War sovereign Soaring The Heavens 1681

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1681 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,681 : ยื่นข้อเสนอ

 

ปราณสุริยันแรกกำเนิด เกิดจากปราณแรกกำเนิดขัดเกลาผสานไปกับเพลิงสุริยัน

 

แต่แน่นอนว่าเพลิงสุริยันในปราณแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นเพลิงสุริยันเที่ยงแท้!

 

เพลิงสุริยันเที่ยงแท้ คือเพลิงสุริยันที่อีกาทองคำ 3 ขาอย่างผู้เฒ่าหั่วชำนาญครั้งยังรุ่งโรจน์ เรียกว่าเป็นเพลิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนสวรรค์นัก สามารถผลาญเผาได้ทุกสรรพสิ่ง!

 

เมื่อด่านพลังของต้วนหลิงเทียนสูงขึ้น ปราณแรกกำเนิดของเขาก็จะยกระดับพัฒนา และนั่นจะทำให้พลังอำนาจของปราณสุริยันแรกกำเนิดทวีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

 

และสุดท้ายวันหนึ่ง มันจะกลายเป็นเพลิงสุริยันเที่ยงแท้!

 

แน่นอนว่าด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนต้องบรรลุถึงขอบเขตหนึ่งเสียก่อน จึงจะก่อเกิดและควบคุมใช้เพลิงสุริยันเที่ยงแท้ได้…

 

ทว่าขอบเขตพลังที่ว่านั้น เป็นขอบเขตพลังที่เหนือล้ำกว่าขอบเขตพลังที่ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่ว่าจะภูมิเบื้องล่างหรือเบื้องบนจะบรรลุถึงได้

 

“ไอ้หนู เจ้ามันรนหาที่ตายนัก!!”

 

ตอนนี้เองเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดแฝงโทสะหนึ่ง…พลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน! เป็นฉีเสิ่นอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่มีโมโหต้วนหลิงเทียนไม่น้อย เพราะต้วนหลิงเทียนกล้าท้าทายไม่ฟังคำมัน ฆ่าคนของมันต่อหน้าต่อตา!

 

แต่เป็นธรรมดาที่มันจะไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ จึงต้องส่งเสียงกล่าวไปแบบนี้

 

ตอนแรกมันคิดให้ศิษย์คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีผิงฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้งไปเสีย เพราะมันไม่คิดว่าผู้ฝึกตนพเนจรที่อายุไม่ถึง 40 ปี จะเป็นคู่มือของฉีผิงไปได้…

 

แต่ผู้ใดจะไปคิดไปฝันว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่าฉีผิง!

 

ทันทีที่มันตระหนักถึงเรื่องนี้ มันก็รีบเร่งตะโกนกล่าวเตือนฉีผิงให้รีบยอมแพ้ทันที ถึงแม้มันจะต้องอับอายขายหน้าไม่น้อยก็ตาม เพราะมันไม่อยากให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องเสียมือดีไปง่ายๆแบบนี้!!

 

จะอย่างไรก่อนหน้านี้มันก็เสียมือดีขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปคนนึงแล้ว…

 

นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้นที่อายุไม่ถึง 50 ปีเพียง 2 คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!

 

อายุไม่ถึง 50 ปีแต่บรรลุเซียนขัดเกลา ศักยภาพและพรสวรรค์ดังกล่าว นับว่าติดอยู่ใน 5 อัจฉริยะสายเลือดใหม่ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว!

 

อนิจจาสายเลือดใหม่ที่มีคุณค่ากลับต้องมาตกตายไปถึง 2 คน…

 

ฉีเสิ่นย่อมจินตนาการออกได้ ว่าหากกลับไปรายงานผลการประลองครั้งนี้ที่โถงประชุม อาวุโสคนอื่นๆและผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมีโมโหขนาดไหน! และเรื่องนี้มันก็คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ!!

 

อนิจจาแม้ฉีเสิ่นจะถือเป็นตัวตนที่มีอำนาจไม่น้อย ทว่ามันก็ไม่อาจละเมิดกฏได้ และในที่นี้ยังมีเริ่นจงกับหลิวหงกวงอยู่ มันจะลงมือทำอะไรก็ไม่สะดวก…

 

จังหวะนี้หน้าผากของมันอดไม่ได้ที่จะปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมออกมา

 

เป็นเหงื่อกาฬอันเยียบเย็น!

 

ในขณะที่ฉีเสิ่นชักใบหน้าดุร้ายกล่าวส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดถึงต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง ต้วนหลิงเทียนเพียงหันมามองมันด้วยสายตาเฉยเมย “เจ้าไม่ใช่อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือไง สมองเจ้ามีปัญหาเหรอ…คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคิดฆ่าข้าได้ แต่ข้าคิดฆ่ามันบ้างไม่ได้? จึกๆๆ…ยังมาขู่ข้าว่าข้ารนหาที่ตาย หรือที่แท้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่สนกฏเกณฑ์อะไรแล้ว…ถ้างั้นจะวางกฏการประลองสุดยอดนักรบไปทำอะไร พวกเจ้าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ตัดสิน 10 อันดับด้วยตัวเองไปเลยเล่า?!”

 

วาจาท้ายประโยคของต้วนหลิงเทียน จงใจกล่าวประชดออกมาด้วยเสียงเย้ยหยัน

 

ฉีเสิ่นย่อมไม่คิดฝันว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้าแฉคำขู่ของมันออกมาโต้งๆแบบนี้

 

เรียกว่าจังหวะนี้ ทุกสายตาจำต้องหันมามองมันเป็นสายตาเดียวกัน แววตามากมายเต็มไปด้วยโทสะ บ้างก็เย้ยหยัน บ้างก็สมเพช

 

กฏของการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องระบุไว้แล้ว ว่าจะเป็นหรือตายไม่สน สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ไม่ผิด

 

แต่อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิว่ล่อง กลับส่งเสียงไปข่มขู่ผู้ฝึกตนพเนจร?

 

หรือคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสามารถฆ่าผู้อื่นได้ฝ่ายเดียว ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง?

 

เอาแต่ใจนัก!

 

ผู้ฝึกตนพเนจรทุกคนไม่เว้นจงกู้ต่างมองฉีเสิ่นด้วยสายตาเฉยชา บ้างก็มองเหยียดชัดเจน! หลายคนถึงกับกล่าวประชดแดกดัน ออกมา “เหอะๆ..อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องช่างน่าเลื่อมไสยิ่งนัก ถึงขั้นข่มขู่ผู้ฝึกตนพเนจรเช่นนี้! นับถือ! นับถือ!!”

 

“คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฆ่าผู้อื่นได้ แต่ผู้อื่นมิได้รับอนุญาตให้ฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง?”

 

“เท่าที่ข้าเห็นต่อให้เป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…แต่เมื่อพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าแม้จะตกตายไปก็สมควรแล้ว! เพราะนี่คือการประลองเฟ้นหาสุดยอดนักรบ ผู้ใดไร้คุณสมบัติก็อย่าได้ลงประลองแต่แรก! กฏในการประลองนั้นชัดเจนนัก ว่าไม่สนว่าจะอยู่หรือตาย…ยามที่คนของพวกมันถูกฆ่า พวกมันก็ทำได้แค่ละอายใจ…ว่าพลังฝีมือคนของตัวเองอ่อนด้อยกว่าผู้อื่นเขา! ไม่ใช่มาข่มขู่ผู้คนเช่นนี้!!”

 

……

 

ตอนนี้ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนพเนจรจะมองเหยียดฉีเสิ่น กระทั่งขุมพลังอื่นๆ ก็เริ่มมองฉีเสิ่นด้วยสายตาที่แปลกไปจากเดิมไม่น้อย

 

กระทั่งเริ่นจงกับหลิวหงกวงเอง ยังมองฉีเสิ่นด้วยใบหน้าปั้นยาก เพราะการกระทำครั้งนี้ของฉีเสิ่น นับว่าไม่เห็นหัวพวกมันทั้งสองที่เป็นผู้ดูควบคุมการประลองหลักแล้วจริงๆ

 

คนอื่นคิดอ่านอย่างไรฉีเสิ่นสามารถเพิกเฉยได้…

 

ทว่าพอมันสังเกตเห็นสายตาเยียบเย็นของเริ่นจงและหลิวหงกวง มันก็ไร้ทางเลือกอื่นนอกจากสงบจิตสงบใจ มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าเปี่ยมโทสะ กล่าวออกเสียงดัง “ไอ้หนูเจ้าพล่ามเหลวไหลอันใดของเจ้า!? ข้าไปขู่ข่มว่าเจ้ารนหาที่ตายตั้งแต่เมื่อใด!? อย่าได้คิดใส่ร้ายป้ายสีข้า!!”

 

หลายคนเริ่มย้อนมาหันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย

 

แต่มีหลายคนที่ยกยิ้มแสยะขึ้นที่มุมปาก พวกมันรู้ดีว่าไหนเลยคนอย่างฉีเสิ่นจะกล้าวยอมรับความผิดของตัวง่ายๆ?

 

“ใส่ร้ายป้ายสี?”

 

ต้วนหลิงเทียนพ่นลมยิ้มเย้ย ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความขบขัน หัวเราะออกมาเสียงดังคอยกล่าว “ฮ่าๆๆๆ! ในเมื่ออาวุโสหลักยืนกรานว่าไม่ได้ข่มขู่ข้า..ถ้างั้นพวกเรามากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์กันสักตั้งดีหรือไม่!?”

 

สำบานต่อทัณฑ์สวรรค์!

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจานี้ออกมาเสียงดังฟังชัดด้วยสีหน้าท่าทางท้าทาย ผู้คนกว่า 9 ใน 10 ส่วนก็เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้พูดโกหกคิดใส่ร้ายผู้อื่น! ไม่อย่างนั้นคงไม่กล่าวเสนออะไรแบบนี้ออกมา!!

 

“เจ้าเป็นผู้ใด แล้วข้าฉีเสิ่นเป็นผู้ใด ถึงกล้ากล่าวให้ข้าฉีเสิ่นกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์!”

 

ฉีเสิ่นไม่คิดเลยว่าผู้ฝึกตนพเนจรเบื้องหน้าจะหาญกล้าต่อปากต่อคำกับมันแบบนี้ ถึงขั้นยกคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ออกมาอ้าง แต่ด้วยความที่ไม่อาจลงมืออะไรได้ มันจึงทำได้แต่มองกล่าวไปด้วยสีหน้าแววตาดุร้าย!!

 

“ไม่กล้าก็แค่บอกไม่กล้า จะพูดเวิ่นเว้ออะไรให้มากความ!!

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มเยาะ

 

“สามหาว!!”

 

ในขณะที่ฉีเสิ่นกำลังหัวร้อนเพราะต้วนหลิงเทียนจนพูดไม่ออก ฉีค่านหลานชายของมันไม่อาจทานทนฟังอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป พลันตะคอกออกมาเสียงดัง สีหน้าแต่เดิมที่ไร้แยแสต่อสิ่งใด ตอนนี้ยังกลายเป็นเยียบเย็น!

 

ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่เห็นหัวมันแม้แต่น้อย เรียกว่าไม่คิดจะหันไปมองด้วยซ้ำ!

 

กระทั่งปู่เจ้าข้ายังไม่กลัว แล้วข้าต้องกลัวเจ้าด้วย?

 

นี่คือความคิดที่อยู่ในหัวของต้วนหลิงเทียนตอนนี้

 

ความจริงที่ว่าต้วนหลิงเทียนหาญกล้าต่อปากต่อคำกับอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่น ทำให้ผู้ฝึกตนในงานประลองอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความชื่นชมนับถือต้วนหลิงเทียน ที่หาญกล้าทำในสิ่งที่ผู้อื่นไม่กล้ากระทำ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการระบายความแค้นให้พวกมันอย่างดี!!

 

เรียกว่าตอนนี้สายตาของผู้ฝึกตนพเนจรต่างมองต้วนหลิงเทียนด้วยความเลื่อมไส บ้างยังเคารพบูชา ทำราวกับเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นแบบอย่างชั่วชีวิต!

 

“เจ้าหนุ่ม เจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”

 

ตอนนี้เองเริ่นจงพลันมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอ่อนโยน แลดูเป็นกันเองปานคุนตาใจดีข้างบ้าน

 

หากแต่ในแววาตาของมันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นนัก!

 

การริเริ่มกล่าววาจาของเริ่นจง คล้ายดึงสติหลิวหงกวงให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยทันที และยังกระตุ้นให้มันนึกถึงบางสิ่งได้ออก จึงเร่งหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มบ้างทันที “เจ้าหนุ่ม ข้ากลับมิเคยได้ยินว่ามียอดคนรุ่นเยาว์เช่นเจ้าในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาก่อนเลย…ข้าสงสัยว่า เจ้ายินดีมาเข้าร่วมกับคฤหาสน์คลื่นคลั่งของข้าหรือไม่?”

 

เปรี๊ยง!!

 

เมื่อหลิวหงกาวงกล่าวจบคำ ผู้คนที่ได้ยินก็รู้สึกเสมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางหัว ดั่งหนึ่งหินร่วงหล่นลงสระก่อเกิดพันระลอกคลื่น พาลให้ผู้คนแตกตื่นฮือฮาขึ้นมาทันที

 

อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง กลับเชื้อเชิญผู้ฝึกตนพเนจรให้เข้าร่วมโต้งๆเช่นนี้เลย!?

 

แถมยังเชื้อเชิญต่อหน้าต่อตาอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่น!

 

นี่ไม่กริ่งเกรงว่าจะเป็นการหักหน้าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องบ้างหรือ?!

 

อันที่จริงตัวหลิวหงกวงที่กล่าวเชิญออกมา ก็รู้สึกกดดันในใจไม่น้อย

 

หากแต่พอมันเห็นว่าเริ่นจงริเริ่มกล่าวกับผู้ฝึกตนพเนจรหนุ่มน้อยคนนี้ด้วยท่าทีเป็นมิตร มันก็รู้ดีว่าที่เริ่นจงกล่าวออกด้วยท่าทางสุภาพเป็นกันเองเช่นนั้น คงไม่พ้นคิดเชื้อเชิญชายหนุ่มผู้นี้เข้าร่วมคฤหาสน์ข้ามฟ้าเป็นแน่!!

 

ผู้ฝึกตนพเนจรอัจฉริยะที่ต่อกรกับคนของขุมพลังยักษ์ใหญ่ได้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอะไรที่ล่อตาล่อใจขุมพลังยักษ์ใหญ่นัก!!

 

เช่นเดียวกันกับจงกู้ ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีนามกระเดื่องในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง นอกจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว คฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่งก็เคยยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายเช่นกัน อนิจจาอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะเข้าร่วม และอีกฝ่ายก็เป็นคนมีชื่อเสียงไม่น้อย 3 ยักษ์ใหญ่จึงไม่อาจทำอะไรได้

 

ทว่ากับต้วนหลิงเทียนนั้นแตกต่างกัน

 

ผู้ฝึกตนพเนจรที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวออกมายังไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามอะไร ยิ่งไปกว่านั้นพรสวรรค์แต่กำเนิดและศักยภาพยังสูงล้ำเสียยิ่งกว่าจงกู้ ตัวตนเช่นนี้คฤหาสน์คลื่นคลั่งต้องการอย่างยิ่ง!!

 

เริ่นจงที่ใจคิดเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียน หากแต่มันคิดเริ่มด้วยการตี้ซี้เปิดฉากสนทนาอย่างเป็นกันเอง พอเห็นหลิวหงกวงเปิดประตูเห็นภูผากล่าวชวนต้วนหลิงเทียนออกมาทันทีทันใด มันก็หน้าเสียเร่งกล่าวกับต้วนหลิงเทียนทันที “สหายน้อย คฤหาสน์ข้ามฟ้าของเราก็ยินดีเชื้อเชิญเจ้าให้เข้าร่วมเช่นกัน! ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมกับคฤหาสน์ข้ามฟ้าของเรา ไม่เพียงแต่ทรัพยากรบ่มเพาะที่ล้ำค่าทั้งดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะหาได้จักถูกประเคนให้เจ้าเต็มที่…พวกเรายังรับประกันว่าเจ้าจักได้เติบโตเต็มศักยภาพอย่างปลอดภัย!!”

 

กล่าวจบคำ เริ่นจงก็หันไปเหลือบมองฉีเสิ่นทันที

 

ที่มันกล่าวออกมาแบบนี้ เจตนาเผยให้เห็นชัดเจนว่าคิดปกป้องคุ้มครองต้วนหลิงเทียนจากเงื้อมมือคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!

 

ในการประลองแบบนี้ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแน่นอนว่าไม่อาจลงมือทำอะไรได้ แต่ทว่าหลังจบการประลองเล่า? ผู้ใดจะบอกได้ว่ามันสามารถก่อการอุบาทว์อันใดได้บ้าง?

 

มันเชื่อว่าชายหนุ่มอันเป็นผู้ฝึกตนพเนจรมากพรสวรรค์เบื้องหน้า สมควรตระหนักถึงเรื่องนี้ดี!

 

พอเห็นว่าเริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเองก็ยื่นข้อเสนออันประเสริฐออกมาให้ต้วนหลิงเทียน เหล่าผู้ชมโดยรอบทั้งหลายถึงกับกระพริบตาปริบๆด้วยความอึ้ง นี่นับว่าสร้างความประหลาดใจให้มันพวกมันครั้งใหญ่แล้วจริงๆ!!

 

“น้องชาย ตราบใดที่เจ้ายินดีเข้าร่วมกับคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ผู้ใดหาญกล้าแตะต้องเจ้านับว่าเป็นศัตรูชั่วชีวิตของข้า หลิวหงกวง!!”

 

เมื่อเห็นว่าเริ่นจงเอาผลประโยชน์เข้าล่อ หลิวหงกวงก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เร่งกล่าววาจาอย่างสนิทสนมทั้งให้คำมั่นอันน่าเชื่อถือเพื่อรับสมัครผู้คนทันที!!

 

“ฮัยยะ…เป็นอัจฉริยะมันดีเช่นนี้นี่เอง เนื้อตัวคล้ายบุปผายาทิพย์หอมจรุง! มิว่าผู้ใดต่างก็อยากได้ตัว…โชคร้ายที่ข้าเกิดมาด้อยพรสวรรค์ อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 แค่มีขุมพลังชั้น 5 เชื้อเชิญข้าสักครั้ง ถึงต้องตายข้าก็ตายตาหลับแล้ว…”

 

ผู้ฝึกตนพเนจรบางคนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม

 

“เฮ่อ นั่นสิ…พวกเรากระทั่งขุมพลังชั้น 6 ยังไม่แลเหลียว ยังจะไปหวังอะไรกับขุมพลังชั้น 4 ชั้น 5…ไถ่ถามฟ้า เกิดมาล้วนเป็นผู้คนเช่นเดียวกัน ใยถึงได้แตกต่างกันนัก!?”

 

ผู้ฝึกตนพเนจรบางคนก็ได้แต่เหม่อมองฟ้ากว้าง กล่าวออกมาอย่างสะทกสะท้อน

 

เรียกว่าโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ต้วนหลิงเทียนที่ถูกอาวุโสทั้ง 2 ของขุมพลังชั้น 4 กล่าวเชิญชวน ก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนอีกครั้ง

 

ตอนนี้ทั้งหลายต่างสนใจใคร่รู้นัก ว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบสนองเรื่องราวอย่างไร

 

ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนและพรสวรรค์อันน่ากลัวนั้น ทั้งหมดรู้ดี ขอเพียงต้วนหลิงเทียนเต็มใจเข้าร่วมขุมพลังใดขุมพลังหนึ่งและกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ว่าจะไม่คิดคดทรยศ พวกมันต้องทุ่มทุกสิ่งอย่างเพื่อเลี้ยงดูสนับสนุนต้วนหลิงเทียนแน่นอน!!

 

ส่วนฉีเสิ่น ในฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตอนนี้ ใบหน้ากลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากปานเคี้ยวข้าวถูกแมลงวัน!

 

‘สารเลว! นี่พวกเจ้าจะไม่หน้าด้านไปหน่อยหรือ!?!’

 

เริ่นจงกับหลิวหงกวง กล้ายื่นข้อเสนอกล่าวเชื้อเชิญคนที่สังหารศิษย์คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันไปเมื่อครู่ต่อหน้ามันจริงๆ? แถมจากวาจาที่ทั้งคู่ให้สัญญาออกมายังบอกชัดว่าจะปกป้องคุ้มครอง ดูแลความปลอดภัยให้?

 

อย่างไรก็ตามแม้ใจจะเจ็บปวดเพียงใด แต่มันก็ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทน

 

เพราะหากมันยืนอยู่ ณ จุดเดียวกันกับหลิวหงกวงหรือเริ่นจง มันก็คงกระทำเช่นเดียวกัน!

 

ถึงแม้ใจมันจะไม่อยากยอมรับมากเพียงใด แต่มันไม่อาจไม่ยอมรับ…ว่าผู้ฝึกตนที่อายุไม่ถึง 40 ปีคนนี้ มีพรสวรรค์ที่สูงล้ำจนน่าตกใจ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด