War sovereign Soaring The Heavens 1803

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1803 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,803 : ข้อตกลง

 

ห้องขังของคุกลับใต้ดินนั้นช่างเป็นอะไรที่โล่งโจ้งนัก นอกจากเตียงศิลาหลังหนึ่ง มันก็ไม่มีอะไรอื่นแล้ว…

 

และตอนนี้มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนทอดกายอยู่บนเตียงศิลาดังกล่าว

 

หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ด้วย คงจดจำได้ทันทีว่าร่างที่นอนอยู่ร่างนี้…ก็คือฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่ถูกกระบี่พลังของเขาพุ่งทะลวงหว่างคิ้วไปในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!

 

ฉีจิ้งนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงอย่างไม่ไหวติง ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น

 

“ท่านพ่อ ท่านปลุกให้มันตื่นได้รึยัง?”

 

ยืนอยู่หน้าเตียงฉีจิ้ง จ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะหันไปถามบิดา

 

ถามเสร็จมันก็หันมามองสำรวจฉีจิ้งบนเตียง แววตาฉายประกายแห่งความปรารถนาออกมาล้นปรี่! หากใครไม่รู้มาเห็นเขามิแคล้วคงคิดว่ามันเป็นบุรุษที่นิยมตัดแขนเสื้อ และสนใจในตัวฉีจิ้งแน่แท้!!

(ตัดแขนเสื้อ = คำเรียกพวกไม้ป่าเดียวกัน)

 

อย่างไรก็ตามแววตาเผยปรารถนาที่จ้าวจี้ใช้มองฉีจิ้งนั้น มิได้พิสวาสในตัวฉีจิ้งแต่อย่างใด เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงในหัวฉีจิ้งต่างหาก!!

 

“ไม่เลย”

 

ได้ยินคำถามของจ้าวจี้ จ้าวเติงส่ายหัวกล่าวตอบ “ตอนนี้วิญญาณของมันยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ หากมันคิดจะตื่นขึ้นอย่างน้อยๆวิญญาณของมันต้องฟื้นฟูหายดีถึง 8 ส่วน! หาไม่แล้วเกรงว่าคงมิอาจตื่นขึ้นมาได้”

 

“แล้วถ้าแค่เรื่องรับรู้เรื่องราวโดยรอบเล่า มันทำได้รึยัง?”

 

จ้าวจี้ถามอีกครั้ง

 

“สมควรทำได้แล้ว”

 

จ้าวเติงพยักหน้า “อย่างไรก็ตามพ่อพยายามสื่อสารกับวิญญาณของมัน ทว่าพ่อมิได้รับการตอบสนองอันใดจากมันเลย…มิรู้ว่ามันจงใจเพิกเฉย หรือไม่อาจติดต่อสื่อสารกับพ่อได้จริงๆกันแน่”

 

“สื่อสารกับวิญญาณ?”

 

ลูกตาจ้าวจี้ลุกวาวขึ้นมาทันที

 

“ท่านพ่อ…ใช่ท่านหมายถึงการส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะหรือไม่?” ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น หากบรรลุถึงขอบเขตเซียนแล้ว นอกจากส่งเสียงผ่านปราณ ยังมีวิธีการสื่อสารอีกวิธี…

 

หากยังไม่บรรลุขอบเขตเซียน สามารถสื่อสารเป็นการลับผ่านการส่งเสียงผ่านปราณแท้หรือพลังงานต้นกำเนิดเท่านั้น ทว่าหลังจากทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตเซียน สามารถใช้พลังวิญญาณที่แปรเปลี่ยนเป็น ‘สำนึกเทวะ’ เพื่อสื่อสารกันได้

 

การสื่อสารประเภทนี้เรียกว่า ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะ และส่วนมากแล้วตัวตนในขอบเขตเซียนระดับสูงที่ใช้สำนึกเทวะคล่องแคล่วแล้ว ก็มักจะใช้วิธีการสนทนาแบบนี้พอๆกับส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิด…

 

“ใช่”

 

จ้าวเติงพยักหน้าอีกครั้ง “ถึงแม้วิญญาณของมันยังอ่อนแอ แต่ไม่ควรส่งผลกระทบต่อการรับรู้เรื่องราวภายนอก…กระทั่งสมควรส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะได้แล้ว”

 

คราวนี้หลังได้ฟังคำจ้าวเติง จ้าวจี้ไม่ตอบคำบิดาอะไร หากแต่หันกลับไปมองยังฉีจิ้งทันที

 

ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของมันก็แผ่ไปยังจิตใจของฉีจิ้ง เร่งส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปทันที “ฉีจิ้ง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ ข้าคือจ้าวจี้แห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง”

 

อย่างไรก็ตามคำพูดที่จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปยังฉีจิ้ง กลับไร้ซึ่งการตอบสนองอันใดจากอีกฝ่าย

 

ทว่ามันไม่ล้มเลิกแต่เพียงเท่านี้

 

“ฉีจิ้ง ข้ารู้ดีว่าตอนนี้เจ้าสมควรฟื้นคืนสติ กระทั่งรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าแล้ว…และเจ้าสมควรตระหนักได้ว่ายามนี้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของเจ้าถูกทำลายลงไปด้วยน้ำมือของตำหนักฟ้าลี้ลับข้าเป็นที่เรียบร้อย…ข้ายังมั่นใจว่าเจ้าสมควรรู้เหตุผลการลงมือของตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราดี…เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง!!”

 

ถึงแม้ฉีจิ้งจะไม่ตอบสนอง หากแต่จ้าวจี้ยังส่งเสียงไปเรื่อยๆ

 

ขณะเดียวกันด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ไปตรวจสอบอย่างละเอียดของจ้าวจี้ มันก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณที่กระจัดกระจายของฉีจิ้งสั่นไหวไปเบาๆ

 

ทันใดนั้นมันก็ยืนยันได้ทันทีว่าฉีจิ้งฟื้นคืนสติแล้ว

 

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่เล่าว่าตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรารู้ได้อย่างไรว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างเจ้ามีเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงไว้ในครอบครอง?”

 

จ้าวจี้ยังคงส่งเสียงผ่านสำนักเทวะกล่าวกับฉีจิ้งอย่างไม่ลดละ

 

อย่างไรก็ตามคราวนี้เศษเสี้ยววิญญาณของฉีจิ้งไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ คล้ายระวังตัวไม่กล้ากระทำผิดพลาดเหมือนก่อนหน้า

 

“ข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องกำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย…เช่นนั้นให้ข้าบอกเจ้า! เหตุผลที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของข้า ล่วงรู้ว่าเจ้าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง ล้วนเป็นเพราะลี่เฟิง!”

 

ลี่เฟิง!!

 

ทันทีที่ข้อความนี้ของจ้าวจี้ถูกส่งไปจบคำ จ้าวจี้ก็สัมผัสได้ทันทีว่าวิญญาณที่กระจัดกระจายของฉีจิ้งกำลังสั่นไหวครั้งใหญ่ คล้ายอารมณ์กำลังพุ่งพล่าน!

 

“ในสายตาของคนอื่น เจ้าได้ถูกลี่เฟิงฆ่าตายไปแล้ว…อย่างไรก็ตามลี่เฟิงที่ลงมือกับเจ้ามันสมควรได้รับแหวนพื้นที่ของเจ้ามาครอง ทำให้มันรู้ดีว่าเจ้ายังไม่ตายและเรื่องนี้มีความเป็นไปได้แค่เพียงอย่างเดียวนั้น…เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชารวมวิญญาณ!”

 

จ้าวจี้ยังส่งข้อความไปอย่างต่อเนื่อง “เคล็ดวิชารวมวิญญาณนี้ มีเพียงเคล็ดบำเพ็ญเต๋าระดับสูงๆของผู้ฝึกเต๋า กับเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงของผู้ฝึกมารเท่านั้นที่มักมีพวกมันพ่วงติดมาด้วย…ข้ากล่าวถูกใช่หรือไม่?”

 

“ลี่เฟิงมันมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับของเจ้างั้นเหรอ?”

 

ในที่สุดเสียงที่คล้ายไม่อาจระงับโทสะได้ไหวก็ดังขึ้นในใจจ้าวจี้…เป็นเสียงผ่านสำนึกเทวะหนึ่งที่ส่งมาถึงใจ!

 

ผู้ที่ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะมาถึงใจจ้าวจี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือฉีจิ้งนั่นเอง!

 

จ้าวจี้กล่าวถึงลี่เฟิงแบบนี้ ทำให้มันไม่อาจระงับอารมณ์ได้สืบไป หรือไม่ก็มันคร้านจะปกปิดอีกต่อไปแล้วก็ไม่ทราบ

 

“ลี่เฟิงมิใช่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…อย่างไรก็ตามศิษย์น้องของมันกลับเป็นศิษย์คนหนึ่งในตำหนักฟ้าลี้ลับของเรา! ขณะเดียวกันศิษย์น้องของลี่เฟิงนั่นก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของข้าด้วย!!”

 

ได้ยินเสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้ง จ้าวจี้ไม่ได้แปลกใจอะไร

 

เหตุผลที่มันกล่าวถึง ‘ลี่เฟิง’ ก็เพื่อยั่วโทสะให้ฉีจิ้งทนไม่ไหว เพราะอย่างไรเสียที่ฉีจิ้งประสบชะตาอนาถแบบนี้ก็เพราะลี่เฟิง!

 

และผลก็ปรากฏออกมาแล้วว่ามันกระทำสำเร็จ ฉีจิ้งไม่อาจระงับโทสะได้ไหว จนต้องกล่าวกับมันในที่สุด!

 

“และข่าวเรื่องที่เจ้าสมควรฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง ล้วนเป็นมันที่แจ้งตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจักมิได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไรในการจับตัวเจ้ามา หากแต่ความดีความชอบทั้งหมดล้วนเป็นของมัน!”

 

จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปอย่างใจเย็น

 

“ศิษย์น้องของลี่เฟิง?”

 

น้ำเสียงของฉีจิ้งเผยความรุนแรงเต็มไปด้วยโทสะอันดุร้ายทันที คล้ายมันอยากฆ่าศิษย์น้องของลี่เฟิงคนนี้ให้ตายกับมือ!

 

“ใช่! มันคือศิษย์น้องของลี่เฟิง!!”

 

จ้าวจี้ย่อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์รุนแรงที่แฝงมากับเสียงผ่านสำนึกเทวะได้ จึงกล่าวตอบกลับไปทันที “มันเรียกว่าหลิงเทียน และมีอาจารย์คนเดียวกันกับลี่เฟิง…หากเจ้าคิดล้างแค้นลี่เฟิง ข้าเกรงว่าเจ้าคงมิมีโอกาสแล้ว เพราะยามนี้ลี่เฟิงมันบรรลุถึงอริยะเซียนและจากภูมิภาคเบื้องล่าง ขึ้นไปหาอาจารย์มันที่ภูมิภาคเบื้องบนเรียบร้อย! อย่างไรก็ตามมิใช่เรื่องยากที่เจ้าจะล้างแค้นหลิงเทียน!!”

 

“ล้างแค้นหลิงเทียน? มิใช่ว่าพวกเจ้าเป็นคนตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นเดียวกันหรือไร? เจ้าคิดปั่นหัวข้าเล่นงั้นเรอะ?”

 

ฉีจิ้งส่งเสียงค่อนแคะตอบกลับผ่านสำนึกเทวะ

 

“ก็จริงที่ข้ากับมันเป็นคนตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นเดียวกัน…แต่ถึงมันจะเป็นคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ทว่ามันก็เป็นศัตรูของข้า! ยังเป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับข้าได้! หากเจ้าคิดฆ่ามันระบายโทสะเพื่อแก้แค้นลี่เฟิง พวกเราสามารถร่วมมือกันได้…”

 

จ้าวจี้กล่าวตอบ

 

“ร่วมมือกับเจ้า ร่วมมืออย่างไร?”

 

ฉีจิ้งกล่าวถามผ่านสำนึกเทวะ น้ำเสียงแฝงอยากรู้อยากเห็นและรอฟังคำตอบอยู่ไม่น้อย

 

“ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องร่วมือกัน ข้าต้องการทราบเรื่องหนึ่ง…เคล็ดบำเพ็ญมารที่เจ้าฝึกฝนบ่มเพาะ เป็นอวิชชาที่ใช้แนวทางอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม หรือเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะทั่วไปไม่ขัดต่อมโนธรรม…”

 

จ้าวจี้กล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง เรื่องนี้สำคัญไม่น้อย และมันยังอยากรู้มาตลอด

 

“ตอนนี้ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง เช่นนั้นเจ้าสมควรรู้ด้วยว่าข้าใช้เวลาแค่เพียงปีเดียวทะลวงขอบเขตพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาจนถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด….เจ้าคิดว่าหากเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ใช้แนวทางฝึกปรือบ่มเพาะพลังธรรมดา…เรื่องพรรค์นี้มันจักเป็นไปได้หรือ?”

 

เผชิญหน้ากับคำถามของจ้าวจี้ ฉีจิ้งเลือกที่จะย้อนถาม…

 

“แล้วเรื่องชั่วร้ายที่จำเป็นต้องทำในการบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารของเจ้าคืออันใด?”

 

จ้าวจี้กล่าวถามอีกครั้ง

 

“เฮอะ…กล่าวไปก็มิได้มีใดมาก เพียงแค่สูบกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีก็เท่านั้น! แต่หลังสูบกลืนแล้วพวกนางก็จักกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว! หากเป็นสตรีพรหมจรรย์ผลลัพธ์ที่ได้จักเพิ่มพูนเป็นสองเท่า! ที่พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์ในเวลาแค่ปีเดียว เป็นเพราะข้าเลือกจะดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีพรหมจรรย์…แน่นอนว่าพวกนางล้วนกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น!!”

 

ฉีจิ้งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย คล้ายไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด…

 

พอจ้าวจี้ได้ยินคำพูดนี้ของฉีจิ้งมันอดไม่ได้ที่จะขนลุกเล็กน้อย ขณะเดียวกันในใจของมันก็คล้ายมีแสงสว่างวาบ กล่าวถามออกไปผ่านสำนึกเทวะด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ไฉนลักษณะที่เจ้าอธิบายมา กลับละม้ายคล้ายวิธีการบ่มเพาะของผู้ฝึกมารที่ปรากฏตัวขึ้นในภูมิภาคเบื้องล่างเมื่อหลายปีก่อน…อย่าได้บอกข้าเชียว ว่าเจ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…”

 

“เคล็ดบำเพ็ญมารอันน่ากลัว…ของมารร้ายยอดฝีมือที่สร้างเภทภัยไปทั่วหล้าครั้งอดีตนั่น!” จ้าวจี้เองก็ย่อมจดจำเรื่องนี้ได้เช่นกัน เพราะนั่นคือเคล็ดบำเพ็ญมารที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในอดีต

 

ตอนนั้นมารร้ายยอดฝีมือที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารๆกลืนหยินนี้ ออกอาละวาดฆ่าฟันก่อมรสุมโลหิตครั้งใหญ่ พาลให้คนทั้งใต้หล้าแค้นเคืองถึงขั้นผนึกกำลังกันหมายปราบมารร้ายผดุงคุณธรรมแทนฟ้า! จนสุดท้ายข่าวคราวของยอดฝีมือฝ่ายมารคนนั้นก็หายไป เสียงลือกันว่ามันได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนแล้ว…

 

ถึงแม้เรื่องราวนี้จะผ่านมาหลายปีดัก หากแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายรู้สึกเสมือนการอาละวาดของผู้ฝึกมารอันร้ายกาจคนนั้นพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แถมนามเคล็ดบำเพ็ญมารอย่าง มารกลืนหยิน ก็แพร่กระจายจนรู้กันไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

 

ด้วยเหตุนี้จ้าวจี้จึงสามารถกล่าวคำ มารกลืนหยิน ออกมาได้ทันทีหลังได้ฟังคำฉีจิ้ง!

 

“โฮ่! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้จัก มารกลืนหยิน ด้วย…มิผิดข้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยิน! กล่าวให้ชัดคือข้าบังเอิญได้รับสืบทอดมรดกของสุดยอดฝีมือมารร้ายผู้นั้น ที่ออกอาละวาดในครั้งอดีต!!”

 

ฉีจิ้งกล่าว

 

“หากข้าจำไม่ผิด…ยามนั้นยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเจ้าก็ถูกมารร้ายตนนั้นสังหารไปด้วยมิใช่หรือไร? หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วอายุคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเจ้าก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ สุดท้ายจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็กลายเป็นขุมพลังชั้น 4….”

 

จ้าวจี้ย่อมรู้ผลกระทบของเรื่องราวหลังจากนั้นดี “กล่าวไปแล้วมารร้ายยอดฝีมือที่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินคนนั้น สมควรเป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเจ้า…แล้วไฉนเจ้าถึงฝึกมารกลืนหยืนได้? คนที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันยินยอมให้เจ้าฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญมารของศัตรูคู่ฟ้าได้อย่างไร?”

 

“นั่นเพราะพวกมันมิได้ล่วงรู้ว่าที่ข้าฝึกปรือคือมารกลืนหยิน…ส่วนตัวข้า ข้าไม่เคยสนใจว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาอันใด ให้ชั่วร้ายเพียงไหนล้วนไร้สำคัญ ขอเพียงให้มันสามารถเพิ่มพลังฝีมือข้าให้กล้าแกร่งสูงล้ำขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น…ล้วนประเสริฐทั้งสิ้น! คนอื่นๆจะว่าอย่างไรก็ช่างหัวมันปะไร!!”

 

ความหยิ่งทะนงเอาแต่ใจไร้แยแสสิ่งใดของฉีจิ้ง นับว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจจ้าวจี้ไม่น้อย

 

“ฉีจิ้ง…”

 

หลังจากนั้นพักหนึ่ง จ้าวจี้พลันส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะกล่าวต่อ “ในอีกครึ่งปีหลังจากนี้ จักมีใครบางคนใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณกับเจ้า…ถึงยามนั้นเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยิน ของเจ้าก็จักตกเป็นของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…แน่นอนว่าตำหนักฟ้าลี้ลับของเราคงมิปล่อยให้ผู้ใดฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยินแน่นอน…”

 

“ส่วนเจ้าเมื่อถูกล้วงความลับออกกมาหมดสิ้น ย่อมไร้ประโยชน์อันใดอีก…เจ้าต้องตาย!”

 

น้ำเสียงที่กล่าวผ่านสำนึกเทวะท้ายประโยค จ้าวจี้พยายามเร่งเร้าอารมณ์ไม่น้อย “เช่นนั้น…พวกเรามาทำข้อตกลงกันเถอะ หากเจ้าส่งมอบเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยิน ให้ข้า…ข้าจะฆ่าศิษย์น้องของลี่เฟิงที่เรียกว่าหลิงเทียนนั่น เพื่อล้างแค้นให้เจ้า!!”

 

ทันทีที่วาจาผ่านสำนึกเทวะของจ้าวจี้ดังจบคำ ฉีจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่งค่อยตอบสนอง “ข้าต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของเจ้าเร่งเร้าอารมณ์ข้ามิน้อย เพียงแค่…ไฉนข้าต้องเชื่อคำเจ้าด้วยเล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด