War sovereign Soaring The Heavens 2013

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 2013 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2,013 : ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน

 

ภายในตำหนักที่อยู่ไม่ไกล เยว่อู๋หยิ่ง ที่ทั่วร่างห่อหุ่มไว้ด้วยชุดคลุมลมดำ กำลังเผยรอยยิ้มสนุกสนานออกมาไม่น้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างหนานกงยี่กับหานเฉวี่ยไน่

 

มันย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าใครคือผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่ว่า!

 

แต่เป็นเพราะผู้เฒ่าพยากรณ์ได้กำชับมันเอาไว้ว่าอย่าได้เปิดเผย มันจึงไม่คิดบอกเรื่องนี้กับใคร

 

“หึหึ ไม่รู้ว่าหานเฉวี่ยไน่จะทำหน้าแบบไหนเมื่อได้เจอ อัจฉริยะปีศาจผู้โชคดีที่นางกล่าวออกในอนาคต?”

 

พอนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าหล่อแบบหวานๆของเยว่อู๋หยิ่งที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้ผ้าคลุมลมดำ ก็เผยรอยยิ้มแสยะออกมาอย่างลี้ลับ ยามมันยิ้มแบบนี้ ช่างบอกยากนักว่าที่แท้มันเป็นหญิงหรือชายกันแน่

 

โชคดีที่หานเฉวี่ยไน่ไม่รู้ความคิดในหัวของเยว่อู๋หยิ่ง

 

หาไม่แล้วนางคงเลือกที่จะบุกเข้ามาตำหนักที่พักของมัน กระทั่งใช้สารพันวิธีเค้นถามจากเยว่อู๋หยิ่งให้จงได้ว่าที่แท้ผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณ!

 

 

ชั่วพริบตา วันเวลาก็ได้ล่วงเลยผันผ่านไปอีก 1 เดือน

 

สำหรับคนธรรมดาแล้ว วันเวลา 1 เดือนก็นับว่ายาวนานไม่น้อย

 

แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กาลเวลาเพียงแค่ 1 เดือนช่างสั้นดุจดั่งลมหายใจเข้าออก

 

ส่วนตะวันตกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลัทธิบูชาไฟ

 

ภายในเกาะลอยแห่งหนึ่งท่ามกลางเกาะลอยมากมายที่ลอยนิ่งงันอยู่รอบๆเกาะหลัก ดั่งดาวที่โคจรอยู่ล้อมเดือน

 

หมู่เกาะเหล่านี้ก็คือเกาะลอยส่วนตัวอันเป็นที่พักของผู้อาวุโสเพลิงทองแดง และเหล่าศิษย์ที่แท้จจริง

 

แอดดด…

 

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูพลันดึงขึ้นจากเกาะลอยแห่งหนึ่ง

 

เป็นต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะพลังมาตลอดทั้งเดือนได้เปิดประตูออกมา ก่อนจะเหินร่างขึ้นมาบนฟ้า

 

เป็นธรรมดาคำตลอดทั้งเดือนที่ว่า ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะอยู่แค่เดือนเดียวเท่านั้น

 

อัตราการไหลของห้วงเวลาในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันเชื่องช้ากว่าโลกภายนอกถึง 10 เท่า!

 

กล่าวได้ว่า…

 

หนึ่งเดือนในโลกภายนอก แต่ภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันได้ผ่านพ้นไปแล้วถึง 300 วัน!

 

หลังผ่านไป 1 เดือน ตอนนี้ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

 

แต่แน่นอนว่าความเปลี่ยนดังกล่าวมันเล็กน้อยมากเสียจนยากจะสังเกตเห็นได้

 

“ไปหาศิษย์พี่หลิวอวิ๋นก่อนดีกว่า จะได้ถามเรื่องของหอคุมกฏดู…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างขึ้นมาบนฟ้าหันมองไปรอบๆค่อยกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็เหินออกจากเกาะลอยของตัวเอง มุ่งหน้าไปยังเกาะลอยแห่งหนึ่ง

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนไม่เคยลืมเลือนเป้าหมายการมาลัทธิบูชาไฟของเขาเลย

 

ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็บังเอิญพบพานกับศิษย์ที่แท้จริง 2 คนกำลังเหินร่างสวนผ่านมาพอดี แน่นอนว่าเขามองไปยังพวกมันรอบหนึ่งแต่ไม่ได้ทักทายอะไรเพราะเขาไม่รู้จัก

 

ศิษย์ที่แท้จริง 2 คนนี้ก็ไม่รู้จักต้วนหลิงเทียน

 

“เอ๋? ในบรรดาศิษย์ที่แท้จริงมีเจ้านี่อยู่ด้วยงั้นเหรอ?”

 

ศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งเมื่อเหินร่างสวนกับต้วนหลิงเทียนไปได้สักพักมันก็หยุดร่างลง ก่อนที่จะหันมองย้อนไปดูต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินร่างห่างออกไปไวๆ ในแววตาเผยความสงสัยออกมาไม่น้อย “ข้าว่าข้าจำหน้าศิษย์ที่แท้จริงทั้ง 170 คนได้ครบแล้วนี่นา…แต่ดูเหมือนข้าจะพึ่งเคยเห็นเจ้านั่นครั้งแรก”

 

ศิษย์ที่แท้จริงคนดังกล่าวหลังพึมพำจบ ก็หันไปมองถามศิษย์ที่แท้จริงที่หยุดร่างลงข้างๆด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเคยเห็นหน้ามันรึเปล่า?”

 

“ไม่เลย ข้าก็พึ่งเคยเห็นมันเหมือนกัน”

 

ศิษย์ที่แท้จริงอีกคนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อ “บางทีเจ้านั่นมันอาจจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงคนใหม่ก็ได้…”

 

“ศิษย์ที่แท้จริงคนใหม่งั้นเหรอ….เฮ่ย!”

 

ศิษย์ที่แท้จริงคนแรกพอได้ฟังก็กล่าวซ้ำทวนคำ กล่าวไปไม่ทันไรมันก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ เร่งหันไปมองกล่าวกับสหายข้างๆด้วยความตกใจ “ศิษย์ที่แท้จริงคนใหม่…เจ้าว่า…เจ้านั่น…มันจะใช่ต้วนหลิงเทียนรึเปล่า!?”

 

“ต้วนหลิงเทียน? จริงด้วย! ต้วนหลิงเทียน!?”

 

ทันใดนั้นศิษย์ที่แท้จริงก็เผยทีท่าครุ่นคิดก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอาการ มันก็กล่าวออกด้วยสีหน้าหวั่นหวาด  “เจ้ากล่าวมาแบบนี้ข้าว่าเป็นไปได้หลายส่วน! เพราะดูเหมือนช่วงนี้จะมีแค่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่พึ่งกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริง!!”

 

เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงก็เป็นอะไรที่เหล่าศิษย์ชั้นยอดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์รู้กันทั่ว

 

กระทั่งเหล่าศิษย์ที่แท้จริงทั้งหลาย ขอเพียงไม่ใช่คนที่ออกไปทำภารกิจนอกลัทธิ หรือคนที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเกินเดือน แทบจะทั้งหมดก็ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของต้วนหลิงเทียนหมดแล้ว

 

อย่างไรก็ตามพวกมันส่วนใหญ่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาต้วนหลิงเทียน

 

“พลังของหยางเหวินที่กินโอสถต้องห้ามไปแบบนั้น หากเป็นข้าที่ต้องประมือกับมันบนสังเวียนเป็นตาย ข้าได้ตายอนาถแน่ แต่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าทั้งๆที่มันกินโอสถต้องห้ามไปแล้วยังเป็นฝ่ายตายคามือต้วนหลิงเทียนคนนั้น!”

 

ศิษย์ที่แท้จริงที่กำลังมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่จากไปไวๆ กล่าวออกมาด้วยแววตาหวั่นเกรง “พลังฝีมือของเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันสูงกว่าข้ามากจริงๆ…”

 

“เหอะๆ…ยังสูงกว่าข้าด้วย”

 

ศิษย์ที่แท้จริงอีกคนก็ได้แต่เผยรอยยิ้มแห้งๆออกมา

 

ถึงแม้พวกมันทั้งคู่จะเป็นศิษย์ที่แท้จริงที่พลังฝีมือติดอันดับในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง แต่พลังฝีมือของพวกมันก็เหนือกว่าหยางเหวินแค่เล็กน้อย แถมอันดับในทำเนียบก็เรียกว่าอยู่รั้งท้าย

 

“หือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่เหินจากไปสักพักพลันสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมายังแผ่นหลังเขาไม่วางตา เขาพลันชะรอความเร็วลงเล็กน้อย แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาที่มองมาไร้จิตมุ่งร้ายใดๆ เขาก็เร่งความเร็วไปต่อ

 

ใช้เวลาไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างลุมาถึงเกาะลอยแห่งหนึ่งในบรรดาหมู่เกาะลอยที่อยู่รอบๆเกาะหลัก

 

นอกจากเกาะลอยจะมีขนาดเท่าๆกันแล้ว ยังมีคฤหาสน์หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่เหมือนเกาะลอยของเขา รูปทรงยังเหมือนกันกับคฤหาสน์เขาราวกับจะถอดพิมพ์เดียวกันมา

 

และที่นี่ก็คือสถานที่พักอาศัยของหลิวอวิ๋น

 

เนื่องจากการเดินทางจากเกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปยังเกาะลอยที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่จำต้องผ่านเกาะลอยเกาะนี้ หลิวอวิ๋นจึงแนะนำให้เขารู้ว่าที่นี่คือที่พักของมัน

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น”

 

ร่างต้วนหลิงเทียนที่เหินลอยอยู่ด้านนอกเกาะลอย พลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบา คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นพุ่งผ่านอากาศไปฉับไวข้ามผ่านม่านพลังของค่ายกลป้องกันของเกาะลอยไปอย่างไร้ติดขัด บรรลุถึงคฤหาสน์หลังโตเบื้องหน้าในเวลาชั่วอึดใจ

 

หากหลิวอวิ๋นกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังไม่เบาของเขา กว่ามันจะแทรกผ่านตัวคฤหาสน์เข้าไปถึงด้านใน มันก็ถูกลดทอนลงจนแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ หลิวอวิ๋นที่เข้าฌาณอยู่ย่อมไม่มีทางได้ยิน!

 

แต่ถ้าหลิวอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ ย่อมต้องได้ยินเสียงของเขาทันที

 

วูบ!!

 

และแทบจะพร้อมกันกับที่คำพูดของต้วนหลิงเทียนดังเข้าไปถึงด้านในตำหนัก ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาบนทองฟ้าเหนือตำหนัก คนคล้ายสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน

 

“ศิษย์น้องหลิงเทียน!”

 

ผู้มาย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลิวอวิ๋นเอง หลังจากทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม มันก็ผายมือเชิญต้วนหลิงเทียนลงไปด้านล่างทันที

 

สถานที่พักอาศัยของศิษย์ที่แท้จริงไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น กระทั่งภายในยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะก็เท่าเทียมกัน

 

และคราวนี้เป็นฝ่ายหลิวอวิ๋นเชื้อเชิญให้ต้วนหลิงเทียนมานั่งยังเก๋งในลานด้านหน้าคฤหาสน์ของมันแทน

 

“ศิษย์น้องหลิงเทียนเจ้ามาหาข้าแบบนี้ หรือมีเรื่องสำคัญกัน?”

 

หลังจากที่นังลงเรียบร้อย หลิวอวิ๋นในฐานะเจ้าบ้านก็สะบัดมือเรียกเหยือสุราสีเขียวหยกพร้อมจอกหยกออกมา 2 ชุดก่อนที่จะกล่าวถามออกมาขณะรินสุราให้ต้วนหลิงเทียน

 

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกศิษย์พี่หลิวอวิ๋น…แค่มีบางเรื่องที่ข้าอยากรู้เท่านั้น”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเป็นการขอบคุณก่อนที่จะหยิบจอกสุรามาสูดดมค่อยกล่าวตอบ ค่อยจิบสุราบางๆคำหนึ่ง

 

“เรื่องอะไรรึ?”

 

หลิวอวิ๋นกล่าวถามออกมาขณะรินสุราให้ตัวเอง

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น ท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามากขนาดไหนหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอย่างไม่ลังเล

 

“หอคุมกฏรึ?”

 

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิวอวิ๋นผงะไปเล็กน้อยค่อยมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย “ศิษย์น้องหลิงเทียน ไฉนอยู่ๆเจ้าถึงสนใจหอคุมกฏขึ้นมาได้เล่า?”

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นท่านจำได้หรือไม่ เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วมีอาวุโสเพลิงทองแดงคนหนึ่ง ไม่พอใจในคำตัดสินของหอคุมกฏจึงคิดยื่นอุทธรณ์รื้อฟื้นคดี แต่สุดท้ายก็ถูกหอคุมกฏตัดสินประหารโทษฐานดูหมิ่น…เรื่องนี้ท่านพอจำได้หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่ตอบคำถามของหลิวอวิ๋น แต่ยังเลือกที่จะย้อนถามกลับไป

 

“อ้อ…จำได้สิ กล่าวไปเรื่องนี้ดังไม่น้อยเลยทีเดียว ข้าจำได้ว่าอาวุโสเพลิงทองแดงคนนั้นเรียกว่าเว่ยเหอ ดูเหมือนมันจะเป็นศิษย์เอกของอาวุโสหลี่อันของแท่นบูชาเต่าทมิฬเจ้าด้วยนี่…จะว่าไปเรื่องที่มันถูกหอคุมกฏประหารตายตกไปแบบนั้น สมควรเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่?”

 

หลิวอวิ๋นพยักหน้ากล่าวตอบ

 

อาวุโสเพลิงทองแดงคนหนึ่ง กลับถูกหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตัดสินประหารชีวิตข้อหาดูหมิ่นเกียรติและความเที่ยงธรรมของหอคุมกฏ เรื่องนี้นับว่าใหญ่โตไม่น้อย ศิษย์ชั้นยอดรวมถึงศิษย์ที่แท้จริงที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมเคยได้ยินผ่านหูมาไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง

 

“อย่างที่ท่านคิดมันเกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ และก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่ล่ะ ถึงทำให้ข้าบังเกิดความสนใจในหอคุมกฏขึ้นมา…ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นหากท่านรู้รายละเอียดของหอคุมกฏ รบกวนท่านช่วยบอกให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิวอวิ๋นด้วยสายตาท่าทีอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม

 

หลิวอวิ๋นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ ค่อยกล่าว “ย่อมได้แน่นอน ข้าคงไม่ต้องบอกเกี่ยวกับหน้าที่ของหอคุมกฏนะ เพราะเรื่องนี้เจ้าสมควรรู้อยู่แล้ว…แต่ข้าจะบอกเรื่องบุคลากรในหอคุมกฏเท่าที่ข้ารู้ให้เจ้าฟังแล้วกัน”

 

ได้ยินคำตอบของหลิวอวิ๋น สองตาต้วนหลิงเทียนคล้ายเปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นมาทันใด นี่คือสิ่งที่เขาอยากรู้

 

“ในหอคุมกฏนั้นถูกผู้มีอำนาจสูงสุดก็คือจ้าวหอคุมกฏ และจ้าวหอคุมกฏก็อยู่ภายใต้คำสั่งของท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟเราโดยตรง รองลงมาก็จะเป็นรองจ้าวหอคุมกฏทั้ง 3 ซึ่งแบ่งหน้าที่กันควบคุมดูแลอาวุโสคุมกฏที่เป็นอาวุโสเพลิงเงินให้ไปจัดการเรื่องราวต่างๆตามความเหมาะสม แล้วก็ยังมีอาวุโสเพลิงทองแดงรวมถึงศิษย์ที่แท้จริงที่สมัครเข้าไปทำงานในหอคุมกฏ…”

 

หลิวอวิ๋นกล่าวเล่าออกมา

 

ศิษย์ที่แท้จริงที่สมัครเข้าไปทำงานในหอคุมกฏ?

 

แทบจะทันทีที่วาจานี้ของหลิวอวิ๋นดังออกมา ใจของต้วนหลิงเทียนพลันเต้นผิดจังหวะไปทันที!

 

เนื่องจากที่ศิษย์ที่แท้จริงสามารถสมัครเข้าไปทำงานในหอคุมกฏได้ ไม่ใช่หมายความว่าเขาก็มีโอกาสแทรกซึมเข้าไปในหอคุมกฏได้หรือไง?

 

ทันใดนั้นใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นรัวขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

 

เพราะหากเขาเข้าไปทำงานในหอคุมกฏได้จริง ไม่ใช่ว่าโอกาสที่เขาจะได้เจอแม่ลูกเค่อเอ๋อมันมีมากขึ้นหรือไง!?

 

ยิ่งคิดใจต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขาอยากรู้นักว่าทำอย่างไรถึงจะได้เข้าไปในหอคุมกฏ เขาอยากเจอเค่อเอ๋อกับลูกเหลือเกิน

 

เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาห่างกับเค่อเอ๋อ ใจเขาย่อมคิดถึงนางไม่น้อย ยังมีลูกสาวที่เขาไม่เคยเห็นหน้าอีกคน ‘ไม่รู้ลูกสาวตัวน้อยของข้าจะหน้าตาเหมือนเค่อเอ๋อหรือข้ามากกว่ากัน…’

 

พอคิดถึงเรื่องนี้แววตาของต้วนหลิงเทียนพลันอ่อนโยนลงทันใด มองไปให้ความรู้สึกดั่งคล้ายสายน้ำไหลเอื่อย

 

ทว่าต้วนหลิงเทียนสามารถเก็บอาการได้ในชั่วพริบตา หลิวอวิ๋นจึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาอ่อนโยนของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นเท่าที่ข้ารู้มา อาวุโสเพลิงทองทั้ง 10 คนของลัทธิบูชาไฟ ต่างก็แยกย้ายกันไปประจำการที่แท่นบูชาจตุรลักษณ์ รวมถึงควบคุมดูแลป้องกันพื้นที่ทำเหมืองกันจนหมด…เช่นนั้นก็ไม่มีอาวุโสระดับเพลิงทองอยู่ในหอคุมกฏเลยน่ะสิ หมายความว่าจ้าวหอคุมกฏกับรองจ้าวหอทั้ง 3 ก็เป็นแค่อาวุโสเพลิงเงินอย่างนั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนสงสัยเรื่องนี้ไม่น้อย

 

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องหลิงเทียนลองเจ้าถามแบบนี้ออกมาได้ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของหอคุมกฏจริงๆ…ตั้งแต่ที่ลัทธิบูชาไฟเราก่อตั้งมา ไม่ว่าจะจ้าวหอคุมกฏหรือรองจ้าวหอคุมกฏที่หอคุมกฏของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เรา ล้วนมีฐานะต่างออกไปจากอาวุโสของลัทธิบูชาไฟเรามากนัก”

 

หลิวอวิ๋นกล่าวสืบต่อ “หอคุมกฏนั้นเสมือนแยกตัวเป็นเอกเทศ ไม่ข้องเกี่ยวกับอำนาจปกครองในลัทธิบูชาไฟของพวกเรา และขึ้นตรงกับจ้าวลัทธิบูชาไฟแค่คนเดียวเท่านั้น ในแง่ของพลังฝีมือจ้าวหอคุมกฏก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ารองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 ของพวกเราแม้แต่น้อย!”

 

“และพลังฝีมือของรองจ้าวหอคุมกฏทั้ง 3 ก็สามารถทัดเทียมได้กับอาวุโสเพลิงทองที่พิทักษ์แท่นบูชาจตุรลักษณ์!”

 

หลิวอวิ๋นกล่าวร่ายยาวออกมา มันเองก็มีความเข้าใจในหอคุมกฏไม่น้อย เช่นนั้นเรื่องที่มันกล่าวย่อมทำให้ต้วนหลิงเทียนรับรู้โครงสร้างบุคลากรภายในของหอคุมกฏได้กระจ่าง

 

“เป็นแบบนี้นี่เอง”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยมองถามหลิวอวิ๋นออกมาด้วยความสนใจ “ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น แล้วเรื่องศิษย์ที่แท้จริงสามารถสมัครเข้าไปทำงานที่หอคุมกฏได้เล่า…พวกมันต้องทำอย่างไรหรือถึงจะเข้าไปทำงานในหอคุมกฏแบบนั้นได้?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด