War sovereign Soaring The Heavens 1758

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1758 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,758 : ร่างอวตาร

 

ถึงแม้กู่ลีจะไม่ได้อยู่ในสถานที่จัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง แต่ด้วยยันต์เต๋าคันฉ่องสะท้อนลักษณ์ของสหาย ทำให้มันพอได้รับรู้เรื่องในวันนั้น…

 

ถึงแม้ภาพที่บันทึกจะขาดๆหายๆ ทว่าช่วงสำคัญกลับมีครบ รวมถึงฉากที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องโดยการยิงรังสีกระบี่ทะลวงหว่างคิ้ว ก็เป็นอะไรที่ชัดเจนนัก!

 

ด้วยเหตุนี้พอต้วนหลิงเทียนบอกว่าฉีจิ้งยังไม่ตาย กู่ลี่ก็เผยอาการเหลือเชื่อออกมา

 

ต้วนหลิงเทียนไม่แปลกใจกับท่าทางของกู่ลี่ เพียงกล่าวต่อ “พี่กู่ ท่านเคยได้ยินเรื่องเคล็ดวิชารวมวิญญาณรึเปล่า?”

 

“เคล็ดวิชารวมวิญญาณหรือ?”

 

ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนกู่ลี่ก็อึ้งไปทันใด ยังเบิกตามองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาสับสน “น้องหลิงเทียน…หรือเจ้าจะบอกว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง นั่น…มันสำเร็จวิชารวมวิญญาณ?”

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“แต่เรื่องพรรค์นี้จักเป็นไปได้อย่างไรกัน…ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ข้ามิเคยได้ยินเลยว่าจักมีเคล็ดบำเพ็ญมารใดที่จะมีเคล็ดรวมวิญญาณอยู่เลย…สมควรมีแต่เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงๆของภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้นนี่นาที่จักมีเคล็ดรวมวิญญาณผสานอยู่…”

 

กู่ลี่ย่อมเคยได้ยินเรื่องเคล็ดวิชารวมวิญญาณ แต่หากบอกว่ามีผู้ฝึกมารของภูมิภาคเบื้องล่างใช้เคล็ดวิชานี้ได้ มันทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ

 

“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกพี่กู่”

 

ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งค่อยกล่าว “พี่กู่ ในเมื่อสหายของท่านไปชมดูการประลอง เช่นนั้นท่านสมควรทราบถึงความก้าวหน้าของฉีจิ้งในเวลาแค่ปีเดียวแล้วใช่หรือไม่?”

 

“อ่า”

 

กู่ลี่พยักหน้า “ข้าได้ยินสหายของข้ากล่าวบอก ว่าในระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียว ฉีจิ้งกลับทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…เจ้าจะบอกข้าว่า ที่มันประสบความก้าวหน้าเช่นนั้นมิใช่เพราะมันมีพรสวรรค์อันใด แต่เป็นเพราะเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ว่าล้วนๆสินะ”

 

พอกล่าวออก กู่ลี่ก็ตระหนักได้

 

“ถูก ข้ากลัวว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของมันจะไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาๆ…เพราะต่อให้เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่สมควรมีแต่ในภูมิภาคเบื้องบน ก็ไม่มีทางยกระดับพลังฝึกปรือได้ไวขนาดนี้! และหากไม่ใช่อวิชชาที่ใช้ทางลัดอันชั่วร้ายจริงๆ…ไหนเลยมันจะก้าวหน้าถึง 3 ขั้นในเวลาแค่ปีเดียวได้?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม “ดังนั้นข้าจึงสรุปได้ว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของมันต้องเป็นระดับสูง กระทั่งยังเป็นเคล็ดที่ยอดเยี่ยมในบรรดาระดับสูงด้วยกันแถมอาจเป็นอวิชชาชั่วร้าย…ทำให้สมควรมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่ หาไม่แล้วมันไม่มีทางก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้!”

 

“หากไม่ใช่เคล็ดบำเพ็ญมาร เช่นนั้นวาสนาที่มันพบโดยบังเอิญสมควรเลิศล้ำที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ

 

“เลิศล้ำที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่าง…”

 

กู่ลี่ส่ายหัวไปมา “เทียบกับวาสนาเลิศล้ำ ข้าคิดว่าเคล็ดบำเพ็ญมารสมควรเป็นไปได้มากกว่า…ข้าเองก็มิรู้เกี่ยวกับเคล้ดบำเพ็ญมารมาก ข้าจะลองไปถามท่านบรรพจารย์ดูว่าท่านพอจะนึกอันใดออกบ้าง เพื่อท่านจะทราบว่าในภูมิภาคเบื้องล่างมีเคล้ดบำเพ็ญมารอันใดที่มีเคล้ดรวมวิญญาณแฝงอยู่บ้าง…”

 

“ว่าแต่…ในเมื่อฉีจิ้งมันยังไม่ตาย ไฉนคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงไม่ออกมาแก้ข่าวการตายที่แพร่ไปทั่วเล่า?”

 

เรื่องนี้กู่ลี่ค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย

 

“เรื่องนี้กล่าวไปก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่อ “ทั้งหมดเพราะผู้คนรับทราบว่าฉีจิ้งมันกลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว หากเรื่องที่มันยังไม่ตายแพร่ออกมา คราวนี้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคงยากหลีกเลี่ยงมรสุม…”

 

“อา ไฉนข้าคิดมิได้นะ…”

 

ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันกล่าวจบดีกู่ลี่พลันทุบโต๊ะแล้วโพล่งคำออกมา “เมื่อข่าวเรื่องฉีจิ้งไม่ตายแพร่ออกมา ผู้คนย่อมฉุกคิดได้ถึงเรื่องเคล็ดรวมวิญญาณ…ที่มักพ่วงมากับเคล้ดบำเพ็ญมารระดับสูง!”

 

“พอเรื่องฉีจิ้งฝึกเคล็ดบำเพ็ญมารระดับนั้นแพร่ออกมา…อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 เลย กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับของเราก็ต้องเคลื่อนไหว…โดดเข้าร่วมวังวนแห่งการช่วงชิงแน่นอน!”

 

กู่ลี่ก็ไม่ใช่ชนชั้นโง่งม พอได้ยินคำกล่าวแนะของต้วนหลิงเทียนมันก็เข้าใจได้ทันที

 

“ใช่แล้วพี่กู่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยแสยะยิ้มเยาะ “ไอพวกคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนับว่าไม่ใช่ตัวโง่งมจริงๆ”

 

“เฮอะ! ไม่ใช่ตัวโง่งมแล้วอย่างไร? ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง! ความลับย่อมมิมีในโลก!!”

 

กู่ลี่ยิ่มออกมา ค่อยมองต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเกรงใจเล็กน้อย “น้องหลิงเทียนข่าวที่ข้าได้รับทราบจากเจ้านี้มีค่ามากนัก…เช่นนั้นข้าขอถามความเห็นเจ้าก่อน ข้าสามารถนำข่าวนี้ไปบอกต่อท่านพ่อเพื่อให้ท่านพ่อนำไปแจ้งจ้าวตำหนักได้หรือไม่?”

 

“เพราะหากเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งมันฝึก เป็นอวิชชาที่ใช้ทางลัดอย่างชั่วร้ายขัดต่อมโนธรรมในโลกหล้าจริงอย่างที่เจ้าว่า เช่นนั้นจะเป็นการดีเสียกว่าที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราจะไปชิงเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาเสีย ดีกว่าปล่อยให้อวิชชาชั่วร้ายเล็ดรอดออกไปในใต้หล้า…และหากมันมิใช่เคล็ดบำเพ็ญมารชั่วร้ายอันใด ก็ถือเสียว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราได้ของขวัญชิ้นโต”

 

กล่าวถึงเรื่องนี้ กู่ลี่ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง

 

“พี่กู่ ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามท่าน ข้าขอกล่าวถามอะไรเพิ่มเติมสักเรื่องได้หรือไม่?”

 

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าจริงจังแววตาไร้ความล้อเล่นมองถามกู่ลี่ทันที

 

“น้องหลิงว่ามาเถอะ”

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนจริงจังขึงขัง กู่ลี่ก็จริงจังเช่นกัน

 

“ข้าอยากรู้ว่าหากพวกท่านยืนยันได้แล้วว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้งมันเป็นอวิชชาชั่วร้าย ที่อาจสร้างความสูญเสียและหายนะให้ใต้หล้าจริง ตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำอย่างไรกับมัน…ใช่ยังจะเก็บไว้ฝึกฝนบ่มเพาะเองหรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

 

ถึงแม้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะให้ค่าพลังความแข็งแกร่งเป็นที่สุด การฆ่าฟันนับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไป…

 

ทว่าหากเป็นอวิชชาชั่วร้ายที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์มากมาย ย่อมไม่มีผู้ใดยอมรับมันได้!

 

“ย่อมไม่!”

 

กู่ลี่ส่ายหัว “น้องหลิงเทียน เจ้าพึ่งเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับมาไม่นานบางทีเจ้าคงยังไม่รู้…แต่ในอดีตยามที่ใต้หล้าเกิดมรสุมโลหิต มารร้ายกำแหงสร้างหายนะไปทั่วหล้า บรรพบุรุษของตำหนักฟ้าลี้ลับเราก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือฝ่ายธรรมะที่ออกมาผนึกกำลังกับยอดฝีมือคนอื่นเพื่อกำราบมาร…”

 

“ดังนั้นตราบใดที่เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นเป็นอวิชชาชั่วร้าย จ้าวตำหนักของพวกเราย่อมไม่มีทางอนุญาตให้ผู้ใดฝึกปรือเด็ดขาด! ถึงแม้จะได้รับมันมาก็ตาม!”

 

กู่ลี่กล่าวเสริม

 

ได้ยินคำของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็วางใจ “หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ขัดข้องเรื่องที่พวกท่านจะจัดการมัน กล่าวไปยังนับว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ…ขอให้พวกคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันร่วมมือกับพวกท่านดีๆเถอะ หาไม่แล้วพวกมันคงไม่พ้นถูกกวาดล้าง!”

 

หากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถูกกวาดล้าง นั่นหมายความว่าเขาไม่ต้องกังวลเรื่องฉีจิ้งอีกต่อไป

 

“น้องหลิง…ไม่ว่าพวกมันจะยอมส่งมาดีๆหรือไม่ พวกมันก็ต้องถูกกำจัด!”

 

กู่ลี่กล่าวออกด้วยประกายตาเย็นเยือก

 

“หืม?”

 

ต้วนหลิงเทียนอึ้ง “ยังไงหรือพี่กู่ ต่อให้พวกมันร่วมมือส่งมอบเคล็ดวิชามารนั่นมาแต่โดยดี พวกท่านก็ยังจะกวาดล้างมันอยู่ดี?”

 

“มิผิด พวกเรามิอนุญาตให้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของเคล็ดบำเพ็ญมารนี้เป็นดั่งปลาเล็ดรอดร่างแหเด็ดขาด! หาไม่แล้วข่าวเรื่องที่พวกเราตำหนักฟ้าลี้ลับได้มันมาครอง ย่อมไม่พ้นล่วงรู้ไปถึงหูขุมพลังอันน่ากลัวอย่างตลาดมืดหยินชานและตำหนักเมฆาครามแน่นอน! คราวนี้น่ากลัวว่ามหายักษ์ใหญ่ทั้ง 2 นั่นคงต้องเคลื่อนไหวหมายตาเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นด้วยแน่….”

 

กู่ลี่กล่าวตอบ “คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก…น้องหลิงเทียนสมควรเข้าใจเรื่องนี้ดี”

 

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็พยักหน้ารับทราบ เช่นนั้นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เหลือแต่หนทางดับสิ้นเท่านั้น

 

ถึงแม้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่ก็ไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าขุมพลังกึ่งชั้น 3..

 

ในเมื่อรับรู้ว่าฉีจิ้งสมควรบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่มีเคล้ดวิชารวมวิญญาณร่วม กู่ลี่จึงร้อนใจคิดไปรายงานให้บิดารับทราบนัก จึงลาต้วนหลิงเทียนไปแจ้งข่าวทันที ด้านต้วนหลิงเทียนก็นั่งจิบสุราต่ออีกสักพัก ค่อยเหินร่างกลับที่พัก

 

“อีก 10 วันแดนลับเซียนก็จะเปิดแล้วสินะ”

 

ต้วนหลิงเทียนมีความคาดหวังต่อแดนลับเซียนที่จะเปิดออกในอีก 10 วันหลังจากนี้นัก เป็นธรรมดาที่เขาเองก็อยากได้มรดกเวทย์พลัง รวมถึงอยากลองตะลุยบททดสอบที่กล่าวกันว่าลำบากยากเย็น เพื่อจะรับมรดกเวทย์พลังอะไรนั่นไม่น้อย

 

เห็นว่ามีการทดสอบมากมาย แทบจะทักษะความสามารถทุกประเภท!

 

เท่าที่เขารู้มรดกเวทย์พลังนั้นมีไม่น้อยเลยในแดนลับเซียน และมีเพียงผ็ที่สามารถผ่านบททดสอบเท่านั้นถึงจะได้รับไป

 

หากมีคนคิดทดสอบรับมรดกเวทย์พลังมากกว่าหนึ่งคน เช่นนั้นก็ต้องวัดฝีมือกันแล้วว่าผู้ใดจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย…เพราะมีเพียงผู้ที่อยู่รอดเป้นคนสุดท้ายเท่านั้น ที่จะได้รับสืบทอด!!

 

“แดนลับเซียนนั่นเป็นพื้นที่ๆสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ…กล่าวกันว่าการเข้าไปจำต้องใช้สำนึกสติจำแลงลงร่างอวตารแทนตัวเพื่อเข้าไป…หากร่างอวตารตกตายในแดนลับเซียน สำนึกสติก็จะย้อนกลับเข้าร่างหลักอย่างปลอดภัย เพียงแค่จะเสียโอกาสในแดนลับเซียนไปเท่านั้น…”

 

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนตั้งหน้าตั้งตารอเข้าไปในแดนลับเซียน!

 

ร่างอวตาร!

 

มันเป็นทักษะอะไรกันแน่ แล้วจะรู้สึกอย่างไร?

 

ต้วนหลิงเทียนพบว่ายากที่เขาจะจินตนาการได้ออก ขณะเดียวกันก็อยากลองดูด้วยตัวเองนัก ‘แดนลับเซียนนี่เห็นว่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วผู้ใดเป็นคนสร้างเอาไว้ ในหอตำราหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับยังไม่มีบันทึกถึงเรื่องนี้ไว้เลย…’

 

หลังออกจากหอตำราหลักวันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่แดนลับเซียนจะเปิดนัก!

 

ตอนนี้เขากำลังจะได้เข้าไปในแดนลับเซียนที่ว่าในอีก 10 วันหลังจากนี้ จึงทำให้เขาอดตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ

 

‘นอกจากนี้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งนั่น ข้าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจัดการกับมันแล้ว…’

 

คิดไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดเรื่องที่สนทนากับกู่ลี่ขึ้นมา

 

ด้วยมีตำหนักฟ้าลี้ลับเขาแทรกแซง คงยากที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมีจุดจบอันดีได้! ฉีจิ้งที่เป็นผู้เกี่ยวข้องหลัก มันต้องตายแน่นอน และต่อให้มันจะใช้ลูกไม้เอาเคล็ดบำเพ็ญมารไปซ่อนก็ไม่มีทางรอด!!

 

ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณสูงล้ำ สามารถใช้สำนึกเทวะใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาควาญวิญญาณได้ เช่นนั้นการค้นข้อมูลจากผู้คนไม่ใช่เรื่องยากอะไร!

 

แน่นอนว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณสูงล้ำนั้นมีน้อยคนนัก

 

แต่หากเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนมนุษย์อย่างเซียนปฐพีล่ะก็ ย่อมสามารถใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย

 

ด้วยเคล็ดวิชาควาญวิญญาณต้วนหลิงเทียนไม่กลัวว่าฉีจิ้งจะไม่คายความลับ

 

ทันทีที่ฉีจิ้งมันคายความลับออกมา มันก็จะหมดประโยชน์ทันที! ถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่มีทางไว้ชีวิตมัน!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด