Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2065 มันเป็นพวกเจ้าที่ไม่รู้จักโลกหล้า

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2065 มันเป็นพวกเจ้าที่ไม่รู้จักโลกหล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มิติสั่นสะท้านเผยให้เห็นร่างของเด็กสาวเดินแหวกออกมาด้วยคลื่นพลังชีวิตอันหนาแน่น

หญิงสาวที่เดินนำออกมาก่อนนั้นมีชุดสีขาวราวหิมะ แม้ว่านางนั้นจะเป็นสาวงามแต่ก็มีใบหน้าเรียบเฉยพร้อมด้วยคิ้วที่แสดงความดุดัน เรียกได้ว่าเป็นสาวงามที่มีใบหน้าไล่แขกอย่างแท้จริง

คนทั้งหลายนี้เงยหน้าขึ้นมองดูภาพตรงหน้า มันเป็นภาพเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

เด็กสาวอีกคนที่ด้านข้างหญิงสาวชุดขาวนั้นพูดกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ซุน นี่มันเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ศิษย์น้องมันว่าจริงๆ หรือ? ข้าไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิมันจะยิ่งใหญ่ได้ถึงปานนี้!”

เมื่อพูดถึงศิษย์น้องขึ้นมาสีหน้าของนางก็แสดงความดูถูกอย่างเต็มเปี่ยม

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แค่เมืองจักรพรรดิก็วางท่าหรูหรา ผู้ดูแลเมืองนี้มันจะต้องเป็นพวกขี้อวดโม้ตนอย่างแน่นอน คงไม่ได้ส่งส่วยให้เจ้านายตามเรื่องราวแน่ หึ! แค่พูดถึงนังเด็กคนนั้นข้าก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว! หากมิใช่เพราะมันแล้วมีหรือที่ข้าจะต้องลำบากเดินทางจากแดนเหนือเราผ่านเขาแห่งถงเทียนลงมาถึงแดนใต้อันห่างไกลนี้”

ศิษย์น้องผู้นั้นจึงยิ้มตอบกลับมา “นังเด็กคนนั้นมันคิดว่าตนมีกายเทวะหยินล้ำแล้วก็จะดูถูกศิษย์พี่ได้ บุญคุณที่อาจารย์มีต่อมันนั้นหนักล้ำเหนือฟ้าแต่มันกลับไม่คิดตอบแทนใดๆ ทั้งยังถึงขั้นใช้ให้ศิษย์พี่ต้องเดินทางมาจับตัวผู้คนถึงที่นี่! ช่างชั่วช้าจริงๆ! เมื่อใดที่เราจับคนรักของนางได้นั้นเราจะต้องสั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ”

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ ออกมา “มาเถอะ ตอนนี้เข้าเมืองกันก่อนค่อยว่า ก่อนอื่นเราต้องสืบหาเรื่องราวของเด็กคนนั้นมันก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วหากไปตีหญ้าให้งูตื่นก่อนมันจะเสียเรื่องเอา”

คนทั้งหลายนี้จึงได้มุ่งหน้าเดินทางเข้าไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

แต่หลังจากเข้ามาถึงในตัวเมืองแล้วพวกนางทั้งหลายจึงได้สัมผัสว่าแท้จริงแล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเจริญรุ่งเรืองปานใด ดูแล้วมันไม่ด้อยไปกว่าเมืองหลวงจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ ทำให้พวกนางทั้งหลายต้องตื่นตะลึง

หากมองจากแค่จำนวนนักยุทธในเมืองแล้ว เมืองนี้มันคงไม่นับว่าใหญ่โตใดๆ

“ศิษย์พี่ซุน นี่มันเมืองจักรพรรดิจริงๆ หรือ? ทำไมข้าจึงรู้สึกว่ามันเจริญเสียยิ่งกว่าเมืองหลวงจักรพรรดิบางที่อีกเล่า?” ศิษย์น้องนางนั้นมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตะลึงในหัวใจ

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงตอบกลับมาพร้อมขมวดคิ้ว “ที่แห่งนี้มันมีร้านโอสถอยู่มากมายเหลือเกิน ทั้งยังมีนักหลอมโอสถเดินขวักไขว่ ดูราวกับจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถ นังเด็กคนนั้นมันบอกว่าคนรักของมันเป็นนักหลอมโอสถเช่นกัน ดูท่าคงไม่ผิดที่แน่แล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมอยู่ เราเข้าไปสืบสาวเรื่องราวกันเถอะ”

คนทั้งหลายเดินเข้ามายังโรงเตี๊ยมข้างทางนั้นและได้นั่งลงยังโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองของร้าน

เมื่อพนักงานของร้านเดินเข้ามาถึงศิษย์น้องคนนั้นก็กล่าวถามขึ้นทันที “น้องชาย ดูเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเจ้านี้จะมีนักหลอมโอสถมากมายเหลือเกินนะ!”

เมื่อพนักงานผู้นั้นได้ยินเขาก็รีบหันหน้ากลับมาหาด้วยท่าทางภูมิใจ “นายหญิงทั้งหลาย พวกท่านคงเดินทางมาจากดินแดนอื่นแล้ว? หึๆ เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรานั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอันดับหนึ่งของแดนใต้นี้ หากท่านคิดจะมาหาซื้อโอสถแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าท่านมาถูกที่แล้ว”

เมื่อศิษย์น้องหญิงคนนั้นได้ยินนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น

ศิษย์น้องอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “อันดับหนึ่งในแดนใต้? แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ ก็กล้าเอาชื่อนั้นมาใช้หรือ? เมืองของพวกเจ้านี้มันสุดแสนห่างไกลและเจ้าเองก็คงไม่เคยจะได้เห็นโลกกว้างใช่ไหมเล่า?”

คำพูดของนางนั้นมันหมายถึงว่าคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเป็นแค่กบในกะลาไม่รู้จักโลกหล้าที่แท้จริง

เพียงแค่ว่าคำพูดของนางนี้มันกลับทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นรอบๆ โรงเตี๊ยมแทน

“สาวน้อย คนที่ไม่เคยได้เห็นโลกหล้านั้นมันเป็นพวกเจ้ามากกว่าล่ะมั้ง! เจ้าลองไปถามใครดูก็ได้ว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอันดับหนึ่งในแดนใต้หรือไม่ ข้าขอรับประกันเลยว่ามันคือความจริง!”

“ฮ่าๆ ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแต่หากมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหัวลงเดิน!”

“สาวน้อย เวลาจะออกบ้านไปไหนก็ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วพอไปถึงจะกลายเป็นตัวตลกเช่นนี้เอา!”

เสียงหัวเราะทั้งหลายนั้นดังขึ้นรอบด้านจนทำให้คนทั้งหลายนี้แทบควบคุมตัวไม่อยู่

ศิษย์น้องคนนั้นหน้าแดงก่ำจนแทบจะลุกขึ้นตวาดว่าแต่ศิษย์พี่ซุนกลับห้ามนางไว้ด้วยเสียงกระแอมเสียก่อน

ศิษย์พี่ซุนนั้นหันไปถามพนักงานบริกร “น้องชายท่านนี้ ในเมื่อเจ้าว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถแล้ว เจ้าพอจะรู้จักเด็กหนุ่มนามเย่หยวนหรือไม่?”

และระหว่างที่พนักงานผู้นั้นยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร ศิษย์พี่ซุนนางนั้นก็ได้กล่าวขึ้นเสริม “ได้ยินว่าอายุของเขาน่าจะยังไม่มาก และมีวิชาโอสถที่… พอใช้ได้”

เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบลงทันทีพร้อมด้วยสีหน้าแปลกๆ ของคนทั้งหลาย

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในพริบตา หรือว่าตัวนางจะไปพูดถึงเรื่องต้องห้ามใดเข้าแล้ว?

แต่นางเองก็ไม่ได้คิดใส่ใจใดๆ มากมาย แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ ต่อให้จะมีข้อห้ามใดแล้วพวกนางจะเกรงกลัวหรือ?

“ทำไมเล่า? ข้านั้นพูดอะไรผิดไปหรือ?” ศิษย์พี่ซุนนางนั้นถามขึ้น

พนักงานคนนั้นจึงตอบกลับมาด้วยใบหน้าแปลกประหลาด “ไม่ใช่หรอก แค่ว่า… หากท่านเย่นั้นมีฝีมือแค่พอใช้แล้ว เช่นนั้นผู้คนที่เรียกตนว่านักหลอมโอสถทั้งแผ่นดินคงต้องได้เอาหัวไปโขกเต้าหู้ตายแน่”

“โอ้? เช่นนั้นหรือ เขาเก่งกาจมาก?” ศิษย์พี่ซุนนั้นไม่คิดสนใจใดๆ และเริ่มถามหาข้อมูลต่อ

เพราะนางนั้นได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนในเมืองนี้มันได้มีนิสัยโอ้อวดเป็นพื้นฐานกันสิ้นเพราะพวกเขานั้นอยู่หลังเขาไกลปืนเที่ยงจนเกินไป

พวกเขานั้นคิดว่าตนเองเหนือล้ำผู้คนทั้งโลกหล้าเพียงเพราะว่าเป็นเมืองที่รวบรวมนักหลอมโอสถบ้านนอกไว้

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยจริงๆ!

นางเองก็เคยได้ยินชื่อของอันดับหนึ่งแห่งวงการโอสถในแดนใต้มาก่อน และผู้ที่เก่งกาจที่สุดมันย่อมจะเป็นเทพสวรรค์ดันหยู่ทั้งยังเป็นผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกหกดินแดน

มีหรือที่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ นี้จะก้าวล้ำดินแดนยิ่งใหญ่ปานนั้นได้?

พนักงานผู้นั้นจึงได้ยิ้มออกมา “เก่งกาจ? หึๆ มันมากกว่าคำว่าเก่งกาจอีก! ข้าขอบอกเลยนะว่าต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวมาเอง พวกเขาก็ยังต้องก้มหัวลงเรียกนายท่านว่า ‘ปรมาจารย์’”

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นได้แต่เบะปากด้วยความดูถูกสุดหัวใจ

คนบ้านนอกนี่มันช่างขี้โม้จนเกินจะสรรหาคำบรรยาย!

แต่พนักงานคนนั้นไม่ได้คิดสนใจสีหน้าของนางใดๆ และพูดขึ้นต่อ “หึๆ ที่แท้พวกเจ้าก็คิดอยากเจอท่านเย่นี่เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็มาถูกที่แล้ว หากเป็นที่อื่นพวกเจ้าคงไม่มีปัญญาจะไปพบท่านได้ แต่ท่านเย่นั้นชอบร้านของเราและจะแวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ อ่า พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านเย่มาถึงแล้ว!”

พนักงานผู้นั้นหันหน้าออกไปมองยังร่างของชายหนุ่มที่เดินมาพร้อมกับคนรับใช้สองคนกำลังค่อยๆ เดินขึ้นบันไดของโรงเตี๊ยมมา

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้หรี่ตามองดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ลากเท้าตามหามานานสองนาน บทจะเจอก็เจอกันอย่างไม่ได้คาดฝัน

เมื่อพนักงานบริกรนั้นเห็นเย่หยวนเดินเข้ามาเขาก็รีบเข้าไปรับหน้าทันทีก่อนจะพาเย่หยวนขึ้นมายังชั้นสอง

“ฮ่าๆ ท่านเย่มาแล้ว ห้องประจำถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่านเชิญทางนี้” พนักงานนั้นยิ้มกว้างบอกนำทางไป

เย่หยวนจึงได้หยิบผลึกปราณเทวะขั้นสูงออกมาโยนให้เขาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ลำบากหน่อยนะ นี่ รับไป”

พนักงานผู้นั้นหัวเราะขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมล้น “ขอบพระคุณนายท่านที่มอบรางวัลให้!”

ในตอนนั้นเองที่แขกบนชั้นสองก็ได้ลุกขึ้นก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง “นายท่าน!”

เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกไล่ด้วยเสียงหัวเราะ “นั่งเถอะๆ เย่ผู้นี้แค่คอแห้งอยากหาอะไรกินเสียหน่อยเท่านั้น”

ทุกผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะและนั่งลง

เรื่องที่ว่าเย่หยวนนั้นสนิทสนมกับชาวเมืองนั้นเป็นเรื่องที่คนเมืองอินทรีสวรรค์ต่างรู้กันดี เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงไม่ได้กลัวเกรงว่าจะไปทำให้เย่หยวนไม่พอใจใดๆ

แต่เวลานี้เป็นทางด้านเย่หยวนที่เหลือบไปเห็นกลุ่มคนทั้งห้าของศิษย์พี่ซุนนางนั้นจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

คนทั้งหลายนี้ปกปิดพลังบ่มเพาะ… และดูท่าจะมีเป้าประสงค์ร้าย?

แต่พวกนางทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้คิดจะให้เวลาเย่หยวนคิดมากมาย กลุ่มคนทั้งห้าได้ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเรียบร้อย

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นลดเสียงลงก่อนจะหันไปถาม “เจ้าเย่หยวน?”

เย่หยวนพยักหน้ารับ “เป็นเย่ผู้นี้เอง”

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้พูดขึ้นมาต่อ “เช่นนั้นเจ้ารู้จักลู่เอ๋อหรือไม่?”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นแน่นอนว่าใบหน้าของเขาจะต้องเปลี่ยนสีไปทันที

เมื่อศิษย์พี่ซุนนางนั้นเห็นสีหน้าของเย่หยวนนางจึงมั่นใจแน่นอนว่าไม่ผิดตัวและสั่งการออกมา “ดูท่าจะถูกตัวแล้ว เหลียนซิน จัดการเสีย”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2065 มันเป็นพวกเจ้าที่ไม่รู้จักโลกหล้า

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2065 มันเป็นพวกเจ้าที่ไม่รู้จักโลกหล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มิติสั่นสะท้านเผยให้เห็นร่างของเด็กสาวเดินแหวกออกมาด้วยคลื่นพลังชีวิตอันหนาแน่น

หญิงสาวที่เดินนำออกมาก่อนนั้นมีชุดสีขาวราวหิมะ แม้ว่านางนั้นจะเป็นสาวงามแต่ก็มีใบหน้าเรียบเฉยพร้อมด้วยคิ้วที่แสดงความดุดัน เรียกได้ว่าเป็นสาวงามที่มีใบหน้าไล่แขกอย่างแท้จริง

คนทั้งหลายนี้เงยหน้าขึ้นมองดูภาพตรงหน้า มันเป็นภาพเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

เด็กสาวอีกคนที่ด้านข้างหญิงสาวชุดขาวนั้นพูดกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ซุน นี่มันเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ศิษย์น้องมันว่าจริงๆ หรือ? ข้าไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิมันจะยิ่งใหญ่ได้ถึงปานนี้!”

เมื่อพูดถึงศิษย์น้องขึ้นมาสีหน้าของนางก็แสดงความดูถูกอย่างเต็มเปี่ยม

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แค่เมืองจักรพรรดิก็วางท่าหรูหรา ผู้ดูแลเมืองนี้มันจะต้องเป็นพวกขี้อวดโม้ตนอย่างแน่นอน คงไม่ได้ส่งส่วยให้เจ้านายตามเรื่องราวแน่ หึ! แค่พูดถึงนังเด็กคนนั้นข้าก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว! หากมิใช่เพราะมันแล้วมีหรือที่ข้าจะต้องลำบากเดินทางจากแดนเหนือเราผ่านเขาแห่งถงเทียนลงมาถึงแดนใต้อันห่างไกลนี้”

ศิษย์น้องผู้นั้นจึงยิ้มตอบกลับมา “นังเด็กคนนั้นมันคิดว่าตนมีกายเทวะหยินล้ำแล้วก็จะดูถูกศิษย์พี่ได้ บุญคุณที่อาจารย์มีต่อมันนั้นหนักล้ำเหนือฟ้าแต่มันกลับไม่คิดตอบแทนใดๆ ทั้งยังถึงขั้นใช้ให้ศิษย์พี่ต้องเดินทางมาจับตัวผู้คนถึงที่นี่! ช่างชั่วช้าจริงๆ! เมื่อใดที่เราจับคนรักของนางได้นั้นเราจะต้องสั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ”

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ ออกมา “มาเถอะ ตอนนี้เข้าเมืองกันก่อนค่อยว่า ก่อนอื่นเราต้องสืบหาเรื่องราวของเด็กคนนั้นมันก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วหากไปตีหญ้าให้งูตื่นก่อนมันจะเสียเรื่องเอา”

คนทั้งหลายนี้จึงได้มุ่งหน้าเดินทางเข้าไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

แต่หลังจากเข้ามาถึงในตัวเมืองแล้วพวกนางทั้งหลายจึงได้สัมผัสว่าแท้จริงแล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเจริญรุ่งเรืองปานใด ดูแล้วมันไม่ด้อยไปกว่าเมืองหลวงจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ ทำให้พวกนางทั้งหลายต้องตื่นตะลึง

หากมองจากแค่จำนวนนักยุทธในเมืองแล้ว เมืองนี้มันคงไม่นับว่าใหญ่โตใดๆ

“ศิษย์พี่ซุน นี่มันเมืองจักรพรรดิจริงๆ หรือ? ทำไมข้าจึงรู้สึกว่ามันเจริญเสียยิ่งกว่าเมืองหลวงจักรพรรดิบางที่อีกเล่า?” ศิษย์น้องนางนั้นมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตะลึงในหัวใจ

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงตอบกลับมาพร้อมขมวดคิ้ว “ที่แห่งนี้มันมีร้านโอสถอยู่มากมายเหลือเกิน ทั้งยังมีนักหลอมโอสถเดินขวักไขว่ ดูราวกับจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถ นังเด็กคนนั้นมันบอกว่าคนรักของมันเป็นนักหลอมโอสถเช่นกัน ดูท่าคงไม่ผิดที่แน่แล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมอยู่ เราเข้าไปสืบสาวเรื่องราวกันเถอะ”

คนทั้งหลายเดินเข้ามายังโรงเตี๊ยมข้างทางนั้นและได้นั่งลงยังโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองของร้าน

เมื่อพนักงานของร้านเดินเข้ามาถึงศิษย์น้องคนนั้นก็กล่าวถามขึ้นทันที “น้องชาย ดูเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเจ้านี้จะมีนักหลอมโอสถมากมายเหลือเกินนะ!”

เมื่อพนักงานผู้นั้นได้ยินเขาก็รีบหันหน้ากลับมาหาด้วยท่าทางภูมิใจ “นายหญิงทั้งหลาย พวกท่านคงเดินทางมาจากดินแดนอื่นแล้ว? หึๆ เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรานั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอันดับหนึ่งของแดนใต้นี้ หากท่านคิดจะมาหาซื้อโอสถแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าท่านมาถูกที่แล้ว”

เมื่อศิษย์น้องหญิงคนนั้นได้ยินนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น

ศิษย์น้องอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “อันดับหนึ่งในแดนใต้? แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ ก็กล้าเอาชื่อนั้นมาใช้หรือ? เมืองของพวกเจ้านี้มันสุดแสนห่างไกลและเจ้าเองก็คงไม่เคยจะได้เห็นโลกกว้างใช่ไหมเล่า?”

คำพูดของนางนั้นมันหมายถึงว่าคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเป็นแค่กบในกะลาไม่รู้จักโลกหล้าที่แท้จริง

เพียงแค่ว่าคำพูดของนางนี้มันกลับทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นรอบๆ โรงเตี๊ยมแทน

“สาวน้อย คนที่ไม่เคยได้เห็นโลกหล้านั้นมันเป็นพวกเจ้ามากกว่าล่ะมั้ง! เจ้าลองไปถามใครดูก็ได้ว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอันดับหนึ่งในแดนใต้หรือไม่ ข้าขอรับประกันเลยว่ามันคือความจริง!”

“ฮ่าๆ ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแต่หากมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหัวลงเดิน!”

“สาวน้อย เวลาจะออกบ้านไปไหนก็ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วพอไปถึงจะกลายเป็นตัวตลกเช่นนี้เอา!”

เสียงหัวเราะทั้งหลายนั้นดังขึ้นรอบด้านจนทำให้คนทั้งหลายนี้แทบควบคุมตัวไม่อยู่

ศิษย์น้องคนนั้นหน้าแดงก่ำจนแทบจะลุกขึ้นตวาดว่าแต่ศิษย์พี่ซุนกลับห้ามนางไว้ด้วยเสียงกระแอมเสียก่อน

ศิษย์พี่ซุนนั้นหันไปถามพนักงานบริกร “น้องชายท่านนี้ ในเมื่อเจ้าว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถแล้ว เจ้าพอจะรู้จักเด็กหนุ่มนามเย่หยวนหรือไม่?”

และระหว่างที่พนักงานผู้นั้นยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร ศิษย์พี่ซุนนางนั้นก็ได้กล่าวขึ้นเสริม “ได้ยินว่าอายุของเขาน่าจะยังไม่มาก และมีวิชาโอสถที่… พอใช้ได้”

เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบลงทันทีพร้อมด้วยสีหน้าแปลกๆ ของคนทั้งหลาย

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในพริบตา หรือว่าตัวนางจะไปพูดถึงเรื่องต้องห้ามใดเข้าแล้ว?

แต่นางเองก็ไม่ได้คิดใส่ใจใดๆ มากมาย แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ ต่อให้จะมีข้อห้ามใดแล้วพวกนางจะเกรงกลัวหรือ?

“ทำไมเล่า? ข้านั้นพูดอะไรผิดไปหรือ?” ศิษย์พี่ซุนนางนั้นถามขึ้น

พนักงานคนนั้นจึงตอบกลับมาด้วยใบหน้าแปลกประหลาด “ไม่ใช่หรอก แค่ว่า… หากท่านเย่นั้นมีฝีมือแค่พอใช้แล้ว เช่นนั้นผู้คนที่เรียกตนว่านักหลอมโอสถทั้งแผ่นดินคงต้องได้เอาหัวไปโขกเต้าหู้ตายแน่”

“โอ้? เช่นนั้นหรือ เขาเก่งกาจมาก?” ศิษย์พี่ซุนนั้นไม่คิดสนใจใดๆ และเริ่มถามหาข้อมูลต่อ

เพราะนางนั้นได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนในเมืองนี้มันได้มีนิสัยโอ้อวดเป็นพื้นฐานกันสิ้นเพราะพวกเขานั้นอยู่หลังเขาไกลปืนเที่ยงจนเกินไป

พวกเขานั้นคิดว่าตนเองเหนือล้ำผู้คนทั้งโลกหล้าเพียงเพราะว่าเป็นเมืองที่รวบรวมนักหลอมโอสถบ้านนอกไว้

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยจริงๆ!

นางเองก็เคยได้ยินชื่อของอันดับหนึ่งแห่งวงการโอสถในแดนใต้มาก่อน และผู้ที่เก่งกาจที่สุดมันย่อมจะเป็นเทพสวรรค์ดันหยู่ทั้งยังเป็นผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกหกดินแดน

มีหรือที่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ นี้จะก้าวล้ำดินแดนยิ่งใหญ่ปานนั้นได้?

พนักงานผู้นั้นจึงได้ยิ้มออกมา “เก่งกาจ? หึๆ มันมากกว่าคำว่าเก่งกาจอีก! ข้าขอบอกเลยนะว่าต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวมาเอง พวกเขาก็ยังต้องก้มหัวลงเรียกนายท่านว่า ‘ปรมาจารย์’”

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นได้แต่เบะปากด้วยความดูถูกสุดหัวใจ

คนบ้านนอกนี่มันช่างขี้โม้จนเกินจะสรรหาคำบรรยาย!

แต่พนักงานคนนั้นไม่ได้คิดสนใจสีหน้าของนางใดๆ และพูดขึ้นต่อ “หึๆ ที่แท้พวกเจ้าก็คิดอยากเจอท่านเย่นี่เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็มาถูกที่แล้ว หากเป็นที่อื่นพวกเจ้าคงไม่มีปัญญาจะไปพบท่านได้ แต่ท่านเย่นั้นชอบร้านของเราและจะแวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ อ่า พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านเย่มาถึงแล้ว!”

พนักงานผู้นั้นหันหน้าออกไปมองยังร่างของชายหนุ่มที่เดินมาพร้อมกับคนรับใช้สองคนกำลังค่อยๆ เดินขึ้นบันไดของโรงเตี๊ยมมา

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้หรี่ตามองดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ลากเท้าตามหามานานสองนาน บทจะเจอก็เจอกันอย่างไม่ได้คาดฝัน

เมื่อพนักงานบริกรนั้นเห็นเย่หยวนเดินเข้ามาเขาก็รีบเข้าไปรับหน้าทันทีก่อนจะพาเย่หยวนขึ้นมายังชั้นสอง

“ฮ่าๆ ท่านเย่มาแล้ว ห้องประจำถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่านเชิญทางนี้” พนักงานนั้นยิ้มกว้างบอกนำทางไป

เย่หยวนจึงได้หยิบผลึกปราณเทวะขั้นสูงออกมาโยนให้เขาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ลำบากหน่อยนะ นี่ รับไป”

พนักงานผู้นั้นหัวเราะขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมล้น “ขอบพระคุณนายท่านที่มอบรางวัลให้!”

ในตอนนั้นเองที่แขกบนชั้นสองก็ได้ลุกขึ้นก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง “นายท่าน!”

เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกไล่ด้วยเสียงหัวเราะ “นั่งเถอะๆ เย่ผู้นี้แค่คอแห้งอยากหาอะไรกินเสียหน่อยเท่านั้น”

ทุกผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะและนั่งลง

เรื่องที่ว่าเย่หยวนนั้นสนิทสนมกับชาวเมืองนั้นเป็นเรื่องที่คนเมืองอินทรีสวรรค์ต่างรู้กันดี เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงไม่ได้กลัวเกรงว่าจะไปทำให้เย่หยวนไม่พอใจใดๆ

แต่เวลานี้เป็นทางด้านเย่หยวนที่เหลือบไปเห็นกลุ่มคนทั้งห้าของศิษย์พี่ซุนนางนั้นจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

คนทั้งหลายนี้ปกปิดพลังบ่มเพาะ… และดูท่าจะมีเป้าประสงค์ร้าย?

แต่พวกนางทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้คิดจะให้เวลาเย่หยวนคิดมากมาย กลุ่มคนทั้งห้าได้ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเรียบร้อย

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นลดเสียงลงก่อนจะหันไปถาม “เจ้าเย่หยวน?”

เย่หยวนพยักหน้ารับ “เป็นเย่ผู้นี้เอง”

ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้พูดขึ้นมาต่อ “เช่นนั้นเจ้ารู้จักลู่เอ๋อหรือไม่?”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นแน่นอนว่าใบหน้าของเขาจะต้องเปลี่ยนสีไปทันที

เมื่อศิษย์พี่ซุนนางนั้นเห็นสีหน้าของเย่หยวนนางจึงมั่นใจแน่นอนว่าไม่ผิดตัวและสั่งการออกมา “ดูท่าจะถูกตัวแล้ว เหลียนซิน จัดการเสีย”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+