War sovereign Soaring The Heavens 3313

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3313 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“อาวุโสรู้จักข้าด้วยหรือ?”

 

เมื่อเห็นชายชราเบื้องหน้าแลดูตกใจ ทั้งชายชราอีก 3 คนที่เหลือก็หันขวับมาจับจ้องเขาเป็นสายตาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามไปด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

“เหอะๆ เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีใครในวังเทียนฉือที่ไม่รู้จักชื่อต้วนหลิงเทียนของเจ้าแล้วกระมัง…”

 

ชายชราผมขาวฟูปานราชสีห์ จากก่อนหน้าที่หน้าตาแลดูไม่เป็นมิตร มาตอนนี้ถึงกับคลี่ยิ้มจนตาหยีเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถว “ต้วนหลิงเทียน นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นศิษย์น้องพัสดีฉือของพวกเรา เช่นนั้นกล่าวได้ว่าคกหมื่นพันธนาการก็มิต่างอันใดจากบ้านของเจ้าครึ่งหนึ่ง…”

 

“เช่นนั้นข้ามานี่ก็เหมือนกลับบ้านสินะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็สะดุ้งไปอยู่บ้าง จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มแหยๆออกมาไม่ได้ หากในชาติที่แล้วตอนอยู่โลกเก่า ลองมีคนมาบอกว่าคุกเป็นบ้านของเขา ก็คงมีบาทาลูบพักตร์กันบ้าง

 

“มาๆต้วนหลิงเทียน ข้าจักพาพวกเจ้า 2 คนเข้าไปด้านในเอง!”

 

ชายชราผมขาวฟูคลี่ยิ้มร่า ผายมือกล่าวเชิญด้วยท่าทางกระตือรือร้น “หากเดามิผิดนี่คงเป็นครั้งแรกของพวกเจ้าที่มาคุกหมื่นพันธนาการกระมัง มาเถอะระหว่างพาเจ้าไปยังโถงกิจการภายในข้าจักแนะนําที่นี้ให้เจ้าฟังคร่าวๆ”

 

“สําหรับป้ายผู้คุมนั้น เดี๋ยวพอถึงโถงกิจการภายในและลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ ขอเพียงมีตําแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใด พวกมันก็จักแจ้งไปให้พวกเจ้าทราบทันที…อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นถึงศิษย์น้องของพัสดีคือ ต่อให้ตําแหน่งผู้คุมไม่ว่าง แต่หากเจ้าคิดจะมาคุกหมื่นพันธนาการ ก็ไม่มีผู้ใดขวางเจ้าได้”

 

ชายชรากล่าวสืบต่อ

ได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นเบาๆไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เขาไม่เคยพบเจอ จะอํานวยคววามสะดวกและทําให้เขามีอภิสิทธิ์แบบนี้

 

“เช่นนั้นต้องขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ท่าทางสุภาพมีมารยาทของต้วนหลิงเทียน สร้างความพึงพอใจให้ชายชราจนคลี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มเบื้องหน้ามันเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะมากศักยภาพที่มีอนาคตไร้ขีดจํากัดแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ดูเบาหรือมองแคลนมันที่เป็นเพียงผู้เฝ้าประตูว่าต้อยต่ำเลย

 

มันที่มีฐานะเป็นแค่คนเฝ้าประตูหน้าของคุกหมื่นพันธนาการนั้น กล่าวไปก็แค่ศิษย์ทั่วๆไปใน วังเทียนฉือแห่งนี้เท่านั้น กระทั่งพลังฝีมือของมันยังไม่อาจสู้หานอวินจินที่ตกตายคามืออ้วนหลิงเทียนในวันนี้ได้ด้วยซ้ำ

 

ชายหนุ่มนามด้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า แข็งแกร่งกว่ามันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

พลังฝีมือแข็งแกร่ง ภูมิหลังมั่นคง อนาคตไร้ขอบเขต แต่ยังสุภาพมีมารยาทกับมัน สําหรับมันแล้วนี่นับเป็นสิ่งที่ยากพานพบโดยไม่ต้องสงสัยเลย

 

“เชิญพวกเจ้าตามข้าเข้ามาเถอะ”

 

หลังชายชรากล่าวเชิญต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกรอบ มันก็เดินนําผ่านประตูใหญ่แลดูงดงามโออ่าเข้าไปในคุกหมื่นพันธนาการทันที ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเท้าตามมันไปติดๆ

 

หลังผ่านธรณีประตูใหญ่ของคุกหมื่นพันธนาการเข้ามา สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของต้วนหลิงเทียนก็คือโลกที่เต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผนังช่องทางเดินลึกเข้าไปในภูเขาเรียกว่าเป็นสีแดงฉาน และไม่ใช่สีดั้งเดิมของภูเขาอย่างเดียว หากแต่มันมีโลหะบางอย่างกระจายฝังตัวอยู่เต็มไปหมด และดูเหมือนทุกสิ่งปลูกสร้างที่นี่จะมีโลหะที่ว่าหมดสิ้น

หลังเดินผ่านช่องทางเดินอันกว้างขวาง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ตามชายชรามาถึงจัตุรัสอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง และไม่มีทางอื่นใด นอกจากช่องทางเดินอีกสาที่อยู่อีกฟากของจัตุรัส

 

“ต้วนหลิงเทียน ที่นี่เรียกว่าจัตุรัสสิ้นสุดของคุกหมื่นพันธนาการ”

 

หลังพาต้วนหลิงเทียนมาถึงจัตุรัสแล้วชายชราก็กล่าวแนะนําที่ทางออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“จัตุรัสสิ้นสุดรึ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ด้วยเพราะคิดว่าชื่อของมันฟังดูแปลกๆอย่างไรชอบกล

 

“เจ้าคงกําลังคิดว่าไฉนชื่อของมันถึงฟังดูแหม่งๆอยู่กระมัง?”

 

ชายชรายิ้มถาม

 

“ก็ทํานองนั้น”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“ไฉนที่จัตุรัสแห่งนี้ถึงได้ถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุดนั้น เพราะที่จัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคมสังหารอันทรงพลังอานุภาพ ที่เป็นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะ! หากไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่เป็นแค่จักรพรรดิอมตะธรรมดาฝ่าฝืนข้อห้ามที่นี่ ล้วนต้องถูกอาคมเข่นฆ่าตายตกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย! กระทั่งต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส!!”

 

ชายชรากล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะที่นี่เป็นดั่งสถานที่ๆอาจเป็นจุดสิ้นสุดชีวิตของทุกคนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม มันจึงถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุด”

 

“จักรพรรดิอมตะสมญานามบาดเจ็บสาหัส?”

 

“ตัวตนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามตายแน่?”

 

ได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ขณะเดียวกันร่างของเขาก็แลดูตื่นตัวเตรียมพร้อมขึ้นมาทันที

 

“ฮ่าๆๆ เจ้ามิต้องกังวลนักหรอก”

 

คล้ายเห็นความระมัดระวังของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จัตุรัสสิ้นสุดแห่งนี้ มิใช่ว่าใครก็สามารถกระตุ้นค่ายกลและข่ายอาคมสังหารได้ มันต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการของเราเท่านั้นถึงจะสามารถกระตุ้นการทํางานของค่ายกล ขอเพียงพวกมันหลบหนีลุยฝ่ามาถึงที่นี่ พลังอาคมสังหารจากค่ายกลและข่ายอาคมมากมายก็จะเพ่งเล็งสังหารไปที่มันโดยตรง!”

 

“ต่อให้ตอนนั้นพวกเราจะอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้ กระทั่งถูกมันจับตัวมาบังไว้ พลังสังหารของอาคมก็จะไม่ทําร้ายพวกเรา”

 

ได้ยินประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที ขณะเดียวกันก็พอคาดเดาได้คร่าวๆว่าหลักการทํางานของค่ายกลและข่ายอาคมของที่นี่ ไม่พ้นต้องเพ่งเล็งเป้าหมายตามสายเลือดหรือกลิ่นอายพลังทั้งวิญญาณของนักโทษที่ถูกค่ายกลและข่ายอาคมตีตราไว้แล้วเป็นแน่

 

หากไม่ใช่คนเหล่านั้น ย่อมไม่กระตุ้นการทํางานของค่ายกล

 

หลังจากเดินข้ามจัตุรัสสิ้นสุดมา ชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินผ่านช่องทางเดินอันยาวไกล ก่อนจะมาถึงอาคารปลูกสร้างประหนึ่งวังย่อมๆ ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นป้ายโลหะที่ติดไว้เหนือประตูทางเข้า อันสลักอักษรที่แลดูน่าประทับใจไว้ 3 ตัวว่า โถงกิจการภายใน

 

“เอาล่ะข้าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนก่อน”

 

ภายใต้การนําของชายชรา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเข้าสู่โถงกิจการภายในพร้อมๆกัน

 

การลงทะเบียนที่ว่าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่ต้วนหลิงเทียนนําป้ายผู้คุมไปแสดงให้อาวุโสของโถงกิจการภายในของคุกหมื่นพันธนาการตรวจวสอบ จากนั้นก็ส่งมอบลูกแก้ววิญญาณ ทั้งแจ้งชื่อเอาไว้ หากตําแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใดก็จะติดต่อไปสอบถามทั้งคู่ว่ามีใครว่างมาทําหน้าที่ผู้คุมไหม?

 

หากไม่ว่างก็จะแจ้งชื่อเข้าคิวเอาไว้ชั่วคราว พอว่างเมื่อไหร่ ก็ให้ติดต่อกลับมา

 

เช่นนั้นนอกจากจะทิ้งลูกแก้ววิญญาณไว้แล้ว แต่ละคนยังได้รับลูกแก้ววิญญาณของอาวุโสโถงกิจการภายในกลับไปด้วย

 

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดีฉือ และตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้คุมของคุกหมื่นพันธนาการเราแล้ว…วันหน้าถึงเจ้าจักมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็สามารถผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธนาการของพวกเราได้ตลอดเวลา”

 

ผู้อาวุโสกิจการภายในแลดูกระตือรือร้นต้อนรับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม หากมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็มิอาจเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษได้มากสุดคือ ‘หอเกิดดับ’ เพื่อทําความเข้าใจกฏแห่งความตาย”

 

กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของอาวุโสกิจการภายในก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาก “หากมิใช่ช่วงปฏิบัติหน้าที่ อย่าว่าแต่ผู้คุมเลย แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างเราๆก็ห้ามก้าวเข้าไปในส่วนคุมขังนักโทษเด็ดขาด”

 

“มีเพียงผู้พิทักษ์ไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าไปด้านใน”

 

อาวุโสกิจการภายในกล่าวสืบต่อ

 

“อ่า”

 

ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ

 

“อย่างไรก็ตามผู้คุมใหม่นั้นจักได้รับโอกาสในการทําความคุ้นเคยสถานที่คุมขัง…แต่เดิมโอกาสที่ว่าทางเราจําต้องจัดสรรเวลาให้ก่อน ทว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดี เช่นนั้นพวกเราก็มิอาจรบกวนให้เจ้าต้องเทียวไปเที่ยวมาได้ ข้าจักให้พวกเจ้าไปทําความคุ้นเคยตอนนี้เลย”

 

อาวุโสกิจการภายนังคงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

และพอได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ ดวงตาของทั้งคู่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

 

“อาวุโสเซี่ย”

 

ตอนนี้เองอาวุโสกิจการภายใน ก็หันไปมองอาวุโสชราผมขาวฟูปานราชสีห์ที่พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้ามา พูดว่า “หลังจากนี้ท่านก็พาทั้งคู่ไปยังสถานที่คุมขังนักโทษ และอธิบายสถานการณ์ภายในให้ทั้งคู่รับทราบเถอะ”

 

พอกล่าวจบคํา ผู้อาวุโสกิจการภายในดังกล่าวก็ยกมือขึ้นสะบัดซัดป้ายๆหนึ่งออกไป

“อืม”

 

อาวุโสหัวฟูยกมือขึ้นรับป้าย และเอ่ยชักชวนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้ติดตามมันไป

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก ว่าป้ายที่อาวุโสเซี่ยได้รับมาเป็นป้ายสีดําสนิทที่แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นลี้ลับออกมา ให้ความรู้สึกกดดันพิกล

 

เห็นได้ชัดว่าป้ายดังกล่าว มีอาคมมากมายอัดแน่นเอาไว้

 

“นี่คือป้ายที่ใช้สําหรับเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษ”

 

หลังเดินออกมาจากโถงกิจการภายในแล้ว คล้ายอาวุโสหัวขาวฟูแซ่เซี่ยจะสังเกตเห็นสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ จึงยิ้มพลางอธิบายว่า “ป้ายนี้ทางโถงกิจการภายในจะออกให้แต่ละรอบ..ก่อนจะส่งให้พวกเราอาวุโสกิจการภายในก็จะให้มันจดจํากลิ่นอายวิญญาณของพวกเรา ผ่านลูกแก้ววิญญาณที่พวกเรามอบให้”

 

“กล่าวได้ว่าป้ายในมือข้าตอนนี้ มีเพียงแต่พวกเราทั้ง 3 เท่านั้นที่สามารถใช้มันผ่าน เข้าออกส่วนคุมขังนักโทษได้”

 

“นี่เป็นการป้องกันไม่ให้มีผู้ใดผ่านเข้าออกส่วนคุมขังได้ตามอําเภอใจ”

 

หลังได้ฟังคําอธิบายของชายชราแซ่เซี่ย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าคิดจะผ่านเข้าออกส่วนคุมขังนักโทษมันค่อนข้างเข้มงวดอยู่บ้าง

 

“เจ้าคงกําลังคิดว่ามันยุ่งยากอยู่กระมัง? อันที่จริงตอนแรกคุกหมื่นพันธนาการเราก็มิได้เข้มงวดกวดขัดอะไรนัก อย่างไรก็ตามหลังจากมีคนแฝงตัวเข้ามาพาจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้หนึ่งหลบหนีออกมาจากส่วนคุมขัง จนอีกฝ่ายเข่นฆ่าสร้างเส้นทางโลหิตสายหนึ่งจากคนของวังเทียนฉือเราออกมา วังเทียนฉือก็เริ่มหันมาเข้มงวดกับผู้ที่จะผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธาการ และจํากัดให้มีแต่ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นที่จะทําหน้าที่ผู้คุมได้”

 

ชายชรากล่าวสืบต่อ

 

“แล้วผู้คุมมีหน้าที่ต้องทําอะไรบ้าง”

 

ต้วนหลิงเทียนถาม

 

“สิ่งที่ผู้คุมต้องทําก็ไม่มีใดมาก เพียงแค่สังเกตสภาพของนักโทษในห้องขังเท่านั้น หากพบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จะต้องเร่งแจ้งให้ส่วนกิจการภายในทราบทันที นอกจากนั้นก็คือทําตามคําสั่งที่ได้รับมอบหมายจากพัสดี”

 

ชายชรากล่าวว่า

 

“ว่าแต่ปกติแล้วจะมีผู้คนที่มาทําหน้าที่ผู้คุมพร้อมกันได้กี่คนหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง

 

“6 คนและสองคนจะจับคู่กัน เพื่อลาดตระเวนพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน”

 

ชายชรากล่าวสืบต่อ “คู่หนึ่งจักรับหน้าที่ลาดตระเวนส่วนที่จักรพรรดิอมตะสมญานามถูกคุมขังเอาไว้ อีกคู่นั้นลาดตระเวนส่วนคุมขังนักโทษที่ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม สําหรับคู่สุดท้ายก็รับผิดชอบส่วนคุมขังที่กักกันนักโทษอันเป็นคนของวังเทียนฉือเราไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาวุโสที่ทําความผิด”

 

“แต่ละคู่จะทําการลาดตระเวนส่วนที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลา 4 เดือน จากนั้นก็สลับพื้นที่ลาดตระเวนกับคู่อื่นๆจนครบ 3 ส่วน เรียกว่าผู้คุมนั้นเข้าประจําการครั้งหนึ่งก็กินเวลา 1 ปี”

 

ชายชรากล่าวอธิบายอย่างอดทน

 

“เนื่องจากตอนนี้เกณฑ์การเป็นผู้คุมสูงเกินไป เพราะต้องเป็นศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นถึงสมัครมาทําได้…ทําให้ผู้คุมในคุกที่ทําหน้าที่ลาดตระเวนนักโทษไม่ใช่ศิษย์อัจฉริยะทั้งหมด แต่จะเป็นผู้อาวุโสที่ทําหน้าที่ในคุกหมื่นพันธนาการมานานถึงระดับหนึ่งแล้ว คอยลาดตระเวนตรวจตราความเคลื่อนไหวของนักโทษด้วย”

 

“หลายครั้งที่ไร้ศิษย์อัจฉริยะสมัครมาทําหน้าที่ผู้คุม ข้าเองก็ถูกส่งไปเป็นผู้คุมเพื่อทําหน้าที่เช่นกัน”

 

“อย่างในปีนี้ ผู้คุมทั้ง 6 ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน ก็มีศิษย์อัจฉริยะแค่ 3 เท่านั้น ส่วนอีก 3 คนก็คือผู้อาวุโสเก่าแก่ในคุกหมื่นพันธนาการ”

 

พอชายชรากล่าวถึงจุดนี้มันก็หยุดลง และหันมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ “กล่าวไปพวกเจ้าก็มาช้าไปแค่เล็กน้อย เพราะผู้คุมชุดใหม่ก็พึ่งจะเข้าประจําการไปเมื่อเดือนก่อนนี้เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็จําต้องรออีก 11 เดือน ก่อนจะถึงตาพวกเจ้าเข้าประจําการ”

“หากไม่ติดอะไร พวกเจ้าจักได้เป็นผู้คุมชุดต่อไปแน่นอน”

 

“เนื่องเพราะมีศิษย์อัจฉริยะไม่มากที่เต็มใจทําหน้าที่ผู้คุมในคุก ถึงแม้ว่าผลึกอมตะที่ได้รับจะไม่น้อยและงานที่ต้องทําก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดชอบมาอุดอู้อยู่ที่คุกนี้”

 

ชายชรากล่าวไปพลางส่ายหัวไปมา ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้

 

“และเดี๋ยวนี้เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่เต็มใจมาทําหน้าที่ผู้คุม ก็ล้วนมุ่งเป้าไปที่หอเกิดดับถ่ายเดียว…ที่อาวุโสเหยียนในโถงกิจการภายในบอกว่าพวกเจ้าสามารถมาที่คุกหมื่นพันธนาการได้ตลอดเวลา ก็จักสื่อว่าพวกเจ้าสามารถเข้าไปยังหอเกิดดับได้ตลอดเวลานั้นเอง…การทําความเข้าใจกฏแห่งความตายที่นั้นจักให้ผลลัพธ์ดีมาก”

 

“เนื่องเพราะหอเกิดดับที่ว่า เป็นดั่งลานประหารของนักโทษในคุกหมื่นพันธนาการตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลิ่นอายแห่งความตายและปราณมรณะที่อบอวลในพื้นที่แห่งนั้น ทําให้หอเกิดดับเป็นดั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับการทําความเข้าใจกฏแห่งความตายก็ไม่ปาน”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3313

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3313 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“อาวุโสรู้จักข้าด้วยหรือ?”

 

เมื่อเห็นชายชราเบื้องหน้าแลดูตกใจ ทั้งชายชราอีก 3 คนที่เหลือก็หันขวับมาจับจ้องเขาเป็นสายตาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามไปด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

“เหอะๆ เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีใครในวังเทียนฉือที่ไม่รู้จักชื่อต้วนหลิงเทียนของเจ้าแล้วกระมัง…”

 

ชายชราผมขาวฟูปานราชสีห์ จากก่อนหน้าที่หน้าตาแลดูไม่เป็นมิตร มาตอนนี้ถึงกับคลี่ยิ้มจนตาหยีเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถว “ต้วนหลิงเทียน นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นศิษย์น้องพัสดีฉือของพวกเรา เช่นนั้นกล่าวได้ว่าคกหมื่นพันธนาการก็มิต่างอันใดจากบ้านของเจ้าครึ่งหนึ่ง…”

 

“เช่นนั้นข้ามานี่ก็เหมือนกลับบ้านสินะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็สะดุ้งไปอยู่บ้าง จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มแหยๆออกมาไม่ได้ หากในชาติที่แล้วตอนอยู่โลกเก่า ลองมีคนมาบอกว่าคุกเป็นบ้านของเขา ก็คงมีบาทาลูบพักตร์กันบ้าง

 

“มาๆต้วนหลิงเทียน ข้าจักพาพวกเจ้า 2 คนเข้าไปด้านในเอง!”

 

ชายชราผมขาวฟูคลี่ยิ้มร่า ผายมือกล่าวเชิญด้วยท่าทางกระตือรือร้น “หากเดามิผิดนี่คงเป็นครั้งแรกของพวกเจ้าที่มาคุกหมื่นพันธนาการกระมัง มาเถอะระหว่างพาเจ้าไปยังโถงกิจการภายในข้าจักแนะนําที่นี้ให้เจ้าฟังคร่าวๆ”

 

“สําหรับป้ายผู้คุมนั้น เดี๋ยวพอถึงโถงกิจการภายในและลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ ขอเพียงมีตําแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใด พวกมันก็จักแจ้งไปให้พวกเจ้าทราบทันที…อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นถึงศิษย์น้องของพัสดีคือ ต่อให้ตําแหน่งผู้คุมไม่ว่าง แต่หากเจ้าคิดจะมาคุกหมื่นพันธนาการ ก็ไม่มีผู้ใดขวางเจ้าได้”

 

ชายชรากล่าวสืบต่อ

ได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นเบาๆไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เขาไม่เคยพบเจอ จะอํานวยคววามสะดวกและทําให้เขามีอภิสิทธิ์แบบนี้

 

“เช่นนั้นต้องขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ท่าทางสุภาพมีมารยาทของต้วนหลิงเทียน สร้างความพึงพอใจให้ชายชราจนคลี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มเบื้องหน้ามันเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะมากศักยภาพที่มีอนาคตไร้ขีดจํากัดแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ดูเบาหรือมองแคลนมันที่เป็นเพียงผู้เฝ้าประตูว่าต้อยต่ำเลย

 

มันที่มีฐานะเป็นแค่คนเฝ้าประตูหน้าของคุกหมื่นพันธนาการนั้น กล่าวไปก็แค่ศิษย์ทั่วๆไปใน วังเทียนฉือแห่งนี้เท่านั้น กระทั่งพลังฝีมือของมันยังไม่อาจสู้หานอวินจินที่ตกตายคามืออ้วนหลิงเทียนในวันนี้ได้ด้วยซ้ำ

 

ชายหนุ่มนามด้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า แข็งแกร่งกว่ามันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

พลังฝีมือแข็งแกร่ง ภูมิหลังมั่นคง อนาคตไร้ขอบเขต แต่ยังสุภาพมีมารยาทกับมัน สําหรับมันแล้วนี่นับเป็นสิ่งที่ยากพานพบโดยไม่ต้องสงสัยเลย

 

“เชิญพวกเจ้าตามข้าเข้ามาเถอะ”

 

หลังชายชรากล่าวเชิญต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกรอบ มันก็เดินนําผ่านประตูใหญ่แลดูงดงามโออ่าเข้าไปในคุกหมื่นพันธนาการทันที ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเท้าตามมันไปติดๆ

 

หลังผ่านธรณีประตูใหญ่ของคุกหมื่นพันธนาการเข้ามา สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของต้วนหลิงเทียนก็คือโลกที่เต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผนังช่องทางเดินลึกเข้าไปในภูเขาเรียกว่าเป็นสีแดงฉาน และไม่ใช่สีดั้งเดิมของภูเขาอย่างเดียว หากแต่มันมีโลหะบางอย่างกระจายฝังตัวอยู่เต็มไปหมด และดูเหมือนทุกสิ่งปลูกสร้างที่นี่จะมีโลหะที่ว่าหมดสิ้น

หลังเดินผ่านช่องทางเดินอันกว้างขวาง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ตามชายชรามาถึงจัตุรัสอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง และไม่มีทางอื่นใด นอกจากช่องทางเดินอีกสาที่อยู่อีกฟากของจัตุรัส

 

“ต้วนหลิงเทียน ที่นี่เรียกว่าจัตุรัสสิ้นสุดของคุกหมื่นพันธนาการ”

 

หลังพาต้วนหลิงเทียนมาถึงจัตุรัสแล้วชายชราก็กล่าวแนะนําที่ทางออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“จัตุรัสสิ้นสุดรึ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ด้วยเพราะคิดว่าชื่อของมันฟังดูแปลกๆอย่างไรชอบกล

 

“เจ้าคงกําลังคิดว่าไฉนชื่อของมันถึงฟังดูแหม่งๆอยู่กระมัง?”

 

ชายชรายิ้มถาม

 

“ก็ทํานองนั้น”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“ไฉนที่จัตุรัสแห่งนี้ถึงได้ถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุดนั้น เพราะที่จัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคมสังหารอันทรงพลังอานุภาพ ที่เป็นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะ! หากไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่เป็นแค่จักรพรรดิอมตะธรรมดาฝ่าฝืนข้อห้ามที่นี่ ล้วนต้องถูกอาคมเข่นฆ่าตายตกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย! กระทั่งต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส!!”

 

ชายชรากล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะที่นี่เป็นดั่งสถานที่ๆอาจเป็นจุดสิ้นสุดชีวิตของทุกคนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม มันจึงถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุด”

 

“จักรพรรดิอมตะสมญานามบาดเจ็บสาหัส?”

 

“ตัวตนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามตายแน่?”

 

ได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ขณะเดียวกันร่างของเขาก็แลดูตื่นตัวเตรียมพร้อมขึ้นมาทันที

 

“ฮ่าๆๆ เจ้ามิต้องกังวลนักหรอก”

 

คล้ายเห็นความระมัดระวังของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จัตุรัสสิ้นสุดแห่งนี้ มิใช่ว่าใครก็สามารถกระตุ้นค่ายกลและข่ายอาคมสังหารได้ มันต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการของเราเท่านั้นถึงจะสามารถกระตุ้นการทํางานของค่ายกล ขอเพียงพวกมันหลบหนีลุยฝ่ามาถึงที่นี่ พลังอาคมสังหารจากค่ายกลและข่ายอาคมมากมายก็จะเพ่งเล็งสังหารไปที่มันโดยตรง!”

 

“ต่อให้ตอนนั้นพวกเราจะอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้ กระทั่งถูกมันจับตัวมาบังไว้ พลังสังหารของอาคมก็จะไม่ทําร้ายพวกเรา”

 

ได้ยินประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที ขณะเดียวกันก็พอคาดเดาได้คร่าวๆว่าหลักการทํางานของค่ายกลและข่ายอาคมของที่นี่ ไม่พ้นต้องเพ่งเล็งเป้าหมายตามสายเลือดหรือกลิ่นอายพลังทั้งวิญญาณของนักโทษที่ถูกค่ายกลและข่ายอาคมตีตราไว้แล้วเป็นแน่

 

หากไม่ใช่คนเหล่านั้น ย่อมไม่กระตุ้นการทํางานของค่ายกล

 

หลังจากเดินข้ามจัตุรัสสิ้นสุดมา ชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินผ่านช่องทางเดินอันยาวไกล ก่อนจะมาถึงอาคารปลูกสร้างประหนึ่งวังย่อมๆ ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นป้ายโลหะที่ติดไว้เหนือประตูทางเข้า อันสลักอักษรที่แลดูน่าประทับใจไว้ 3 ตัวว่า โถงกิจการภายใน

 

“เอาล่ะข้าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนก่อน”

 

ภายใต้การนําของชายชรา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเข้าสู่โถงกิจการภายในพร้อมๆกัน

 

การลงทะเบียนที่ว่าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่ต้วนหลิงเทียนนําป้ายผู้คุมไปแสดงให้อาวุโสของโถงกิจการภายในของคุกหมื่นพันธนาการตรวจวสอบ จากนั้นก็ส่งมอบลูกแก้ววิญญาณ ทั้งแจ้งชื่อเอาไว้ หากตําแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใดก็จะติดต่อไปสอบถามทั้งคู่ว่ามีใครว่างมาทําหน้าที่ผู้คุมไหม?

 

หากไม่ว่างก็จะแจ้งชื่อเข้าคิวเอาไว้ชั่วคราว พอว่างเมื่อไหร่ ก็ให้ติดต่อกลับมา

 

เช่นนั้นนอกจากจะทิ้งลูกแก้ววิญญาณไว้แล้ว แต่ละคนยังได้รับลูกแก้ววิญญาณของอาวุโสโถงกิจการภายในกลับไปด้วย

 

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดีฉือ และตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้คุมของคุกหมื่นพันธนาการเราแล้ว…วันหน้าถึงเจ้าจักมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็สามารถผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธนาการของพวกเราได้ตลอดเวลา”

 

ผู้อาวุโสกิจการภายในแลดูกระตือรือร้นต้อนรับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม หากมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็มิอาจเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษได้มากสุดคือ ‘หอเกิดดับ’ เพื่อทําความเข้าใจกฏแห่งความตาย”

 

กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของอาวุโสกิจการภายในก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาก “หากมิใช่ช่วงปฏิบัติหน้าที่ อย่าว่าแต่ผู้คุมเลย แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างเราๆก็ห้ามก้าวเข้าไปในส่วนคุมขังนักโทษเด็ดขาด”

 

“มีเพียงผู้พิทักษ์ไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าไปด้านใน”

 

อาวุโสกิจการภายในกล่าวสืบต่อ

 

“อ่า”

 

ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ

 

“อย่างไรก็ตามผู้คุมใหม่นั้นจักได้รับโอกาสในการทําความคุ้นเคยสถานที่คุมขัง…แต่เดิมโอกาสที่ว่าทางเราจําต้องจัดสรรเวลาให้ก่อน ทว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดี เช่นนั้นพวกเราก็มิอาจรบกวนให้เจ้าต้องเทียวไปเที่ยวมาได้ ข้าจักให้พวกเจ้าไปทําความคุ้นเคยตอนนี้เลย”

 

อาวุโสกิจการภายนังคงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

และพอได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ ดวงตาของทั้งคู่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

 

“อาวุโสเซี่ย”

 

ตอนนี้เองอาวุโสกิจการภายใน ก็หันไปมองอาวุโสชราผมขาวฟูปานราชสีห์ที่พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้ามา พูดว่า “หลังจากนี้ท่านก็พาทั้งคู่ไปยังสถานที่คุมขังนักโทษ และอธิบายสถานการณ์ภายในให้ทั้งคู่รับทราบเถอะ”

 

พอกล่าวจบคํา ผู้อาวุโสกิจการภายในดังกล่าวก็ยกมือขึ้นสะบัดซัดป้ายๆหนึ่งออกไป

“อืม”

 

อาวุโสหัวฟูยกมือขึ้นรับป้าย และเอ่ยชักชวนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้ติดตามมันไป

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก ว่าป้ายที่อาวุโสเซี่ยได้รับมาเป็นป้ายสีดําสนิทที่แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นลี้ลับออกมา ให้ความรู้สึกกดดันพิกล

 

เห็นได้ชัดว่าป้ายดังกล่าว มีอาคมมากมายอัดแน่นเอาไว้

 

“นี่คือป้ายที่ใช้สําหรับเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษ”

 

หลังเดินออกมาจากโถงกิจการภายในแล้ว คล้ายอาวุโสหัวขาวฟูแซ่เซี่ยจะสังเกตเห็นสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ จึงยิ้มพลางอธิบายว่า “ป้ายนี้ทางโถงกิจการภายในจะออกให้แต่ละรอบ..ก่อนจะส่งให้พวกเราอาวุโสกิจการภายในก็จะให้มันจดจํากลิ่นอายวิญญาณของพวกเรา ผ่านลูกแก้ววิญญาณที่พวกเรามอบให้”

 

“กล่าวได้ว่าป้ายในมือข้าตอนนี้ มีเพียงแต่พวกเราทั้ง 3 เท่านั้นที่สามารถใช้มันผ่าน เข้าออกส่วนคุมขังนักโทษได้”

 

“นี่เป็นการป้องกันไม่ให้มีผู้ใดผ่านเข้าออกส่วนคุมขังได้ตามอําเภอใจ”

 

หลังได้ฟังคําอธิบายของชายชราแซ่เซี่ย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าคิดจะผ่านเข้าออกส่วนคุมขังนักโทษมันค่อนข้างเข้มงวดอยู่บ้าง

 

“เจ้าคงกําลังคิดว่ามันยุ่งยากอยู่กระมัง? อันที่จริงตอนแรกคุกหมื่นพันธนาการเราก็มิได้เข้มงวดกวดขัดอะไรนัก อย่างไรก็ตามหลังจากมีคนแฝงตัวเข้ามาพาจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้หนึ่งหลบหนีออกมาจากส่วนคุมขัง จนอีกฝ่ายเข่นฆ่าสร้างเส้นทางโลหิตสายหนึ่งจากคนของวังเทียนฉือเราออกมา วังเทียนฉือก็เริ่มหันมาเข้มงวดกับผู้ที่จะผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธาการ และจํากัดให้มีแต่ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นที่จะทําหน้าที่ผู้คุมได้”

 

ชายชรากล่าวสืบต่อ

 

“แล้วผู้คุมมีหน้าที่ต้องทําอะไรบ้าง”

 

ต้วนหลิงเทียนถาม

 

“สิ่งที่ผู้คุมต้องทําก็ไม่มีใดมาก เพียงแค่สังเกตสภาพของนักโทษในห้องขังเท่านั้น หากพบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จะต้องเร่งแจ้งให้ส่วนกิจการภายในทราบทันที นอกจากนั้นก็คือทําตามคําสั่งที่ได้รับมอบหมายจากพัสดี”

 

ชายชรากล่าวว่า

 

“ว่าแต่ปกติแล้วจะมีผู้คนที่มาทําหน้าที่ผู้คุมพร้อมกันได้กี่คนหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง

 

“6 คนและสองคนจะจับคู่กัน เพื่อลาดตระเวนพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน”

 

ชายชรากล่าวสืบต่อ “คู่หนึ่งจักรับหน้าที่ลาดตระเวนส่วนที่จักรพรรดิอมตะสมญานามถูกคุมขังเอาไว้ อีกคู่นั้นลาดตระเวนส่วนคุมขังนักโทษที่ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม สําหรับคู่สุดท้ายก็รับผิดชอบส่วนคุมขังที่กักกันนักโทษอันเป็นคนของวังเทียนฉือเราไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาวุโสที่ทําความผิด”

 

“แต่ละคู่จะทําการลาดตระเวนส่วนที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลา 4 เดือน จากนั้นก็สลับพื้นที่ลาดตระเวนกับคู่อื่นๆจนครบ 3 ส่วน เรียกว่าผู้คุมนั้นเข้าประจําการครั้งหนึ่งก็กินเวลา 1 ปี”

 

ชายชรากล่าวอธิบายอย่างอดทน

 

“เนื่องจากตอนนี้เกณฑ์การเป็นผู้คุมสูงเกินไป เพราะต้องเป็นศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นถึงสมัครมาทําได้…ทําให้ผู้คุมในคุกที่ทําหน้าที่ลาดตระเวนนักโทษไม่ใช่ศิษย์อัจฉริยะทั้งหมด แต่จะเป็นผู้อาวุโสที่ทําหน้าที่ในคุกหมื่นพันธนาการมานานถึงระดับหนึ่งแล้ว คอยลาดตระเวนตรวจตราความเคลื่อนไหวของนักโทษด้วย”

 

“หลายครั้งที่ไร้ศิษย์อัจฉริยะสมัครมาทําหน้าที่ผู้คุม ข้าเองก็ถูกส่งไปเป็นผู้คุมเพื่อทําหน้าที่เช่นกัน”

 

“อย่างในปีนี้ ผู้คุมทั้ง 6 ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน ก็มีศิษย์อัจฉริยะแค่ 3 เท่านั้น ส่วนอีก 3 คนก็คือผู้อาวุโสเก่าแก่ในคุกหมื่นพันธนาการ”

 

พอชายชรากล่าวถึงจุดนี้มันก็หยุดลง และหันมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ “กล่าวไปพวกเจ้าก็มาช้าไปแค่เล็กน้อย เพราะผู้คุมชุดใหม่ก็พึ่งจะเข้าประจําการไปเมื่อเดือนก่อนนี้เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็จําต้องรออีก 11 เดือน ก่อนจะถึงตาพวกเจ้าเข้าประจําการ”

“หากไม่ติดอะไร พวกเจ้าจักได้เป็นผู้คุมชุดต่อไปแน่นอน”

 

“เนื่องเพราะมีศิษย์อัจฉริยะไม่มากที่เต็มใจทําหน้าที่ผู้คุมในคุก ถึงแม้ว่าผลึกอมตะที่ได้รับจะไม่น้อยและงานที่ต้องทําก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดชอบมาอุดอู้อยู่ที่คุกนี้”

 

ชายชรากล่าวไปพลางส่ายหัวไปมา ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้

 

“และเดี๋ยวนี้เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่เต็มใจมาทําหน้าที่ผู้คุม ก็ล้วนมุ่งเป้าไปที่หอเกิดดับถ่ายเดียว…ที่อาวุโสเหยียนในโถงกิจการภายในบอกว่าพวกเจ้าสามารถมาที่คุกหมื่นพันธนาการได้ตลอดเวลา ก็จักสื่อว่าพวกเจ้าสามารถเข้าไปยังหอเกิดดับได้ตลอดเวลานั้นเอง…การทําความเข้าใจกฏแห่งความตายที่นั้นจักให้ผลลัพธ์ดีมาก”

 

“เนื่องเพราะหอเกิดดับที่ว่า เป็นดั่งลานประหารของนักโทษในคุกหมื่นพันธนาการตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลิ่นอายแห่งความตายและปราณมรณะที่อบอวลในพื้นที่แห่งนั้น ทําให้หอเกิดดับเป็นดั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับการทําความเข้าใจกฏแห่งความตายก็ไม่ปาน”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+