Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2022 เจ้าท้าทายนาง!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2022 เจ้าท้าทายนาง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลั่วเยว่เบิกตากว้างถามขึ้นทันที “เพียงแค่อะไร?”

ทางเย่หยวนนั้นจึงหันหน้าไปมองยังหนิงซืออวี๋และการกระทำนี้มันได้ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวของนางด้วย

คนที่พอฉลาดบ้างย่อมจะเข้าใจได้ถึงเจตนาของเย่หยวนและทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงไปทันที

และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเย่หยวนพูดบอกขึ้น “พวกเจ้าต้องชนะนางให้ได้ก่อน”

หนิงซืออวี๋หันกลับมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อคำพูดนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าของตนเอง “ข้า?”

เย่หยวนพยักหน้าขึ้น “ใช่ เจ้านั่นแหละ!”

หนิงซืออวี๋แทบจะกระโดดขึ้นจากที่ด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ยกมือขึ้นมาโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่มีทางๆ! นายท่าน ข้าทำไม่ได้หรอก! ข้า… จะทำท่านเสียหน้าเปล่าๆ!”

หนิงซืออวี๋นั้นมั่นใจในตัวเย่หยวนอย่างมากแต่นางนั้นขาดความมั่นใจในตัวเอง

ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นแม้นางจะเป็นยอดคนอัจฉริยะหาสิ่งใดเปรียบแต่ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า?

ที่นี่มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา ในงานชุมนุมโอสถเมฆา หัวใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชาการโอสถในแดนใต้

เหล่ายอดอัจฉริยะตรงหน้านางนี้เองก็เป็นถึงยอดคนทายาทตระกูลใหญ่จากเมืองดัง แน่นอนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งหลายนี้มันจะเกินรุ่นผู้คนหนุ่มสาวไปไกลลิบแล้ว

คนอย่างนางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนทั้งหลายนี้?

เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่เมืองบ้านนอกเล็กๆ!

ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นมันจึงไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวของหนิงซืออวี๋

ทั้งยังเรื่องที่ว่าผู้คนตรงหน้านางทั้งหลายนี้เป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว ส่วนนางนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว

การท้าทายข้ามอาณาจักรเช่นนี้มันย่อมจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล

เพราะคนที่จะทำได้แบบเย่หยวนมันคงมีไม่มากนัก

เมื่อลั่วเยว่และพวกได้เห็นท่าทางนั้นของหนิงซืออวี๋พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

“นาง… ปรมาจารย์เย่จะให้นางท้าทายพวกเราหรือ? ฮ่าๆๆ… เรานั้นล้วนเป็นจอมเทพโอสถหกดาว นี่มันผิดพลาดใดหรือไม่?” ลั่วเยว่ถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆ!”

นั่นทำให้คนรอบๆ หัวเราะขึ้นตาม ดูท่าแล้วการกระทำนี้ของเย่หยวนมันจะตลกในสายตาของพวกเขาทั้งหลายมาก

หนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้มีใบหน้าหรือท่าทางของยอดฝีมือเลยไม่ว่าจะมองในมุมใด

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มันมิใช่ให้นางท้าทายเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องมาท้าทายนาง”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง “ข้า? ท้าทายนาง? ล้อกันเล่นแล้ว! คนอย่างนาง แค่จอมเทพโอสถห้าดาวจะมีค่าใดให้ข้าต้องเป็นคนไปท้าทายนางกัน?”

เย่หยวนตอบกลับมาด้วยท่าทางสบาย “ได้ลองสู้แล้วเจ้าก็จะรู้ พวกเจ้าทั้งหลายแยกสู้ตัวต่อตัว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถชนะนางได้พวกเจ้าก็จะมีสิทธิ์ท้าทายข้า”

ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อมยิ้มออกมา ‘เจ้าเด็กนี่คงมิใช่คนโง่ไร้สมองหรอกใช่หรือไม่?’

คนเช่นนี้กลับมีเหรียญปรมาจารย์อยู่ในมือ มันเป็นการดูถูกเหรียญปรมาจารย์อย่างมาก!

“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพูดออกมาเองนะ!” ลั่วเยว่ยิ้มเยาะ

หนิงซืออวี๋นั้นได้แต่หันหน้ากลับมากระซิบบอกเย่หยวน “นายท่าน ข้าไม่ไหวหรอก ข้าทำไม่ได้!”

เย่หยวนหรี่ตาลงกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยิน “ติดตามข้ามากี่ปี หากเจ้ายังชนะพวกมันนี้ไม่ได้ก็อย่าได้กลับไปที่เมืองอินทรีสวรรค์อีก”

หนิงซืออวี๋หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเพราะนางนั้นเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าเย่หยวน

หากนายท่านของนางไม่คิดจะให้นางกลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์จริงแล้วนางจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป?

“นายท่าน ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว!” หนิงซืออวี๋ร้องกัดฟันบอก

พูดจบนางก็หันมากัดฟันร้องใส่พวกลั่วเยว่ “พวกเจ้าคนใดจะเข้ามาก่อน?”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นออกมา “นังหนู เจ้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นปรมาจารย์หรืออย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร?”

หนิงซืออวี๋ตอบกลับไปด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ให้แก่เจ้า! ไม่เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ยอมให้ข้ากลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์อีก!”

เมื่อได้เห็นสีหน้านั้นของหนิงซืออวี๋เย่หยวนก็แทบจะหลุดขำออกมา

เพราะต่อให้นางจะแพ้จริงๆ เย่หยวนก็คงไม่ทิ้งนางไว้และห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์หรอก

เพียงแค่ว่านางผู้นี้ขาดความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป หากไม่กดดันนางเสียหน่อยนางคงไม่อาจจะแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้

นางนั้นติดตามเย่หยวนมาหลายต่อหลายปีแน่นอนว่าวิชาความรู้ของนางย่อมจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องนี้เย่หยวนเข้าใจดี

เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้มันไม่มีทางเทียบนางได้เลย

ลั่วเยว่หัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้กลับแล้ว เพราะไม่นานเจ้าจะได้แพ้จนต้องสงสัยในเส้นทางชีวิตของตน! ฮ่าๆๆ!”

เหล่าคนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมองดูหนิงซืออวี๋ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าหิวกระหายที่จ้องจะกัดกระชากเหยื่อ

“เฮ้อ ลำบากนางหนูนี่แล้ว กลับมีเจ้านายไม่ได้เรื่องเช่นนี้”

“เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นๆ มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจะเทียบเคียงได้?”

“นางผู้นี้ช่างน่าสงสารแท้ ข้าว่านางคงไม่อาจชนะได้แม้แต่ศึกเดียว!”

เหล่าคนที่มามุงดูทั้งหลายต่างมองดูหนิงซืออวี๋อย่างสงสารพร้อมใช้สายตาแดกดันมองดูเย่หยวน

ปรมาจารย์ผู้นี้มันจะล้อเล่นผู้คนเกินไปแล้ว!

ตัวเขาเองเป็นขยะก็ยังไม่เท่าไหร่ มีหรือที่ต้องผลักคนรับใช้ลงกองไฟเช่นนี้ด้วย

หนิงซืออวี๋ร้องบอก “ชนะให้ได้แล้วค่อยพูด!”

ลั่วเยว่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน “ย่อมได้ ตู้รัวเฟยเจ้าลงไปดวลกับนาง!”

นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหราเดินก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นของตนแน่แล้ว

“หึๆ สาวน้อย นายน้อยผู้นี้มาเพื่อท้าทายเจ้าแล้ว เจ้าต้องแสดงฝีมือมาหน่อยเล่า!” ตู้รัวเฟยบอก

ในเวลานี้ภายในร้านอาหารที่ด้านตะวันออกของตลาด หยุนยี่ เจิ้งปู้ฉุนและพวกต่างกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างสบายใจ

เมื่อได้ยินคำรายงานของคนรับใช้นั้นหยุนยี่ก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น “ปรมาจารย์เย่ท่านนี้ก็คงสิ้นหนทางแล้วใช่หรือไม่? ถึงกลับคิดให้สาวใช้ออกมาท้าทายยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา?”

เจิ้งปู้ฉุนหัวเราะขึ้นตาม “พี่หยุนยี่ก็กล่าวไม่ถูก ท่านไม่ได้ยินที่คนรับใช้ว่าหรือ? เป็นยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาต่างหากที่ไปท้าทายนาง!”

พูดจบคนทั้งหลายก็หัวเราะลั่นจนห้องสั่นสะท้าน

หยุนยี่ส่ายหัวออกมาด้วยสภาพที่ยังไม่อาจหุบยิ้มลงได้ “ข้าก็คิดว่าเดิมทีมันจะมีฝีมือใด ไม่นึกเลยว่ามันจะไร้ค่าปานนี้ แม้ว่าพวกลั่วเยว่นั้นจะมิใช่ยอดคนในงานครั้งนี้แต่มันก็ยังติดหนึ่งในร้อยได้ง่ายๆ มีหรือที่สาวใช้ระดับห้าผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียง?”

เจิ้งปู้ฉุนยิ้นตอบกลับมา “พี่หยุนยี่เองก็ช่างมีฝีมือแยบยล เปิดเผยที่อยู่ของเย่หยวนนั้นแก่ทุกคนจนทำให้ปรมาจารย์เย่ต้องเผยธาตุแท้ออกมา! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะจัดการเรื่องได้อย่างไร”

หยุนยี่ยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องง่ายๆ แค่นี้เหตุใดข้าจะจัดการไม่ได้? มาดื่มกันเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานคงมีข่าวมาแน่แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตู้รัวเฟยมันจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่แค่จัดการกับจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งมันก็ไม่น่าจะใช้เวลามากมายนัก”

พูดจบหยุนยี่ก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรม

ในพริบตาสี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านไป ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่คนรับใช้ผู้เดิมก็ได้เปิดประตูโพล่งเข้ามา

หยุนยี่ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตำหนิไป “เจ้าลืมมารยาทไว้ที่ไหนหรืออย่างไรถึงได้มีท่าทางเช่นนี้?”

คนรับใช้ที่ได้ยินจึงรีบก้มหัวลงคุกเข่าทันที “นายน้อย ขออภัยด้วย!”

หยุนยี่นั้นย่อมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตู้รัวเฟยและหนิงซืออวี๋จึงยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ผลออกมาแล้วหรือ?”

คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบกลับมาทันที “ออกมาแล้ว! นายน้อยตู้รัวเฟยนั้นแพ้อย่างราบคาบ! ตอนนี้ทั้งถนนตะวันออกกำลังแตกตื่นกันยกใหญ่!”

“หะ? ตู้รัวเฟยแพ้? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” หยุนยี่ร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อ

“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ตู้รัวเฟยนั้นมีวิชาโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย มีหรือที่เขาจะแพ้ให้กับเด็กน้อยจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่ง?” เจิ้งปู้ฉุนร้องถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ

คนรับใช้นั้นจึงตอบกลับมา “ไม่มีทาง! เพราะข้าน้อยได้ไปดูมันมากับตา! แม่นางผู้นั้นมีวิชาที่เหนือล้ำกดดันนายน้อยตู้รัวเฟยจนสุดทาง สุดท้ายนางกลับหลอมโอสถขึ้นมาได้ถึงขั้นสูง!”

หยุนยี่และพวกต่างได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่คิดจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

……………….

ลั่วเยว่เบิกตากว้างถามขึ้นทันที “เพียงแค่อะไร?”

ทางเย่หยวนนั้นจึงหันหน้าไปมองยังหนิงซืออวี๋และการกระทำนี้มันได้ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวของนางด้วย

คนที่พอฉลาดบ้างย่อมจะเข้าใจได้ถึงเจตนาของเย่หยวนและทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงไปทันที

และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเย่หยวนพูดบอกขึ้น “พวกเจ้าต้องชนะนางให้ได้ก่อน”

หนิงซืออวี๋หันกลับมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อคำพูดนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าของตนเอง “ข้า?”

เย่หยวนพยักหน้าขึ้น “ใช่ เจ้านั่นแหละ!”

หนิงซืออวี๋แทบจะกระโดดขึ้นจากที่ด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ยกมือขึ้นมาโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่มีทางๆ! นายท่าน ข้าทำไม่ได้หรอก! ข้า… จะทำท่านเสียหน้าเปล่าๆ!”

หนิงซืออวี๋นั้นมั่นใจในตัวเย่หยวนอย่างมากแต่นางนั้นขาดความมั่นใจในตัวเอง

ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นแม้นางจะเป็นยอดคนอัจฉริยะหาสิ่งใดเปรียบแต่ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า?

ที่นี่มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา ในงานชุมนุมโอสถเมฆา หัวใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชาการโอสถในแดนใต้

เหล่ายอดอัจฉริยะตรงหน้านางนี้เองก็เป็นถึงยอดคนทายาทตระกูลใหญ่จากเมืองดัง แน่นอนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งหลายนี้มันจะเกินรุ่นผู้คนหนุ่มสาวไปไกลลิบแล้ว

คนอย่างนางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนทั้งหลายนี้?

เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่เมืองบ้านนอกเล็กๆ!

ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นมันจึงไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวของหนิงซืออวี๋

ทั้งยังเรื่องที่ว่าผู้คนตรงหน้านางทั้งหลายนี้เป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว ส่วนนางนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว

การท้าทายข้ามอาณาจักรเช่นนี้มันย่อมจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล

เพราะคนที่จะทำได้แบบเย่หยวนมันคงมีไม่มากนัก

เมื่อลั่วเยว่และพวกได้เห็นท่าทางนั้นของหนิงซืออวี๋พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

“นาง… ปรมาจารย์เย่จะให้นางท้าทายพวกเราหรือ? ฮ่าๆๆ… เรานั้นล้วนเป็นจอมเทพโอสถหกดาว นี่มันผิดพลาดใดหรือไม่?” ลั่วเยว่ถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆ!”

นั่นทำให้คนรอบๆ หัวเราะขึ้นตาม ดูท่าแล้วการกระทำนี้ของเย่หยวนมันจะตลกในสายตาของพวกเขาทั้งหลายมาก

หนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้มีใบหน้าหรือท่าทางของยอดฝีมือเลยไม่ว่าจะมองในมุมใด

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มันมิใช่ให้นางท้าทายเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องมาท้าทายนาง”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง “ข้า? ท้าทายนาง? ล้อกันเล่นแล้ว! คนอย่างนาง แค่จอมเทพโอสถห้าดาวจะมีค่าใดให้ข้าต้องเป็นคนไปท้าทายนางกัน?”

เย่หยวนตอบกลับมาด้วยท่าทางสบาย “ได้ลองสู้แล้วเจ้าก็จะรู้ พวกเจ้าทั้งหลายแยกสู้ตัวต่อตัว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถชนะนางได้พวกเจ้าก็จะมีสิทธิ์ท้าทายข้า”

ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อมยิ้มออกมา ‘เจ้าเด็กนี่คงมิใช่คนโง่ไร้สมองหรอกใช่หรือไม่?’

คนเช่นนี้กลับมีเหรียญปรมาจารย์อยู่ในมือ มันเป็นการดูถูกเหรียญปรมาจารย์อย่างมาก!

“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพูดออกมาเองนะ!” ลั่วเยว่ยิ้มเยาะ

หนิงซืออวี๋นั้นได้แต่หันหน้ากลับมากระซิบบอกเย่หยวน “นายท่าน ข้าไม่ไหวหรอก ข้าทำไม่ได้!”

เย่หยวนหรี่ตาลงกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยิน “ติดตามข้ามากี่ปี หากเจ้ายังชนะพวกมันนี้ไม่ได้ก็อย่าได้กลับไปที่เมืองอินทรีสวรรค์อีก”

หนิงซืออวี๋หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเพราะนางนั้นเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าเย่หยวน

หากนายท่านของนางไม่คิดจะให้นางกลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์จริงแล้วนางจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป?

“นายท่าน ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว!” หนิงซืออวี๋ร้องกัดฟันบอก

พูดจบนางก็หันมากัดฟันร้องใส่พวกลั่วเยว่ “พวกเจ้าคนใดจะเข้ามาก่อน?”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นออกมา “นังหนู เจ้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นปรมาจารย์หรืออย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร?”

หนิงซืออวี๋ตอบกลับไปด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ให้แก่เจ้า! ไม่เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ยอมให้ข้ากลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์อีก!”

เมื่อได้เห็นสีหน้านั้นของหนิงซืออวี๋เย่หยวนก็แทบจะหลุดขำออกมา

เพราะต่อให้นางจะแพ้จริงๆ เย่หยวนก็คงไม่ทิ้งนางไว้และห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์หรอก

เพียงแค่ว่านางผู้นี้ขาดความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป หากไม่กดดันนางเสียหน่อยนางคงไม่อาจจะแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้

นางนั้นติดตามเย่หยวนมาหลายต่อหลายปีแน่นอนว่าวิชาความรู้ของนางย่อมจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องนี้เย่หยวนเข้าใจดี

เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้มันไม่มีทางเทียบนางได้เลย

ลั่วเยว่หัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้กลับแล้ว เพราะไม่นานเจ้าจะได้แพ้จนต้องสงสัยในเส้นทางชีวิตของตน! ฮ่าๆๆ!”

เหล่าคนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมองดูหนิงซืออวี๋ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าหิวกระหายที่จ้องจะกัดกระชากเหยื่อ

“เฮ้อ ลำบากนางหนูนี่แล้ว กลับมีเจ้านายไม่ได้เรื่องเช่นนี้”

“เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นๆ มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจะเทียบเคียงได้?”

“นางผู้นี้ช่างน่าสงสารแท้ ข้าว่านางคงไม่อาจชนะได้แม้แต่ศึกเดียว!”

เหล่าคนที่มามุงดูทั้งหลายต่างมองดูหนิงซืออวี๋อย่างสงสารพร้อมใช้สายตาแดกดันมองดูเย่หยวน

ปรมาจารย์ผู้นี้มันจะล้อเล่นผู้คนเกินไปแล้ว!

ตัวเขาเองเป็นขยะก็ยังไม่เท่าไหร่ มีหรือที่ต้องผลักคนรับใช้ลงกองไฟเช่นนี้ด้วย

หนิงซืออวี๋ร้องบอก “ชนะให้ได้แล้วค่อยพูด!”

ลั่วเยว่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน “ย่อมได้ ตู้รัวเฟยเจ้าลงไปดวลกับนาง!”

นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหราเดินก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นของตนแน่แล้ว

“หึๆ สาวน้อย นายน้อยผู้นี้มาเพื่อท้าทายเจ้าแล้ว เจ้าต้องแสดงฝีมือมาหน่อยเล่า!” ตู้รัวเฟยบอก

ในเวลานี้ภายในร้านอาหารที่ด้านตะวันออกของตลาด หยุนยี่ เจิ้งปู้ฉุนและพวกต่างกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างสบายใจ

เมื่อได้ยินคำรายงานของคนรับใช้นั้นหยุนยี่ก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น “ปรมาจารย์เย่ท่านนี้ก็คงสิ้นหนทางแล้วใช่หรือไม่? ถึงกลับคิดให้สาวใช้ออกมาท้าทายยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา?”

เจิ้งปู้ฉุนหัวเราะขึ้นตาม “พี่หยุนยี่ก็กล่าวไม่ถูก ท่านไม่ได้ยินที่คนรับใช้ว่าหรือ? เป็นยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาต่างหากที่ไปท้าทายนาง!”

พูดจบคนทั้งหลายก็หัวเราะลั่นจนห้องสั่นสะท้าน

หยุนยี่ส่ายหัวออกมาด้วยสภาพที่ยังไม่อาจหุบยิ้มลงได้ “ข้าก็คิดว่าเดิมทีมันจะมีฝีมือใด ไม่นึกเลยว่ามันจะไร้ค่าปานนี้ แม้ว่าพวกลั่วเยว่นั้นจะมิใช่ยอดคนในงานครั้งนี้แต่มันก็ยังติดหนึ่งในร้อยได้ง่ายๆ มีหรือที่สาวใช้ระดับห้าผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียง?”

เจิ้งปู้ฉุนยิ้นตอบกลับมา “พี่หยุนยี่เองก็ช่างมีฝีมือแยบยล เปิดเผยที่อยู่ของเย่หยวนนั้นแก่ทุกคนจนทำให้ปรมาจารย์เย่ต้องเผยธาตุแท้ออกมา! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะจัดการเรื่องได้อย่างไร”

หยุนยี่ยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องง่ายๆ แค่นี้เหตุใดข้าจะจัดการไม่ได้? มาดื่มกันเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานคงมีข่าวมาแน่แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตู้รัวเฟยมันจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่แค่จัดการกับจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งมันก็ไม่น่าจะใช้เวลามากมายนัก”

พูดจบหยุนยี่ก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรม

ในพริบตาสี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านไป ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่คนรับใช้ผู้เดิมก็ได้เปิดประตูโพล่งเข้ามา

หยุนยี่ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตำหนิไป “เจ้าลืมมารยาทไว้ที่ไหนหรืออย่างไรถึงได้มีท่าทางเช่นนี้?”

คนรับใช้ที่ได้ยินจึงรีบก้มหัวลงคุกเข่าทันที “นายน้อย ขออภัยด้วย!”

หยุนยี่นั้นย่อมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตู้รัวเฟยและหนิงซืออวี๋จึงยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ผลออกมาแล้วหรือ?”

คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบกลับมาทันที “ออกมาแล้ว! นายน้อยตู้รัวเฟยนั้นแพ้อย่างราบคาบ! ตอนนี้ทั้งถนนตะวันออกกำลังแตกตื่นกันยกใหญ่!”

“หะ? ตู้รัวเฟยแพ้? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” หยุนยี่ร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อ

“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ตู้รัวเฟยนั้นมีวิชาโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย มีหรือที่เขาจะแพ้ให้กับเด็กน้อยจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่ง?” เจิ้งปู้ฉุนร้องถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ

คนรับใช้นั้นจึงตอบกลับมา “ไม่มีทาง! เพราะข้าน้อยได้ไปดูมันมากับตา! แม่นางผู้นั้นมีวิชาที่เหนือล้ำกดดันนายน้อยตู้รัวเฟยจนสุดทาง สุดท้ายนางกลับหลอมโอสถขึ้นมาได้ถึงขั้นสูง!”

หยุนยี่และพวกต่างได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่คิดจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2022 เจ้าท้าทายนาง!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2022 เจ้าท้าทายนาง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลั่วเยว่เบิกตากว้างถามขึ้นทันที “เพียงแค่อะไร?”

ทางเย่หยวนนั้นจึงหันหน้าไปมองยังหนิงซืออวี๋และการกระทำนี้มันได้ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวของนางด้วย

คนที่พอฉลาดบ้างย่อมจะเข้าใจได้ถึงเจตนาของเย่หยวนและทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงไปทันที

และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเย่หยวนพูดบอกขึ้น “พวกเจ้าต้องชนะนางให้ได้ก่อน”

หนิงซืออวี๋หันกลับมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อคำพูดนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าของตนเอง “ข้า?”

เย่หยวนพยักหน้าขึ้น “ใช่ เจ้านั่นแหละ!”

หนิงซืออวี๋แทบจะกระโดดขึ้นจากที่ด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ยกมือขึ้นมาโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่มีทางๆ! นายท่าน ข้าทำไม่ได้หรอก! ข้า… จะทำท่านเสียหน้าเปล่าๆ!”

หนิงซืออวี๋นั้นมั่นใจในตัวเย่หยวนอย่างมากแต่นางนั้นขาดความมั่นใจในตัวเอง

ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นแม้นางจะเป็นยอดคนอัจฉริยะหาสิ่งใดเปรียบแต่ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า?

ที่นี่มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา ในงานชุมนุมโอสถเมฆา หัวใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชาการโอสถในแดนใต้

เหล่ายอดอัจฉริยะตรงหน้านางนี้เองก็เป็นถึงยอดคนทายาทตระกูลใหญ่จากเมืองดัง แน่นอนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งหลายนี้มันจะเกินรุ่นผู้คนหนุ่มสาวไปไกลลิบแล้ว

คนอย่างนางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนทั้งหลายนี้?

เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่เมืองบ้านนอกเล็กๆ!

ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นมันจึงไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวของหนิงซืออวี๋

ทั้งยังเรื่องที่ว่าผู้คนตรงหน้านางทั้งหลายนี้เป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว ส่วนนางนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว

การท้าทายข้ามอาณาจักรเช่นนี้มันย่อมจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล

เพราะคนที่จะทำได้แบบเย่หยวนมันคงมีไม่มากนัก

เมื่อลั่วเยว่และพวกได้เห็นท่าทางนั้นของหนิงซืออวี๋พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

“นาง… ปรมาจารย์เย่จะให้นางท้าทายพวกเราหรือ? ฮ่าๆๆ… เรานั้นล้วนเป็นจอมเทพโอสถหกดาว นี่มันผิดพลาดใดหรือไม่?” ลั่วเยว่ถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆ!”

นั่นทำให้คนรอบๆ หัวเราะขึ้นตาม ดูท่าแล้วการกระทำนี้ของเย่หยวนมันจะตลกในสายตาของพวกเขาทั้งหลายมาก

หนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้มีใบหน้าหรือท่าทางของยอดฝีมือเลยไม่ว่าจะมองในมุมใด

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มันมิใช่ให้นางท้าทายเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องมาท้าทายนาง”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง “ข้า? ท้าทายนาง? ล้อกันเล่นแล้ว! คนอย่างนาง แค่จอมเทพโอสถห้าดาวจะมีค่าใดให้ข้าต้องเป็นคนไปท้าทายนางกัน?”

เย่หยวนตอบกลับมาด้วยท่าทางสบาย “ได้ลองสู้แล้วเจ้าก็จะรู้ พวกเจ้าทั้งหลายแยกสู้ตัวต่อตัว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถชนะนางได้พวกเจ้าก็จะมีสิทธิ์ท้าทายข้า”

ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อมยิ้มออกมา ‘เจ้าเด็กนี่คงมิใช่คนโง่ไร้สมองหรอกใช่หรือไม่?’

คนเช่นนี้กลับมีเหรียญปรมาจารย์อยู่ในมือ มันเป็นการดูถูกเหรียญปรมาจารย์อย่างมาก!

“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพูดออกมาเองนะ!” ลั่วเยว่ยิ้มเยาะ

หนิงซืออวี๋นั้นได้แต่หันหน้ากลับมากระซิบบอกเย่หยวน “นายท่าน ข้าไม่ไหวหรอก ข้าทำไม่ได้!”

เย่หยวนหรี่ตาลงกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยิน “ติดตามข้ามากี่ปี หากเจ้ายังชนะพวกมันนี้ไม่ได้ก็อย่าได้กลับไปที่เมืองอินทรีสวรรค์อีก”

หนิงซืออวี๋หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเพราะนางนั้นเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าเย่หยวน

หากนายท่านของนางไม่คิดจะให้นางกลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์จริงแล้วนางจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป?

“นายท่าน ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว!” หนิงซืออวี๋ร้องกัดฟันบอก

พูดจบนางก็หันมากัดฟันร้องใส่พวกลั่วเยว่ “พวกเจ้าคนใดจะเข้ามาก่อน?”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นออกมา “นังหนู เจ้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นปรมาจารย์หรืออย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร?”

หนิงซืออวี๋ตอบกลับไปด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ให้แก่เจ้า! ไม่เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ยอมให้ข้ากลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์อีก!”

เมื่อได้เห็นสีหน้านั้นของหนิงซืออวี๋เย่หยวนก็แทบจะหลุดขำออกมา

เพราะต่อให้นางจะแพ้จริงๆ เย่หยวนก็คงไม่ทิ้งนางไว้และห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์หรอก

เพียงแค่ว่านางผู้นี้ขาดความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป หากไม่กดดันนางเสียหน่อยนางคงไม่อาจจะแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้

นางนั้นติดตามเย่หยวนมาหลายต่อหลายปีแน่นอนว่าวิชาความรู้ของนางย่อมจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องนี้เย่หยวนเข้าใจดี

เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้มันไม่มีทางเทียบนางได้เลย

ลั่วเยว่หัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้กลับแล้ว เพราะไม่นานเจ้าจะได้แพ้จนต้องสงสัยในเส้นทางชีวิตของตน! ฮ่าๆๆ!”

เหล่าคนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมองดูหนิงซืออวี๋ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าหิวกระหายที่จ้องจะกัดกระชากเหยื่อ

“เฮ้อ ลำบากนางหนูนี่แล้ว กลับมีเจ้านายไม่ได้เรื่องเช่นนี้”

“เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นๆ มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจะเทียบเคียงได้?”

“นางผู้นี้ช่างน่าสงสารแท้ ข้าว่านางคงไม่อาจชนะได้แม้แต่ศึกเดียว!”

เหล่าคนที่มามุงดูทั้งหลายต่างมองดูหนิงซืออวี๋อย่างสงสารพร้อมใช้สายตาแดกดันมองดูเย่หยวน

ปรมาจารย์ผู้นี้มันจะล้อเล่นผู้คนเกินไปแล้ว!

ตัวเขาเองเป็นขยะก็ยังไม่เท่าไหร่ มีหรือที่ต้องผลักคนรับใช้ลงกองไฟเช่นนี้ด้วย

หนิงซืออวี๋ร้องบอก “ชนะให้ได้แล้วค่อยพูด!”

ลั่วเยว่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน “ย่อมได้ ตู้รัวเฟยเจ้าลงไปดวลกับนาง!”

นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหราเดินก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นของตนแน่แล้ว

“หึๆ สาวน้อย นายน้อยผู้นี้มาเพื่อท้าทายเจ้าแล้ว เจ้าต้องแสดงฝีมือมาหน่อยเล่า!” ตู้รัวเฟยบอก

ในเวลานี้ภายในร้านอาหารที่ด้านตะวันออกของตลาด หยุนยี่ เจิ้งปู้ฉุนและพวกต่างกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างสบายใจ

เมื่อได้ยินคำรายงานของคนรับใช้นั้นหยุนยี่ก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น “ปรมาจารย์เย่ท่านนี้ก็คงสิ้นหนทางแล้วใช่หรือไม่? ถึงกลับคิดให้สาวใช้ออกมาท้าทายยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา?”

เจิ้งปู้ฉุนหัวเราะขึ้นตาม “พี่หยุนยี่ก็กล่าวไม่ถูก ท่านไม่ได้ยินที่คนรับใช้ว่าหรือ? เป็นยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาต่างหากที่ไปท้าทายนาง!”

พูดจบคนทั้งหลายก็หัวเราะลั่นจนห้องสั่นสะท้าน

หยุนยี่ส่ายหัวออกมาด้วยสภาพที่ยังไม่อาจหุบยิ้มลงได้ “ข้าก็คิดว่าเดิมทีมันจะมีฝีมือใด ไม่นึกเลยว่ามันจะไร้ค่าปานนี้ แม้ว่าพวกลั่วเยว่นั้นจะมิใช่ยอดคนในงานครั้งนี้แต่มันก็ยังติดหนึ่งในร้อยได้ง่ายๆ มีหรือที่สาวใช้ระดับห้าผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียง?”

เจิ้งปู้ฉุนยิ้นตอบกลับมา “พี่หยุนยี่เองก็ช่างมีฝีมือแยบยล เปิดเผยที่อยู่ของเย่หยวนนั้นแก่ทุกคนจนทำให้ปรมาจารย์เย่ต้องเผยธาตุแท้ออกมา! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะจัดการเรื่องได้อย่างไร”

หยุนยี่ยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องง่ายๆ แค่นี้เหตุใดข้าจะจัดการไม่ได้? มาดื่มกันเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานคงมีข่าวมาแน่แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตู้รัวเฟยมันจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่แค่จัดการกับจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งมันก็ไม่น่าจะใช้เวลามากมายนัก”

พูดจบหยุนยี่ก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรม

ในพริบตาสี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านไป ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่คนรับใช้ผู้เดิมก็ได้เปิดประตูโพล่งเข้ามา

หยุนยี่ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตำหนิไป “เจ้าลืมมารยาทไว้ที่ไหนหรืออย่างไรถึงได้มีท่าทางเช่นนี้?”

คนรับใช้ที่ได้ยินจึงรีบก้มหัวลงคุกเข่าทันที “นายน้อย ขออภัยด้วย!”

หยุนยี่นั้นย่อมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตู้รัวเฟยและหนิงซืออวี๋จึงยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ผลออกมาแล้วหรือ?”

คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบกลับมาทันที “ออกมาแล้ว! นายน้อยตู้รัวเฟยนั้นแพ้อย่างราบคาบ! ตอนนี้ทั้งถนนตะวันออกกำลังแตกตื่นกันยกใหญ่!”

“หะ? ตู้รัวเฟยแพ้? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” หยุนยี่ร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อ

“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ตู้รัวเฟยนั้นมีวิชาโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย มีหรือที่เขาจะแพ้ให้กับเด็กน้อยจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่ง?” เจิ้งปู้ฉุนร้องถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ

คนรับใช้นั้นจึงตอบกลับมา “ไม่มีทาง! เพราะข้าน้อยได้ไปดูมันมากับตา! แม่นางผู้นั้นมีวิชาที่เหนือล้ำกดดันนายน้อยตู้รัวเฟยจนสุดทาง สุดท้ายนางกลับหลอมโอสถขึ้นมาได้ถึงขั้นสูง!”

หยุนยี่และพวกต่างได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่คิดจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

……………….

ลั่วเยว่เบิกตากว้างถามขึ้นทันที “เพียงแค่อะไร?”

ทางเย่หยวนนั้นจึงหันหน้าไปมองยังหนิงซืออวี๋และการกระทำนี้มันได้ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวของนางด้วย

คนที่พอฉลาดบ้างย่อมจะเข้าใจได้ถึงเจตนาของเย่หยวนและทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงไปทันที

และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเย่หยวนพูดบอกขึ้น “พวกเจ้าต้องชนะนางให้ได้ก่อน”

หนิงซืออวี๋หันกลับมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อคำพูดนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าของตนเอง “ข้า?”

เย่หยวนพยักหน้าขึ้น “ใช่ เจ้านั่นแหละ!”

หนิงซืออวี๋แทบจะกระโดดขึ้นจากที่ด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ยกมือขึ้นมาโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่มีทางๆ! นายท่าน ข้าทำไม่ได้หรอก! ข้า… จะทำท่านเสียหน้าเปล่าๆ!”

หนิงซืออวี๋นั้นมั่นใจในตัวเย่หยวนอย่างมากแต่นางนั้นขาดความมั่นใจในตัวเอง

ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นแม้นางจะเป็นยอดคนอัจฉริยะหาสิ่งใดเปรียบแต่ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า?

ที่นี่มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา ในงานชุมนุมโอสถเมฆา หัวใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชาการโอสถในแดนใต้

เหล่ายอดอัจฉริยะตรงหน้านางนี้เองก็เป็นถึงยอดคนทายาทตระกูลใหญ่จากเมืองดัง แน่นอนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งหลายนี้มันจะเกินรุ่นผู้คนหนุ่มสาวไปไกลลิบแล้ว

คนอย่างนางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนทั้งหลายนี้?

เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่เมืองบ้านนอกเล็กๆ!

ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นมันจึงไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวของหนิงซืออวี๋

ทั้งยังเรื่องที่ว่าผู้คนตรงหน้านางทั้งหลายนี้เป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว ส่วนนางนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว

การท้าทายข้ามอาณาจักรเช่นนี้มันย่อมจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล

เพราะคนที่จะทำได้แบบเย่หยวนมันคงมีไม่มากนัก

เมื่อลั่วเยว่และพวกได้เห็นท่าทางนั้นของหนิงซืออวี๋พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

“นาง… ปรมาจารย์เย่จะให้นางท้าทายพวกเราหรือ? ฮ่าๆๆ… เรานั้นล้วนเป็นจอมเทพโอสถหกดาว นี่มันผิดพลาดใดหรือไม่?” ลั่วเยว่ถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆ!”

นั่นทำให้คนรอบๆ หัวเราะขึ้นตาม ดูท่าแล้วการกระทำนี้ของเย่หยวนมันจะตลกในสายตาของพวกเขาทั้งหลายมาก

หนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้มีใบหน้าหรือท่าทางของยอดฝีมือเลยไม่ว่าจะมองในมุมใด

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มันมิใช่ให้นางท้าทายเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องมาท้าทายนาง”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง “ข้า? ท้าทายนาง? ล้อกันเล่นแล้ว! คนอย่างนาง แค่จอมเทพโอสถห้าดาวจะมีค่าใดให้ข้าต้องเป็นคนไปท้าทายนางกัน?”

เย่หยวนตอบกลับมาด้วยท่าทางสบาย “ได้ลองสู้แล้วเจ้าก็จะรู้ พวกเจ้าทั้งหลายแยกสู้ตัวต่อตัว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถชนะนางได้พวกเจ้าก็จะมีสิทธิ์ท้าทายข้า”

ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อมยิ้มออกมา ‘เจ้าเด็กนี่คงมิใช่คนโง่ไร้สมองหรอกใช่หรือไม่?’

คนเช่นนี้กลับมีเหรียญปรมาจารย์อยู่ในมือ มันเป็นการดูถูกเหรียญปรมาจารย์อย่างมาก!

“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพูดออกมาเองนะ!” ลั่วเยว่ยิ้มเยาะ

หนิงซืออวี๋นั้นได้แต่หันหน้ากลับมากระซิบบอกเย่หยวน “นายท่าน ข้าไม่ไหวหรอก ข้าทำไม่ได้!”

เย่หยวนหรี่ตาลงกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยิน “ติดตามข้ามากี่ปี หากเจ้ายังชนะพวกมันนี้ไม่ได้ก็อย่าได้กลับไปที่เมืองอินทรีสวรรค์อีก”

หนิงซืออวี๋หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเพราะนางนั้นเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าเย่หยวน

หากนายท่านของนางไม่คิดจะให้นางกลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์จริงแล้วนางจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป?

“นายท่าน ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว!” หนิงซืออวี๋ร้องกัดฟันบอก

พูดจบนางก็หันมากัดฟันร้องใส่พวกลั่วเยว่ “พวกเจ้าคนใดจะเข้ามาก่อน?”

ลั่วเยว่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นออกมา “นังหนู เจ้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นปรมาจารย์หรืออย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร?”

หนิงซืออวี๋ตอบกลับไปด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ให้แก่เจ้า! ไม่เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ยอมให้ข้ากลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์อีก!”

เมื่อได้เห็นสีหน้านั้นของหนิงซืออวี๋เย่หยวนก็แทบจะหลุดขำออกมา

เพราะต่อให้นางจะแพ้จริงๆ เย่หยวนก็คงไม่ทิ้งนางไว้และห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์หรอก

เพียงแค่ว่านางผู้นี้ขาดความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป หากไม่กดดันนางเสียหน่อยนางคงไม่อาจจะแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้

นางนั้นติดตามเย่หยวนมาหลายต่อหลายปีแน่นอนว่าวิชาความรู้ของนางย่อมจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องนี้เย่หยวนเข้าใจดี

เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้มันไม่มีทางเทียบนางได้เลย

ลั่วเยว่หัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้กลับแล้ว เพราะไม่นานเจ้าจะได้แพ้จนต้องสงสัยในเส้นทางชีวิตของตน! ฮ่าๆๆ!”

เหล่าคนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมองดูหนิงซืออวี๋ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าหิวกระหายที่จ้องจะกัดกระชากเหยื่อ

“เฮ้อ ลำบากนางหนูนี่แล้ว กลับมีเจ้านายไม่ได้เรื่องเช่นนี้”

“เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นๆ มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจะเทียบเคียงได้?”

“นางผู้นี้ช่างน่าสงสารแท้ ข้าว่านางคงไม่อาจชนะได้แม้แต่ศึกเดียว!”

เหล่าคนที่มามุงดูทั้งหลายต่างมองดูหนิงซืออวี๋อย่างสงสารพร้อมใช้สายตาแดกดันมองดูเย่หยวน

ปรมาจารย์ผู้นี้มันจะล้อเล่นผู้คนเกินไปแล้ว!

ตัวเขาเองเป็นขยะก็ยังไม่เท่าไหร่ มีหรือที่ต้องผลักคนรับใช้ลงกองไฟเช่นนี้ด้วย

หนิงซืออวี๋ร้องบอก “ชนะให้ได้แล้วค่อยพูด!”

ลั่วเยว่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน “ย่อมได้ ตู้รัวเฟยเจ้าลงไปดวลกับนาง!”

นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหราเดินก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นของตนแน่แล้ว

“หึๆ สาวน้อย นายน้อยผู้นี้มาเพื่อท้าทายเจ้าแล้ว เจ้าต้องแสดงฝีมือมาหน่อยเล่า!” ตู้รัวเฟยบอก

ในเวลานี้ภายในร้านอาหารที่ด้านตะวันออกของตลาด หยุนยี่ เจิ้งปู้ฉุนและพวกต่างกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างสบายใจ

เมื่อได้ยินคำรายงานของคนรับใช้นั้นหยุนยี่ก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น “ปรมาจารย์เย่ท่านนี้ก็คงสิ้นหนทางแล้วใช่หรือไม่? ถึงกลับคิดให้สาวใช้ออกมาท้าทายยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา?”

เจิ้งปู้ฉุนหัวเราะขึ้นตาม “พี่หยุนยี่ก็กล่าวไม่ถูก ท่านไม่ได้ยินที่คนรับใช้ว่าหรือ? เป็นยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาต่างหากที่ไปท้าทายนาง!”

พูดจบคนทั้งหลายก็หัวเราะลั่นจนห้องสั่นสะท้าน

หยุนยี่ส่ายหัวออกมาด้วยสภาพที่ยังไม่อาจหุบยิ้มลงได้ “ข้าก็คิดว่าเดิมทีมันจะมีฝีมือใด ไม่นึกเลยว่ามันจะไร้ค่าปานนี้ แม้ว่าพวกลั่วเยว่นั้นจะมิใช่ยอดคนในงานครั้งนี้แต่มันก็ยังติดหนึ่งในร้อยได้ง่ายๆ มีหรือที่สาวใช้ระดับห้าผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียง?”

เจิ้งปู้ฉุนยิ้นตอบกลับมา “พี่หยุนยี่เองก็ช่างมีฝีมือแยบยล เปิดเผยที่อยู่ของเย่หยวนนั้นแก่ทุกคนจนทำให้ปรมาจารย์เย่ต้องเผยธาตุแท้ออกมา! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะจัดการเรื่องได้อย่างไร”

หยุนยี่ยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องง่ายๆ แค่นี้เหตุใดข้าจะจัดการไม่ได้? มาดื่มกันเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานคงมีข่าวมาแน่แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตู้รัวเฟยมันจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่แค่จัดการกับจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งมันก็ไม่น่าจะใช้เวลามากมายนัก”

พูดจบหยุนยี่ก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรม

ในพริบตาสี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านไป ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่คนรับใช้ผู้เดิมก็ได้เปิดประตูโพล่งเข้ามา

หยุนยี่ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตำหนิไป “เจ้าลืมมารยาทไว้ที่ไหนหรืออย่างไรถึงได้มีท่าทางเช่นนี้?”

คนรับใช้ที่ได้ยินจึงรีบก้มหัวลงคุกเข่าทันที “นายน้อย ขออภัยด้วย!”

หยุนยี่นั้นย่อมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตู้รัวเฟยและหนิงซืออวี๋จึงยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ผลออกมาแล้วหรือ?”

คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบกลับมาทันที “ออกมาแล้ว! นายน้อยตู้รัวเฟยนั้นแพ้อย่างราบคาบ! ตอนนี้ทั้งถนนตะวันออกกำลังแตกตื่นกันยกใหญ่!”

“หะ? ตู้รัวเฟยแพ้? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” หยุนยี่ร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อ

“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ตู้รัวเฟยนั้นมีวิชาโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย มีหรือที่เขาจะแพ้ให้กับเด็กน้อยจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่ง?” เจิ้งปู้ฉุนร้องถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ

คนรับใช้นั้นจึงตอบกลับมา “ไม่มีทาง! เพราะข้าน้อยได้ไปดูมันมากับตา! แม่นางผู้นั้นมีวิชาที่เหนือล้ำกดดันนายน้อยตู้รัวเฟยจนสุดทาง สุดท้ายนางกลับหลอมโอสถขึ้นมาได้ถึงขั้นสูง!”

หยุนยี่และพวกต่างได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่คิดจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+