War sovereign Soaring The Heavens 3547

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3547 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3547 : สมรภูมิ 9 ยมโลก

 

ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิอเวจีก็ดี หรือสมรภูมิ 9 ยมโลกก็ดี ล้วนเป็นระนาบอิสระที่เกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพทุกๆรอบ 10,000 ปี

  

แน่นอนว่ามันต่างจาก ‘ระนาบสมรภูมิ’ ของระนาบเทพ ที่เกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพคู่ขนานตรงๆอยู่บ้าง เพราะระนาบสมรภูมินั้นเป็นดั่งสนามเด็กเล่นของผู้แข็งแกร่งที่สุดจริงๆ ในนั้นไม่เพียงมีทรัพยากรบ่มเพาะมากมาย ยังมีโอกาสวาสนาไม่เว้นกระทั่งสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดโยนใส่ไว้…

  

หากแต่ สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ไม่มีอะไรเลิศล้ำถึงขนาดนั้น

  

สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ทุกคนสามารถเข้ามาเข่นฆ่าช่วงชิงทรัพยากรกันได้ และปกติแล้วจะไม่มีโอกาสวาสนาของผู้แข็งแกร่งที่สุด เพราะมันเป็นแค่ผลพลอยได้จากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพเท่านั้น

  

แต่ให้กล่าวแล้วต้นตอความเป็นมาของสมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่ต่างอะไรจากระนาบสมรภูมิมากนัก เพราะมันเกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพทุกๆหมื่นปีเหมือนๆกัน

  

เพียงแค่เหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดนั้น ได้ลงทุนไม่น้อยไปกับระนาบสมรภูมิ เรียกวว่าเสมือนระนาบสมรภูมิเป็นดั่งลูกเมียหลวงที่ได้รับการประคบประหงมอย่างดี…แต่สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลกเป็นดั่งลูกเมียน้อยที่ไม่ได้รับความสนใจ และปล่อยให้ดำรงอยู่ไปตามยถากรรม

  

จะอย่างไรก็ตาม สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก เนื่องจากมีการจำกัดด่านพลังในการเข้าไป สุดท้ายเมื่อผ่านวันเวลาไปนานเข้า ทุกคนก็เห็นมันเป็นดั่งสถานที่ลับคม มีไว้ให้เหล่าจอมราชันอมตะและจักรพรรดิอมตะเข้าไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง

  

ดุจเดียวกับสมรภูมิอเวจีที่ต้วนหลิงเทียนเคยเข้าไปในอดีต มีเหล่าจอมราชันอมตะสมญานามมากมาย บางคนถึงขั้นร้ายกาจกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปด้วยซ้ำ ที่นั่นไม่ต่างอะไรจากแดนสวรรค์ของเหล่ายอดฝีมือ ไม่เว้นผู้ที่ครอบครองเทพเบญจธาตุที่จะสามารถฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง และช่วงชิงทรัพยากรกันได้อย่างไร้จำกัด

  

กระทั่งเพราะสมรภูมิอเวจี เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ในร่างกายของต้วนหลิงเทียนจึงยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว…

  

และถ้าบอกว่าสมรภูมิอเวจีเป็นดั่งเวทีของเหล่าจอมราชันอมตะแล้วล่ะก็

  

เช่นนั้นสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่ต่างอะไรจากเวทีสำหรับจักรพรรดิอมตะ!

  

แต่เป็นธรรรมดาว่าจักรพรรดิอมตะที่กล้าเข้าสู่สมรภูมิอเวจีนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองพอสมควร ในบรรดาจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่ขาดจักรพรรดิอมตะสมญานาม รวมถึงจักรพรรดิอมตะที่ร้ายกาจเท่าๆเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม เพียงแค่ไม่ได้ไปทดสอบรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าว

  

และในระนาบเทวโลก ยังยึดหลักเกณฑ์ของสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อแบ่งระดับพลังฝีมือของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกด้วย

  

เทพสงคราม 1 ดารา เทพสงคราม 2 ดารา…ไปจนถึงเทพสงคราม 9 ดารา

  

เทพสงคราม 1 ดารานั้น กล่าวได้ว่าคือผู้ที่มีพลังระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว

  

เทพสงคราม 9 ดารา แม้จะยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ทว่ามันถูกผู้คนเรียกหาว่า ครึ่งก้าวเทพ เพราะถึงจะยังไม่ได้บรรรลุขอบเขตเทพ แต่ก็มีพลังฝีมือใกล้กับเหล่าตัวตนขอบเขตเทพอย่างยิ่งยวด…

  

‘ในระนาบเทวโลก วิหารเฟิงฮ่าวสามารถส่งยอดฝีมือขอบเขตเทพออกมาตามล่าข้าได้มากมาย…และต่อให้เป็นแค่ยอดฝีมือขอบเขตเทพขั้นต่ำ ข้าในตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาจะสู้แล้ว…’

  

‘แต่ถ้าเป็นในสมรภูมิ 9 ยมโลก ต่อให้วิหารเฟิงฮ่าวจะล่วงรู้ว่าข้าเข้าไปในนั้น และยังสามารถส่งยอดฝีมือไปตามหาข้าได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามคนที่พวกมันส่งไปเต็มที่ก็ยังมีด่านพลังแค่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…ไม่ว่าจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เต็มที่ก็แค่อยู่ในระดับ ครึ่งก้าวเทพ เท่านั้น…’

  

‘กล่าวได้ว่า สำหรับสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ สมรภูมิ 9 ยมโลก เป็นสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะฝึกปรือ รวมถึงหาประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจให้ข้า…’

  

‘หากข้าเลือกจะซ่อนตัวฝึกฝนในสถานที่เปลี่ยวร้างของระนาบเทวโลก แม้ในแง่การทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งกับการบ่มเพาะพลังจะไม่ติดปัญหา ทว่าเมื่อไม่มีอันตราย มันก็ไร้ซึ่งแรงกดดัน ย่อมไม่อาจนรีดเค้นศักยภาพออกมาใช้ได้สมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ในเรือนกระจก…’

  

ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักถึงสถานการณ์ตัวเองในปัจจุบันดี

  

ขณะเดียวกันเขายังรู้อีกด้วยว่าตอนนี้ตัวเขาต้องการอะไรมากที่สุด ‘ตอนนี้ที่ข้าต้องการไม่ใช่แค่สถานที่บ่มเพาะอันเงียบสงบ…แต่ข้ายังต้องการสถานที่ๆข้าสามารถต่อสู้ได้เต็มกำลัง กระทั่งสร้างแรงกดดันให้ข้าได้ ทั้งหมดนี้จะมีก็แต่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกเท่านั้น’

  

หลังตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแจ้งผู้เฒ่าหั่วกับเมิ่งหลัว ก่อนที่จะจากไป

  

แต่ต้นจนจบผู้เฒ่าหั่วกับเมิงหลั่วก็ทำได้แค่เฝ้าดูต้วนหลิงเทียนจากไป โดยไม่อาจขัดขวาง เพราะต่อให้คิดขัดขวางพวกมันก็ไม่มีปัญญาทำได้…

  

เพราะในปัจจุบันพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสูงกว่าพวกมันไปมาก…

  

“ผู้เฒ่าหั่ว ข้าเกรงว่าท่านเองก็คงไม่คิดไม่ฝันกระมัง…ว่าหนุ่มน้อยในระนาบโลกียะที่ท่านบังเอิญพบเจอเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน วันนี้หลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่ร้อยปีจะมีพลังกล้าแข็งถึงขนาดนี้?”

  

เมิ่งหลัวหันไปเอ่ยถามผู้เฒ่าหั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง

  

ด้านผู้เฒ่าหั่วพอได้ยินก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ “มิผิด…จู่ๆข้าก็รู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ชีวิตข้ามันไร้ค่าเยี่ยงสุนัขอย่างไรไม่ทราบ”

  

“เฮ่อ อย่าพูดเลย…พวกเราเองก็ต้องขยันให้มากเข้า หาไม่แล้ววันหน้าก็มีแต่จะถูกใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงนายน้อยทิ้งห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ”

  

เมิ่งหลัวกล่าวอย่างทอดถอนใจ

  

  

ณ ระนาบอิสระอันเป็นสถานที่ตั้งของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก และระนาบอิสระแห่งนี้ยังถูกเรียกว่า ‘ระนาบเทพเจ้า’

  

และชื่อดังกล่าวก็เป็นผู้ที่เปิดสร้างระนาบอิสระแห่งนี้ เป็นคนตั้งเอง…

  

ในปัจจุบัน ภายในห้องโถงหลักของวิหารเฟิงฮ่าวในระนาบเทพเจ้า ก็ปรากฏร่าง 2 นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

  

ภายในห้องโถงหลักมีโต๊ะที่นั่ง 2 แถวหันหน้าเข้าหากัน หากเดินเข้าประตูโถงหลักมาก็จะเห็นโต๊ะที่นั่งหลายชุดเรียงตัวเป็นแถวอยู่ทั้งซ้ายขวา แน่นอนว่าตรงกลางก็มีที่นั่งอยู่บนพื้นยกสูงเช่นกัน…แต่บัดนี้ไม่มีใครนั่งบนที่นั่งสูงสุด เพียงแค่นั่งอยู่บนโต๊ะถัดจากพื้นที่ยกสูงตัวแรกทั้งซ้ายขวา…

  

ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่นั่งหน้าสุดด้านซ้ายก็คือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักหวู่หงชิง

  

ส่วนผู้ที่นั่งอยู่นโต๊ะที่นั่งหน้าสุดฝั่งขวาก็เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง และหากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ ก็คงจดจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ทันที เพราะมันไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นถังซานเป่าที่เคยมานั่งรวมอยู่กับพวกเขาในศึกอัจฉริยะสวรรค์นั่นเอง!

  

ถังซานเป่านั้น มีอีกฐานะหนึ่งก็คือ จ้าววิหารน้อยของวิหารเฟิงฮ่าว

  

เหตุผลก็สืบเนื่องมาจากถังซานเป่าได้ถูกหวู่หงชิงแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอด อย่างไรก็ตามปกติแล้วหากถังซานเป่าอยู่กับหวู่หงชิง ถังซานเป่าอาจนั่งโต๊ะตัวนี้ได้ก็จริง แต่หวู่หงชิงจะขึ้นไปนั่งบนโต๊ะสูงสุดบนพื้นที่ยกสูงตรงกลาง

  

ทว่าบัดนี้ถังซานเป่ากลับนั่งเสมอกับหวู่หงชิง แถมยังวางตัวตามสบายไม่คล้ายเคารพหวู่หงชิงแม้แต่น้อย

  

“ข้าคิดจะเข้าสู่สมรมภูมิ 9 ยมโลก”

  

ถังซานเป่าที่นั่งไขว่ห้างหยิบของกินใส่เข้าปากอย่างไร้มารยาทราวกับไม่เคยกินมาก่อน อยู่ๆก็เอ่ยขึ้นเสียงห้วน ไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย

  

อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญกับท่าทีไร้มารยาทของถังซานเป่า หวู่หงชิงไม่ได้ดูไม่พอใจอะไร เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยค่อยเอ่ยถามออกมาว่า “ไฉนท่านต้องเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกด้วย?”

  

“ถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของร่างท่านตอนนี้จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…แต่ระดับวิญญาณก็อยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง และสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดๆที่อยู่เหนือขอบเขตจักรพรรดิอมตะเข้าไป แน่นอนว่าไม่เพียงจำกัดระดับพลังฝึกปรือ ยังจำกัดระดับจิตวิญญาณอีกด้วย”

  

ทันทีที่หวู่หงชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ตัวตนของถังซานเป่าในปัจจุบันก็ชัดเจน

  

หมี่ซวน!

  

อดีตผู้นำเผ่าพันธุ์ภูต ตัวตนระดับราชาเทพขั้นกลาง!

  

ครึ่งปีก่อนในขณะที่ถังซานเป่ามาหาหวู่หงชิง ก็พอดีกับที่หมี่ซวนอยู่ที่นั่นด้วย จากนั้นหลังจากพบท่าทีผิดแปลกของหวู่หงชิง หมี่ซวนก็เอะใจอะไรขึ้นได้และลองตรวจสอบถังซานเป่าดู ในที่สุดจึงพบว่าร่างของถังซานเป่าก็ไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนั้นถึงแม้หวู่หงชิงจะไม่เห็นด้วย แต่หมี่ซวนก็ถือวิสาสะชิงร่างถังซานเป่ามาครองหน้าตาเฉย…ยึดทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่ามาเป็นของตัวเอง!

  

ไม่ว่าจะความทรงจำก็ดี หรือแม้แต่ความเข้าใจทั้งหมดที่ถังซานเป่ามีก็ดี ได้กลายเป็นของหมี่ซวนทั้งหมด

  

เมื่อเห็นหมี่ซวนถือวิสาสะยึดร่างถังซานเป่าไปหน้าตาเฉย หวู่หงชิงย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา เพราะอีกฝ่ายไม่เห็นหัวมันเลย…แต่ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือไปแล้วจะให้มันทำอะไรได้อีก? หรือจะให้ฆ่าหมี่ซวนที่ชิงร่างถังซานเป่าทิ้ง?

  

ที่สำคัญต่อให้มันอยากฆ่าหมี่ซวนแค่ไหน แต่ก็คงทำไม่ได้ อย่างดีก็ทำได้แค่ทำลายร่างถังซานเป่าทิ้งเท่านั้น!

  

ขณะเดียวกันในเมื่อหมี่ซวนได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไม่เว้นความทรงจำแล้ว หมี่ซวนก็ตระหนักดีว่าหากมีวิหารเฟิงฮ่าวช่วยเหลือ เส้นทางในการฝึกฝนบ่มเพาะหลังจากนี้ต้องราบรื่นแน่แท้ เช่นนั้นก็เลยทำข้อตกลงกับหวู่หงชิง “สักวันข้าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นให้ได้…และเมื่อมันตาย ข้าต้องการเพียงแค่พฤกษาเทพครองสวรรค์ในร่างมันแค่อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเทพเบญจธาตุอีก 4 ธาตุที่เหลือข้ายกให้ท่าน”

  

“และข้ามีแค่หนึ่งคำขอเท่านั้น…ข้าต้องการให้วิหารเฟิงฮ่าวช่วยให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตเทพโดยเร็วที่สุด”

  

ถึงแม้หมี่ซวนจะปล้นชิงร่างถังซานเป่ามา แต่ด้วยความที่ถังซานเป่ายังเป็นแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก ก็ทำให้หมี่ซวนมีระดับพลังฝึกปรือแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก เพียงแค่มีพลังวิญญาณระดับราชาเทพขั้นกลางเท่านั้น

  

จิตวิญญาณของมันยังทรงพลังอำนาจอยู่ และการใช้ทักษะวิญญาณเพื่อเล่นงานศัตรูก็ยังคงน่ากลัวไม่แปรเปลี่ยน แต่บัดนี้ร่างกายของมันมีพลังฝึกปรือด้อยกว่าระดับจิตวิญญาณมาก และไม่อาจตามระดับจิตวิญญาณได้ทัน

  

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว วิหารเฟิงฮ่าวจึงทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อออกค้นหา…จนในที่สุดหลังจากผ่านไป 1 เดือนก็ได้รับผลอมตะหยวนปะทุมาอีกผล และก็มอบให้หมี่ซวนที่ชิงร่างถังซานเป่า จากนั้นเมื่อผ่านไปครบครึ่งปี ในที่สุดหมี่ซวนก็ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่น

  

“ข้าย่อมรู้ข้อจำกัดของสมรมภูมิ 9 ยมโลกดี…”

  

ได้ยินคำพูดของหวู่หงชิง หมี่ซวนก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “เช่นนั้นข้าก็เลยคิดจะผนึกพลังวิญญาณของข้า เพื่อลอบเข้าไปในสมรภูมิ 9 ยมโลก…โดยไม่ให้อาคมและข้อจำกัดใดๆของสมรภูมิ 9 ยมโลกขับข้าออกมา”

  

“ทักษะเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เผ่าภูตของข้ามีเป็นร้อยเป็นพันวิธีที่จะกระทำได้”

  

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของหมี่ซวนก็ฟังดูภาคภูมิใจไม่น้อย

  

อย่างไรก็ตามผ่านไปครู่หนึ่ง สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นคล้ายนึกคิดอะไรบางอย่าง ไม่นานนักความภาคภูมิใจในแววตาก็หายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายรุนแรงอย่างไรชอบกล!

  

“เช่นนี้นี่เอง”

  

หวู่หงชิงพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านผนึกพลังวิญญาณไปแล้ว…ต่อให้เข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกได้ ก็ไม่อาจคลายผนึกได้อยู่ดี…เพราะกฏเกณฑ์และข้อจำกัดในนั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีจิตวิญญาณตั้งแต่ขอบเขตเทพขึ้นไปปรากฏตัว”

  

“หากท่านคลายผนึกออก ผลที่จะตามมาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ…สถานเบาก็อาจถูกขับออก แต่หากโชคร้ายท่านก็อาจจะถูกกำจัดทิ้งทันที”

  

กล่าวถึงประโยคท้าย สีหน้าน้ำเสียงของหวู่หงชิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่น้อย

  

“แล้วท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องคลายผนึกด้วยรึ?”

  

หมี่ซวนเอ่ยออกเสียงเรียบ

  

และคำพูดดังกล่าวของหมี่ซวน ก็ทำให้ร่างหวู่หงชิงผงะไปทันที จากนั้นมันก็นึกได้ว่าคนเบื้องหน้าไม่ใช่ถังซานเป่าในอดีตอีกต่อไป!

  

อีกฝ่ายคือ อดีตผู้นำเผ่าภูต หมี่ซวน ตัวตนระดับราชาเทพขั้นกลาง!

  

ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายจะอิงจากร่างถังซานเป่าที่เป็นเพียงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ แต่ด้วยความเข้าใจในกฏแต่เดิมของหมี่ซวน ก็มากพอจะทำให้มันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดาราแล้ว!

  

ด้วยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดารา การเข้าไปโลดแล่นในสมรภูมิ 9 ยมโลก ถึงแม้จะไม่ได้เปรียบเรื่องพลังวิญญาณ แต่มันยังต้องกลัวใครด้วย?

  

“แต่ข้ายังไม่เข้าใจ…ไฉนอยู่ๆท่านถึงต้องการเข้าไปในสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นด้วย? ดูเหมือนมันจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านเลย”

  

หวู่หงชิง

  

“ไม่ ข้ามีเหตุผลที่ต้องเข้าไป”

  

หมี่ซวนส่ายหัวไปมา “ถึงแม้ข้าจะชิงร่างนี้มาแล้ว แต่จิตวิญญาณกับร่างยังไม่อาจเข้ากันได้โดยสมบูรณ์…ข้าจำเป็นต้องเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อใช้การต่อสู้ในการปรับตัวให้จิตวิญญาณเข้ากับร่างได้โดยสมบูรณ์…มีเพียงทำเช่นนั้นถึงจะทำให้ข้าสามารถแสดงพลังอำนาจของกฏที่สอดคล้องกับระดับจิตวิญญาณของข้าได้อย่างสมบูรณ์”

  

“ตอนนี้ถึงแม้ข้าจะมีความเข้าใจในกฏจากร่างพลังวิญญาณสูง แต่ก็ยังไม่อาจใช้ออกในร่างนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ”

  

สิ่งที่หมี่ซวนพูด หววู่หงชิงก็เข้าใจได้ไม่ยาก “เช่นนั้นท่านก็ไปของท่านเถอะ”

  

“แล้วท่านคิดจะไปเมื่อใด ข้าจะได้พาไปส่ง”

  

หวู่หงชิงถาม

  

“สักครู่ ข้าขอรับประทานของว่างก่อน…”

  

หมี่ซวนกล่าว

  

  

ด้านต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปโลดแล่นในสมรภูมิ 9 ยมโลกแล้ว ย่อมไม่ทราบว่าหมี่ซวนที่บีบให้อาจารย์เขาระเบิดร่างอวตารกฏแห่งดินทิ้ง กำลังจะตามเข้ามาในสมรภูมิ 9 ยมโลกด้วย…

  

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังมาในรูปลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย!

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3547

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3547 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3547 : สมรภูมิ 9 ยมโลก

 

ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิอเวจีก็ดี หรือสมรภูมิ 9 ยมโลกก็ดี ล้วนเป็นระนาบอิสระที่เกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพทุกๆรอบ 10,000 ปี

  

แน่นอนว่ามันต่างจาก ‘ระนาบสมรภูมิ’ ของระนาบเทพ ที่เกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพคู่ขนานตรงๆอยู่บ้าง เพราะระนาบสมรภูมินั้นเป็นดั่งสนามเด็กเล่นของผู้แข็งแกร่งที่สุดจริงๆ ในนั้นไม่เพียงมีทรัพยากรบ่มเพาะมากมาย ยังมีโอกาสวาสนาไม่เว้นกระทั่งสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดโยนใส่ไว้…

  

หากแต่ สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ไม่มีอะไรเลิศล้ำถึงขนาดนั้น

  

สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ทุกคนสามารถเข้ามาเข่นฆ่าช่วงชิงทรัพยากรกันได้ และปกติแล้วจะไม่มีโอกาสวาสนาของผู้แข็งแกร่งที่สุด เพราะมันเป็นแค่ผลพลอยได้จากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพเท่านั้น

  

แต่ให้กล่าวแล้วต้นตอความเป็นมาของสมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่ต่างอะไรจากระนาบสมรภูมิมากนัก เพราะมันเกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพทุกๆหมื่นปีเหมือนๆกัน

  

เพียงแค่เหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดนั้น ได้ลงทุนไม่น้อยไปกับระนาบสมรภูมิ เรียกวว่าเสมือนระนาบสมรภูมิเป็นดั่งลูกเมียหลวงที่ได้รับการประคบประหงมอย่างดี…แต่สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลกเป็นดั่งลูกเมียน้อยที่ไม่ได้รับความสนใจ และปล่อยให้ดำรงอยู่ไปตามยถากรรม

  

จะอย่างไรก็ตาม สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก เนื่องจากมีการจำกัดด่านพลังในการเข้าไป สุดท้ายเมื่อผ่านวันเวลาไปนานเข้า ทุกคนก็เห็นมันเป็นดั่งสถานที่ลับคม มีไว้ให้เหล่าจอมราชันอมตะและจักรพรรดิอมตะเข้าไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง

  

ดุจเดียวกับสมรภูมิอเวจีที่ต้วนหลิงเทียนเคยเข้าไปในอดีต มีเหล่าจอมราชันอมตะสมญานามมากมาย บางคนถึงขั้นร้ายกาจกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปด้วยซ้ำ ที่นั่นไม่ต่างอะไรจากแดนสวรรค์ของเหล่ายอดฝีมือ ไม่เว้นผู้ที่ครอบครองเทพเบญจธาตุที่จะสามารถฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง และช่วงชิงทรัพยากรกันได้อย่างไร้จำกัด

  

กระทั่งเพราะสมรภูมิอเวจี เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ในร่างกายของต้วนหลิงเทียนจึงยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว…

  

และถ้าบอกว่าสมรภูมิอเวจีเป็นดั่งเวทีของเหล่าจอมราชันอมตะแล้วล่ะก็

  

เช่นนั้นสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่ต่างอะไรจากเวทีสำหรับจักรพรรดิอมตะ!

  

แต่เป็นธรรรมดาว่าจักรพรรดิอมตะที่กล้าเข้าสู่สมรภูมิอเวจีนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองพอสมควร ในบรรดาจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่ขาดจักรพรรดิอมตะสมญานาม รวมถึงจักรพรรดิอมตะที่ร้ายกาจเท่าๆเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม เพียงแค่ไม่ได้ไปทดสอบรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าว

  

และในระนาบเทวโลก ยังยึดหลักเกณฑ์ของสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อแบ่งระดับพลังฝีมือของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกด้วย

  

เทพสงคราม 1 ดารา เทพสงคราม 2 ดารา…ไปจนถึงเทพสงคราม 9 ดารา

  

เทพสงคราม 1 ดารานั้น กล่าวได้ว่าคือผู้ที่มีพลังระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว

  

เทพสงคราม 9 ดารา แม้จะยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ทว่ามันถูกผู้คนเรียกหาว่า ครึ่งก้าวเทพ เพราะถึงจะยังไม่ได้บรรรลุขอบเขตเทพ แต่ก็มีพลังฝีมือใกล้กับเหล่าตัวตนขอบเขตเทพอย่างยิ่งยวด…

  

‘ในระนาบเทวโลก วิหารเฟิงฮ่าวสามารถส่งยอดฝีมือขอบเขตเทพออกมาตามล่าข้าได้มากมาย…และต่อให้เป็นแค่ยอดฝีมือขอบเขตเทพขั้นต่ำ ข้าในตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาจะสู้แล้ว…’

  

‘แต่ถ้าเป็นในสมรภูมิ 9 ยมโลก ต่อให้วิหารเฟิงฮ่าวจะล่วงรู้ว่าข้าเข้าไปในนั้น และยังสามารถส่งยอดฝีมือไปตามหาข้าได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามคนที่พวกมันส่งไปเต็มที่ก็ยังมีด่านพลังแค่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…ไม่ว่าจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เต็มที่ก็แค่อยู่ในระดับ ครึ่งก้าวเทพ เท่านั้น…’

  

‘กล่าวได้ว่า สำหรับสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ สมรภูมิ 9 ยมโลก เป็นสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะฝึกปรือ รวมถึงหาประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจให้ข้า…’

  

‘หากข้าเลือกจะซ่อนตัวฝึกฝนในสถานที่เปลี่ยวร้างของระนาบเทวโลก แม้ในแง่การทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งกับการบ่มเพาะพลังจะไม่ติดปัญหา ทว่าเมื่อไม่มีอันตราย มันก็ไร้ซึ่งแรงกดดัน ย่อมไม่อาจนรีดเค้นศักยภาพออกมาใช้ได้สมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ในเรือนกระจก…’

  

ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักถึงสถานการณ์ตัวเองในปัจจุบันดี

  

ขณะเดียวกันเขายังรู้อีกด้วยว่าตอนนี้ตัวเขาต้องการอะไรมากที่สุด ‘ตอนนี้ที่ข้าต้องการไม่ใช่แค่สถานที่บ่มเพาะอันเงียบสงบ…แต่ข้ายังต้องการสถานที่ๆข้าสามารถต่อสู้ได้เต็มกำลัง กระทั่งสร้างแรงกดดันให้ข้าได้ ทั้งหมดนี้จะมีก็แต่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกเท่านั้น’

  

หลังตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแจ้งผู้เฒ่าหั่วกับเมิ่งหลัว ก่อนที่จะจากไป

  

แต่ต้นจนจบผู้เฒ่าหั่วกับเมิงหลั่วก็ทำได้แค่เฝ้าดูต้วนหลิงเทียนจากไป โดยไม่อาจขัดขวาง เพราะต่อให้คิดขัดขวางพวกมันก็ไม่มีปัญญาทำได้…

  

เพราะในปัจจุบันพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสูงกว่าพวกมันไปมาก…

  

“ผู้เฒ่าหั่ว ข้าเกรงว่าท่านเองก็คงไม่คิดไม่ฝันกระมัง…ว่าหนุ่มน้อยในระนาบโลกียะที่ท่านบังเอิญพบเจอเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน วันนี้หลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่ร้อยปีจะมีพลังกล้าแข็งถึงขนาดนี้?”

  

เมิ่งหลัวหันไปเอ่ยถามผู้เฒ่าหั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง

  

ด้านผู้เฒ่าหั่วพอได้ยินก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ “มิผิด…จู่ๆข้าก็รู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ชีวิตข้ามันไร้ค่าเยี่ยงสุนัขอย่างไรไม่ทราบ”

  

“เฮ่อ อย่าพูดเลย…พวกเราเองก็ต้องขยันให้มากเข้า หาไม่แล้ววันหน้าก็มีแต่จะถูกใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงนายน้อยทิ้งห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ”

  

เมิ่งหลัวกล่าวอย่างทอดถอนใจ

  

  

ณ ระนาบอิสระอันเป็นสถานที่ตั้งของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก และระนาบอิสระแห่งนี้ยังถูกเรียกว่า ‘ระนาบเทพเจ้า’

  

และชื่อดังกล่าวก็เป็นผู้ที่เปิดสร้างระนาบอิสระแห่งนี้ เป็นคนตั้งเอง…

  

ในปัจจุบัน ภายในห้องโถงหลักของวิหารเฟิงฮ่าวในระนาบเทพเจ้า ก็ปรากฏร่าง 2 นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

  

ภายในห้องโถงหลักมีโต๊ะที่นั่ง 2 แถวหันหน้าเข้าหากัน หากเดินเข้าประตูโถงหลักมาก็จะเห็นโต๊ะที่นั่งหลายชุดเรียงตัวเป็นแถวอยู่ทั้งซ้ายขวา แน่นอนว่าตรงกลางก็มีที่นั่งอยู่บนพื้นยกสูงเช่นกัน…แต่บัดนี้ไม่มีใครนั่งบนที่นั่งสูงสุด เพียงแค่นั่งอยู่บนโต๊ะถัดจากพื้นที่ยกสูงตัวแรกทั้งซ้ายขวา…

  

ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่นั่งหน้าสุดด้านซ้ายก็คือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักหวู่หงชิง

  

ส่วนผู้ที่นั่งอยู่นโต๊ะที่นั่งหน้าสุดฝั่งขวาก็เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง และหากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ ก็คงจดจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ทันที เพราะมันไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นถังซานเป่าที่เคยมานั่งรวมอยู่กับพวกเขาในศึกอัจฉริยะสวรรค์นั่นเอง!

  

ถังซานเป่านั้น มีอีกฐานะหนึ่งก็คือ จ้าววิหารน้อยของวิหารเฟิงฮ่าว

  

เหตุผลก็สืบเนื่องมาจากถังซานเป่าได้ถูกหวู่หงชิงแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอด อย่างไรก็ตามปกติแล้วหากถังซานเป่าอยู่กับหวู่หงชิง ถังซานเป่าอาจนั่งโต๊ะตัวนี้ได้ก็จริง แต่หวู่หงชิงจะขึ้นไปนั่งบนโต๊ะสูงสุดบนพื้นที่ยกสูงตรงกลาง

  

ทว่าบัดนี้ถังซานเป่ากลับนั่งเสมอกับหวู่หงชิง แถมยังวางตัวตามสบายไม่คล้ายเคารพหวู่หงชิงแม้แต่น้อย

  

“ข้าคิดจะเข้าสู่สมรมภูมิ 9 ยมโลก”

  

ถังซานเป่าที่นั่งไขว่ห้างหยิบของกินใส่เข้าปากอย่างไร้มารยาทราวกับไม่เคยกินมาก่อน อยู่ๆก็เอ่ยขึ้นเสียงห้วน ไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย

  

อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญกับท่าทีไร้มารยาทของถังซานเป่า หวู่หงชิงไม่ได้ดูไม่พอใจอะไร เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยค่อยเอ่ยถามออกมาว่า “ไฉนท่านต้องเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกด้วย?”

  

“ถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของร่างท่านตอนนี้จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…แต่ระดับวิญญาณก็อยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง และสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดๆที่อยู่เหนือขอบเขตจักรพรรดิอมตะเข้าไป แน่นอนว่าไม่เพียงจำกัดระดับพลังฝึกปรือ ยังจำกัดระดับจิตวิญญาณอีกด้วย”

  

ทันทีที่หวู่หงชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ตัวตนของถังซานเป่าในปัจจุบันก็ชัดเจน

  

หมี่ซวน!

  

อดีตผู้นำเผ่าพันธุ์ภูต ตัวตนระดับราชาเทพขั้นกลาง!

  

ครึ่งปีก่อนในขณะที่ถังซานเป่ามาหาหวู่หงชิง ก็พอดีกับที่หมี่ซวนอยู่ที่นั่นด้วย จากนั้นหลังจากพบท่าทีผิดแปลกของหวู่หงชิง หมี่ซวนก็เอะใจอะไรขึ้นได้และลองตรวจสอบถังซานเป่าดู ในที่สุดจึงพบว่าร่างของถังซานเป่าก็ไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนั้นถึงแม้หวู่หงชิงจะไม่เห็นด้วย แต่หมี่ซวนก็ถือวิสาสะชิงร่างถังซานเป่ามาครองหน้าตาเฉย…ยึดทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่ามาเป็นของตัวเอง!

  

ไม่ว่าจะความทรงจำก็ดี หรือแม้แต่ความเข้าใจทั้งหมดที่ถังซานเป่ามีก็ดี ได้กลายเป็นของหมี่ซวนทั้งหมด

  

เมื่อเห็นหมี่ซวนถือวิสาสะยึดร่างถังซานเป่าไปหน้าตาเฉย หวู่หงชิงย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา เพราะอีกฝ่ายไม่เห็นหัวมันเลย…แต่ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือไปแล้วจะให้มันทำอะไรได้อีก? หรือจะให้ฆ่าหมี่ซวนที่ชิงร่างถังซานเป่าทิ้ง?

  

ที่สำคัญต่อให้มันอยากฆ่าหมี่ซวนแค่ไหน แต่ก็คงทำไม่ได้ อย่างดีก็ทำได้แค่ทำลายร่างถังซานเป่าทิ้งเท่านั้น!

  

ขณะเดียวกันในเมื่อหมี่ซวนได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไม่เว้นความทรงจำแล้ว หมี่ซวนก็ตระหนักดีว่าหากมีวิหารเฟิงฮ่าวช่วยเหลือ เส้นทางในการฝึกฝนบ่มเพาะหลังจากนี้ต้องราบรื่นแน่แท้ เช่นนั้นก็เลยทำข้อตกลงกับหวู่หงชิง “สักวันข้าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นให้ได้…และเมื่อมันตาย ข้าต้องการเพียงแค่พฤกษาเทพครองสวรรค์ในร่างมันแค่อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเทพเบญจธาตุอีก 4 ธาตุที่เหลือข้ายกให้ท่าน”

  

“และข้ามีแค่หนึ่งคำขอเท่านั้น…ข้าต้องการให้วิหารเฟิงฮ่าวช่วยให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตเทพโดยเร็วที่สุด”

  

ถึงแม้หมี่ซวนจะปล้นชิงร่างถังซานเป่ามา แต่ด้วยความที่ถังซานเป่ายังเป็นแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก ก็ทำให้หมี่ซวนมีระดับพลังฝึกปรือแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก เพียงแค่มีพลังวิญญาณระดับราชาเทพขั้นกลางเท่านั้น

  

จิตวิญญาณของมันยังทรงพลังอำนาจอยู่ และการใช้ทักษะวิญญาณเพื่อเล่นงานศัตรูก็ยังคงน่ากลัวไม่แปรเปลี่ยน แต่บัดนี้ร่างกายของมันมีพลังฝึกปรือด้อยกว่าระดับจิตวิญญาณมาก และไม่อาจตามระดับจิตวิญญาณได้ทัน

  

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว วิหารเฟิงฮ่าวจึงทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อออกค้นหา…จนในที่สุดหลังจากผ่านไป 1 เดือนก็ได้รับผลอมตะหยวนปะทุมาอีกผล และก็มอบให้หมี่ซวนที่ชิงร่างถังซานเป่า จากนั้นเมื่อผ่านไปครบครึ่งปี ในที่สุดหมี่ซวนก็ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่น

  

“ข้าย่อมรู้ข้อจำกัดของสมรมภูมิ 9 ยมโลกดี…”

  

ได้ยินคำพูดของหวู่หงชิง หมี่ซวนก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “เช่นนั้นข้าก็เลยคิดจะผนึกพลังวิญญาณของข้า เพื่อลอบเข้าไปในสมรภูมิ 9 ยมโลก…โดยไม่ให้อาคมและข้อจำกัดใดๆของสมรภูมิ 9 ยมโลกขับข้าออกมา”

  

“ทักษะเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เผ่าภูตของข้ามีเป็นร้อยเป็นพันวิธีที่จะกระทำได้”

  

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของหมี่ซวนก็ฟังดูภาคภูมิใจไม่น้อย

  

อย่างไรก็ตามผ่านไปครู่หนึ่ง สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นคล้ายนึกคิดอะไรบางอย่าง ไม่นานนักความภาคภูมิใจในแววตาก็หายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายรุนแรงอย่างไรชอบกล!

  

“เช่นนี้นี่เอง”

  

หวู่หงชิงพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านผนึกพลังวิญญาณไปแล้ว…ต่อให้เข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกได้ ก็ไม่อาจคลายผนึกได้อยู่ดี…เพราะกฏเกณฑ์และข้อจำกัดในนั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีจิตวิญญาณตั้งแต่ขอบเขตเทพขึ้นไปปรากฏตัว”

  

“หากท่านคลายผนึกออก ผลที่จะตามมาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ…สถานเบาก็อาจถูกขับออก แต่หากโชคร้ายท่านก็อาจจะถูกกำจัดทิ้งทันที”

  

กล่าวถึงประโยคท้าย สีหน้าน้ำเสียงของหวู่หงชิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่น้อย

  

“แล้วท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องคลายผนึกด้วยรึ?”

  

หมี่ซวนเอ่ยออกเสียงเรียบ

  

และคำพูดดังกล่าวของหมี่ซวน ก็ทำให้ร่างหวู่หงชิงผงะไปทันที จากนั้นมันก็นึกได้ว่าคนเบื้องหน้าไม่ใช่ถังซานเป่าในอดีตอีกต่อไป!

  

อีกฝ่ายคือ อดีตผู้นำเผ่าภูต หมี่ซวน ตัวตนระดับราชาเทพขั้นกลาง!

  

ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายจะอิงจากร่างถังซานเป่าที่เป็นเพียงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ แต่ด้วยความเข้าใจในกฏแต่เดิมของหมี่ซวน ก็มากพอจะทำให้มันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดาราแล้ว!

  

ด้วยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดารา การเข้าไปโลดแล่นในสมรภูมิ 9 ยมโลก ถึงแม้จะไม่ได้เปรียบเรื่องพลังวิญญาณ แต่มันยังต้องกลัวใครด้วย?

  

“แต่ข้ายังไม่เข้าใจ…ไฉนอยู่ๆท่านถึงต้องการเข้าไปในสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นด้วย? ดูเหมือนมันจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านเลย”

  

หวู่หงชิง

  

“ไม่ ข้ามีเหตุผลที่ต้องเข้าไป”

  

หมี่ซวนส่ายหัวไปมา “ถึงแม้ข้าจะชิงร่างนี้มาแล้ว แต่จิตวิญญาณกับร่างยังไม่อาจเข้ากันได้โดยสมบูรณ์…ข้าจำเป็นต้องเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อใช้การต่อสู้ในการปรับตัวให้จิตวิญญาณเข้ากับร่างได้โดยสมบูรณ์…มีเพียงทำเช่นนั้นถึงจะทำให้ข้าสามารถแสดงพลังอำนาจของกฏที่สอดคล้องกับระดับจิตวิญญาณของข้าได้อย่างสมบูรณ์”

  

“ตอนนี้ถึงแม้ข้าจะมีความเข้าใจในกฏจากร่างพลังวิญญาณสูง แต่ก็ยังไม่อาจใช้ออกในร่างนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ”

  

สิ่งที่หมี่ซวนพูด หววู่หงชิงก็เข้าใจได้ไม่ยาก “เช่นนั้นท่านก็ไปของท่านเถอะ”

  

“แล้วท่านคิดจะไปเมื่อใด ข้าจะได้พาไปส่ง”

  

หวู่หงชิงถาม

  

“สักครู่ ข้าขอรับประทานของว่างก่อน…”

  

หมี่ซวนกล่าว

  

  

ด้านต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปโลดแล่นในสมรภูมิ 9 ยมโลกแล้ว ย่อมไม่ทราบว่าหมี่ซวนที่บีบให้อาจารย์เขาระเบิดร่างอวตารกฏแห่งดินทิ้ง กำลังจะตามเข้ามาในสมรภูมิ 9 ยมโลกด้วย…

  

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังมาในรูปลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย!

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+