War sovereign Soaring The Heavens 2009

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 2009 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2,009 : พี่สาวเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยน?

 

หากหยางเหวินที่อยู่ในปรโลกได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนใช้ศพมันต่างหินรองเท้า ก้าวขึ้นไปเป็นศิษย์ที่แท้จริงแทนมัน ไม่แคล้วมันคงได้กระอักเลือดตายอีกรอบ!

 

หลังจากที่เข้ามาเป็นศิษย์ที่แท้จริงแทนที่หยางเหวิน ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับสิทธิ์ในการพักอาศัยอยู่ในเกาะส่วนตัวที่หยางเหวินเคยเป็นเจ้าของ

 

เกาะลอยนี้กว้างขวางนัก ยังมีคฤหาสน์หลังโตปลูกสร้างอยู่!

 

“ศิษย์น้องหลิงเทียน…นี่คือที่ๆหยางเหวินเคยอยู่”

 

ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถพบเกาะส่วนตัวของหยางเหวินได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดต้องขอบคุณหลิวอวิ๋นที่ลำบากพาเขามาส่ง

 

อีกทั้งวันนี้หลิวอวิ๋นยังพาเขาไปทำเรื่องยกระดับฐานะให้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริง และหลังจากทำเรื่องอยู่ไม่นานในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงอย่างเป็นทางการ!

 

หลิวอวิ๋นนั้นเป็นคนเย็นนอกอุ่นใน

 

หากเป็นคนสนิทแล้วมันก็นับเป็นคนเปิดเผยจริงใจมากอัธยาศัยคนหนึ่ง หาได้เย็นชาเหินห่างอย่างคนนอก

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นเข้าไปนั่งพักจิบชาก่อนดีหรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มชวน

 

“เอาไว้ครั้งหน้าเถอะ”

 

หลิวอวิ๋นบอกปัดอย่างสุภาพ “วันนี้เจ้าวิ่งวุ่นมาทั้งวันสมควรเหนื่อยไม่น้อย ข้าไม่รบกวนเวลาเจ้าพักผ่อนดีกว่า”

 

“ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกศิษย์พี่อวิ๋น”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อ “อันที่จริงจุดประสงค์หลักของข้าคือคิดถามเรื่องราวอะไรจากท่านบางอย่าง…หากท่านไม่ขัดข้องอะไรข้าอยากเชิญท่านเข้าไปนั่งสนทนากันด้านใน แต่ถ้าท่านไม่สะดวกเอาไว้คราวหน้าก็ได้”

 

“ข้ามิได้มีใดไม่สะดวก”

 

หลิวอวิ๋นส่ายหัวกล่าว “ข้าเพียงแต่คิดว่าจะรบกวนเจ้าเท่านั้น…อย่างไรวันนี้ศิษย์น้องหลิงเทียนไม่เพียงประลองเป็นตายมา ยังไปเดินดูนู่นนี่นั่นทั้งวันไม่ได้พัก ไหนจะไปทำเรื่องยกระดับฐานะเมื่อครู่อีก”

 

เมื่อไม่ขัดข้องอะไรหลิวอวิ๋นก็ตอบรับคำชวนของศิษย์น้องอย่างต้วนหลิงเทียน เหินร่างติดตามไปยังเกาะลอยเบื้องหน้า

 

มองไปบนเกาะมีคฤหาสน์กว้างขวางใหญ่โตนัก อีกทั้งม่านพลังกางกั้นจากค่ายกลป้องกันคลุมไว้รอบเกาะ ไม่ให้ใครสามารถบุกรุกเข้าไปรบกวนผู้อาศัยได้ง่ายๆ

 

และค่ายกลนี้ก็เป็นดั่ง ‘ประตู’ ที่จำเป็นต้องมี ‘กุญแจ’ เปิด!

 

หากไม่มีกุญแจ ก็ไม่อาจเปิดค่ายกลเข้าไปได้เลย!

 

แต่เป็นธรรมดาว่าหากท่านเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์หรือสูงกว่าก็สามารถใช้กำลังบุกฝ่าเข้าไปได้

 

อย่างไรก็ตามหากกระทำเช่นนั้นย่อมเป็นการแจ้งเตือนอาวุโสที่ทำการลาดตระเวนรักษาความเรียบร้อย! เมื่อถูกจับได้จะถูกส่งไปรับโทษสภานหนักที่หอคุมกฏ!!

 

วูบ

 

หงายฝ่ามือขึ้น พลันปรากฏป้ายหนึ่งผุดโผล่จากความว่าง เป็นป้ายประจำตัวของต้วนหลิงเทียน และยังมีสัญลักษณ์เฉพาะบ่งบอกฐานะศิษย์ที่แท้จริง!

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนถ่ายพลังเซียนสุริยันลงไปยังตัวป้าย ตัวป้ายก็เรืองแสงขึ้นมาเรืองๆ ค่อยเปล่งพลังลึกลับขุมหนึ่งออกมา และมวลพลังดังกล่าวพุ่งไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าคล้ายมีสิ่งใดชี้นำ!

 

และทันใดนั้นเองความว่างเปล่าเบื้องหน้าก็กระเพื่อมดั่งระลอกน้ำ!

 

และระลอกน้ำที่ก่อเกิดท่ามกลางความว่าง ก็คล้ายจะแหวกเปิดเป็นประตูทางผ่าน!

 

“ช่างวิเศษจริงๆ!”

 

ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย

 

แม้เขาจะได้ยินมาแล้วว่าคิดเข้าเคหะสถานส่วนตัวบนเกาะลอยของเหล่าศิษย์ที่แท้จริงจำต้องใช้ป้ายประจำตัวที่เป็นดั่งกุญแจเปิดค่ายกลอย่างไร…

 

แต่พอได้เห็นความอัศจรรย์ดังกล่าวกับตัว ก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

 

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิวอวิ๋นก็ไม่รอช้า เหินร่างลอดผ่านช่องว่างดังกล่าวเข้าไปทันที

 

หลังจากที่ผ่านเข้าไปแล้วความว่างโดยรอบก็เริ่มสั่นกระเพื่อมดั่งระลอกน้ำอรกครั้ง ก่อนที่จะขยับเคลื่อนปิดตัว พริบตาทุกอย่างก็หวนคืนสู่สภาพปกติ ยากจะแลเห็นได้ว่ามีม่านพลังโปร่งใสไร้สภาพจากค่ายกลปิดกั้นอยู่

 

เมื่อเข้าสู่คฤหาสน์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาหลิวอวิ๋นไปนั่งที่เก๋งข้างสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ทันที

 

ลานด้านหน้านั้นกล่าวได้ว่ามีพื้นที่กว้างขวางนัก ไม่เพียงมีดอกไม้ปลูกเป็นริ้วแถวเรียงราย ยังมีสระน้ำอีกด้วย

 

มีทางหินอ่อนทอดยาวแหวกทุ่งดอกไม้ไปยังหน้าประตูหน้าคฤหาสน์ ทั้งมีทางแยกยิบย่อยออกไปด้านข้างนำไปสู่เก๋งหลังหนึ่ง

 

ในเก๋งรูป 6 เหลี่ยมก็จัดแจงไว้อย่างเรียบง่ายนัก มีเพียงโต๊ะหินอ่อนตัวใหญ่ตรงกลาง กับม้านั่งที่ทำจากหินอ่อนตั้งเรียงไว้ไว้รอบโต๊ะดังกล่าว

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นเชิญนั่ง”

 

ต้วนหลิงเทียนผายมือเชิญหลิวอวิ๋นให้เดินเข้ามาในเก๋ง 6 เหลี่ยม ก่อนที่จะนั่งลงทั้งสะบัดมือหยิบชุดน้ำชาออกมา  เพียงเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันเล็กน้อย ก็ชงชากาหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ยามรินชาใส่จอก ควันร้อนกรุ่นๆพลันขโมงโฉงเฉงหอบกลิ่นหอมจรุงหนึ่งเตะจมูก

 

“อืม…ชาดี ศิษย์น้องหลิงเทียน มิทราบเจ้าคิดถามไถ่ข้าเรื่องใดหรือ?”

 

หลังจากนั่งลงและรับจอกชาที่ต้วนหลิงเทียนส่งให้ หลิวอวิ๋นก็รับมันมาจิบบางๆ ค่อยเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออก

 

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น แม้ข้าจะพึ่งมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน แต่วันที่ข้ามาถึงข้าบังเอิญได้ยินข่าวลือมาเรื่องหนึ่ง และพอดีเรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน ข้าเลยอยากถามศิษย์พี่หลิวอวิ๋นดูว่าที่แท้มันเป็นเรื่องราวอะไรกันแน่”

 

ขณะกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เคร่งขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นว่าสงสัยใคร่รู้

 

“ขอศิษย์น้องหลิงเทียนอย่าได้ห่วงไป หากเป็นเรื่องที่ข้ารู้ ข้าย่อมกล่าวบอกต่อเจ้าอย่างไม่คิดปิดบัง”

 

หลิวอวิ๋นยิ้มกล่าวพร้อมให้คำรับประกัน

 

มันย่อมรู้ดีว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลือง แม้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบันเป็นอะไรที่มันไม่อาจเทียบ ทว่าในอนาคตต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจเทียบมันได้เช่นกัน

 

แต่เนื่องจากญาติของมันถูกชะตาคนผู้นี้และเห็นอีกฝ่ายเป็นสหาย มันเองก็ยึดถือว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่น่าคบหาไว้เป็นสหายคนหนึ่ง

 

แต่แน่นอนว่าที่มันเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นสหายยังไม่ได้มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น

 

เหตุผลที่ว่าก็คือ…

 

มันบังเกิดสังหรณ์อันแรงกล้า ยังเป็นสังหรณ์จากสัญชาติญาณของมัน! ว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของต้วนหลิงเทียนคนนี้ อาจไม่ได้หยุดลงแค่เล็กน้อยดั่งที่ใครหลายๆคนปรามาสเอาไว้!

 

แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น กระทั่งตัวมันเองก็ไม่อยากจะเชื่อถือสักเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายแล้วพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็เป็นเพียงรากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น…

 

อย่างไรก็ตามแม้มันจะไม่อยากยึดถือสัญชาตญาณนี้เป็นจริงจัง แต่มันก็ไม่คิดดูเบาต้วนหลิงเทียนเพียงเพราะเรื่องนี้อีก

 

“ได้ยินคำของศิษย์พี่หลิวอวิ๋น ข้าก็โล่งใจไม่น้อย”

 

ต้วนหลิงเทียนฉีกยิ้มบางๆ ค่อยมองถามออกมาทันที “ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นเรื่องที่ข้าบังเอิญได้ยินศิษย์ชั้นยอดพูดกันวันนั้น…เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ธิดาเทพ ของลัทธิบูชาไฟกับลูกสาวที่ถูกกักขังอะไรสักอย่าง…ไม่ทราบว่ามันคืออะไรหรือ แล้วธิดาเทพที่แท้คืออะไรกันแน่?”

 

แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าของหลิวอวิ๋นพลันเผยความตึงเครียดจริงจังขึ้นมาทันที มันยังหันมองไปรอบๆอย่างระแวง ค่อยกระซิบกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน “ศิษย์น้องหลิงเทียน เรื่องนี้เจ้าสมควรระวังให้มาก…”

 

“ไม่เป็นไรหากพวกเราสนทนากันในที่ส่วนตัวเช่นนี้…แต่เจ้าอย่าได้นำเรื่องนี้ไปกล่าวภายนอกเด็ดขาด! หาไม่แล้วเกิดมีอาวุโสคุมกฏคนใดบังเอิญได้ยิน หรือมีคนคาบข่าวนี้ไปแจ้งอาวุโสคุมกฏขึ้นมาล่ะก็…พวกเรามิแคล้งถูกลงทัณฑ์สถานหนัก! เพราะทางหอคุมกฏสั่งห้ามมิให้ศิษย์กล่าวถึงเรื่องของ ‘ธิดาเทพ’ โดยเด็ดขาด!!”

 

วาจากล่าวเตือนท้ายประโยคของหลิวอวิ๋น เสียงยังเข้มไม่น้อย ลมหายใจยังคล้ายจะเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง

 

“อันที่จริงก็เพราะข้าบังเอิญได้ยินเหล่าศิษย์กล่าวกันด้วยเสียงกระซิบนี่ล่ะ ข้าจึงบังเกิดความสงสัย ว่าที่แท้มันเรื่องราวอะไรกันแน่…”

 

ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้แลดูเป็นมิตรไม่มีพิษภัยต่อสรรพชีวิต “ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นขอท่านอย่าได้ห่วงไป เรื่องนี้ข้าเพียงสนทนากับท่านที่นี่เท่านั้น…ไม่คิดปริปากพูดข้างนอกเด็ดขาด”

 

“อีกทั้งข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น…ว่า ธิดาเทพ ที่แท้คืออะไร? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟคนนี้ เพราะเท่าที่ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของลัทธิบูชาไฟมา ข้าไม่เคยเห็นเคยได้ยินเรื่องว่าที่นี่มีธิดาเทพอะไรมาก่อน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

 

ต่อหน้าหลิวอวิ๋นเขาย่อมไม่กล้ากล่าวเล่าความจริงทั้งหมดออกมา แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อใจหลิวอวิ๋น แต่เรื่องนี้สำคัญมากเกินไป และเขาไม่อยากให้หลิวอวิ๋นต้องมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้!

 

ดังนั้นเขาทำได้แค่เลียบๆเคียงๆกล่าวถามเรื่องเค่อเอ๋อเท่านั้น

 

“กล่าวบอกเจ้าตามตรง ข้าเองก็มิได้รู้เรื่องราวของธิดาเทพมากนัก เพียงได้ยินคนเล่ามาอีกทีเช่นกัน…”

 

หลิวอวิ๋นหมุนถ้วยชากล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “เห็นว่าเมื่อหลายสิบปีที่แล้วยามที่ธิดาเทพนางนี้ถือกำเนิดขึ้น นางก็ถูกลัทธิบูชาไฟยกให้เป็นธิดาเทพทันที…”

 

“ทว่าหลังจากนั้นไม่ทราบที่แท้เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกันแน่ แต่อยู่ๆธิดาเทพก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ…จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทางลัทธิได้พบเบาะแสของธิดาเทพ จนสามารถไปนำตัวนางทั้งลูกสาวกลับมายังลัทธิบูชาไฟจนได้…”

 

“เห็นว่าผู้ที่พบตัวธิดาเทพกับลูกสาวคนแรกก็คือศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยน”

 

“ศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยน?”

 

ต้วนหลิงเทียนชักสีหน้าคล้ายงุนงงไปไม่น้อย…ทว่าในใจเขายืนยันได้เรื่องหนึ่ง!

 

ศิษย์พี่หญิงที่หลิวอวิ๋นเรียกหาว่า ‘ก่านหรูเยี่ยน’ นั้น สมควรเป็นมือสังหารหญิงของตลาดมืดหยินชานนาม ‘ชื่อเม่ย’  ที่อ้างตัวว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อไม่ผิดแน่!

 

และต้วนหลิงเทียนยังจดจำได้ดีว่าหน้าตาของนางแทบจะเหมือนกับเค่อเอ๋อราวกับแกะ!

 

‘ไม่รู้ว่าตอนนี้ชือเม่ยหรือก่านหรูเยี่ยนนั่นมันค้นพบตัวตนที่แท้จริงของข้าหรือยัง เพราะตอนนี้ชื่อข้าก็เริ่มมีชื่อเสียงในลัทธิบูชาไฟไม่น้อย’

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลึกลงไปในแววตาของต้วนหลิงเทียนฉายประกายเย็นชาออกชัด

 

ตอนแรกหลังจากที่เค่อเอ๋อถูกนางพาตัวไป เขากลับไร้เดียงสานัก! หลงคิดว่านางจะไม่มีวันทำร้ายเค่อเอ่อแน่นอน! แต่สุดท้ายนางกลับพาตัวเค่อเอ๋อกับลูกมาส่งลัทธิบูชาไฟด้วยตัวเอง! สายตาเป็นห่วงเป็นใยนั่นที่แท้เป็นการเสแสร้งแสดงอย่างแนบเนียนกระทั่งเขายังดูไม่ออก!!

 

‘ก่านหรูเยี่ยน นางมารร้าย! เจ้าช่างมีจิตใจชั่วร้ายอำมหิตนัก…กับน้องสาวฝาแฝดและหลานเจ้าแท้ๆยังสามารถผลักไสพวกนางให้ลงกองไฟโดยการพาตัวกลับมารับโทษตายที่ลัทธิบูชาไฟ!’

 

คิดถึงเรื่องนี้ แววตาต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะมีเพลิงโทสะกองหนึ่งลุกโชนขึ้นมา

 

“เจ้าพึ่งเข้ามาอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคงยังไม่ทันรู้จักศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยนสินะ…”

 

หลิวอวิ๋นกล่าวสืบต่อ “ศิษย์พี่ก่านหรูเยี่ยนที่ข้ากล่าวถึง นางก็เป็น ‘ศิษย์ที่แท้จริง’ เหมือนพวกเรา และที่ข้าเรียกหานางว่าศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยน เพราะพลังฝีมือของศิษย์พี่หญิงช่างสูงส่งนัก! ศิษย์พี่หญิงรั้งอยู่ในอันดับที่ 7 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง! และยังติดอันดับที่ 951 ในรายนามยอดเซียน!!”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาของหลิวอวิ๋นเผยความยำเกรงไม่น้อย

 

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็มีความเข้าใจในตัวชือเม่ยมากขึ้น

 

ปรากฏว่าที่แท้นามที่แท้จริงของสตรีที่ร้ายกาจปานสัตว์ประหลาดคนนั้นก็คือ ก่านหรูเยี่ยน

 

ที่สำคัญกระทั่งในลัทธิบูชาไฟ นางยังถือเป็นสุดยอดอัจฉริยะระดับแนวหน้า!

 

“นอกจากนั้นศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยนยังเป็นสุดยอดอัจฉริยะปีศาจที่ยากจะหาผู้ใดเทียบเทียมได้คนหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟเรา เพราะนางมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีคราม! อีกทั้งอาจารย์ของนางก็คือ ท่านผู้พิทักษ์ชิงหั่ว 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟเรา!!”

 

หลิวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่องนี้เขาก็อดตกไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะเขาไม่คิดเลยว่าพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อไม่เพียงแต่จะมีรากวิญญาณสีคราม แต่นางยังเป็นถึงศิษย์ส่วนตัว 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ!

 

‘ไม่น่าแปลกใจเลยไฉนที่นางหักใจลงมือเหี้ยมโหดผลักไสน้องสาวกับหลานสาวลงกองเพลิงได้อย่างไร้ใจ…ที่แท้นางเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้พิทักษ์นี่เอง’

 

‘ไม่พ้นนางต้องอยากได้รับความดีความชอบจากอาจารย์ ถึงขั้นลงมือชั่วช้าสละได้กระทั่งชีวิตน้องสาวและหลานสาวของตัวเอง!’

 

ต้วนหลิงเทียนแม้จะตกตะลึงกับความจริงที่พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามและเป็นถึงศิษย์ส่วนตัวของชนชั้นผู้พิทักษ์ลักทธิบูชาไฟ แต่ในใจไม่เพียงไม่หวาดกลัว แต่ความแค้นในใจยิ่งมายิ่งลุกโหมดั่งเพลิงพิโรธ!!

 

“และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ…กล่าวกันว่าศิษย์พี่ก่านหรูเยี่ยนคนนี้ ยังเป็นพี่สาวฝาแฝดของธิดาเทพ!”

 

เมื่อหลิวอวิ๋นกล่าวถึงประโยคนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหยีตาลง แกล้งทำเป็นประหลาดใจพร้อมกล่าวถาม “อะไร? นางเป็นพี่สาวฝาแฝดของธิดาเทพหรือ? แล้วไฉนนางถึงได้ผลักไสน้องสาวฝาแฝดของตัวเองกับหลานสาวลงกองไฟเช่นนี้เล่า?!”

 

“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยนคนนี้ ที่แท้ก็เป็นชนชั้นวิญญูชนจอมปลอม จิตใจอำมหิตเลือดเย็นทำได้ทุกสิ่งเพื่อสร้างผลงานสินะ…”

 

วาจ้าท้ายประโญคของต้วนหลิงเทียนยามกล่าว ไม่เพียงน้ำเสียงจะเย็นลงยังเผยความดูแคลนรังเกียจออกชัด

 

“เอ่อ…ศิษย์น้องหลิงเทียน…เจ้ากำลังเข้าใจศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยนผิดแล้ว”

 

หลิวอวิ๋นพลันยิ้มเจื่อนๆ พร้อมส่ายหัวออกมาหลังได้ยินคำปรามาสของต้วนหลิงเทียน

 

“เข้าใจผิดหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นท่านหมายความว่าอะไรหรือ…มีใช่ท่านบอกว่าศิษย์พี่ก่านหรูเยี่ยนเป็นผู้พบตัวธิดาเทพคนแรก และนำตัวกลับมาลัทธิบูชาไฟ จนทำให้ธิดาเทพกับลูกสาวต้องถูกกักขังจองจำในหอคุมกฏหรือไร อย่าบอกนะนางกระทำเช่นนี้ไม่ถือว่าผิด?”

 

“เรื่องมันมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”

 

หลิวอวิ๋นส่ายหัวไปมาพร้อมปฏิเสธ เอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่น หลิวอวิ๋นก็กล่าวอธิบายออกมา “ลือกันว่าหลังจากที่ศิษย์พี่ก่านหรูเยี่ยนพาตัวธิดาเทพกลับลูกสาวของธิดาเทพมาลัทธิบูชาไฟ นางก็ได้ซ่อนตัวธิดาเทพและหลานเอาไว้ในคฤหาสน์ของนางเป็นเวลาหลายปี”

 

“จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีก่อนเป็น ‘เวินเยี่ยน’ ที่ลอบจับตาดูศิษย์พี่ก่านหรูเยี่ยนอยู่นานปี ในที่สุดก็พบความลับเรื่องที่ศิษย์พี่หญิงก่านหรูเยี่ยนซ่อนตัวธิดาเทพกับหลานเอาไว้! จึงนำความไปแจ้งแก่หอคุมกฏ ทำให้ธิดาเทพและลูกสาวของธิดาเทพถูกจับตัวไป ถูกคุมขังอยู่ในหอคุมกฏจนถึงทุกวันวันนี้….”

 

ยามที่หลิวอวิ๋นกล่าวถึงเวินเยี่ยน สีหน้าแววตาทั้งน้ำเสียงก็เผยความรังเกียจออกมาให้เห็นเด่นชัด!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด