War sovereign Soaring The Heavens 3512

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3512 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3512 : ของขวัญ

 

       หลังจากที่ฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเปิดเผยออกมา ก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายพุ่งพล่านขึ้นมาไม่น้อย

 

  ตอนนี้คนเดียวที่ไม่ได้ตกใจก็คือต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยาง เพราะต้วนหลิงเทียนนั้นล่วงรู้ชาติกำเนิดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแต่แรก ส่วนฟงชิงหยางก็ได้รับทราบจากต้วนหลิงเทียนแล้วว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาจากตระกูลในระนาบเทพ

 

  ระนาบเทพ ยิ่งตัวตนระดับสูงยิ่งรู้ข้อมูล ต่างจากเหล่าเซียนอมตะที่ไม่ได้มีฐานะสูงส่งอะไร อีกทั้งยังรู้ดีว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร อย่างน้อยๆก็เหนือกว่าระนาบเทวโลกมาก

 

  ในระนาบเทพนั้น ไม่ว่าระนาบเทพแห่งไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีตัวตนขอบเขตเทพเดินกันให้ว่อน…

 

  “จะอย่างไรก็ช่างเถอะ…แต่ในเมื่อมันเป็นถึงคุณชายของตระกูลในระนาบเทพ การมาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์แบบนี้ยังไม่ใช่การรังแกผู้คนหรือไร?”

 

  หลังรับทราบความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เหล่าอัจฉริยะหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เห็นชัดว่าพวกมันรู้สึกเสมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม! หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เป็นคุณชายนายน้อยของตระกูลบนระนาบเทพ การลงมาแข่งขันในระนาบเทวโลกแบบนี้…ไยไม่ใช่ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย?!

 

  “ไม่! เจ้าอย่าได้ลืมว่าปีนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังมีอายุไม่ถึง 700 ปี! และตอนนี้ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบเทพก็ถูกปิดกั้นมา 600 กว่าปีแล้ว…กล่าวได้ว่าตอนที่มันออกจากระนาบเทพนั้น อายุของมันก็ไม่น่าจะถึงร้อยปีด้วยซ้ำ! และมันก็ไม่มีโอกาสกลับไปไม่ใช่รึไง?”

 

  ขณะเดียวกัน หลายคนที่ฉุกคิดถึงอายุหลิงเจวี๋ยอวิ๋นขึ้นมาได้ ก็โยงไปถึงเรื่องการปิดตัวของช่องทางระหว่างระนาบเทวโลกและระนาบเทพทันที

 

  เพราะช่องทางดังกล่าวเมื่อปิดตัวลงแล้ว ก็จะกินเวลาทั้งสิ้น 1,000 ปี!

 

  ระหว่างนั้นผู้คนก็ไม่อาจสัญจรไปมาระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกได้…

 

  “ถ้างั้นหมายความว่า…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นมันก็เติบโตขึ้นมาบนระนาบเทวโลกน่ะสิ?”

 

  “ถึงมันจะเติบโตมาบนระนาบเทวโลกแล้วยังไงเล่า? เบื้องหลังมันมีตระกูลสูงส่งของแดนเทพส่งเสริม ทรัพยากรที่มันมีไม่ทราบเหนือล้ำกว่าพวกเราเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ข้าเกรงว่าของในแหวนพื้นที่มันสมควรล้ำค่าสุดที่พวกเราจะจินตนาการได้ออกด้วยซ้ำ! ในสถานการณ์แบบนี้…ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะของมันจะรวดเร็วเหนือพวกเราก็ไม่แปลกอะไร!”

 

  …

 

  ถึงแม้จะรู้แล้วว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรเติบโตขึ้นบนระนาบเทวโลก แต่หลายคนยังรู้สึกว่าด้วยฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อย่างไรก็มีพื้นเพมาจากระนาบเทพ แม้จะไม่ได้อยู่ในระนาบเทพ แต่ไหนเลยจะไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะที่พกติดตัวมาด้วย? ซึ่งของพวกนั้นน่ากลัวจะไม่ใช่อะไรที่คนในระนาบเทวโลกจะจินตนาการได้ออก!!

 

  ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายตัวตนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้รับการยืนยันจากฉีคงไห่เรียบร้อย

 

  ถึงแม้จะมีหลายคนที่รู้สึกไม่ยุติธรรมที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาแข่งขันกับพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่อาจพูดอะไรได้

 

  ล้อกันเล่นหรือไร?

 

  ไม่เห็นเหรอว่าฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักแทบจะกอดต้นขาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่แล้ว!?

 

  ตอนนี้ต่อให้มีคนยกประเด็นเรื่องไม่ยุติธรรมขึ้นมา เกรงว่าฉีคงไห่จะปัดตกทั้งออกตัวคัดค้านแน่นอน และผู้อื่นก็มีอำนาจจะทำแบบนั้นด้วย เพราะสุดท้ายแล้วในบรรดาคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่มา ฉีคงไห่ ก็มีอำนาจสูงสุด!

 

  “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในระนาบเทพกลับมีตระกูลเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วย…สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในสมาชิกของตระกูล กลับมีกฏแห่งความตายแฝงอยู่ เช่นนั้นกล่าวได้ว่าการเข้าใจกฏแห่งความตายก็ง่ายดายเสมือนมีมือของทวยเทพผลักดันอยู่ด้านหลัง แถมยังมีความสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างร่างจริงกับร่างแยกแห่งความตายแสนโกงนั่นอีก…”

 

  หลังได้รับทราบ ‘ต้นตอ’ ความสามารถของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เหล่าอัจฉริยะไม่เว้นเหล่าจักรพรรดิสวรรค์หลายก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮา และที่มากที่สุดแน่นอนว่าคือความอิจฉา!

 

  เป็นธรรมดาว่ายังมีคนที่เข้าใจระนาบเทพดี และไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย

 

  อย่างเช่น ฉีคงไห่ ฟงชิงหยาง ตี้หวง รวมถึงอาวุโสของเผ่ากิเลนที่มาด้วย ก็แลดูเฉยๆทั้งนั้น “ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ปกติแล้วก็สืบสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วยกันทั้งนั้น…แล้วสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหนเลยจะธรรมดาได้? ความสามารถพิสดารเหนือจินตนาของสายเลือดแทบทุกประเภทถือเป็นเรื่องปกติที่นั่น”

 

  ฉีคงไห่ในฐานะรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ล่วงรู้เรื่องนี้ดี

 

  ตี้หวงในฐานะที่เป็นคนของเผ่ากิเลน และเผ่ากิเลนก็มีผู้แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นก็ย่อมรู้เป็นธรรมดา

 

  สำหรับฟงชิงหยาง ได้รับทราบเรื่องราวของระนาบเทพมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก

 

  ไม่ว่าฐานะความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถือว่าอาชนะหวงเฉวียนอันได้อย่างราบคาบ

 

  “ข้าล่ะยอมเจ้าเลย…”

 

  จังหวะนี้ หวงเฉวียนอัน ที่ได้รับทราบ ‘สาเหตุ’ ของความพ่ายแพ้ หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆปานเคี้ยวข้าวเจอบอระเพ็ด กล่าวว่า “ต่อไปวันหน้า หากข้าเจอคนจากตระกูลของเจ้า ก็คงต้องเดินหลบๆหน่อย…”

 

  “ผู้ใดใช้ให้สายเลือดของพวกเจ้าเป็นดาวข่มข้ากันเล่า…”

 

  จังหวะนี้หวงเฉวียนอันยังกล่าวหยอกล้อเคล้าเสียงหัวเราะอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ท้อแท้หรือหดหู่อะไรมากที่แพ้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น แลดูไปไม่คล้ายจริงจังกับการแข่งขันสักเท่าไหร่

 

  ฉีคงไห่มองส่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับไปนั่งที่ด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง จนเมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่งลงดีแล้ว สายตามันก็กวาดมองไปยังอัฒจันทร์รอบๆ ปริปากกล่าวออกมาอีกครั้ง “ต่อไป อันดับ 6 คนใหม่ โจวหย่งฉี เชิญเข้าสังเวียนเพื่อเลือกคู่ต่อสู้ของเจ้า”

 

  โจวหย่งฉีแรกสุดนั้นถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 4 แต่พอหวงเฉวียนอันท้าประลองเอาชนะจงกุ้ยอวี่ได้สำเร็จ มันก็ร่วงตกงมาอยู่อันดับที่ 5 ทันที

 

  มาตอนนี้คนที่มีอันดับต่ำกว่ามัน ท้าทายเอาชนะหวงเฉวียนอันได้สำเร็จ เช่นนั้นอันดับของมันก็เลยร่วงตกลงมาถึงอันดับที่ 6

 

  แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนกับถังซานเป่าที่เดิมอยู่ในอันดับสูงกว่ามันก็พบชะตากรรมเดียวกัน

 

  ต้วนหลิงเทียนร่วงตกจากอันดับที่ 3 มาอันดับที่ 5

 

  ถังซานเป่าแรกสุดจากรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ก็ร่วงมาอยู่ในอันดับที่ 4

 

  ฟุ่บ!

 

  โจวหย่งฉีเหินร่างเข้าสังเวียนเร็วไว ดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะให้กลับมาสนใจการประลองอีกครั้ง

 

  “โจวหย่งฉี ศิษย์ปิดสำนักของจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน โจวปิงหวู่!”

 

  “พวกเจ้าว่า…โจวหย่งฉีผู้นี้มันจะท้าต้วนหลิงเทียนสู้หรือไม่? สุดท้ายแล้วอาจารย์ของมันอย่างจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน ก็โดนจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน อาจารย์ของต้วนหลิงเทียนหักหน้าในที่สาธารณะ!”

 

  “ข้าว่ามันเอาคืนแน่!”

 

  “เหอะๆ อาจารย์โดนรังแก เป็นเรื่องปกติที่ศิษย์เช่นมันจะเอาคืน!”

 

  “เดี๋ยวๆ เอาคืนอะไรของพวกเจ้า? อย่าได้ลืมไปว่าตอนต้วนหลิงเทียนประมือกับอวี๋ตงฟาง พลังฝีมือที่เผยออกไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือแม้แต่นิดเดียว…ต่อให้โจวหย่งฉีจะร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว แต่มันก็ยังห่างจากเทพสงคราม 5 ชนชั้นยอดฝีมือไม่ใช่รึไง?”

 

  “จริง ข้าว่ามันยังห่างกว่าจะเรียกได้ว่ายอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา!”

 

  “ก็นะในเมื่อมันยังไม่ใช่ยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา ใจคิดยืนหยัดให้อาจารย์แค่ไหนแต่ตัวก็ยังไร้กำลังอยู่ดี…”

 

  เสียงซุบซิบที่ดังระงมจากอัฒจันทร์รอบทิศ ย่อมเข้าหูโจวหย่งฉีเป็นธรรมชาติ พาลให้ร่างโจวหย่งฉีสะท้านสั่นไหวไปเบาๆ มุมปากยังอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขื่นขมอย่างอับจนออกมา

 

  หากอวี๋ตงฟางไม่ได้ท้าทายต้วนหลิงเทียน จนต้วนหลิงเทียนสำแดงพลังอันเลิศล้ำชนชั้นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราออกมาล่ะก็ ตอนนี้มันท้าต้วนหลิงเทียนสู้แน่!

 

  แต่ทุกคนทราบดี ว่ามันยังสู้อวี๋ตงฟางไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

  หากกระทั่งอวี๋ตงฟางยังแพ้พ่าย ให้มันท้าทายต้วนหลิงเทียน ก็รังแต่จะหาเรื่องอับอายเท่านั้น

 

  “ข้าขอท้า…”

 

  ท่ามกลางสายตาของทุกคน เมื่อเห็นว่าสายตาของโจวหย่งฉีหันไปมองทางต้วนหลิงเทียน เหล่าอัจฉริยะก็อุทานออกมาด้วยความแตกตื่น “โฮ่!? โจวหย่งฉีนั่น…หรือที่แท้มันปกปิดพลังเอาไว้!? มันคิดจะท้าต้วนหลิงเทียนเรอะ?!’

 

  “สายตานั่นมัน…มองไปทางต้วนหลิงเทียนชัดๆ! มันจะท้าต้วนหลิงเทียนจริงๆรึ!?”

 

  “มัน…คงไม่ใช่ว่าเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราด้วยหรอกนะ? หากใช่ ก็น่าดูชมแล้วล่ะ!”

 

  …

 

  พอเห็นว่าสายจาของโจวหย่งฉีมองไปตกยังบริเวณอัฒจันทร์ที่นั่งของต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะทั้งหลายก็คึกคักอักโขนัก รอดูชมความตื่นเต้นอย่างใจจดจ่อ

 

  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายกำลังคึกคักได้ที่ เสียงที่ดังขึ้นของโจวหย่งฉีก็ทำให้พวกมันอึ้งไปอีกรอบ “อันดับที่ 4 ถังซานเป่า!”

 

  โจวหย่งฉีกลับท้าทายถังซานเป่า ไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน!

 

  “เหอๆ ดูเหมือนพวกเราจะคิดมากเกินไป…”

 

  หลังอัจฉริยะอื้ออึงกับเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง หลายคนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา บ้างที่คืนสติก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆพร้อมรอยยิ้มเชิดๆ “ก็นะ โจวหย่งฉีนั่นดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่ามันสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้…เช่นนั้นจึงเลือกสหายของต้วนหลิงเทียนแทน กล่าวไปก็เสมือนมันหาทางกู้หน้าอาจารย์โดยอ้อมแล้วล่ะ…”

 

  “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

 

  “แล้วจะให้มันทำอย่างไรได้อีกเล่า?”

 

  “คนที่มันท้าได้ตอนนี้ ก็เหลือแค่ถังซานเป่ากับจงกุ้ยอวี่เท่านั้น…เว้นเสียแต่มันจะหาเรื่องแพ้ สุดท้ายการเลือกถังซานเป่าย่อมดีที่สุด เพราะพลังฝีมือของถังซานเป่าเท่าก็ไม่แน่ว่าจะร้ายกาจเท่าจงกุ้ยอวี่…”

 

  “งั้นหมายความว่าการเลือกของมันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพราะต้องการเล่นงานสหายต้วนหลิงเทียนอย่างเดียว…แต่มันจงใจเลือกคนที่คิดว่าเป็นพลับสุกนุ่มนิ่ม?”

 

  …

 

  ได้ยินความเห็นของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลาย สีหน้าต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่แลดูผิดแปลกไปอยู่บ้าง แววตายังแหม่งๆอย่างไรชอบกล

 

  ถังซานเป่าน่ะหรือ พลับนิ่ม?

 

  ตอนนี้ทั้งคู่ยืนยันได้แล้วว่าถังซานเป่าก็คือไพ่ตายของวิหารเฟิงฮ่าว ตัวตนที่สมควรเป็นเทพสงคราม 6 ดารา! แต่อัจฉริยะพวกนั้นกลับเห็นเป็นพลับสุกนุ่มนิ่ม?

 

  “ถังซานเป่า โจวหย่งฉีนั่นมันเห็นเจ้าเป็นพลับสุกนุ่มนิ่มน่าบีบแหนะ…”

 

  ซูหลี่หันกลับไปมองถังซานเป่า พลางกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อ

 

  “เจ้านั่นมันคงกำลังคิดจะใช้ 1 หินสอย 2 วิหกสินะ…”

 

  ถังซานเป่าคลี่ยิ้มเฉยเมย วางตัวเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใส “พี่น้องต้วน ไม่ว่าท่านจะคิดข้าว่าข้าเข้าหาพวกท่านด้วยเหตุผลกลใด แต่ข้าบอกได้คำเดียวว่าข้าไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่นิดเดียว”

 

  “เรื่องนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่พวกท่าน”

 

  “อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ข้าปิดบังตัวเอง เพราะข้ามีเหตุผลของข้า”

 

  “ถือซะว่า ‘โจวหย่งฉี’ นั่น…เป็นของขวัญที่ข้าให้พี่น้องต้วนท่านแล้วกัน”

 

  กล่าวจบคำ ถังซานเป่าก็เหินร่างออกไปทันที

 

  “เจ้าถังซานเป่านั่นมันพูดอะไรของมัน ถึงโจวหย่งฉีจะท้าทายมันแล้วมันเอาชนะผู้อื่นได้ ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรือไง…ไฉนถึงบอกเจ้าทำนองว่า โจวหย่งฉี นั่นจะเป็นของขวัญให้เจ้าล่ะ?”

 

  ซูหลี่อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตางุนงง

 

  “ฟังจากที่มันพูด…ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเหมือนแค่เอาชนะโจวหย่งฉีแน่”

 

  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา

 

  “เจ้าหมายความว่า…”

 

  สีหน้าซูหลี่แข็งไปทันที “เจ้านั่นมันคิดฆ่าโจวหย่งฉีงั้นรึ?!”

 

  “ให้ตายเถอะ…โจวหย่งฉีนั่นจะอย่างไรก็เป็นศิษย์ปิดสำนักของโจวปิงหวู่ และโจวปิงหวู่อย่างไรก็เป็นอันดับที่ 4 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์!”

 

  ซูหลี่อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ

 

  “ก็ถ้ามันเป็นไพ่ตายของวิหารเฟิงฮ่าวจริง…เจ้าว่าวิหารเฟิงฮ่าวจะปล่อยให้โจวปิงหวู่ฟาดงวงฟาดงาอะไรได้หรือไม่เล่า?”

 

  ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม

 

  ซูหลี่พอได้ยินก็ผงะไป จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ “ก็จริงของเจ้า…ดูเหมือนในระนาบเทวโลก ไม่เพียงแต่พลังฝีมือของตัวเท่านั้น แต่ภูมิหลังก็สำคัญอย่างยิ่งยวด…เว้นเสียแต่จะแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นต้องให้ใครหนุนหลัง”

 

  “เรื่องพรรค์นี้ก็ใช่ว่าจะมีแค่ในระนาบเทวโลก”

 

  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ตอนอยู่ในระนาบเซียนบ้านเกิดของพวกเรา ไม่ใช่ว่าใดๆก็ล้วนเป็นอีหร็อบนี้หรือไร?”

 

  “บอกได้เลยว่าที่ไหนมีการแข่งขัน สุดท้ายก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ…”

 

  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคุยกับซูหลี่ ด้านถังซานเป่าที่เหินร่างออกไป ในที่สุดก็หยุดลอยเผชิญหน้ากับ โจวหย่งฉี ศิษย์ปิดสำนักของ โจวปิงหวู่ จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนเรียบร้อย ยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยชาไร้แยแส

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3512

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3512 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3512 : ของขวัญ

 

       หลังจากที่ฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเปิดเผยออกมา ก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายพุ่งพล่านขึ้นมาไม่น้อย

 

  ตอนนี้คนเดียวที่ไม่ได้ตกใจก็คือต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยาง เพราะต้วนหลิงเทียนนั้นล่วงรู้ชาติกำเนิดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแต่แรก ส่วนฟงชิงหยางก็ได้รับทราบจากต้วนหลิงเทียนแล้วว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาจากตระกูลในระนาบเทพ

 

  ระนาบเทพ ยิ่งตัวตนระดับสูงยิ่งรู้ข้อมูล ต่างจากเหล่าเซียนอมตะที่ไม่ได้มีฐานะสูงส่งอะไร อีกทั้งยังรู้ดีว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร อย่างน้อยๆก็เหนือกว่าระนาบเทวโลกมาก

 

  ในระนาบเทพนั้น ไม่ว่าระนาบเทพแห่งไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีตัวตนขอบเขตเทพเดินกันให้ว่อน…

 

  “จะอย่างไรก็ช่างเถอะ…แต่ในเมื่อมันเป็นถึงคุณชายของตระกูลในระนาบเทพ การมาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์แบบนี้ยังไม่ใช่การรังแกผู้คนหรือไร?”

 

  หลังรับทราบความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เหล่าอัจฉริยะหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เห็นชัดว่าพวกมันรู้สึกเสมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม! หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เป็นคุณชายนายน้อยของตระกูลบนระนาบเทพ การลงมาแข่งขันในระนาบเทวโลกแบบนี้…ไยไม่ใช่ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย?!

 

  “ไม่! เจ้าอย่าได้ลืมว่าปีนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังมีอายุไม่ถึง 700 ปี! และตอนนี้ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบเทพก็ถูกปิดกั้นมา 600 กว่าปีแล้ว…กล่าวได้ว่าตอนที่มันออกจากระนาบเทพนั้น อายุของมันก็ไม่น่าจะถึงร้อยปีด้วยซ้ำ! และมันก็ไม่มีโอกาสกลับไปไม่ใช่รึไง?”

 

  ขณะเดียวกัน หลายคนที่ฉุกคิดถึงอายุหลิงเจวี๋ยอวิ๋นขึ้นมาได้ ก็โยงไปถึงเรื่องการปิดตัวของช่องทางระหว่างระนาบเทวโลกและระนาบเทพทันที

 

  เพราะช่องทางดังกล่าวเมื่อปิดตัวลงแล้ว ก็จะกินเวลาทั้งสิ้น 1,000 ปี!

 

  ระหว่างนั้นผู้คนก็ไม่อาจสัญจรไปมาระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกได้…

 

  “ถ้างั้นหมายความว่า…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นมันก็เติบโตขึ้นมาบนระนาบเทวโลกน่ะสิ?”

 

  “ถึงมันจะเติบโตมาบนระนาบเทวโลกแล้วยังไงเล่า? เบื้องหลังมันมีตระกูลสูงส่งของแดนเทพส่งเสริม ทรัพยากรที่มันมีไม่ทราบเหนือล้ำกว่าพวกเราเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ข้าเกรงว่าของในแหวนพื้นที่มันสมควรล้ำค่าสุดที่พวกเราจะจินตนาการได้ออกด้วยซ้ำ! ในสถานการณ์แบบนี้…ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะของมันจะรวดเร็วเหนือพวกเราก็ไม่แปลกอะไร!”

 

  …

 

  ถึงแม้จะรู้แล้วว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรเติบโตขึ้นบนระนาบเทวโลก แต่หลายคนยังรู้สึกว่าด้วยฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อย่างไรก็มีพื้นเพมาจากระนาบเทพ แม้จะไม่ได้อยู่ในระนาบเทพ แต่ไหนเลยจะไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะที่พกติดตัวมาด้วย? ซึ่งของพวกนั้นน่ากลัวจะไม่ใช่อะไรที่คนในระนาบเทวโลกจะจินตนาการได้ออก!!

 

  ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายตัวตนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้รับการยืนยันจากฉีคงไห่เรียบร้อย

 

  ถึงแม้จะมีหลายคนที่รู้สึกไม่ยุติธรรมที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาแข่งขันกับพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่อาจพูดอะไรได้

 

  ล้อกันเล่นหรือไร?

 

  ไม่เห็นเหรอว่าฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักแทบจะกอดต้นขาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่แล้ว!?

 

  ตอนนี้ต่อให้มีคนยกประเด็นเรื่องไม่ยุติธรรมขึ้นมา เกรงว่าฉีคงไห่จะปัดตกทั้งออกตัวคัดค้านแน่นอน และผู้อื่นก็มีอำนาจจะทำแบบนั้นด้วย เพราะสุดท้ายแล้วในบรรดาคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่มา ฉีคงไห่ ก็มีอำนาจสูงสุด!

 

  “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในระนาบเทพกลับมีตระกูลเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วย…สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในสมาชิกของตระกูล กลับมีกฏแห่งความตายแฝงอยู่ เช่นนั้นกล่าวได้ว่าการเข้าใจกฏแห่งความตายก็ง่ายดายเสมือนมีมือของทวยเทพผลักดันอยู่ด้านหลัง แถมยังมีความสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างร่างจริงกับร่างแยกแห่งความตายแสนโกงนั่นอีก…”

 

  หลังได้รับทราบ ‘ต้นตอ’ ความสามารถของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เหล่าอัจฉริยะไม่เว้นเหล่าจักรพรรดิสวรรค์หลายก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮา และที่มากที่สุดแน่นอนว่าคือความอิจฉา!

 

  เป็นธรรมดาว่ายังมีคนที่เข้าใจระนาบเทพดี และไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย

 

  อย่างเช่น ฉีคงไห่ ฟงชิงหยาง ตี้หวง รวมถึงอาวุโสของเผ่ากิเลนที่มาด้วย ก็แลดูเฉยๆทั้งนั้น “ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ปกติแล้วก็สืบสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วยกันทั้งนั้น…แล้วสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหนเลยจะธรรมดาได้? ความสามารถพิสดารเหนือจินตนาของสายเลือดแทบทุกประเภทถือเป็นเรื่องปกติที่นั่น”

 

  ฉีคงไห่ในฐานะรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ล่วงรู้เรื่องนี้ดี

 

  ตี้หวงในฐานะที่เป็นคนของเผ่ากิเลน และเผ่ากิเลนก็มีผู้แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นก็ย่อมรู้เป็นธรรมดา

 

  สำหรับฟงชิงหยาง ได้รับทราบเรื่องราวของระนาบเทพมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก

 

  ไม่ว่าฐานะความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถือว่าอาชนะหวงเฉวียนอันได้อย่างราบคาบ

 

  “ข้าล่ะยอมเจ้าเลย…”

 

  จังหวะนี้ หวงเฉวียนอัน ที่ได้รับทราบ ‘สาเหตุ’ ของความพ่ายแพ้ หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆปานเคี้ยวข้าวเจอบอระเพ็ด กล่าวว่า “ต่อไปวันหน้า หากข้าเจอคนจากตระกูลของเจ้า ก็คงต้องเดินหลบๆหน่อย…”

 

  “ผู้ใดใช้ให้สายเลือดของพวกเจ้าเป็นดาวข่มข้ากันเล่า…”

 

  จังหวะนี้หวงเฉวียนอันยังกล่าวหยอกล้อเคล้าเสียงหัวเราะอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ท้อแท้หรือหดหู่อะไรมากที่แพ้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น แลดูไปไม่คล้ายจริงจังกับการแข่งขันสักเท่าไหร่

 

  ฉีคงไห่มองส่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับไปนั่งที่ด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง จนเมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่งลงดีแล้ว สายตามันก็กวาดมองไปยังอัฒจันทร์รอบๆ ปริปากกล่าวออกมาอีกครั้ง “ต่อไป อันดับ 6 คนใหม่ โจวหย่งฉี เชิญเข้าสังเวียนเพื่อเลือกคู่ต่อสู้ของเจ้า”

 

  โจวหย่งฉีแรกสุดนั้นถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 4 แต่พอหวงเฉวียนอันท้าประลองเอาชนะจงกุ้ยอวี่ได้สำเร็จ มันก็ร่วงตกงมาอยู่อันดับที่ 5 ทันที

 

  มาตอนนี้คนที่มีอันดับต่ำกว่ามัน ท้าทายเอาชนะหวงเฉวียนอันได้สำเร็จ เช่นนั้นอันดับของมันก็เลยร่วงตกลงมาถึงอันดับที่ 6

 

  แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนกับถังซานเป่าที่เดิมอยู่ในอันดับสูงกว่ามันก็พบชะตากรรมเดียวกัน

 

  ต้วนหลิงเทียนร่วงตกจากอันดับที่ 3 มาอันดับที่ 5

 

  ถังซานเป่าแรกสุดจากรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ก็ร่วงมาอยู่ในอันดับที่ 4

 

  ฟุ่บ!

 

  โจวหย่งฉีเหินร่างเข้าสังเวียนเร็วไว ดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะให้กลับมาสนใจการประลองอีกครั้ง

 

  “โจวหย่งฉี ศิษย์ปิดสำนักของจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน โจวปิงหวู่!”

 

  “พวกเจ้าว่า…โจวหย่งฉีผู้นี้มันจะท้าต้วนหลิงเทียนสู้หรือไม่? สุดท้ายแล้วอาจารย์ของมันอย่างจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน ก็โดนจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน อาจารย์ของต้วนหลิงเทียนหักหน้าในที่สาธารณะ!”

 

  “ข้าว่ามันเอาคืนแน่!”

 

  “เหอะๆ อาจารย์โดนรังแก เป็นเรื่องปกติที่ศิษย์เช่นมันจะเอาคืน!”

 

  “เดี๋ยวๆ เอาคืนอะไรของพวกเจ้า? อย่าได้ลืมไปว่าตอนต้วนหลิงเทียนประมือกับอวี๋ตงฟาง พลังฝีมือที่เผยออกไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือแม้แต่นิดเดียว…ต่อให้โจวหย่งฉีจะร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว แต่มันก็ยังห่างจากเทพสงคราม 5 ชนชั้นยอดฝีมือไม่ใช่รึไง?”

 

  “จริง ข้าว่ามันยังห่างกว่าจะเรียกได้ว่ายอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา!”

 

  “ก็นะในเมื่อมันยังไม่ใช่ยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา ใจคิดยืนหยัดให้อาจารย์แค่ไหนแต่ตัวก็ยังไร้กำลังอยู่ดี…”

 

  เสียงซุบซิบที่ดังระงมจากอัฒจันทร์รอบทิศ ย่อมเข้าหูโจวหย่งฉีเป็นธรรมชาติ พาลให้ร่างโจวหย่งฉีสะท้านสั่นไหวไปเบาๆ มุมปากยังอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขื่นขมอย่างอับจนออกมา

 

  หากอวี๋ตงฟางไม่ได้ท้าทายต้วนหลิงเทียน จนต้วนหลิงเทียนสำแดงพลังอันเลิศล้ำชนชั้นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราออกมาล่ะก็ ตอนนี้มันท้าต้วนหลิงเทียนสู้แน่!

 

  แต่ทุกคนทราบดี ว่ามันยังสู้อวี๋ตงฟางไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

  หากกระทั่งอวี๋ตงฟางยังแพ้พ่าย ให้มันท้าทายต้วนหลิงเทียน ก็รังแต่จะหาเรื่องอับอายเท่านั้น

 

  “ข้าขอท้า…”

 

  ท่ามกลางสายตาของทุกคน เมื่อเห็นว่าสายตาของโจวหย่งฉีหันไปมองทางต้วนหลิงเทียน เหล่าอัจฉริยะก็อุทานออกมาด้วยความแตกตื่น “โฮ่!? โจวหย่งฉีนั่น…หรือที่แท้มันปกปิดพลังเอาไว้!? มันคิดจะท้าต้วนหลิงเทียนเรอะ?!’

 

  “สายตานั่นมัน…มองไปทางต้วนหลิงเทียนชัดๆ! มันจะท้าต้วนหลิงเทียนจริงๆรึ!?”

 

  “มัน…คงไม่ใช่ว่าเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราด้วยหรอกนะ? หากใช่ ก็น่าดูชมแล้วล่ะ!”

 

  …

 

  พอเห็นว่าสายจาของโจวหย่งฉีมองไปตกยังบริเวณอัฒจันทร์ที่นั่งของต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะทั้งหลายก็คึกคักอักโขนัก รอดูชมความตื่นเต้นอย่างใจจดจ่อ

 

  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายกำลังคึกคักได้ที่ เสียงที่ดังขึ้นของโจวหย่งฉีก็ทำให้พวกมันอึ้งไปอีกรอบ “อันดับที่ 4 ถังซานเป่า!”

 

  โจวหย่งฉีกลับท้าทายถังซานเป่า ไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน!

 

  “เหอๆ ดูเหมือนพวกเราจะคิดมากเกินไป…”

 

  หลังอัจฉริยะอื้ออึงกับเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง หลายคนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา บ้างที่คืนสติก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆพร้อมรอยยิ้มเชิดๆ “ก็นะ โจวหย่งฉีนั่นดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่ามันสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้…เช่นนั้นจึงเลือกสหายของต้วนหลิงเทียนแทน กล่าวไปก็เสมือนมันหาทางกู้หน้าอาจารย์โดยอ้อมแล้วล่ะ…”

 

  “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

 

  “แล้วจะให้มันทำอย่างไรได้อีกเล่า?”

 

  “คนที่มันท้าได้ตอนนี้ ก็เหลือแค่ถังซานเป่ากับจงกุ้ยอวี่เท่านั้น…เว้นเสียแต่มันจะหาเรื่องแพ้ สุดท้ายการเลือกถังซานเป่าย่อมดีที่สุด เพราะพลังฝีมือของถังซานเป่าเท่าก็ไม่แน่ว่าจะร้ายกาจเท่าจงกุ้ยอวี่…”

 

  “งั้นหมายความว่าการเลือกของมันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพราะต้องการเล่นงานสหายต้วนหลิงเทียนอย่างเดียว…แต่มันจงใจเลือกคนที่คิดว่าเป็นพลับสุกนุ่มนิ่ม?”

 

  …

 

  ได้ยินความเห็นของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลาย สีหน้าต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่แลดูผิดแปลกไปอยู่บ้าง แววตายังแหม่งๆอย่างไรชอบกล

 

  ถังซานเป่าน่ะหรือ พลับนิ่ม?

 

  ตอนนี้ทั้งคู่ยืนยันได้แล้วว่าถังซานเป่าก็คือไพ่ตายของวิหารเฟิงฮ่าว ตัวตนที่สมควรเป็นเทพสงคราม 6 ดารา! แต่อัจฉริยะพวกนั้นกลับเห็นเป็นพลับสุกนุ่มนิ่ม?

 

  “ถังซานเป่า โจวหย่งฉีนั่นมันเห็นเจ้าเป็นพลับสุกนุ่มนิ่มน่าบีบแหนะ…”

 

  ซูหลี่หันกลับไปมองถังซานเป่า พลางกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อ

 

  “เจ้านั่นมันคงกำลังคิดจะใช้ 1 หินสอย 2 วิหกสินะ…”

 

  ถังซานเป่าคลี่ยิ้มเฉยเมย วางตัวเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใส “พี่น้องต้วน ไม่ว่าท่านจะคิดข้าว่าข้าเข้าหาพวกท่านด้วยเหตุผลกลใด แต่ข้าบอกได้คำเดียวว่าข้าไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่นิดเดียว”

 

  “เรื่องนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่พวกท่าน”

 

  “อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ข้าปิดบังตัวเอง เพราะข้ามีเหตุผลของข้า”

 

  “ถือซะว่า ‘โจวหย่งฉี’ นั่น…เป็นของขวัญที่ข้าให้พี่น้องต้วนท่านแล้วกัน”

 

  กล่าวจบคำ ถังซานเป่าก็เหินร่างออกไปทันที

 

  “เจ้าถังซานเป่านั่นมันพูดอะไรของมัน ถึงโจวหย่งฉีจะท้าทายมันแล้วมันเอาชนะผู้อื่นได้ ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรือไง…ไฉนถึงบอกเจ้าทำนองว่า โจวหย่งฉี นั่นจะเป็นของขวัญให้เจ้าล่ะ?”

 

  ซูหลี่อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตางุนงง

 

  “ฟังจากที่มันพูด…ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเหมือนแค่เอาชนะโจวหย่งฉีแน่”

 

  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา

 

  “เจ้าหมายความว่า…”

 

  สีหน้าซูหลี่แข็งไปทันที “เจ้านั่นมันคิดฆ่าโจวหย่งฉีงั้นรึ?!”

 

  “ให้ตายเถอะ…โจวหย่งฉีนั่นจะอย่างไรก็เป็นศิษย์ปิดสำนักของโจวปิงหวู่ และโจวปิงหวู่อย่างไรก็เป็นอันดับที่ 4 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์!”

 

  ซูหลี่อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ

 

  “ก็ถ้ามันเป็นไพ่ตายของวิหารเฟิงฮ่าวจริง…เจ้าว่าวิหารเฟิงฮ่าวจะปล่อยให้โจวปิงหวู่ฟาดงวงฟาดงาอะไรได้หรือไม่เล่า?”

 

  ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม

 

  ซูหลี่พอได้ยินก็ผงะไป จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ “ก็จริงของเจ้า…ดูเหมือนในระนาบเทวโลก ไม่เพียงแต่พลังฝีมือของตัวเท่านั้น แต่ภูมิหลังก็สำคัญอย่างยิ่งยวด…เว้นเสียแต่จะแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นต้องให้ใครหนุนหลัง”

 

  “เรื่องพรรค์นี้ก็ใช่ว่าจะมีแค่ในระนาบเทวโลก”

 

  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ตอนอยู่ในระนาบเซียนบ้านเกิดของพวกเรา ไม่ใช่ว่าใดๆก็ล้วนเป็นอีหร็อบนี้หรือไร?”

 

  “บอกได้เลยว่าที่ไหนมีการแข่งขัน สุดท้ายก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ…”

 

  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคุยกับซูหลี่ ด้านถังซานเป่าที่เหินร่างออกไป ในที่สุดก็หยุดลอยเผชิญหน้ากับ โจวหย่งฉี ศิษย์ปิดสำนักของ โจวปิงหวู่ จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนเรียบร้อย ยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยชาไร้แยแส

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+