Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1619 ศัตรูของมนุษยชาติ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1619 ศัตรูของมนุษยชาติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พวกเราล้วนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมา ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกเรียกข้าว่าเย่หยวนเช่นเดิมเถิด เหลียงเฟิง ไม่ได้เจอกันเสียนาน ดูท่าเจ้าคงสบายดีสินะ!” เย่หยวนทักทายเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง

เหลียงเฟิงนั้นตกใจจนแทบลืมภาษาคน ในเวลาแค่ 100 ปีมานี้เย่หยวนกลับสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด

ความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันช่างเหนือฟ้า

“ผ-ผู้อาวุโสเย่! ม-ไม่หรอกขอรับ”

เหลียงเฟิงนั้นได้สติกลับมาพร้อมรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวตนของเย่หยวนมันช่างสูงส่งมากเพียงใด แล้วคนอย่างเขายังจะเรียกเย่หยวนเป็นเหมือนพี่น้องได้อีกหรือ?

เย่หยวนยิ้มกว้างรับอย่างไม่คิดจะบังคับอีกฝ่าย

เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวคนของเขาและเหลียงเฟิงนั้นมันต่างชั้นกันมากเพียงใด การบังคับให้อีกฝ่ายพูคุยด้วยอย่างเท่าเทียมมันจะมีแต่เป็นการเพิ่มภาระทางใจให้เหลียงเฟิงเสียเปล่า ๆ

การเติบโตของเขามันย่อมต้องมาพร้อม ๆ กับเรื่องแบบนี้เสมอ

ตอนนี้เยี่ยนเสอได้แต่แสดงความตระหนกออกมาในใจ ตอนนั้นเย่หยวนยังเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของเขา

เขาไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าในเวลาแค่ 100 ปีมานี้เขากลับสามารถไต่เต้าขึ้นเป็นผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิได้

เรื่องนี้มันทำให้เขาลำบากใจอยู่หน่อย ๆ

แต่ไม่นานนักเขาก็กลับมาได้สติและหันไปบอกเหลียงเฟิง “เหลียงเฟิง เจ้าเข้าใจเรื่องราวความเป็นไปในแถบนี้มากที่สุด จงบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเทือกเขาอัญเชิญปีศาจให้เหล่าผู้ใหญ่ท่านได้ฟังเถอะ”

เหลียงเฟิงก้มหัวรับ “ขอรับนายท่านเยี่ยนเสอ!”

ณ ที่แห่งนี้ในตอนนี้มีเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้ามารวมตัวกันอยู่มากมาย ด้วยพลังกดดันของทุกคนที่รวมกันอยู่ในจุดเดียวมันจึงทำให้ผู้ที่เห็นต้องสั่นกลัว

เมื่อต้องมาเจอเหล่าอาณาจักรราชันพระเจ้ามากมายขนาดนี้ แม้แต่เหลียงเฟิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องหน้าซีดลง

โชคยังดีที่เขาคนนี้ผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วน แถมยังเป็นคนที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีมาก เขาจึงพอจะประคองตัวเองให้ใจเย็นไว้ได้

จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ทันที แนะนำถึงพื้นที่และภูมิศาสตร์ของเทือกเขาอัญเชิญปีศาจ รวมไปถึงภัยอันตรายของเหว และความเป็นไปได้ในกองกำลังของฝั่งปีศาจด้วย

เหลียงเฟิงนั้นคุ้นชินกับพื้นที่นี้ดีมากจนรู้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นเป็นอย่างดี

ส่วนเยี่ยนเสอที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถูกหลิงจี้คุนดึงตัวไปถาม “พวกเจ้าไปรู้จักเย่หยวนได้อย่างไรกัน?”

ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเยี่ยนเสอก็แสดงความหวาดกลัวออกมา พร้อม ๆ กับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อตัวเย่หยวน

ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเย่หยวนเมืองกระแสพิรุณคงถูกทัพปีศาจโจมตีจนแตกพ่ายไปแล้ว

ตอนนี้มันคงได้กลายเป็นเมืองหนึ่งในการปกครองของปีศาจ

เขานึกย้อนเล่ากลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้สีหน้าของหลิงจี้คุนต้องซีดลงทันที

“เด็กคนนี้มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ ตอนที่ยังอยู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ากลับสามารถต่อกรกับทัพปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้เขาถึงได้มีตำแหน่งที่สูงส่งได้ขนาดนี้” หลิงจี้คุนกล่าวขึ้นพร้อมถอนหายใจ

เยี่ยนเสอจึงถามขึ้นบ้าง “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เย่หยวนคนนี้มีพลังแค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด ไม่ว่าจะมีฝีมือเก่งกาจแค่ไหนมันก็คงมีขอบเขตของมันใช่ไหม? ทำไมคนที่พลังบ่มเพาะต่ำเช่นนี้ถึงได้กลายเป็นผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปได้?”

หลิงจี้คุนจึงแอบขำเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา “เด็กคนนี้มีวิชาการโอสถที่เหนือล้ำจนแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ของหอโอสถแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ยังต้องยอมแพ้ เจ้าคิดว่าคนแบบนี้จะเป็นผู้อาวุโสได้ไหมล่ะ? ที่สำคัญเขายังใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติได้ด้วย ช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้!”

นั้นทำให้เยี่ยนเสอเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ

เพราะแม้เขาจะเป็นทหารในแนวหน้า แต่พลังฝีมือความรู้ของผู้อาวุโสใหญ่ของหอโอสถแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสูงส่งมากมายแค่ไหน เขารู้ถึงมันดี

แต่เย่หยวนคนนี้ที่ยังอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดกลับสามารถทำให้ผู้อาวุโสใหญ่คนนั้นยอมรับความพ่ายแพ้ได้

ความสามารถระดับนั้นมันจะน่ากลัวเกินไปหน่อยไหม?

ไม่นานนักเหลียงเฟิงก็บอกเล่าเรื่องราวไปจนหมด สื่อสารให้ทุกคนที่มาได้เข้าใจจนสิ้น

ตอนนี้สมบัติล้ำค่านั้นยังไม่ถือกำเนิดออกมา หลังทุกคนเข้าใจได้แบบนั้นพวกเขาก็ต่างไปหาที่สงบ ๆ ในการรวมสมาธิและกำลัง

แต่เย่หยวนกลับดึงตัวเหลียงเฟิงไปและพูดคุยถึงเรื่องราวในวันเก่า ๆ กับเขา พร้อมมอบโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองให้เขาไป

เหลียงเฟิงนั้นมีพรสวรรค์ที่ไม่แย่ และตอนนี้เขาก็อยู่ในจุดสุดยอดของอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นกลางแล้ว

เมื่อเขาได้เห็นเม็ดโอสถที่เย่หยวนนำออกมา เหลียงเฟิงก็ตกใจจนอ้าปากค้าง

เขารู้ดีแก่ใจว่าหากเขาใช้โอสถเหล่านี้ไป เขาคงสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ไม่ยาก

เพราะสิ่งที่เย่หยวนมอบให้ล้วนแล้วแต่เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะทั้งสิ้น!

หลายวันต่อมาทุกคนต่างรอคอยให้ถึงเวลาที่สมบัติจะถือกำเนิดขึ้น

และในที่สุดวันนี้แสงสว่างก็ส่องจ้าขึ้นจากเหวอัญเชิญปีศาจ ความสว่างของมันนั้นเหนือความคาดหมายจนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องแตกตื่น

“นี่มัน… ช่างเป็นคลื่นพลังที่รุนแรงนัก นี่คือคลื่นพลังแห่งแนวคิดยอดเต๋า”

“ในที่สุดสมบัติล้ำค่าก็ถือกำเนิดแล้ว! ดูจากพลังงานนี้มันคงเป็นของระดับสูงไม่มีผิดแน่!”

“รุนแรง! ไม่แปลกใจเลยที่เขาว่าแม้แต่อาณาจักรนภาสวรรค์ยังสนใจ สมบัติชิ้นนี้ ข้าต้องเอามันมาให้ได้!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงสมบัติอันทรงพลังนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างก็ไม่รีรอให้ชักช้า

ตอนนี้ทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ขอบเหวและจ้องมองลงไปด้านล่าง

“สมบัติถือกำเนิดแล้ว! ทุกคน รีบลงไปเร็ว!”

มีคนตะโกนขึ้นก่อนจะกระโดดลงไปในเหวลึก

เมื่อมีคนนำ ก็ย่อมมีคนตาม เหล่านักยุทธ์ที่กลัวว่าคนอื่นจะลงไปเจอสมบัติก่อนต่างกระโดดตามกันไปอย่างไม่ยั้งคิด

“อ้ากกก!!”

เมื่อกระโดดพ้นดินไป ก็มีเสียงของใครบางคนร้องขึ้นมาเมื่อพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

คนเหล่านั้นเสียสมดุลจนร่างกายของตนร่วงหล่นลงไปในเหวลึกหลายหมื่นเมตร

เมื่อมีเสียงกรีดร้องนั้นดังขึ้นมา ทุกคนต่างก็เริ่มแตกตื่นขึ้น

เหล่าคนที่มาในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้า มีความสามารถที่จะเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างต้องการ แต่พวกเขาเหล่านี้กลับไม่สามารถทนทานต่อแรงโน้มถ่วงและร่วงตกลงไปในเหวลึกแทน

จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นห้ามทุกคน “ทุกคนอย่าพึ่งกระโดด! สนามแรงโน้มถ่วงของที่นี่มันรุนแรงเกินไป เราไม่สามารถที่จะลอยตัวในอากาศได้เลย!”

นั่นทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีไปทันที มาถึงขนาดนี้แล้วแต่พวกเขากลับจะต้องกลับบ้านมือเปล่าอย่างนั้นหรือ?

ตอนนี้คนของทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เองก็เดินมาถึงขอบเหวบ้างแล้ว

เย่หยวนรับรู้ได้เลยว่าสนามแรงโน้มถ่วงที่ด้านหน้านี้มันรุนแรงมากกว่าก่อนหลายต่อหลายเท่าตัวนัก

ด้วยแรงดึงดูดที่รุนแรงขนาดนี้ แม้แต่อาณาจักรราชันพระเจ้าก็คงควบคุมตัวเองไม่ได้ดีนัก

และเขายังรู้อีกด้วยว่ายิ่งลงไปลึก แรงดึงดูดจะยิ่งรุนแรง หากร่วงลงไปร่างคงแหละเละเป็นชิ้น ๆ แน่

“เย่หยวน นี่มัน… เราจะเอายังไงดี?” เจิ่งชีอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

เย่หยวนขึงยิ้มออกมา “คงต้องใช้พลังวิญญาณของตัวเองเข้าสู้เท่านั้น! จากที่ข้าคาดการณ์ อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาวน่าจะพอลงไปได้ ส่วนอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวอาจจะพาคนลงไปด้วยได้สักสองหรือสามคน”

เจิ่งชีจึงตอบกลับมาอย่างแตกตื่น “สนามแรงโน้มถ่วงมันรุนแรงขนาดนั้นเลย?”

เย่หยวนจึงพยักหน้ารับ “รุนแรงมาก! แต่สนามแรงโน้มถ่วงที่ด้านล่างจะรุนแรงขนาดไหนนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน บางทีต่อให้อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาวจะลงไปจากตรงนี้ได้ แต่พอไปถึงด้านล่างก็อาจจะต้องพบเจอความยากลำบากเข้า”

“ซี้ด…”

ทุกคนได้แต่สูดหายใจเข้าลึกเมื่อต้องรับรู้ว่าสนามแรงโน้มถ่วงตรงหน้ามันช่างรุนแรงจนเกินต้านทาน

การลงไปด้านล่างนั้นไม่มีเทคนิควิธีการใด ๆ เลยนอกเสียจากต้องพึ่งพาพลังโลกของเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าต่อต้านแรงโน้มถ่วง ถึงจะสามารถลงไปในเหวนี้ได้

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาเลย

“นี่มัน… หมายความว่ามีแค่พวกเรา 4 – 5 คนเท่านั้นที่จะลงไปได้รึ?” เจิ่งชีถามขึ้นอย่างสิ้นหวัง

ตอนนี้ทุกคนต่างแสดงสีหน้าท่าทางหมดหวังออกมากันเต็มใบหน้า เพราะการไม่ได้ลงไปมันก็หมายความว่าพวกเขาหมดสิทธิ์ที่จะลุ้นโชคใด ๆ ทั้งสิ้น

เย่หยวนจึงยิ้มตอบไป “ที่ข้าพูดน่ะมันหมายถึงคนอื่น พวกเราย่อมต้องลงไปทั้งหมดอยู่แล้ว”

หลิงจี้คุนที่ได้ยินจึงรีบมุ่งหน้าเข้ามาถามเย่หยวนในทันที “เรื่องนั้น… ผู้อาวุโสเย่ ท่านรู้แนวคิดแห่งห้วงมิติ หรือว่าท่านสามารถพาคนอื่น ๆ ลงไปได้ด้วย?”

คำพูดนั้นของหลิงจี้คุนทำให้ทุกคนหูตั้งขึ้นทันที ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามากันเรื่อย ๆ

“ผู้อาวุโสเย่ ช่วยพาเราลงไปด้วยเถอะ!”

“ใช่แล้ว เมื่อไปถึงด้านล่างเราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ การมีกำลังไปด้วยมากกว่าย่อมได้เปรียบเสมอ!”

“ผู้อาวุโสเย่ ตอนนี้พวกเราควรจะต่อต้านศัตรูจากภายนอกก่อน ใช่ไหมล่ะ?”

เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าทั้งหลายต่างจ้องมองดูเย่หยวนด้วยความคาดหวังอย่างจริงใจ กลัวแค่ว่าเย่หยวนจะปฏิเสธออกมา

แต่ตอนนั้นเองที่เกาหยุนเปิดปากพูดขึ้นบ้าง “จะไปก้มหัวขอร้องมันเพื่ออะไร? หากมันไม่พาเราลงไปก็เท่ากับว่ามันนั่นแหละคือศัตรูของมนุษยชาติ!”

……………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด