Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2302 บทสนทนากับบรรพกาล

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2302 บทสนทนากับบรรพกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในโถงใหญ่นั้นมันมีชายแก่ผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวค่อยๆ เดินลงจากบัลลังก์สูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่หยวน

จากนั้นเขาก็ผายมือเชิญเย่หยวนลงนั่งที่โต๊ะรับแขก “รองมหาปราชญ์เชิญนั่ง”

เย่หยวนพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้านและแขกตรงข้ามกัน

ศิษย์ทั้งหลายต่างมึนงงกับการกระทำของอาจารย์ตนมาก!

อาจารย์ของพวกเขานั้นมีตัวตนสูงส่งระดับใด? นอกจากเหล่าเฒ่าทั้งหลายด้วยกันแล้วมันจะมีใครที่มานั่งลงในระดับเดียวกับอาจารย์พวกเขาได้?

“รองมหาปราชญ์นั้นคงตรัสรู้ในเต๋าแล้ว?” บรรพกาลเฟิงหลินถามขึ้น

แม้ว่ามันจะเป็นคำถาม แต่แท้จริงตัวเขาย่อมจะมีคำตอบอยู่ในใจมาแต่แรก

ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยตำแหน่งของเขานั้นมีหรือที่เขาจะมานั่งลงในระดับเดียวกับเย่หยวนเหมือนเป็นคนระดับเดียวกัน?

“ข้านั้นพอจะตรัสรู้ได้บ้าง บรรพกาลเฟิงหลินจะให้เกียรติสั่งสอนข้าสักหน่อยหรือไม่?” เย่หยวนถามขึ้น

“ไม่หรอก เมื่อขึ้นมาถึงระดับของพวกเรานี้แล้ว มันไม่ควรจะลงมือกันง่ายๆ อย่างแรกเลยคือสมุนไพรทั้งหลายนั้นมันหาได้ยาก อย่างที่สองคือตำแหน่งของเรานี้” บรรพกาลเฟิงหลินปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน

“หากบรรพกาลเป็นกันเช่นนั้นมันก็คงเป็นการยากต่อเย่ผู้นี้แล้ว” เย่หยวนส่ายหัวออกมา

“หึๆ เฒ่าผู้นี้รู้ดีว่ารองมหาปราชญ์มีเป้าหมายอื่น แต่การปะทะกับคนผู้นั้นมันมิใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เรื่องนี้ท่านน่าจะเข้าใจ” บรรพกาลเฟิงหลินกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ

“เย่ผู้นี้ย่อมเข้าใจ แต่ว่า… เย่ผู้นี้ไม่มีอะไรต้องกลัว” เย่หยวนยิ้มตอบ

บรรพกาลเฟิงหลินนั้นส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “อย่างที่เขาว่ากันว่าวัวน้อยนั้นไม่รู้จักกลัวเสือร้าย! เว้นเสียแต่ว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเฒ่าผู้นี้ได้ และมิใช่แค่ตัวเฒ่าผู้นี้ แต่คนอื่นๆ เองก็คงไม่ติดกับนั้นง่ายๆ แล้ว”

เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เช่นนั้นมันก็น่าเสียดายจริงๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนั้นมันฟังดูมึนงงลึกลับแต่ศิษย์ทั้งหลายของบรรพกาลเฟิงหลินนั้นเข้าใจสิ้น

ข้อมูลตรงหน้านี้มันสุดแสนยิ่งใหญ่!

อย่างแรกคือเย่หยวนนั้นขึ้นไปถึงระดับของโอสถเต๋าแล้ว!

อย่างที่สองคือเย่หยวนคิดท้าทายโอสถบรรพกาล!

อย่างที่สามคืออาจารย์พวกเขานั้นไม่คิดจะต่อสู้ประลองกับเย่หยวน!

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนมันก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เขย่าฟ้าดินได้

บรรพกาลเฟิงหลินนั้นไม่ยอมประลองกับเย่หยวน มันเป็นเพราะว่าไม่ว่าเขาจะชนะหรือไม่ มันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ใดๆ ให้แก่ตัวเขา

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาเองก็อยู่มาจนเฒ่าปานนี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมาใช้ประโยชน์เปล่าๆ เช่นนี้?

เดิมทีนั้นเขายังไม่รู้ถึงฝีมือของเย่หยวนจึงยังไม่ได้สนใจมากมาย แต่เวลานี้เขาได้รู้แล้วจึงไม่ยอมที่จะให้คนอื่นมาชิงเอาผลประโยชน์ชักจูงเรื่องราว

หากเขาก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนในเวลานี้ มันยังพอจะอ้างต่อผู้คนได้ว่าเพราะเขาเคารพต่อมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

แต่หากประลองกันไปแล้วแม้จะชนะได้แต่มันก็จะพิสูจน์ให้คนทั้งหลายได้รู้ว่าเย่หยวนนี้ขึ้นมาถึงระดับโอสถเต๋า ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ง่ายๆ

และหากแพ้… มันก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความฉิบหายที่จะตามมาเลย

จางจื้อหลิงและศิษย์ทั้งหลายนั้นต่างต้องอ้าปากค้างไม่อาจจะกลับมาตั้งสติได้นานสองนาน

ตรัสรู้ในเต๋า!

แล้วเต๋าใดที่เย่หยวนตรัสรู้?

พวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ใช่คนโง่เง่า มีหรือที่จะเดาไม่ออก?

เย่หยวนนั้นตรัสรู้ในเต๋าโอสถขึ้นถึงระดับของต้นกำเนิดเต๋า อยู่ในระดับของโอสถเต๋า เขานั้นคือยอดฝีมือในระดับเดียวกับอาจารย์ของพวกเขาทั้งหลายไปแล้ว!

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

เจ้าหมอนี่มันยังเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแต่กลับยืนอยู่บนจุดสุดยอดของโลกหล้า ขึ้นอยู่ในระดับบรรพกาลได้!

เรื่องราวเช่นนั้น ต่อให้จะอยากเชื่อแค่ไหนพวกเขาก็ไม่อาจทำใจเชื่อลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวจางจื้อหลิงที่เขาได้ยืนติดอยู่บนจุดนี้มานานนับล้านๆ ปีแต่ก็ยังไม่อาจจะก้าวขึ้นไปได้

ยอดคนระดับเขานี้คือผู้ที่เข้าใจถึงความยากของก้าวย่างนี้อย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้เขาค่อยๆ รอคอยให้วันหนึ่งนั้นจะมาถึง

แต่วันนี้เรื่องราวมันกลับไม่เป็นเหมือนก่อน!

เพราะเด็กหนุ่มที่ออกตัวก้าวช้ากว่าเขาไปนับล้านๆ ไปคนหนึ่งกลับเดินนำหน้าผ่านเขาขึ้นไปถกเต๋ากับอาจารย์ของเขาได้

เรื่องราวนี้มันเกินกว่าที่จะรับไหว

เย่หยวนเอาชนะจู้เทียนเซียงได้มันมิใช่เรื่องแปลกเพราะเขานั้นเป็นถึงรองมหาปราชญ์

เย่หยวนเองชนะกู่ยู่หลงได้มันก็มิใช่เรื่องแปลก เพราะจะอย่างไรเขานี้ก็เป็นถึงรองมหาปราชญ์

ต่อให้เย่หยวนจะเอาชนะจางจื้อหลิงมาได้ มันก็ยังมิใช่เรื่องแปลกมากมายเพราะเขานี้เป็นถึงรองมหาปราชญ์!

แต่เขานั้นก้าวผ่านจุดนั้นไปได้อย่างไร?

โอสถเต๋า!

นี่มันคืออาณาจักรระดับที่นักหลอมโอสถทุกผู้คนต่างเฝ้าฝันแต่ไม่มีใครจะก้าวไปถึงได้

มันคือระดับที่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเรียนรู้สักเท่าใด จะดิ้นรนสักแค่ไหนมันก็ไม่อาจจะไปถึงได้

แต่เจ้าหนุ่มอายุไม่กี่พันปีนี้กลับก้าวขึ้นไปได้!

ในเวลานั้นเองมันก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งพุ่งตัวเข้ามาในโถงใหญ่

“อาจารย์ มันเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ท-ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”

จู้เทียนเซียงนั้นรีบวิ่งเข้ามาถามก่อนจะเห็นว่าเย่หยวนกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์ของเขาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านไปอย่างไม่อาจห้าม

เย่หยวนขึ้นเขามานี้ มิใช่ว่าเขาคงแพ้ให้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหรือ?

เช่นนั้น… เขามานั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์เขาได้อย่างไร?

เมื่อจู้เทียนเซียงหันไปมองเหล่าศิษย์ที่ทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบๆ เขาก็พบว่าศิษย์พี่ทั้งหลายกำลังทำหน้าตาเศร้าหมองราวกับได้เสียบิดามารดาไป

ท่าทางของพวกเขานี้มันเหมือนได้พบเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันมาตลอดชีวิต

แต่ระหว่างที่ตัวจู้เทียนเซียงนั้นยังสงสัยไม่หาย เขาก็ได้ยินเสียงของบรรพกาลเฟิงหลินร้องสั่ง “เจ้าเด็กไม่รักดี ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป! ทำไมยังไม่มาก้มกราบขอโทษรองมหาปราชญ์อีก!”

จู้เทียนเซียงนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะกล่าวถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อหูตัวเอง “อาจารย์ ท่านจะให้ข้าไปก้มหัวขอโทษเจ้าเด็กคนนี้มันหรือ? น-นี่มันจะไม่เป็นการเสียเกียรติท่านหรือ?”

จู้เทียนเซียงนั้นเป็นยอดคนมากพรสวรรค์ที่บรรพกาลเฟิงหลินรักตามใจอย่างมาก

กฎมากมายที่มีนั้นหลายครั้งหลายคราเขาก็จะทำเป็นไม่เป็นมันไป

มันจึงได้สะสมกลายเป็นนิสัยของจู้เทียนเซียงมาจนทุกวันนี้

บรรพกาลเฟิงหลินหรี่ตาลงถามขึ้น “ทำไมหรือ? นี่คำพูดของอาจารย์มันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว? หรือว่าเจ้าพร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว?”

จู้เทียนเซียงนั้นหน้าซีดขาวลงทันที เป็นเวลานี้ที่เองที่เขาได้รู้ว่าอาจารย์ของตนนั้นจริงจังเพียงแค่ใด

ได้ยินคำพูดทั้งหลายนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าหากไม่ก้มหัวขอโทษในเวลานี้ เขาจะต้องถูกไล่ออกจากสำนัก

ตุบ!

จู้เทียนเซียงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับ

“อาจารย์ ข้ารับไม่ได้! เขา… มีค่าใด?” จู้เทียนเซียงยังคงพยายามเถียง

“โอหัง! รองมหาปราชญ์นั้นคือตัวตนในรุ่นเดียวกับอาจารย์ เจ้านั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อหน้าเขา! การคุกเข่าขอโทษนี้ผิดมากหรือ? ที่สำคัญเจ้านี่โง่โดนผู้คนหลอกใช้งานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทั้งยังคิดจะเอาไฟนั้นลามมาติดหัวอาจารย์! เท่านี้ทั้งเขาเมฆาคิมหันต์มันก็คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดิน เจ้าพอใจหรือยังเล่า?” บรรพกาลเฟิงหลินร้องลั่นขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

จู้เทียนเซียงนั้นยังคงไม่คิดยอมรับแต่ก็ได้ยินเสียงของจางจื้อหลิงกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้เถียงอีกเลย! รองมหาปราชญ์นั้นตรัสรู้บรรลุในเต๋าโอสถจนขึ้นเป็นตัวตนระดับบรรพกาลเช่นเดียวกับอาจารย์แล้ว การคุกเข่ากราบของเจ้านี้มันไม่ได้เป็นการเสียเกียรติใด!”

“หะ?! เขา… เขานี้… ไม่มีทางน่า!” จู้เทียนเซียงสั่นสะท้านไปทั้งกายอย่างไม่อาจห้ามสายตาที่มองดูเย่หยวนมันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว

เย่หยวนจึงได้กล่าวขึ้น “ข้านั้นให้โอกาสเจ้าก่อนหน้า เดิมทีก็คิดว่าจะให้มันจบแค่ที่การขอโทษ เวลานี้… มันคงไม่จบลงง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”

บรรพกาลเฟิงหลิงที่ได้ยินก็ต้องขมวดคิ้วแน่น เพราะเมื่อเย่หยวนเป็นตัวตนระดับบรรพกาลแล้วมันก็ย่อมจะไม่มีทางที่เรื่องราวนี้จะจบลงได้ง่ายๆ

เช่นนั้นแล้วหากเย่หยวนยังคิดท้าทายตัวเขาต่อ เขาเองก็คงมีแต่ต้องรับคำท้าทายนั้น

ถึงเวลานั้นเขาเมฆาคิมหันต์คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริงแล้ว

หากจู้เทียนเซียงยอมขอโทษลงแต่แรกเย่หยวนก็คงไม่มีอะไรจะอ้าง ถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่สามารถไปพูดอะไรในโลกภายนอกได้อีก

แค่คำพูดไม่กี่คำนี้บรรพกาลเฟิงหลิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าตัวเย่หยวนนี้ฉลาดเฉียบคมปานใด มันมิใช่แค่ท่าทางของคนหนุ่มหัวร้อนอารมณ์รุนแรงเลย

กลับกัน ตัวเขานี้กลับทั้งฉลาดและมากเล่ห์เสียยิ่งกว่าศิษย์ทั้งหลายของเขา!

แน่นอนว่าคนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มีหรือที่จะเป็นคนโง่ได้?

จากนั้นจู่ๆ มิติโดยรอบมันก็บิดเบี้ยวปรากฏร่างของผู้คนค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในโถงใหญ่หลายต่อหลายคน

เมื่อได้เห็นผู้มาถึงนั้นสีหน้าของจู้เทียนเซียงก็ต้องเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง!

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2302 บทสนทนากับบรรพกาล

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2302 บทสนทนากับบรรพกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในโถงใหญ่นั้นมันมีชายแก่ผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวค่อยๆ เดินลงจากบัลลังก์สูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่หยวน

จากนั้นเขาก็ผายมือเชิญเย่หยวนลงนั่งที่โต๊ะรับแขก “รองมหาปราชญ์เชิญนั่ง”

เย่หยวนพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้านและแขกตรงข้ามกัน

ศิษย์ทั้งหลายต่างมึนงงกับการกระทำของอาจารย์ตนมาก!

อาจารย์ของพวกเขานั้นมีตัวตนสูงส่งระดับใด? นอกจากเหล่าเฒ่าทั้งหลายด้วยกันแล้วมันจะมีใครที่มานั่งลงในระดับเดียวกับอาจารย์พวกเขาได้?

“รองมหาปราชญ์นั้นคงตรัสรู้ในเต๋าแล้ว?” บรรพกาลเฟิงหลินถามขึ้น

แม้ว่ามันจะเป็นคำถาม แต่แท้จริงตัวเขาย่อมจะมีคำตอบอยู่ในใจมาแต่แรก

ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยตำแหน่งของเขานั้นมีหรือที่เขาจะมานั่งลงในระดับเดียวกับเย่หยวนเหมือนเป็นคนระดับเดียวกัน?

“ข้านั้นพอจะตรัสรู้ได้บ้าง บรรพกาลเฟิงหลินจะให้เกียรติสั่งสอนข้าสักหน่อยหรือไม่?” เย่หยวนถามขึ้น

“ไม่หรอก เมื่อขึ้นมาถึงระดับของพวกเรานี้แล้ว มันไม่ควรจะลงมือกันง่ายๆ อย่างแรกเลยคือสมุนไพรทั้งหลายนั้นมันหาได้ยาก อย่างที่สองคือตำแหน่งของเรานี้” บรรพกาลเฟิงหลินปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน

“หากบรรพกาลเป็นกันเช่นนั้นมันก็คงเป็นการยากต่อเย่ผู้นี้แล้ว” เย่หยวนส่ายหัวออกมา

“หึๆ เฒ่าผู้นี้รู้ดีว่ารองมหาปราชญ์มีเป้าหมายอื่น แต่การปะทะกับคนผู้นั้นมันมิใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เรื่องนี้ท่านน่าจะเข้าใจ” บรรพกาลเฟิงหลินกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ

“เย่ผู้นี้ย่อมเข้าใจ แต่ว่า… เย่ผู้นี้ไม่มีอะไรต้องกลัว” เย่หยวนยิ้มตอบ

บรรพกาลเฟิงหลินนั้นส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “อย่างที่เขาว่ากันว่าวัวน้อยนั้นไม่รู้จักกลัวเสือร้าย! เว้นเสียแต่ว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเฒ่าผู้นี้ได้ และมิใช่แค่ตัวเฒ่าผู้นี้ แต่คนอื่นๆ เองก็คงไม่ติดกับนั้นง่ายๆ แล้ว”

เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เช่นนั้นมันก็น่าเสียดายจริงๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนั้นมันฟังดูมึนงงลึกลับแต่ศิษย์ทั้งหลายของบรรพกาลเฟิงหลินนั้นเข้าใจสิ้น

ข้อมูลตรงหน้านี้มันสุดแสนยิ่งใหญ่!

อย่างแรกคือเย่หยวนนั้นขึ้นไปถึงระดับของโอสถเต๋าแล้ว!

อย่างที่สองคือเย่หยวนคิดท้าทายโอสถบรรพกาล!

อย่างที่สามคืออาจารย์พวกเขานั้นไม่คิดจะต่อสู้ประลองกับเย่หยวน!

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนมันก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เขย่าฟ้าดินได้

บรรพกาลเฟิงหลินนั้นไม่ยอมประลองกับเย่หยวน มันเป็นเพราะว่าไม่ว่าเขาจะชนะหรือไม่ มันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ใดๆ ให้แก่ตัวเขา

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาเองก็อยู่มาจนเฒ่าปานนี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมาใช้ประโยชน์เปล่าๆ เช่นนี้?

เดิมทีนั้นเขายังไม่รู้ถึงฝีมือของเย่หยวนจึงยังไม่ได้สนใจมากมาย แต่เวลานี้เขาได้รู้แล้วจึงไม่ยอมที่จะให้คนอื่นมาชิงเอาผลประโยชน์ชักจูงเรื่องราว

หากเขาก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนในเวลานี้ มันยังพอจะอ้างต่อผู้คนได้ว่าเพราะเขาเคารพต่อมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

แต่หากประลองกันไปแล้วแม้จะชนะได้แต่มันก็จะพิสูจน์ให้คนทั้งหลายได้รู้ว่าเย่หยวนนี้ขึ้นมาถึงระดับโอสถเต๋า ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ง่ายๆ

และหากแพ้… มันก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความฉิบหายที่จะตามมาเลย

จางจื้อหลิงและศิษย์ทั้งหลายนั้นต่างต้องอ้าปากค้างไม่อาจจะกลับมาตั้งสติได้นานสองนาน

ตรัสรู้ในเต๋า!

แล้วเต๋าใดที่เย่หยวนตรัสรู้?

พวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ใช่คนโง่เง่า มีหรือที่จะเดาไม่ออก?

เย่หยวนนั้นตรัสรู้ในเต๋าโอสถขึ้นถึงระดับของต้นกำเนิดเต๋า อยู่ในระดับของโอสถเต๋า เขานั้นคือยอดฝีมือในระดับเดียวกับอาจารย์ของพวกเขาทั้งหลายไปแล้ว!

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

เจ้าหมอนี่มันยังเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแต่กลับยืนอยู่บนจุดสุดยอดของโลกหล้า ขึ้นอยู่ในระดับบรรพกาลได้!

เรื่องราวเช่นนั้น ต่อให้จะอยากเชื่อแค่ไหนพวกเขาก็ไม่อาจทำใจเชื่อลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวจางจื้อหลิงที่เขาได้ยืนติดอยู่บนจุดนี้มานานนับล้านๆ ปีแต่ก็ยังไม่อาจจะก้าวขึ้นไปได้

ยอดคนระดับเขานี้คือผู้ที่เข้าใจถึงความยากของก้าวย่างนี้อย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้เขาค่อยๆ รอคอยให้วันหนึ่งนั้นจะมาถึง

แต่วันนี้เรื่องราวมันกลับไม่เป็นเหมือนก่อน!

เพราะเด็กหนุ่มที่ออกตัวก้าวช้ากว่าเขาไปนับล้านๆ ไปคนหนึ่งกลับเดินนำหน้าผ่านเขาขึ้นไปถกเต๋ากับอาจารย์ของเขาได้

เรื่องราวนี้มันเกินกว่าที่จะรับไหว

เย่หยวนเอาชนะจู้เทียนเซียงได้มันมิใช่เรื่องแปลกเพราะเขานั้นเป็นถึงรองมหาปราชญ์

เย่หยวนเองชนะกู่ยู่หลงได้มันก็มิใช่เรื่องแปลก เพราะจะอย่างไรเขานี้ก็เป็นถึงรองมหาปราชญ์

ต่อให้เย่หยวนจะเอาชนะจางจื้อหลิงมาได้ มันก็ยังมิใช่เรื่องแปลกมากมายเพราะเขานี้เป็นถึงรองมหาปราชญ์!

แต่เขานั้นก้าวผ่านจุดนั้นไปได้อย่างไร?

โอสถเต๋า!

นี่มันคืออาณาจักรระดับที่นักหลอมโอสถทุกผู้คนต่างเฝ้าฝันแต่ไม่มีใครจะก้าวไปถึงได้

มันคือระดับที่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเรียนรู้สักเท่าใด จะดิ้นรนสักแค่ไหนมันก็ไม่อาจจะไปถึงได้

แต่เจ้าหนุ่มอายุไม่กี่พันปีนี้กลับก้าวขึ้นไปได้!

ในเวลานั้นเองมันก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งพุ่งตัวเข้ามาในโถงใหญ่

“อาจารย์ มันเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ท-ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”

จู้เทียนเซียงนั้นรีบวิ่งเข้ามาถามก่อนจะเห็นว่าเย่หยวนกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์ของเขาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านไปอย่างไม่อาจห้าม

เย่หยวนขึ้นเขามานี้ มิใช่ว่าเขาคงแพ้ให้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหรือ?

เช่นนั้น… เขามานั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์เขาได้อย่างไร?

เมื่อจู้เทียนเซียงหันไปมองเหล่าศิษย์ที่ทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบๆ เขาก็พบว่าศิษย์พี่ทั้งหลายกำลังทำหน้าตาเศร้าหมองราวกับได้เสียบิดามารดาไป

ท่าทางของพวกเขานี้มันเหมือนได้พบเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันมาตลอดชีวิต

แต่ระหว่างที่ตัวจู้เทียนเซียงนั้นยังสงสัยไม่หาย เขาก็ได้ยินเสียงของบรรพกาลเฟิงหลินร้องสั่ง “เจ้าเด็กไม่รักดี ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป! ทำไมยังไม่มาก้มกราบขอโทษรองมหาปราชญ์อีก!”

จู้เทียนเซียงนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะกล่าวถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อหูตัวเอง “อาจารย์ ท่านจะให้ข้าไปก้มหัวขอโทษเจ้าเด็กคนนี้มันหรือ? น-นี่มันจะไม่เป็นการเสียเกียรติท่านหรือ?”

จู้เทียนเซียงนั้นเป็นยอดคนมากพรสวรรค์ที่บรรพกาลเฟิงหลินรักตามใจอย่างมาก

กฎมากมายที่มีนั้นหลายครั้งหลายคราเขาก็จะทำเป็นไม่เป็นมันไป

มันจึงได้สะสมกลายเป็นนิสัยของจู้เทียนเซียงมาจนทุกวันนี้

บรรพกาลเฟิงหลินหรี่ตาลงถามขึ้น “ทำไมหรือ? นี่คำพูดของอาจารย์มันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว? หรือว่าเจ้าพร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว?”

จู้เทียนเซียงนั้นหน้าซีดขาวลงทันที เป็นเวลานี้ที่เองที่เขาได้รู้ว่าอาจารย์ของตนนั้นจริงจังเพียงแค่ใด

ได้ยินคำพูดทั้งหลายนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าหากไม่ก้มหัวขอโทษในเวลานี้ เขาจะต้องถูกไล่ออกจากสำนัก

ตุบ!

จู้เทียนเซียงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับ

“อาจารย์ ข้ารับไม่ได้! เขา… มีค่าใด?” จู้เทียนเซียงยังคงพยายามเถียง

“โอหัง! รองมหาปราชญ์นั้นคือตัวตนในรุ่นเดียวกับอาจารย์ เจ้านั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อหน้าเขา! การคุกเข่าขอโทษนี้ผิดมากหรือ? ที่สำคัญเจ้านี่โง่โดนผู้คนหลอกใช้งานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทั้งยังคิดจะเอาไฟนั้นลามมาติดหัวอาจารย์! เท่านี้ทั้งเขาเมฆาคิมหันต์มันก็คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดิน เจ้าพอใจหรือยังเล่า?” บรรพกาลเฟิงหลินร้องลั่นขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

จู้เทียนเซียงนั้นยังคงไม่คิดยอมรับแต่ก็ได้ยินเสียงของจางจื้อหลิงกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้เถียงอีกเลย! รองมหาปราชญ์นั้นตรัสรู้บรรลุในเต๋าโอสถจนขึ้นเป็นตัวตนระดับบรรพกาลเช่นเดียวกับอาจารย์แล้ว การคุกเข่ากราบของเจ้านี้มันไม่ได้เป็นการเสียเกียรติใด!”

“หะ?! เขา… เขานี้… ไม่มีทางน่า!” จู้เทียนเซียงสั่นสะท้านไปทั้งกายอย่างไม่อาจห้ามสายตาที่มองดูเย่หยวนมันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว

เย่หยวนจึงได้กล่าวขึ้น “ข้านั้นให้โอกาสเจ้าก่อนหน้า เดิมทีก็คิดว่าจะให้มันจบแค่ที่การขอโทษ เวลานี้… มันคงไม่จบลงง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”

บรรพกาลเฟิงหลิงที่ได้ยินก็ต้องขมวดคิ้วแน่น เพราะเมื่อเย่หยวนเป็นตัวตนระดับบรรพกาลแล้วมันก็ย่อมจะไม่มีทางที่เรื่องราวนี้จะจบลงได้ง่ายๆ

เช่นนั้นแล้วหากเย่หยวนยังคิดท้าทายตัวเขาต่อ เขาเองก็คงมีแต่ต้องรับคำท้าทายนั้น

ถึงเวลานั้นเขาเมฆาคิมหันต์คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริงแล้ว

หากจู้เทียนเซียงยอมขอโทษลงแต่แรกเย่หยวนก็คงไม่มีอะไรจะอ้าง ถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่สามารถไปพูดอะไรในโลกภายนอกได้อีก

แค่คำพูดไม่กี่คำนี้บรรพกาลเฟิงหลิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าตัวเย่หยวนนี้ฉลาดเฉียบคมปานใด มันมิใช่แค่ท่าทางของคนหนุ่มหัวร้อนอารมณ์รุนแรงเลย

กลับกัน ตัวเขานี้กลับทั้งฉลาดและมากเล่ห์เสียยิ่งกว่าศิษย์ทั้งหลายของเขา!

แน่นอนว่าคนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มีหรือที่จะเป็นคนโง่ได้?

จากนั้นจู่ๆ มิติโดยรอบมันก็บิดเบี้ยวปรากฏร่างของผู้คนค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในโถงใหญ่หลายต่อหลายคน

เมื่อได้เห็นผู้มาถึงนั้นสีหน้าของจู้เทียนเซียงก็ต้องเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง!

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2302 บทสนทนากับบรรพกาล

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2302 บทสนทนากับบรรพกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในโถงใหญ่นั้นมันมีชายแก่ผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวค่อยๆ เดินลงจากบัลลังก์สูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่หยวน จากนั้นเขาก็ผายมือเชิญเย่หยวนลงนั่งที่โต๊ะรับแขก “รองมหาปราชญ์เชิญนั่ง” เย่หยวนพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้านและแขกตรงข้ามกัน ศิษย์ทั้งหลายต่างมึนงงกับการกระทำของอาจารย์ตนมาก! อาจารย์ของพวกเขานั้นมีตัวตนสูงส่งระดับใด? นอกจากเหล่าเฒ่าทั้งหลายด้วยกันแล้วมันจะมีใครที่มานั่งลงในระดับเดียวกับอาจารย์พวกเขาได้? “รองมหาปราชญ์นั้นคงตรัสรู้ในเต๋าแล้ว?” บรรพกาลเฟิงหลินถามขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นคำถาม แต่แท้จริงตัวเขาย่อมจะมีคำตอบอยู่ในใจมาแต่แรก ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยตำแหน่งของเขานั้นมีหรือที่เขาจะมานั่งลงในระดับเดียวกับเย่หยวนเหมือนเป็นคนระดับเดียวกัน? “ข้านั้นพอจะตรัสรู้ได้บ้าง บรรพกาลเฟิงหลินจะให้เกียรติสั่งสอนข้าสักหน่อยหรือไม่?” เย่หยวนถามขึ้น “ไม่หรอก เมื่อขึ้นมาถึงระดับของพวกเรานี้แล้ว มันไม่ควรจะลงมือกันง่ายๆ อย่างแรกเลยคือสมุนไพรทั้งหลายนั้นมันหาได้ยาก อย่างที่สองคือตำแหน่งของเรานี้” บรรพกาลเฟิงหลินปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน “หากบรรพกาลเป็นกันเช่นนั้นมันก็คงเป็นการยากต่อเย่ผู้นี้แล้ว” เย่หยวนส่ายหัวออกมา “หึๆ เฒ่าผู้นี้รู้ดีว่ารองมหาปราชญ์มีเป้าหมายอื่น แต่การปะทะกับคนผู้นั้นมันมิใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เรื่องนี้ท่านน่าจะเข้าใจ” บรรพกาลเฟิงหลินกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “เย่ผู้นี้ย่อมเข้าใจ แต่ว่า… เย่ผู้นี้ไม่มีอะไรต้องกลัว” เย่หยวนยิ้มตอบ บรรพกาลเฟิงหลินนั้นส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “อย่างที่เขาว่ากันว่าวัวน้อยนั้นไม่รู้จักกลัวเสือร้าย! เว้นเสียแต่ว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเฒ่าผู้นี้ได้ และมิใช่แค่ตัวเฒ่าผู้นี้ แต่คนอื่นๆ เองก็คงไม่ติดกับนั้นง่ายๆ แล้ว” เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เช่นนั้นมันก็น่าเสียดายจริงๆ!” คำพูดของคนทั้งสองนั้นมันฟังดูมึนงงลึกลับแต่ศิษย์ทั้งหลายของบรรพกาลเฟิงหลินนั้นเข้าใจสิ้น ข้อมูลตรงหน้านี้มันสุดแสนยิ่งใหญ่! อย่างแรกคือเย่หยวนนั้นขึ้นไปถึงระดับของโอสถเต๋าแล้ว! อย่างที่สองคือเย่หยวนคิดท้าทายโอสถบรรพกาล! อย่างที่สามคืออาจารย์พวกเขานั้นไม่คิดจะต่อสู้ประลองกับเย่หยวน! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนมันก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เขย่าฟ้าดินได้ บรรพกาลเฟิงหลินนั้นไม่ยอมประลองกับเย่หยวน มันเป็นเพราะว่าไม่ว่าเขาจะชนะหรือไม่ มันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ใดๆ ให้แก่ตัวเขา ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาเองก็อยู่มาจนเฒ่าปานนี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมาใช้ประโยชน์เปล่าๆ เช่นนี้? เดิมทีนั้นเขายังไม่รู้ถึงฝีมือของเย่หยวนจึงยังไม่ได้สนใจมากมาย แต่เวลานี้เขาได้รู้แล้วจึงไม่ยอมที่จะให้คนอื่นมาชิงเอาผลประโยชน์ชักจูงเรื่องราว หากเขาก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนในเวลานี้ มันยังพอจะอ้างต่อผู้คนได้ว่าเพราะเขาเคารพต่อมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล แต่หากประลองกันไปแล้วแม้จะชนะได้แต่มันก็จะพิสูจน์ให้คนทั้งหลายได้รู้ว่าเย่หยวนนี้ขึ้นมาถึงระดับโอสถเต๋า ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ง่ายๆ และหากแพ้… มันก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความฉิบหายที่จะตามมาเลย จางจื้อหลิงและศิษย์ทั้งหลายนั้นต่างต้องอ้าปากค้างไม่อาจจะกลับมาตั้งสติได้นานสองนาน ตรัสรู้ในเต๋า! แล้วเต๋าใดที่เย่หยวนตรัสรู้? พวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ใช่คนโง่เง่า มีหรือที่จะเดาไม่ออก? เย่หยวนนั้นตรัสรู้ในเต๋าโอสถขึ้นถึงระดับของต้นกำเนิดเต๋า อยู่ในระดับของโอสถเต๋า เขานั้นคือยอดฝีมือในระดับเดียวกับอาจารย์ของพวกเขาทั้งหลายไปแล้ว! แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าหมอนี่มันยังเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแต่กลับยืนอยู่บนจุดสุดยอดของโลกหล้า ขึ้นอยู่ในระดับบรรพกาลได้! เรื่องราวเช่นนั้น ต่อให้จะอยากเชื่อแค่ไหนพวกเขาก็ไม่อาจทำใจเชื่อลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวจางจื้อหลิงที่เขาได้ยืนติดอยู่บนจุดนี้มานานนับล้านๆ ปีแต่ก็ยังไม่อาจจะก้าวขึ้นไปได้ ยอดคนระดับเขานี้คือผู้ที่เข้าใจถึงความยากของก้าวย่างนี้อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้เขาค่อยๆ รอคอยให้วันหนึ่งนั้นจะมาถึง แต่วันนี้เรื่องราวมันกลับไม่เป็นเหมือนก่อน! เพราะเด็กหนุ่มที่ออกตัวก้าวช้ากว่าเขาไปนับล้านๆ ไปคนหนึ่งกลับเดินนำหน้าผ่านเขาขึ้นไปถกเต๋ากับอาจารย์ของเขาได้ เรื่องราวนี้มันเกินกว่าที่จะรับไหว เย่หยวนเอาชนะจู้เทียนเซียงได้มันมิใช่เรื่องแปลกเพราะเขานั้นเป็นถึงรองมหาปราชญ์ เย่หยวนเองชนะกู่ยู่หลงได้มันก็มิใช่เรื่องแปลก เพราะจะอย่างไรเขานี้ก็เป็นถึงรองมหาปราชญ์ ต่อให้เย่หยวนจะเอาชนะจางจื้อหลิงมาได้ มันก็ยังมิใช่เรื่องแปลกมากมายเพราะเขานี้เป็นถึงรองมหาปราชญ์! แต่เขานั้นก้าวผ่านจุดนั้นไปได้อย่างไร? โอสถเต๋า! นี่มันคืออาณาจักรระดับที่นักหลอมโอสถทุกผู้คนต่างเฝ้าฝันแต่ไม่มีใครจะก้าวไปถึงได้ มันคือระดับที่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเรียนรู้สักเท่าใด จะดิ้นรนสักแค่ไหนมันก็ไม่อาจจะไปถึงได้ แต่เจ้าหนุ่มอายุไม่กี่พันปีนี้กลับก้าวขึ้นไปได้! ในเวลานั้นเองมันก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งพุ่งตัวเข้ามาในโถงใหญ่ “อาจารย์ มันเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ท-ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” จู้เทียนเซียงนั้นรีบวิ่งเข้ามาถามก่อนจะเห็นว่าเย่หยวนกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์ของเขาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านไปอย่างไม่อาจห้าม เย่หยวนขึ้นเขามานี้ มิใช่ว่าเขาคงแพ้ให้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหรือ? เช่นนั้น… เขามานั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์เขาได้อย่างไร? เมื่อจู้เทียนเซียงหันไปมองเหล่าศิษย์ที่ทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบๆ เขาก็พบว่าศิษย์พี่ทั้งหลายกำลังทำหน้าตาเศร้าหมองราวกับได้เสียบิดามารดาไป ท่าทางของพวกเขานี้มันเหมือนได้พบเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันมาตลอดชีวิต แต่ระหว่างที่ตัวจู้เทียนเซียงนั้นยังสงสัยไม่หาย เขาก็ได้ยินเสียงของบรรพกาลเฟิงหลินร้องสั่ง “เจ้าเด็กไม่รักดี ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป! ทำไมยังไม่มาก้มกราบขอโทษรองมหาปราชญ์อีก!” จู้เทียนเซียงนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะกล่าวถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อหูตัวเอง “อาจารย์ ท่านจะให้ข้าไปก้มหัวขอโทษเจ้าเด็กคนนี้มันหรือ? น-นี่มันจะไม่เป็นการเสียเกียรติท่านหรือ?” จู้เทียนเซียงนั้นเป็นยอดคนมากพรสวรรค์ที่บรรพกาลเฟิงหลินรักตามใจอย่างมาก กฎมากมายที่มีนั้นหลายครั้งหลายคราเขาก็จะทำเป็นไม่เป็นมันไป มันจึงได้สะสมกลายเป็นนิสัยของจู้เทียนเซียงมาจนทุกวันนี้ บรรพกาลเฟิงหลินหรี่ตาลงถามขึ้น “ทำไมหรือ? นี่คำพูดของอาจารย์มันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว? หรือว่าเจ้าพร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว?” จู้เทียนเซียงนั้นหน้าซีดขาวลงทันที เป็นเวลานี้ที่เองที่เขาได้รู้ว่าอาจารย์ของตนนั้นจริงจังเพียงแค่ใด ได้ยินคำพูดทั้งหลายนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าหากไม่ก้มหัวขอโทษในเวลานี้ เขาจะต้องถูกไล่ออกจากสำนัก ตุบ! จู้เทียนเซียงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับ “อาจารย์ ข้ารับไม่ได้! เขา… มีค่าใด?” จู้เทียนเซียงยังคงพยายามเถียง “โอหัง! รองมหาปราชญ์นั้นคือตัวตนในรุ่นเดียวกับอาจารย์ เจ้านั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อหน้าเขา! การคุกเข่าขอโทษนี้ผิดมากหรือ? ที่สำคัญเจ้านี่โง่โดนผู้คนหลอกใช้งานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทั้งยังคิดจะเอาไฟนั้นลามมาติดหัวอาจารย์! เท่านี้ทั้งเขาเมฆาคิมหันต์มันก็คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดิน เจ้าพอใจหรือยังเล่า?” บรรพกาลเฟิงหลินร้องลั่นขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ จู้เทียนเซียงนั้นยังคงไม่คิดยอมรับแต่ก็ได้ยินเสียงของจางจื้อหลิงกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้เถียงอีกเลย! รองมหาปราชญ์นั้นตรัสรู้บรรลุในเต๋าโอสถจนขึ้นเป็นตัวตนระดับบรรพกาลเช่นเดียวกับอาจารย์แล้ว การคุกเข่ากราบของเจ้านี้มันไม่ได้เป็นการเสียเกียรติใด!” “หะ?! เขา… เขานี้… ไม่มีทางน่า!” จู้เทียนเซียงสั่นสะท้านไปทั้งกายอย่างไม่อาจห้ามสายตาที่มองดูเย่หยวนมันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว เย่หยวนจึงได้กล่าวขึ้น “ข้านั้นให้โอกาสเจ้าก่อนหน้า เดิมทีก็คิดว่าจะให้มันจบแค่ที่การขอโทษ เวลานี้… มันคงไม่จบลงง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว” บรรพกาลเฟิงหลิงที่ได้ยินก็ต้องขมวดคิ้วแน่น เพราะเมื่อเย่หยวนเป็นตัวตนระดับบรรพกาลแล้วมันก็ย่อมจะไม่มีทางที่เรื่องราวนี้จะจบลงได้ง่ายๆ เช่นนั้นแล้วหากเย่หยวนยังคิดท้าทายตัวเขาต่อ เขาเองก็คงมีแต่ต้องรับคำท้าทายนั้น ถึงเวลานั้นเขาเมฆาคิมหันต์คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริงแล้ว หากจู้เทียนเซียงยอมขอโทษลงแต่แรกเย่หยวนก็คงไม่มีอะไรจะอ้าง ถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่สามารถไปพูดอะไรในโลกภายนอกได้อีก แค่คำพูดไม่กี่คำนี้บรรพกาลเฟิงหลิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าตัวเย่หยวนนี้ฉลาดเฉียบคมปานใด มันมิใช่แค่ท่าทางของคนหนุ่มหัวร้อนอารมณ์รุนแรงเลย กลับกัน ตัวเขานี้กลับทั้งฉลาดและมากเล่ห์เสียยิ่งกว่าศิษย์ทั้งหลายของเขา! แน่นอนว่าคนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มีหรือที่จะเป็นคนโง่ได้? จากนั้นจู่ๆ มิติโดยรอบมันก็บิดเบี้ยวปรากฏร่างของผู้คนค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในโถงใหญ่หลายต่อหลายคน เมื่อได้เห็นผู้มาถึงนั้นสีหน้าของจู้เทียนเซียงก็ต้องเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง! ……………….

ในโถงใหญ่นั้นมันมีชายแก่ผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวค่อยๆ เดินลงจากบัลลังก์สูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่หยวน

จากนั้นเขาก็ผายมือเชิญเย่หยวนลงนั่งที่โต๊ะรับแขก “รองมหาปราชญ์เชิญนั่ง”

เย่หยวนพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้านและแขกตรงข้ามกัน

ศิษย์ทั้งหลายต่างมึนงงกับการกระทำของอาจารย์ตนมาก!

อาจารย์ของพวกเขานั้นมีตัวตนสูงส่งระดับใด? นอกจากเหล่าเฒ่าทั้งหลายด้วยกันแล้วมันจะมีใครที่มานั่งลงในระดับเดียวกับอาจารย์พวกเขาได้?

“รองมหาปราชญ์นั้นคงตรัสรู้ในเต๋าแล้ว?” บรรพกาลเฟิงหลินถามขึ้น

แม้ว่ามันจะเป็นคำถาม แต่แท้จริงตัวเขาย่อมจะมีคำตอบอยู่ในใจมาแต่แรก

ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยตำแหน่งของเขานั้นมีหรือที่เขาจะมานั่งลงในระดับเดียวกับเย่หยวนเหมือนเป็นคนระดับเดียวกัน?

“ข้านั้นพอจะตรัสรู้ได้บ้าง บรรพกาลเฟิงหลินจะให้เกียรติสั่งสอนข้าสักหน่อยหรือไม่?” เย่หยวนถามขึ้น

“ไม่หรอก เมื่อขึ้นมาถึงระดับของพวกเรานี้แล้ว มันไม่ควรจะลงมือกันง่ายๆ อย่างแรกเลยคือสมุนไพรทั้งหลายนั้นมันหาได้ยาก อย่างที่สองคือตำแหน่งของเรานี้” บรรพกาลเฟิงหลินปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน

“หากบรรพกาลเป็นกันเช่นนั้นมันก็คงเป็นการยากต่อเย่ผู้นี้แล้ว” เย่หยวนส่ายหัวออกมา

“หึๆ เฒ่าผู้นี้รู้ดีว่ารองมหาปราชญ์มีเป้าหมายอื่น แต่การปะทะกับคนผู้นั้นมันมิใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เรื่องนี้ท่านน่าจะเข้าใจ” บรรพกาลเฟิงหลินกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ

“เย่ผู้นี้ย่อมเข้าใจ แต่ว่า… เย่ผู้นี้ไม่มีอะไรต้องกลัว” เย่หยวนยิ้มตอบ

บรรพกาลเฟิงหลินนั้นส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “อย่างที่เขาว่ากันว่าวัวน้อยนั้นไม่รู้จักกลัวเสือร้าย! เว้นเสียแต่ว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเฒ่าผู้นี้ได้ และมิใช่แค่ตัวเฒ่าผู้นี้ แต่คนอื่นๆ เองก็คงไม่ติดกับนั้นง่ายๆ แล้ว”

เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เช่นนั้นมันก็น่าเสียดายจริงๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนั้นมันฟังดูมึนงงลึกลับแต่ศิษย์ทั้งหลายของบรรพกาลเฟิงหลินนั้นเข้าใจสิ้น

ข้อมูลตรงหน้านี้มันสุดแสนยิ่งใหญ่!

อย่างแรกคือเย่หยวนนั้นขึ้นไปถึงระดับของโอสถเต๋าแล้ว!

อย่างที่สองคือเย่หยวนคิดท้าทายโอสถบรรพกาล!

อย่างที่สามคืออาจารย์พวกเขานั้นไม่คิดจะต่อสู้ประลองกับเย่หยวน!

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนมันก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เขย่าฟ้าดินได้

บรรพกาลเฟิงหลินนั้นไม่ยอมประลองกับเย่หยวน มันเป็นเพราะว่าไม่ว่าเขาจะชนะหรือไม่ มันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ใดๆ ให้แก่ตัวเขา

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาเองก็อยู่มาจนเฒ่าปานนี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมาใช้ประโยชน์เปล่าๆ เช่นนี้?

เดิมทีนั้นเขายังไม่รู้ถึงฝีมือของเย่หยวนจึงยังไม่ได้สนใจมากมาย แต่เวลานี้เขาได้รู้แล้วจึงไม่ยอมที่จะให้คนอื่นมาชิงเอาผลประโยชน์ชักจูงเรื่องราว

หากเขาก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนในเวลานี้ มันยังพอจะอ้างต่อผู้คนได้ว่าเพราะเขาเคารพต่อมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

แต่หากประลองกันไปแล้วแม้จะชนะได้แต่มันก็จะพิสูจน์ให้คนทั้งหลายได้รู้ว่าเย่หยวนนี้ขึ้นมาถึงระดับโอสถเต๋า ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ง่ายๆ

และหากแพ้… มันก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความฉิบหายที่จะตามมาเลย

จางจื้อหลิงและศิษย์ทั้งหลายนั้นต่างต้องอ้าปากค้างไม่อาจจะกลับมาตั้งสติได้นานสองนาน

ตรัสรู้ในเต๋า!

แล้วเต๋าใดที่เย่หยวนตรัสรู้?

พวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ใช่คนโง่เง่า มีหรือที่จะเดาไม่ออก?

เย่หยวนนั้นตรัสรู้ในเต๋าโอสถขึ้นถึงระดับของต้นกำเนิดเต๋า อยู่ในระดับของโอสถเต๋า เขานั้นคือยอดฝีมือในระดับเดียวกับอาจารย์ของพวกเขาทั้งหลายไปแล้ว!

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

เจ้าหมอนี่มันยังเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแต่กลับยืนอยู่บนจุดสุดยอดของโลกหล้า ขึ้นอยู่ในระดับบรรพกาลได้!

เรื่องราวเช่นนั้น ต่อให้จะอยากเชื่อแค่ไหนพวกเขาก็ไม่อาจทำใจเชื่อลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวจางจื้อหลิงที่เขาได้ยืนติดอยู่บนจุดนี้มานานนับล้านๆ ปีแต่ก็ยังไม่อาจจะก้าวขึ้นไปได้

ยอดคนระดับเขานี้คือผู้ที่เข้าใจถึงความยากของก้าวย่างนี้อย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้เขาค่อยๆ รอคอยให้วันหนึ่งนั้นจะมาถึง

แต่วันนี้เรื่องราวมันกลับไม่เป็นเหมือนก่อน!

เพราะเด็กหนุ่มที่ออกตัวก้าวช้ากว่าเขาไปนับล้านๆ ไปคนหนึ่งกลับเดินนำหน้าผ่านเขาขึ้นไปถกเต๋ากับอาจารย์ของเขาได้

เรื่องราวนี้มันเกินกว่าที่จะรับไหว

เย่หยวนเอาชนะจู้เทียนเซียงได้มันมิใช่เรื่องแปลกเพราะเขานั้นเป็นถึงรองมหาปราชญ์

เย่หยวนเองชนะกู่ยู่หลงได้มันก็มิใช่เรื่องแปลก เพราะจะอย่างไรเขานี้ก็เป็นถึงรองมหาปราชญ์

ต่อให้เย่หยวนจะเอาชนะจางจื้อหลิงมาได้ มันก็ยังมิใช่เรื่องแปลกมากมายเพราะเขานี้เป็นถึงรองมหาปราชญ์!

แต่เขานั้นก้าวผ่านจุดนั้นไปได้อย่างไร?

โอสถเต๋า!

นี่มันคืออาณาจักรระดับที่นักหลอมโอสถทุกผู้คนต่างเฝ้าฝันแต่ไม่มีใครจะก้าวไปถึงได้

มันคือระดับที่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเรียนรู้สักเท่าใด จะดิ้นรนสักแค่ไหนมันก็ไม่อาจจะไปถึงได้

แต่เจ้าหนุ่มอายุไม่กี่พันปีนี้กลับก้าวขึ้นไปได้!

ในเวลานั้นเองมันก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งพุ่งตัวเข้ามาในโถงใหญ่

“อาจารย์ มันเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ท-ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”

จู้เทียนเซียงนั้นรีบวิ่งเข้ามาถามก่อนจะเห็นว่าเย่หยวนกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์ของเขาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านไปอย่างไม่อาจห้าม

เย่หยวนขึ้นเขามานี้ มิใช่ว่าเขาคงแพ้ให้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหรือ?

เช่นนั้น… เขามานั่งร่วมโต๊ะกับอาจารย์เขาได้อย่างไร?

เมื่อจู้เทียนเซียงหันไปมองเหล่าศิษย์ที่ทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบๆ เขาก็พบว่าศิษย์พี่ทั้งหลายกำลังทำหน้าตาเศร้าหมองราวกับได้เสียบิดามารดาไป

ท่าทางของพวกเขานี้มันเหมือนได้พบเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันมาตลอดชีวิต

แต่ระหว่างที่ตัวจู้เทียนเซียงนั้นยังสงสัยไม่หาย เขาก็ได้ยินเสียงของบรรพกาลเฟิงหลินร้องสั่ง “เจ้าเด็กไม่รักดี ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป! ทำไมยังไม่มาก้มกราบขอโทษรองมหาปราชญ์อีก!”

จู้เทียนเซียงนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะกล่าวถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อหูตัวเอง “อาจารย์ ท่านจะให้ข้าไปก้มหัวขอโทษเจ้าเด็กคนนี้มันหรือ? น-นี่มันจะไม่เป็นการเสียเกียรติท่านหรือ?”

จู้เทียนเซียงนั้นเป็นยอดคนมากพรสวรรค์ที่บรรพกาลเฟิงหลินรักตามใจอย่างมาก

กฎมากมายที่มีนั้นหลายครั้งหลายคราเขาก็จะทำเป็นไม่เป็นมันไป

มันจึงได้สะสมกลายเป็นนิสัยของจู้เทียนเซียงมาจนทุกวันนี้

บรรพกาลเฟิงหลินหรี่ตาลงถามขึ้น “ทำไมหรือ? นี่คำพูดของอาจารย์มันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว? หรือว่าเจ้าพร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว?”

จู้เทียนเซียงนั้นหน้าซีดขาวลงทันที เป็นเวลานี้ที่เองที่เขาได้รู้ว่าอาจารย์ของตนนั้นจริงจังเพียงแค่ใด

ได้ยินคำพูดทั้งหลายนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าหากไม่ก้มหัวขอโทษในเวลานี้ เขาจะต้องถูกไล่ออกจากสำนัก

ตุบ!

จู้เทียนเซียงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับ

“อาจารย์ ข้ารับไม่ได้! เขา… มีค่าใด?” จู้เทียนเซียงยังคงพยายามเถียง

“โอหัง! รองมหาปราชญ์นั้นคือตัวตนในรุ่นเดียวกับอาจารย์ เจ้านั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อหน้าเขา! การคุกเข่าขอโทษนี้ผิดมากหรือ? ที่สำคัญเจ้านี่โง่โดนผู้คนหลอกใช้งานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทั้งยังคิดจะเอาไฟนั้นลามมาติดหัวอาจารย์! เท่านี้ทั้งเขาเมฆาคิมหันต์มันก็คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดิน เจ้าพอใจหรือยังเล่า?” บรรพกาลเฟิงหลินร้องลั่นขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

จู้เทียนเซียงนั้นยังคงไม่คิดยอมรับแต่ก็ได้ยินเสียงของจางจื้อหลิงกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้เถียงอีกเลย! รองมหาปราชญ์นั้นตรัสรู้บรรลุในเต๋าโอสถจนขึ้นเป็นตัวตนระดับบรรพกาลเช่นเดียวกับอาจารย์แล้ว การคุกเข่ากราบของเจ้านี้มันไม่ได้เป็นการเสียเกียรติใด!”

“หะ?! เขา… เขานี้… ไม่มีทางน่า!” จู้เทียนเซียงสั่นสะท้านไปทั้งกายอย่างไม่อาจห้ามสายตาที่มองดูเย่หยวนมันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว

เย่หยวนจึงได้กล่าวขึ้น “ข้านั้นให้โอกาสเจ้าก่อนหน้า เดิมทีก็คิดว่าจะให้มันจบแค่ที่การขอโทษ เวลานี้… มันคงไม่จบลงง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”

บรรพกาลเฟิงหลิงที่ได้ยินก็ต้องขมวดคิ้วแน่น เพราะเมื่อเย่หยวนเป็นตัวตนระดับบรรพกาลแล้วมันก็ย่อมจะไม่มีทางที่เรื่องราวนี้จะจบลงได้ง่ายๆ

เช่นนั้นแล้วหากเย่หยวนยังคิดท้าทายตัวเขาต่อ เขาเองก็คงมีแต่ต้องรับคำท้าทายนั้น

ถึงเวลานั้นเขาเมฆาคิมหันต์คงได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริงแล้ว

หากจู้เทียนเซียงยอมขอโทษลงแต่แรกเย่หยวนก็คงไม่มีอะไรจะอ้าง ถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่สามารถไปพูดอะไรในโลกภายนอกได้อีก

แค่คำพูดไม่กี่คำนี้บรรพกาลเฟิงหลิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าตัวเย่หยวนนี้ฉลาดเฉียบคมปานใด มันมิใช่แค่ท่าทางของคนหนุ่มหัวร้อนอารมณ์รุนแรงเลย

กลับกัน ตัวเขานี้กลับทั้งฉลาดและมากเล่ห์เสียยิ่งกว่าศิษย์ทั้งหลายของเขา!

แน่นอนว่าคนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มีหรือที่จะเป็นคนโง่ได้?

จากนั้นจู่ๆ มิติโดยรอบมันก็บิดเบี้ยวปรากฏร่างของผู้คนค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในโถงใหญ่หลายต่อหลายคน

เมื่อได้เห็นผู้มาถึงนั้นสีหน้าของจู้เทียนเซียงก็ต้องเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง!

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+