War sovereign Soaring The Heavens 3462

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3462 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3462 : ร่างเหยียนหวง!

 

ต้วนหลิงเทียนมองจ้องกงซุนชวนหยวนด้วยสายตาที่ฉายชัดถึงความตื่นเต้น

 

สายตาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน กงซุนซวนหยวนเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงอดถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “ศิษย์หลานต้วน เจ้าเคยเห็นข้ามาก่อนหรือ?”

 

ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามันคนนี้ เอาแต่มองมันไม่วางตา และท่าทีไม่คล้ายพบเห็นคนแปลกหน้า แต่เหมือนมองคนรู้จักที่ไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน ทําให้กงซุนซวนหยวนอดถามออกมาไม่ได้

 

อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจเรื่องหนึ่ง

 

มันไม่อาจจดจําชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้เลย ไม่มีทางที่จะมีจุดตัดหรือเคยพบกันมาก่อนแน่นอน

 

“จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวน”

 

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวออกมาว่า “เรื่องนี้กล่าวไปแล้วอาจพิสดารยิ่ง แต่อันที่จริงแล้วก็ใช่ที่ระนาบโลกียะบ้านเกิดของข้าในตอนนี้ก็เป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดเดียวกับของอาจารย์”

 

“แต่อันที่จริงแล้ว วิญญาณของข้านั้นมาจากดาวเหยียนหวงในระนาบเหยียนหวง”

 

“ข้าเติบโตมากับการฟังตํานานและเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของท่านในอดีต

 

พอต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวน แม้แต่ศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหวนทั้ง 2 รวมถึงฟงหยางอาจารย์เขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย

 

โดยเฉพาะฟงชิงหยาง มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์ของมันจะมีประสบการพิสดารอะไรแบบนี้ด้วย

 

วิญญาณข้ามจากระนาบโลกียะหนึ่งมาถึงระนาบโลกียะหนึ่ง และวิญญาณที่ข้ามระนาบโลกียะมาก็เข้าไปสิงสู่ร่างคนที่กําลังจะตาย! เรื่องทํานองนี้มันเองก็เคยได้ยินมาก่อนแต่คิดว่าคงเป็นแค่ข่าวลือมากกว่า เพราะมันมีมูลความจริงไม่มากนัก

 

อย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าลองลูกศิษย์ของมันพูดออกมาแบบนี้ ต้องเป็นเรื่องจริงแน่

 

“ตอนที่เจ้าอยู่บนดาวเหยียนหวง เจ้าเป็นคนที่เก่งกาจทั้งโดดเด่นมากหรือไม่?”

 

ใบหน้ากงซุนชวนหวนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง เอ่ยถามเสียงขรึม

 

ในสายตาของมันไม่มีความตกใจหรือแปลกใจอะไร ราวกับเข้าใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกําลังพูดอยู่

 

“เก่งกาจ โดดเด่น?”

 

ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความคิดเขาก็ยอนทวนกระแสเวลาหวนไปครั้งยังอยู่บนโลก พอพิจารณาจากความสําเร็จในอดีตเมื่อชาติก่อนของเขาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากจะบอกว่าเขาเก่งกาจและโดดเด่นกว่าใคร

 

อย่างไรก็ตามแม้จะคิดไปทํานองดังกล่าว แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามกงซุนซวนหยวน “จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวน คําเก่งกาจ โดดเด่นของท่าน หมายความว่าอย่างไร?”

 

“ก็เป็นเลิศในบางประกากร และมีความสามารถบางอย่างเหนือผู้ใดในโลก”

 

กงซุนซวนหยวนกล่าวตอบ

 

“ไม่ทราบว่าเรื่องนี้นับรึเปล่า”

 

หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เกริ่นตัวตนในอดีตบนโลกออกมา ขณะเดียวกันก็เล่ารายละเอียดชีวิตของเขาในอดีตว่าผ่านอะไรมาบ้างและประสบความสําเร็จอะไร ก่อนที่จะตกตายบนโลก

 

“หากสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์…ความสําเร็จของเจ้าไม่ใช่แค่กล่าวได้ว่าเก่งกาจและโดดเด่น แต่สมควรเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครอื่น!”

 

กงซุนซวนหยวนมองต้วนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง ค่อยถอนหายใจออกมา “ข้าคิดว่ามีเพียงแต่เจ้าตกตายในดินแดนเสินโจวบนโลกเท่านั้น วิญญาณของเจ้าถึงอาจจะข้ามห้วงมิติไปยังระนาบโลกียะอื่นๆได้แต่คิดไม่ถึงจริงว่าเจ้าที่ไปตกตายที่อื่น แต่สุดท้ายวิญญาณของเจ้าก็ยังสามารถข้ามมิติไปยังระนาบโลกียะอื่นได้อยู่ดี”

 

“สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่บนดาวเหยียนหวงเท่านั้น”

 

คําพูดของกงซุนซวนหยวนทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าไฉนอีกฝ่ายถึงเอ่ยถามเรื่องที่เขาเป็นคนเก่งและโดดเด่นไหม ยิ่งไม่เข้าใจว่าสถานที่ตายของเขาบนแผ่นดินเกิดมันต่างจากตกตายที่อื่นอย่างไร “จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจที่ท่านพูดนัก แต่ดูเหมือนท่านจะล่วงรู้ใช่หรือไม่ว่าไฉนวิญญาณของงข้าถึงข้ามระนาบโลกียะ?”

 

“ก่อนอื่นเลยเรื่องของเจ้า ก็ไม่แตกต่างไปจากที่ข้าคํานวณไว้เท่าไหร่”

 

กงซุนซวนหยวนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย จากนั้นลึกลงไปในแววตาก็เผยความตื่นเต้นอันสุดระงับ “อย่างไรก็ตาม หากข้าเดาไม่ผิด ร่างกายของเจ้าสมควรมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายกระมัง?”

 

ชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย!

 

พอกงซุนซวนหยวนเอ่ยคํานี้ออกมา ไม่เพียงแต่ศิษย์ทั้ง 2 ของมันจะตกตะลึงตาตั้ง กระทั่งลูกตาฟงชิงหยางยังอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย มันเองก็พึ่งรู้หลังได้พบเจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรกเท่านั้น!

 

“ท่านอาวุโสท่าน…ท่านรู้ได้อยย่างไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามออกมาด้วยยความประหลาดใจ สถานการณ์ในร่างของเขา ขอเพียงไม่ใช่ตัวตนขอบเขตเทพ แม้จะถูกอีกฝ่ายแผ่สํานึกเทวะมาตรวจสอบ ขอเพียงเขาไม่เต็มใจให้อีกฝ่ายตรวจสอบ เขาก็สามารถขับสํานึกเทวะที่อีกฝ่ายส่งมาตรวจสอบในร่างได้

 

หรือมีตัวตนขอบเขตเทพบางคนพบสถานการณ์ในร่างเขาแล้วบอกกงซุนชวนหยวน?

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

 

เพราะในร่างของเขามีพลังเทพของอาจารย์ประทับเอาไว้ หากมีเทพคนไหนคิดตรวจสอบสถานการณ์ในร่างเขา พลังเทพที่อาจารย์ประทับไว้ในร่างต้องสําแดงอิทธิฤทธิ์ และอาจารย์เขาก็จะล่วงรู้ได้ทันที และต้องรีบติดต่อมาบอกเขา กระทั่งยังอาจจะก่อร่างจิตเทพเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้สักพัก

 

แน่นอนว่าหยุดอีกฝ่ายไว้สักพัก ก็คือการเตือนอีกฝ่ายเท่านั้น

 

หากอีกฝ่ายยังงั้นจะตรววจสอบสถานการณ์ในร่างเขาให้ได้ อาศัยแค่จิตเทพของอาจารย์เขาก็คงไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้

 

“ฮ่าๆๆๆ..!!”

 

กงซุนซวนหยวนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า จากนั้นก็มองต้วนหลิงเทียน “ฟังจากคําถามของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คงมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายจริงๆสินะ”

 

จากนั้นกงซุนซวนหยวนก็เร่งรุดส่งข้อความออกไป 2 ครั้ง และไม่ทันไรก็ปรากฏร่าง 2 รางวูบมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน

 

หนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน อวี้ฮ่าวเทียน!

 

ส่วนอีกคนก็คือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาชวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล!

 

จักรพรรดิหยก!

 

ศากยมุณี

 

2 คนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสําหรับต้วนหลิงเทียนแน่นอน

 

แต่เป็นธรรมดาว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับทั้งคู่ใกล้ๆ!

 

“ฮ่าวเทียน ฉื่อเจีย”

 

หลังจากทั้ง 2 ปรากฏตัวขึ้น พอทุกคนกล่าวทักทายกันแล้ว กงซุนชวนหยวนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟง สมควรเป็นร่างเหยียนหวง” ที่กําเนิดขึ้นในระนาบเหยียนหวงของพวกเรา”

 

ยูไลหรือที่รู้จักกันในนามฉือเจียโหมวหนีนั้น กงซุนชวนหยวนมักเรียกหาอีกฝ่ายว่า “ฉือเจีย” จนติดปาก และคําเรียกหาว่าฉือเจียนั้นมันก็เรียกมาตั้งแต่ในระนาบโลกียะแล้ว ถึงจะขึ้นมาระนาบเทวโลกจนมีวันนี้ก็ไม่เปลี่ยน

 

(ฉื่อเจียโหมวหนี = ศากยมุณี ขอทับศัพท์ว่า ฉื่อเจีย ไปนะ)

 

บางทีคนที่ล่วงรู้ชื่อจริงๆของยูไล นอกจากมันกับสหายไม่กี่คนแล้ว ก็เห้นที่จะมีแต่คนจากดาวเหยียนหวงเท่านั้น

 

ร่างเหยียนหวง!

 

ได้ยินคําพูดของกงซุนซวนหยวน ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนกับฟังชิงหยางเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าคํานี้หมายความว่าอะไร แม้แต่ศิษย์ทั้ง 2 ของกงซุนชวนหยวน จะถงถูก็ดี อวี๋ตงฟางก็ดี สีหน้าแววตาแลดูว่างเปล่าไม่รู้เรื่องราวเช่นกัน

 

หากทว่าสายตาของจักรพรรดิหยกและยูไลที่มองมายังต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ฉายชัดถึงความประหลาดใจไม่น้อย

พวกมันมาที่นี่หลังได้รับข้อความ

ของกงซุนซวนหยวน และข้อความดังกล่าวก็แจ้งเพียงว่า มีเรื่องสําคัญจะบอก แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าได้พบเจอกับ “ร่างเหยียนหวง” แล้ว

 

“ชวนหยวนเจ้าแน่ใจหรือ?”

 

อวี้ฮ่าวเทียนหันไปมองถามกงชุนชวนหยวนด้วยสีหน้าจริงจังเสียงขรึม

 

“ไม่ผิดแน่”

 

กงซุนซวนหยวนกล่าว “ประสบการณ์ของเจ้าหนูนี่เหมือนกับร่างเหยียนหวง ทั้งหลาย อีกทั้งเจ้าตัวยังยอมรับแล้วว่าในร่างมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย”

 

“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผ่านไปหลายปีแล้ว ข้าจักมีโอกาสได้เห็นร่างเหยียนหวงอีกครั้ง และตอนนี้ข้าก็เติบโตมาจนเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่งแล้ว…”

 

ทันที่ที่ได้รับคํายืนยันว่าต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย กงซุนซวนหยวนก็มองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย คล้ายกําลังดูสมบัติล้ําค่าอันหาได้ยากยิ่ง ไม่เหมือนกําลังมองผู้คน!

 

ด้านต้วนหลิงเทียนที่เห็นอาการของกงซุนหยวนก็ได้แต่ลอบร้องว่าผิดท่าแล้ว อยู่ในใจ และเริ่มเสียใจที่ดันบอกอีกฝ่ายไปว่าวิญญาณข้ามมาจากระนาบเหยียนหวง กระทั่งยังมีบ้านเกิดบ นดาวเหยียนหวง

 

เหตุผลที่เขาพูดออกไป เพราะคิดว่าสิ่งนี้มันไร้สําคัญอะไร และไม่ใช่ความลับอีกต่อไป เพราะสุดท้ายก็คงไม่มีใครคิดจะสนใจเรื่องนี้มากนัก

 

บนระนาบเทวโลกมีหลายคนที่พบเจอประสบการณ์พิสดารมากมาย หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณกลับชาติมาเกิดใหม่ แถมยังมีที่พิสดารยิ่งกว่านี้อีก แค่เรื่องของเขาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรมากมาย

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าประสบการณ์ของเขาไม่เพียงแต่จะทําให้กงซุนซวนหยวนตกใจ แต่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์อวี้หวงเทียน กับจ้าววิหารเฟิงฮ่าวจักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ก็แลดูประหลาดใจไม่น้อย.และต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าความสนใจของทั้ง 3 ไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด

 

“ร่างเหยียนหวง…”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้สายตาของยูไลได้ละออกจากร่างต้วนหลิงเทียนและหันไปมองจ้องฟงชิงหยาง “จักรพรรดิสวรรค์ฟังชิงหยาง ในชีวิตอาตมาเคยรับศิษย์แต่ในนามมาก็หลายคน แต่ไม่มีผู้ใดเป็นศิษย์ที่แท้จริงอาตมาคิดรบศิษย์ที่แท้จริงของท่านเป็นศิษย์ที่แท้จริงของอาตมา มิทราบว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเต็มใจตัดจากใจศิษย์คนนี้หรือไม่?”

 

ได้ยินคําถามของยูไล ฟงชิงหยางก็เหลือบมองมันด้วยสายตาไม่แยแส “เรื่องนี้เจ้าต้องถามศิษย์ของข้า ไม่ใช่ข้า”

 

ขณะเดียวกันฟงชิงหยางก็ลอบส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียน “เสี่ยวเทียน ถึงแม้ว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าร่างเหยียนหวงนั่นคืออะไร แต่ดูจากท่าทีที่พวกมันสนใจกันจนออกนอกหน้าแบบนี้ พวกมันไม่พ้นต้องเก็บงําความลับอะไรเอาไว้เป็นแน่ อย่างไรก็ตามยูไลผู้นั้นมันบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ทางที่ดีเจ้าอยู่ให้ห่างมันหน่อยจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงเภทภัยถึงชีวิต”

 

“ในระนาบเทวโลกทั้งมวล ข้าได้ยินเรื่องร่างกายพิเศษมาก็ไม่น้อย แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องรางเหยียนหวงมาก่อนเลย. และร่างพิเศษที่มีค่ามากที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา กระทั่งตัวตนระดับจักรพร รดิสวรรค์เองก็ยังอยากช่วงชิง”

 

“เพราะร่างกายพิเศษที่ข้าพูดถึง หากไม่ตกตายไปกลางทางเสียก่อน ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใด สิบในสิบล้วนสามารถบรรลถึงงขอบเขตได้เทพแน่นอน”

 

“และจากข่าวลือที่ข้าได้ยินมาโดยไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ…มนุษย์ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุด สายนั้น หากมีร่างพิเศษอันใด ศักยภาพจักไม่น้อยไปกว่าสัตว์เทพแม้แต่นิดเดียว หากไม่มีอะไรผิดพลาด สักวันต้องบรรลุถึงขอบเขตเทพโดยไม่ต้องพยายามมากนัก”

 

ฟงชิงหยางกล่าว

 

ฟงชิงหยางไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียนมาก่อน เพราะมันกลัวว่าพอต้วนหลิงเทียนได้ยินแล้วจะชะล่าใจ สุดท้ายก็ละเลยการฝึกปรือบ่มเพาะ

 

มันเองก็รู้ดีว่าเหล่าผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายนั้น หากปราศจากอุบัติเหตุใดๆ ย่อมบรรลุถึงขอบเขตได้แน่นอนในสถานการณ์ดังกล่าว หากล่วงรู้แล้ว ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ก็มักจะไม่รีบร้อน ละเลยการฝึกฝน เพราะรู้ดีว่าตัวเองจะอย่างไรก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งเทพ

 

“ข้ามิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเจ้าแต่แรก เพราะกลัวเจ้าละเลยการฝึกปรือ”

 

ฟงชิงหยางกล่าวอธิบายเสริม

 

“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจ”

 

คําพูดของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนเข้าใจดี จากนั้นเขาก็หันไปมองงูไลที่กําลังมองจ้องมาที่เขาตาลุกวาว และไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เขาก็กล่าวตอบออกมาว่า “จ้าววิหารยูไล ชั่วชีวิตข้า ต้วนหลิงเทียนคนนี้เพียงยอมรับอาจารย์แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น และคนๆนั้นก็คืออาจารย์ของข้า ฟงชิงหยาง”

 

“ต่อจากนี้ไป ต่อให้เป็นเทพที่น่าเกรงขามเพียงใด กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุด…ข้าเองก็ไม่อาจกราบคารวะผู้ใดเป็นอาจารย์ได้อีก”

 

ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาแบบนี้ เรียกว่าตัดความหวังของยูไลทันที

 

ด้านยูไลพอได้ยินดังกล่าว สองตาก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง หากแต่ใบหน้ายังคงสงบ “ใน เมื่อสหายน้อยตัดสินใจแล้ว อาตมาก็ไม่คิดบังคับ”

 

พอกล่าวจบคํา มันก็หันไปมองฟงชิงหยางอีกครั้ง “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง หลังจบศึกอัจฉริยะสวรรค์ 10 ปี อาตมาจักไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมียเทียนเพื่อประมือกับท่าน.หากท่านแพ้ เช่นนั้นก็จงสละตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของเมียเทียนเสีย”

 

ครู่ต่อมาสองตายูไลก็เผยจิตฆ่าฟันออกมาวาบหนึ่ง ยากที่ใครจะสังเกตได้เห็น

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3462

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3462 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3462 : ร่างเหยียนหวง!

 

ต้วนหลิงเทียนมองจ้องกงซุนชวนหยวนด้วยสายตาที่ฉายชัดถึงความตื่นเต้น

 

สายตาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน กงซุนซวนหยวนเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงอดถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “ศิษย์หลานต้วน เจ้าเคยเห็นข้ามาก่อนหรือ?”

 

ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามันคนนี้ เอาแต่มองมันไม่วางตา และท่าทีไม่คล้ายพบเห็นคนแปลกหน้า แต่เหมือนมองคนรู้จักที่ไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน ทําให้กงซุนซวนหยวนอดถามออกมาไม่ได้

 

อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจเรื่องหนึ่ง

 

มันไม่อาจจดจําชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้เลย ไม่มีทางที่จะมีจุดตัดหรือเคยพบกันมาก่อนแน่นอน

 

“จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวน”

 

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวออกมาว่า “เรื่องนี้กล่าวไปแล้วอาจพิสดารยิ่ง แต่อันที่จริงแล้วก็ใช่ที่ระนาบโลกียะบ้านเกิดของข้าในตอนนี้ก็เป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดเดียวกับของอาจารย์”

 

“แต่อันที่จริงแล้ว วิญญาณของข้านั้นมาจากดาวเหยียนหวงในระนาบเหยียนหวง”

 

“ข้าเติบโตมากับการฟังตํานานและเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของท่านในอดีต

 

พอต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวน แม้แต่ศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหวนทั้ง 2 รวมถึงฟงหยางอาจารย์เขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย

 

โดยเฉพาะฟงชิงหยาง มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์ของมันจะมีประสบการพิสดารอะไรแบบนี้ด้วย

 

วิญญาณข้ามจากระนาบโลกียะหนึ่งมาถึงระนาบโลกียะหนึ่ง และวิญญาณที่ข้ามระนาบโลกียะมาก็เข้าไปสิงสู่ร่างคนที่กําลังจะตาย! เรื่องทํานองนี้มันเองก็เคยได้ยินมาก่อนแต่คิดว่าคงเป็นแค่ข่าวลือมากกว่า เพราะมันมีมูลความจริงไม่มากนัก

 

อย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าลองลูกศิษย์ของมันพูดออกมาแบบนี้ ต้องเป็นเรื่องจริงแน่

 

“ตอนที่เจ้าอยู่บนดาวเหยียนหวง เจ้าเป็นคนที่เก่งกาจทั้งโดดเด่นมากหรือไม่?”

 

ใบหน้ากงซุนชวนหวนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง เอ่ยถามเสียงขรึม

 

ในสายตาของมันไม่มีความตกใจหรือแปลกใจอะไร ราวกับเข้าใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกําลังพูดอยู่

 

“เก่งกาจ โดดเด่น?”

 

ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความคิดเขาก็ยอนทวนกระแสเวลาหวนไปครั้งยังอยู่บนโลก พอพิจารณาจากความสําเร็จในอดีตเมื่อชาติก่อนของเขาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากจะบอกว่าเขาเก่งกาจและโดดเด่นกว่าใคร

 

อย่างไรก็ตามแม้จะคิดไปทํานองดังกล่าว แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามกงซุนซวนหยวน “จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวน คําเก่งกาจ โดดเด่นของท่าน หมายความว่าอย่างไร?”

 

“ก็เป็นเลิศในบางประกากร และมีความสามารถบางอย่างเหนือผู้ใดในโลก”

 

กงซุนซวนหยวนกล่าวตอบ

 

“ไม่ทราบว่าเรื่องนี้นับรึเปล่า”

 

หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เกริ่นตัวตนในอดีตบนโลกออกมา ขณะเดียวกันก็เล่ารายละเอียดชีวิตของเขาในอดีตว่าผ่านอะไรมาบ้างและประสบความสําเร็จอะไร ก่อนที่จะตกตายบนโลก

 

“หากสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์…ความสําเร็จของเจ้าไม่ใช่แค่กล่าวได้ว่าเก่งกาจและโดดเด่น แต่สมควรเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครอื่น!”

 

กงซุนซวนหยวนมองต้วนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง ค่อยถอนหายใจออกมา “ข้าคิดว่ามีเพียงแต่เจ้าตกตายในดินแดนเสินโจวบนโลกเท่านั้น วิญญาณของเจ้าถึงอาจจะข้ามห้วงมิติไปยังระนาบโลกียะอื่นๆได้แต่คิดไม่ถึงจริงว่าเจ้าที่ไปตกตายที่อื่น แต่สุดท้ายวิญญาณของเจ้าก็ยังสามารถข้ามมิติไปยังระนาบโลกียะอื่นได้อยู่ดี”

 

“สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่บนดาวเหยียนหวงเท่านั้น”

 

คําพูดของกงซุนซวนหยวนทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าไฉนอีกฝ่ายถึงเอ่ยถามเรื่องที่เขาเป็นคนเก่งและโดดเด่นไหม ยิ่งไม่เข้าใจว่าสถานที่ตายของเขาบนแผ่นดินเกิดมันต่างจากตกตายที่อื่นอย่างไร “จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจที่ท่านพูดนัก แต่ดูเหมือนท่านจะล่วงรู้ใช่หรือไม่ว่าไฉนวิญญาณของงข้าถึงข้ามระนาบโลกียะ?”

 

“ก่อนอื่นเลยเรื่องของเจ้า ก็ไม่แตกต่างไปจากที่ข้าคํานวณไว้เท่าไหร่”

 

กงซุนซวนหยวนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย จากนั้นลึกลงไปในแววตาก็เผยความตื่นเต้นอันสุดระงับ “อย่างไรก็ตาม หากข้าเดาไม่ผิด ร่างกายของเจ้าสมควรมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายกระมัง?”

 

ชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย!

 

พอกงซุนซวนหยวนเอ่ยคํานี้ออกมา ไม่เพียงแต่ศิษย์ทั้ง 2 ของมันจะตกตะลึงตาตั้ง กระทั่งลูกตาฟงชิงหยางยังอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย มันเองก็พึ่งรู้หลังได้พบเจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรกเท่านั้น!

 

“ท่านอาวุโสท่าน…ท่านรู้ได้อยย่างไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามออกมาด้วยยความประหลาดใจ สถานการณ์ในร่างของเขา ขอเพียงไม่ใช่ตัวตนขอบเขตเทพ แม้จะถูกอีกฝ่ายแผ่สํานึกเทวะมาตรวจสอบ ขอเพียงเขาไม่เต็มใจให้อีกฝ่ายตรวจสอบ เขาก็สามารถขับสํานึกเทวะที่อีกฝ่ายส่งมาตรวจสอบในร่างได้

 

หรือมีตัวตนขอบเขตเทพบางคนพบสถานการณ์ในร่างเขาแล้วบอกกงซุนชวนหยวน?

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

 

เพราะในร่างของเขามีพลังเทพของอาจารย์ประทับเอาไว้ หากมีเทพคนไหนคิดตรวจสอบสถานการณ์ในร่างเขา พลังเทพที่อาจารย์ประทับไว้ในร่างต้องสําแดงอิทธิฤทธิ์ และอาจารย์เขาก็จะล่วงรู้ได้ทันที และต้องรีบติดต่อมาบอกเขา กระทั่งยังอาจจะก่อร่างจิตเทพเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้สักพัก

 

แน่นอนว่าหยุดอีกฝ่ายไว้สักพัก ก็คือการเตือนอีกฝ่ายเท่านั้น

 

หากอีกฝ่ายยังงั้นจะตรววจสอบสถานการณ์ในร่างเขาให้ได้ อาศัยแค่จิตเทพของอาจารย์เขาก็คงไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้

 

“ฮ่าๆๆๆ..!!”

 

กงซุนซวนหยวนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า จากนั้นก็มองต้วนหลิงเทียน “ฟังจากคําถามของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คงมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายจริงๆสินะ”

 

จากนั้นกงซุนซวนหยวนก็เร่งรุดส่งข้อความออกไป 2 ครั้ง และไม่ทันไรก็ปรากฏร่าง 2 รางวูบมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน

 

หนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน อวี้ฮ่าวเทียน!

 

ส่วนอีกคนก็คือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาชวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล!

 

จักรพรรดิหยก!

 

ศากยมุณี

 

2 คนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสําหรับต้วนหลิงเทียนแน่นอน

 

แต่เป็นธรรมดาว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับทั้งคู่ใกล้ๆ!

 

“ฮ่าวเทียน ฉื่อเจีย”

 

หลังจากทั้ง 2 ปรากฏตัวขึ้น พอทุกคนกล่าวทักทายกันแล้ว กงซุนชวนหยวนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟง สมควรเป็นร่างเหยียนหวง” ที่กําเนิดขึ้นในระนาบเหยียนหวงของพวกเรา”

 

ยูไลหรือที่รู้จักกันในนามฉือเจียโหมวหนีนั้น กงซุนชวนหยวนมักเรียกหาอีกฝ่ายว่า “ฉือเจีย” จนติดปาก และคําเรียกหาว่าฉือเจียนั้นมันก็เรียกมาตั้งแต่ในระนาบโลกียะแล้ว ถึงจะขึ้นมาระนาบเทวโลกจนมีวันนี้ก็ไม่เปลี่ยน

 

(ฉื่อเจียโหมวหนี = ศากยมุณี ขอทับศัพท์ว่า ฉื่อเจีย ไปนะ)

 

บางทีคนที่ล่วงรู้ชื่อจริงๆของยูไล นอกจากมันกับสหายไม่กี่คนแล้ว ก็เห้นที่จะมีแต่คนจากดาวเหยียนหวงเท่านั้น

 

ร่างเหยียนหวง!

 

ได้ยินคําพูดของกงซุนซวนหยวน ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนกับฟังชิงหยางเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าคํานี้หมายความว่าอะไร แม้แต่ศิษย์ทั้ง 2 ของกงซุนชวนหยวน จะถงถูก็ดี อวี๋ตงฟางก็ดี สีหน้าแววตาแลดูว่างเปล่าไม่รู้เรื่องราวเช่นกัน

 

หากทว่าสายตาของจักรพรรดิหยกและยูไลที่มองมายังต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ฉายชัดถึงความประหลาดใจไม่น้อย

พวกมันมาที่นี่หลังได้รับข้อความ

ของกงซุนซวนหยวน และข้อความดังกล่าวก็แจ้งเพียงว่า มีเรื่องสําคัญจะบอก แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าได้พบเจอกับ “ร่างเหยียนหวง” แล้ว

 

“ชวนหยวนเจ้าแน่ใจหรือ?”

 

อวี้ฮ่าวเทียนหันไปมองถามกงชุนชวนหยวนด้วยสีหน้าจริงจังเสียงขรึม

 

“ไม่ผิดแน่”

 

กงซุนซวนหยวนกล่าว “ประสบการณ์ของเจ้าหนูนี่เหมือนกับร่างเหยียนหวง ทั้งหลาย อีกทั้งเจ้าตัวยังยอมรับแล้วว่าในร่างมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย”

 

“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผ่านไปหลายปีแล้ว ข้าจักมีโอกาสได้เห็นร่างเหยียนหวงอีกครั้ง และตอนนี้ข้าก็เติบโตมาจนเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่งแล้ว…”

 

ทันที่ที่ได้รับคํายืนยันว่าต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย กงซุนซวนหยวนก็มองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย คล้ายกําลังดูสมบัติล้ําค่าอันหาได้ยากยิ่ง ไม่เหมือนกําลังมองผู้คน!

 

ด้านต้วนหลิงเทียนที่เห็นอาการของกงซุนหยวนก็ได้แต่ลอบร้องว่าผิดท่าแล้ว อยู่ในใจ และเริ่มเสียใจที่ดันบอกอีกฝ่ายไปว่าวิญญาณข้ามมาจากระนาบเหยียนหวง กระทั่งยังมีบ้านเกิดบ นดาวเหยียนหวง

 

เหตุผลที่เขาพูดออกไป เพราะคิดว่าสิ่งนี้มันไร้สําคัญอะไร และไม่ใช่ความลับอีกต่อไป เพราะสุดท้ายก็คงไม่มีใครคิดจะสนใจเรื่องนี้มากนัก

 

บนระนาบเทวโลกมีหลายคนที่พบเจอประสบการณ์พิสดารมากมาย หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณกลับชาติมาเกิดใหม่ แถมยังมีที่พิสดารยิ่งกว่านี้อีก แค่เรื่องของเขาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรมากมาย

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าประสบการณ์ของเขาไม่เพียงแต่จะทําให้กงซุนซวนหยวนตกใจ แต่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์อวี้หวงเทียน กับจ้าววิหารเฟิงฮ่าวจักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ก็แลดูประหลาดใจไม่น้อย.และต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าความสนใจของทั้ง 3 ไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด

 

“ร่างเหยียนหวง…”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้สายตาของยูไลได้ละออกจากร่างต้วนหลิงเทียนและหันไปมองจ้องฟงชิงหยาง “จักรพรรดิสวรรค์ฟังชิงหยาง ในชีวิตอาตมาเคยรับศิษย์แต่ในนามมาก็หลายคน แต่ไม่มีผู้ใดเป็นศิษย์ที่แท้จริงอาตมาคิดรบศิษย์ที่แท้จริงของท่านเป็นศิษย์ที่แท้จริงของอาตมา มิทราบว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเต็มใจตัดจากใจศิษย์คนนี้หรือไม่?”

 

ได้ยินคําถามของยูไล ฟงชิงหยางก็เหลือบมองมันด้วยสายตาไม่แยแส “เรื่องนี้เจ้าต้องถามศิษย์ของข้า ไม่ใช่ข้า”

 

ขณะเดียวกันฟงชิงหยางก็ลอบส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียน “เสี่ยวเทียน ถึงแม้ว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าร่างเหยียนหวงนั่นคืออะไร แต่ดูจากท่าทีที่พวกมันสนใจกันจนออกนอกหน้าแบบนี้ พวกมันไม่พ้นต้องเก็บงําความลับอะไรเอาไว้เป็นแน่ อย่างไรก็ตามยูไลผู้นั้นมันบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ทางที่ดีเจ้าอยู่ให้ห่างมันหน่อยจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงเภทภัยถึงชีวิต”

 

“ในระนาบเทวโลกทั้งมวล ข้าได้ยินเรื่องร่างกายพิเศษมาก็ไม่น้อย แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องรางเหยียนหวงมาก่อนเลย. และร่างพิเศษที่มีค่ามากที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา กระทั่งตัวตนระดับจักรพร รดิสวรรค์เองก็ยังอยากช่วงชิง”

 

“เพราะร่างกายพิเศษที่ข้าพูดถึง หากไม่ตกตายไปกลางทางเสียก่อน ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใด สิบในสิบล้วนสามารถบรรลถึงงขอบเขตได้เทพแน่นอน”

 

“และจากข่าวลือที่ข้าได้ยินมาโดยไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ…มนุษย์ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุด สายนั้น หากมีร่างพิเศษอันใด ศักยภาพจักไม่น้อยไปกว่าสัตว์เทพแม้แต่นิดเดียว หากไม่มีอะไรผิดพลาด สักวันต้องบรรลุถึงขอบเขตเทพโดยไม่ต้องพยายามมากนัก”

 

ฟงชิงหยางกล่าว

 

ฟงชิงหยางไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียนมาก่อน เพราะมันกลัวว่าพอต้วนหลิงเทียนได้ยินแล้วจะชะล่าใจ สุดท้ายก็ละเลยการฝึกปรือบ่มเพาะ

 

มันเองก็รู้ดีว่าเหล่าผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายนั้น หากปราศจากอุบัติเหตุใดๆ ย่อมบรรลุถึงขอบเขตได้แน่นอนในสถานการณ์ดังกล่าว หากล่วงรู้แล้ว ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ก็มักจะไม่รีบร้อน ละเลยการฝึกฝน เพราะรู้ดีว่าตัวเองจะอย่างไรก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งเทพ

 

“ข้ามิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเจ้าแต่แรก เพราะกลัวเจ้าละเลยการฝึกปรือ”

 

ฟงชิงหยางกล่าวอธิบายเสริม

 

“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจ”

 

คําพูดของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนเข้าใจดี จากนั้นเขาก็หันไปมองงูไลที่กําลังมองจ้องมาที่เขาตาลุกวาว และไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เขาก็กล่าวตอบออกมาว่า “จ้าววิหารยูไล ชั่วชีวิตข้า ต้วนหลิงเทียนคนนี้เพียงยอมรับอาจารย์แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น และคนๆนั้นก็คืออาจารย์ของข้า ฟงชิงหยาง”

 

“ต่อจากนี้ไป ต่อให้เป็นเทพที่น่าเกรงขามเพียงใด กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุด…ข้าเองก็ไม่อาจกราบคารวะผู้ใดเป็นอาจารย์ได้อีก”

 

ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาแบบนี้ เรียกว่าตัดความหวังของยูไลทันที

 

ด้านยูไลพอได้ยินดังกล่าว สองตาก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง หากแต่ใบหน้ายังคงสงบ “ใน เมื่อสหายน้อยตัดสินใจแล้ว อาตมาก็ไม่คิดบังคับ”

 

พอกล่าวจบคํา มันก็หันไปมองฟงชิงหยางอีกครั้ง “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง หลังจบศึกอัจฉริยะสวรรค์ 10 ปี อาตมาจักไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมียเทียนเพื่อประมือกับท่าน.หากท่านแพ้ เช่นนั้นก็จงสละตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของเมียเทียนเสีย”

 

ครู่ต่อมาสองตายูไลก็เผยจิตฆ่าฟันออกมาวาบหนึ่ง ยากที่ใครจะสังเกตได้เห็น

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+