์ ศิษย์น้องหลิ่วออกเดินทางไปนานมากแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวจะเกิดเรื่องหรือไม่?” เสี่ยวอู่ขยับริมฝีปากเล็กน้อยส่งกระแสจิตถามอินจิ่วหลิง

“วางใจเถิด ยามนี้พลังของหลิ่วหมิงบรรลุจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว อีกทั้งข้ามองเห็นประกายแสงของอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ร่างของเขา คิดว่าคงหลอมมุกบรรพตธาราชุดนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้พลังของเขาคงแข็งแกร่งจนแม้แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ เมื่อรวมกับที่ตัวเขามีสมบัติที่ผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์มอบให้อีก ไม่มีทางเกิดเรื่องไปได้” อินจิ่วหลิงยิ้มน้อยๆ ส่งกระแสจิตตอบกลับมา

“ก็ถูก ด้วยความเฉลียวฉลาดของศิษย์น้องหลิ่ว ต่อให้พบเรื่องอันใดก็คงไม่เป็นอุปสรรค คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์น้องหลิ่วหายตัวไปหลายปีเช่นนี้กลับร่วงหล่นไปถึงยมโลก เล่ากันว่าที่นั่นคือต้นกำเนิดของวิชาสายวิญญาณ…หากมีโอกาสจะต้องให้ศิษย์น้องหลิ่วเล่าเรื่องราวที่นั่นให้ข้าฟังสักหน่อย” เสี่ยวอู่กัดริมฝีปากเบาๆ ดวงตาฉายแววประหลาดใจจางๆ

“รอกวาดล้างแมลงฝูงนี้แล้ว หลิ่วหมิงจะเลื่อนชั้นไปเป็นศิษย์ลับสำเร็จ ทว่าในนาม เขายังเป็นศิษย์ของข้าอยู่ เจ้ายังกลัวไม่มีโอกาสพบเขาอีกหรือ?” อินจิ่วหลิงยิ้มมุมปากมองเสี่ยวอู่แล้วเอ่ยตอบ

“อาจารย์ ท่านพูดอะไร?” ดวงหน้างามของเสี่ยวอู่แดงก่ำพลางมองค้อนอินจิ่วหลิง

“ศิษย์โง่ อาจารย์กำลังเตือนเจ้าจากใจจริง พรสวรรค์กับพลังที่หลิ่วหมิงแสดงให้เห็นยามนี้ ไม่เพียงท่านประมุขเทียนเกอ แม้แต่ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ก็ชื่นชมไม่หยุด ขอเพียงเขายังก้าวหน้าต่อไป วันหน้าจะต้องเป็นบุคคลในตำนานของนิกายยอดบริสุทธิ์ของเราแน่ เฮ้อ ยามนี้อาจารย์เสียดายยิ่งนักที่ตอนนั้นปล่อยให้ศิษย์น้องหลิ่วของเจ้าตกลงเป็นคู่ฝึกฝนกับเจียหลานแห่งยอดเขาเลื่อนลอยผู้นั้น” อินจิ่วหลิงมองเสี่ยวอู่อย่างแฝงความนัย ส่งกระแสจิตเอ่ยขึ้นมา

“อาจารย์ ท่านพูดอะไร…ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วไม่ได้…” เสี่ยวอู่ได้ยินพลันมีสีหน้าเขินอาย ใบหน้าแดงแปร๊ด สายตามองไปรอบด้านอย่างขัดเขิน ยังดีที่ความสนใจของคนอื่นส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ยอดเขาแสงอัสดงที่อยู่ไกลออกไปจึงไม่มีผู้ใดสนใจที่นี่

“เสี่ยวอู่ เจ้ากับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ แล้วยังอยู่ด้วยกันในทางปีศาจร้ายมาเป็นเวลาไม่น้อย อาจารย์คิดว่าเขาคงไม่ได้ไร้ความผูกพันกับเจ้า เจ้าต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ให้ได้ เจียหลานผู้นั้นแม้เป็นคนรู้จักแต่เก่าก่อนของหลิ่วหมิง หน้าตาก็นับว่าไม่เลว แต่ก็เป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ในสถานการณ์ตอนนี้ ฐานะไม่คู่ควรกับหลิ่วหมิงนัก รูปโฉมและพลังในยามนี้ของเจ้าจะข่มนางก็ใช่ว่าจะไม่ได้ หากพลาดโอกาสนี้ไป วันหน้าเกรงว่าเจ้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง” อินจิ่วหลิงหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

เสี่ยวอู่หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมแล้วพลันกระทืบเท้าเบาๆ เดินหนีไปด้านข้าง

อินจิ่วหลิงเห็นเสี่ยวอู่แสดงสีหน้าเช่นนี้ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ในตอนนี้เองบุรุษวัยกลางคนชุดสีเทาผู้หนึ่งก็เหยียบเมฆสีเทาลอยมาถึง เขาก็คือผู้อาวุโสเถียนผู้ที่อินจิ่วหลิงมักจะพึ่งพาบ่อยครั้งนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวอู่ไม่เห็นด้วยหรือ?” เห็นชัดว่าผู้อาวุโสแซ่เถียนรู้เรื่องที่อินจิ่วหลิงกับเสี่ยวอู่ส่งกระแสจิตพูดคุยกันอย่างกระจ่างแจ้ง เขามองเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมา

“สาวน้อยก็แค่หน้าบางเท่านั้น แม้ปากเสี่ยวอู่ไม่ตกลง แต่ข้าคิดว่าในใจนางคงยินยอมพร้อมใจ” อินจิ่วหลิงเอ่ยเรียบๆ

“ศิษย์หลานหลิ่วเป็นมังกรในหมู่คนอย่างแท้จริง เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่” ผู้อาวุโสแซ่เถียนพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจเล็กน้อย

“เรื่องราวขึ้นอยู่คนกระทำ เสี่ยวอู่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่จะรับช่วงผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยว หากผูกหลิ่วหมิงไว้กับยอดเขาลั่วโยวของพวกเราได้ย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่ได้ พวกเราก็ไม่ฝืนใจ แค่ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์นี้ ต่อไปหากเกิดเรื่องใดขึ้นย่อมไม่ต้องกลัวเขาไม่ไยดียอดเขาลั่วโยวของพวกเรา” อินจิ่วหลิงเอ่ยเสียงเบา

ผู้อาวุโสเถียนฟังแล้วก็พยักหน้าเงียบๆ

……

ไม่ไกลจากกลุ่มยอดเขาลั่วโยว เทียนอินซ่างเหรินผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอยก็พาศิษย์ไม่น้อยมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน หญิงสาวรูปโฉมงามล้ำเลิศสวมอาภรณ์สีฟ้าผู้หนึ่งที่ยืนร่างระหงอยู่ด้านหลังเทียนอินซ่างเหรินดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนรอบด้าน

หญิงสาวนางนี้มิใช่ใครอื่น นางก็คือเจียหลานนั่นเอง

ในตอนนี้เองสตรีงามหมดจดสวมอาภรณ์ยาวสีจันทรานางหนึ่งก็เหาะเข้ามา ก่อนจะร่อนลงข้างกายเทียนอินซ่างเหริน นางก็คืออาจารย์ของเจียหลาน อวี้อินจื่อผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเลื่อนลอยนั่นเอง

อวี้อินจื่อมองเจียหลานแวบหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าให้เทียนอินซ่างเหรินก่อนจะเอ่ยว่า

“ไม่ผิด ข้าสืบมาชัดเจนแล้ว ศิษย์ที่ท่านประมุขเทียนเกอสั่งให้ลักลอบเข้าไปในยอดเขาแสงอัสดงครั้งนี้คือหลิ่วหมิงผู้นั้น”

เจียหลานฟังจบ ร่างอ้อนแอ้นพลันสะท้านเบาๆ ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดีออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+