War sovereign Soaring The Heavens 3675

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3675 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3675 : สังเวียนยอดยุทธ์

 

พอเสียงโพล่งตะโกนด้วยโทสะของฉีอวี่ดังขึ้น ผู้คนโดยรอบก็พากันเงียบปากไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

 

บัดนี้กลิ่นดินปืนมันคละคลุ้งเหลือเกิน พาลให้ใจทุกคนเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนและฉีอวี่ไม่วางตา

 

“อยากตาย?”

 

หลังฉีอวี่โพล่งออกมาสนั่นด้วยโทสะ ต้วนหลิงเทียนเพียงหันไปมองมันด้วยสายตาล้ำลึก “เจ้าแน่ใจหรือ ว่าเจ้ามีปัญญาทำอะไรข้าได้?”

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

ฉีอวี่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น สองตาฉายชัดถึงความเย้ยหยันปรามาส “ต้วนหลิงเทียน แค่เจ้ามีโชคขึ้นไปถึงขั้นที่ 9 เข้าหน่อย ทำให้อันดับของเจ้าเหนือกว่าข้าฉีอวี่ ก็ทำให้เจ้าถึงกับไม่เห็นหัวข้าฉีอวี่แล้วเช่นนั้นรึ?”

 

“อันดับในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ มันไม่ได้บอกถึงอันดับพลังฝีมือ!”

 

“อ้อ จะว่าไปเจ้ามันก็แค่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาในนิกาย เช่นนั้นเรื่องนี้เจ้าจะไม่รู้ก็ไม่แปลก”

 

พอกล่าวถึงจุดนี้ มุมปากของฉีอวี่ก็ยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างถือดี

 

ในสายตาของฉีอวี่ ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาอยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 อยู่นานสองนาน เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 มาได้ด้วยพลังฝีมือ ทว่าอีกฝ่ายกลับผ่านมาได้ในเวลาอันสั้น เช่นนั้นหมายความได้อย่างเดียว…ผู้เฝ้าด่านในบันไดขั้น 8 ที่ต้วนหลิงเทียนเจอ จงใจปล่อยต้วนหลิงเทียนให้ผ่านไปเฉยๆ

 

ผู้เฝ้าด่านนั้น หากเป็นศิษย์ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ไหนเลยจะสนใจอะไรอีก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะจงใจปล่อยผู้คน

 

ท้ายที่สุดแล้วถึงพวกมันจะชนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลือกรักษาศักดิ์ศรีและรอคอยโอกาสเหมือนผู้เฝ้าด่านในขั้นที่ 9 ที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ…   

 

ที่สำคัญต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกมาเอง ว่าในขั้นที่ 9 นั้น ผลการประมือมันจบลงในกระบวนเดียว

 

และที่ไฉนถึงรั้งอยู่บนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ได้นานสองนาน ทั้งหมดเพราะสนทนากับผู้เฝ้าด่านอยู่…

 

ดังนั้นถึงแม้อันดับในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจะสูงกว่า แต่ฉีอวี่ก็ไม่ได้ยึดถือเป็นจริงจังอะไร เห็นแค่อีกฝ่ายเป็นคนโชคดีเท่านั้น

 

“มีโชค?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปทางฉีอวี่ “เจ้าสามารถลองได้..”

 

“ไหนเลยจะไม่ลองเล่า!”

 

ฉีอวี่กล่าวท้า “เอาเป็นว่า ตอนนี้เจ้ากล้าขึ้นไปประลองบนแท่นยอดยุทธ์กับข้าตอนนี้เลยไหมเล่า?”

 

แท่นยอดยุทธ์นั้น เป็นดั่งสังเวียนให้คนของนิกายหมอกเร้นลับต่อสู้กัน

 

การขึ้นไปต่อสู้บนแท่นยอดยุทธ์นั้น ท่านสามารถกล่าวคำยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และหลังจากกล่าวยอมแพ้ คู่ต่อสู้ก็ไม่อาจสังหารท่านได้อีก…แต่ถ้าเกิดกล่าวยอมแพ้ไม่ทัน ต่อให้จะถูกคู่ต่อสู้ฆ่าตาย ก็ทำได้แค่ตายเปล่า…

 

ในนิกายหมอกเร้นลับ ไม่มีสถานที่เฉกเช่นสังเวียนเป็นตาย ที่หลังจากขึ้นไปแล้วต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง

 

ไม่ว่าจะมีเรื่องราวบาดหมางร้ายแรงเพียงใด เต็มที่ก็ได้แต่ขึ้นไปสะสางกันบนแท่นยอดยุทธ์

 

แท่นยอดยุทธ์ที่ว่า ก็เป็นสังเวียนที่ลอยล่องอยู่กลางหาว เหนือจัตุรัสกลางของเขตใน

 

“แท่นยอดยุทธ์? ศิษย์พี่ฉีอวี่คิดขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับต้วนหลิงเทียนรึ?”

 

“ให้ตายเถอะ! ประลองบนแท่นยอดยุทธ์ ดาบกระบี่ล้วนไร้นัยน์ตา หากยอมแพ้ไม่ทันเวลา เกิดโดนฆ่าทิ้งไปก็เหมือนตายเปล่า..”

 

“ที่แท้ศิษย์พี่ฉีอวี่มีความแค้นกับต้วนหลิงเทียนอย่างไรกันแน่? ไฉนถึงท้าต้วนหลิงเทียนขึ้นไปสู้บนแท่นยอดยุทธ์แบบนี้?”

 

 

หลังจากเหล่าศิษย์สายในโดยรอบกลับมารู้สึกตัว สีหน้าพวกมันก็ฉายชัดถึงความตกตะลึง และยังมีบางคนที่กลัวโลกวุ่นวายไม่พอ ดวงตายังลุกวาวขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

 

“ต้วนหลิงเทียน!”

 

ตอนนี้เองถังอู๋เหยียนก็รีบส่งเสียงผ่านพลังมาห้ามปรามต้วนหลิงเทียน “เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่น…แท่นยอดยุทธ์นั่นเมื่อขึ้นไปแล้ว หากกล่าวยอมแพ้ไม่ทัน ต่อให้เจ้าจะถูกฆ่าตาย ทางนิกายก็จะไม่เอาโทษคนลงมือ”

 

“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ในคู่มือศิษย์สายในก็มีบอกเรื่องแท่นยอดยุทธ์ไว้เช่นกัน”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตอบถังอู๋เยียนด้วยรอยยิ้ม

 

และฉากดังกล่าว ก็ทำให้ฉีอวี่อิจฉาตาร้อน…ยิ่งได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนพูดกับถังอู๋เยียน มันก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าถังอู๋เยียนต้องส่งเสียงผ่านพลังไปห้ามต้วนหลิงเทียนไม่ให้ขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับมันแน่

 

“ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์…เจ้ากล้าหรือไม่!?”

 

ฉีอวี่หันไปถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มประชดประชัน น้ำเสียงไม่ขาดการท้าทาย

 

“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าไม่มั่นใจก็อย่าได้วู่วามรับคำท้าของมัน”

 

ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะเป็นอาวุโสนิกายหมอกเร้นลับ ที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เป็นผู้ส่งมา

 

“ขอท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ ข้าต้วนหลิงเทียนไม่คิดทำสิ่งที่ไม่มั่นใจโดยประมาท”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งเสียงผ่านพลังให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปมองฉีอวี่พลางกล่าวเสียงเรียบ “นำทางไป”

 

นำทางไป!   

 

นี่คือคำตอบของต้วนหลิงเทียน!

 

ฉีอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มเย้ยเยาะจะคลี่กางบนใบหน้า และพอมันเริ่มเหินร่างนำทางไปจริงๆ เหล่าศิษย์สายในหลายคนก็โพล่งออกมาด้วยความสมใจ “ให้มันได้ยังงี้สิ!!”

 

“ว่าแต่ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงยอมรับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ เพราะในเมื่อศิษย์พี่ฉีอวี่กล้าท้ามัน ย่อมหมายความว่าศิษย์พี่มั่นใจว่าจะเอาชนะมันได้แน่”

 

“มันเป็นแค่เทพขั้นกลางคนหนึ่ง แต่กล้าสู้กับเทพขั้นสูงจริงๆหรือ?”

 

ท่ามกลางความโกลาหลของเหล่าศิษย์สายใน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามฉีอวี่ไปยังแท่นยอดยุทธ์

 

“บุรุษผู้นี้…”

 

พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ฟังคำเตือน ถังอู๋เยียนก็ย่นคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นนางก็เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนไปทันที ยังส่งเสียงผ่านพลังไปว่า “หากเจ้าเห็นท่าไม่ดี ก็รีบยอมแพ้ให้ไวเลย”

 

“เพราะขอเพียงเจ้ากล่าวคำยอมแพ้ออกมา ฉีอวี่ย่อมไม่กล้าลงมือฆ่าเจ้าอีก แถมอาวุโสที่ควบคุมดูแลการประลองในแท่นยอดยุทธ์ก็จะปกป้องเจ้าด้วย”

 

คำพูดของถังอู๋เยียนต้วนหลิงเทียนเพียงรับฟังอย่างไม่จริงจัง

 

แต่กระนั้น เพราะอีกฝ่ายกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เขาก็ยังส่งเสียงผ่านพลังไปขอบคุณนาง

 

นอกจากเหล่าศิษย์สายในที่ยังอยู่ในบันไดสวรรค์รวมถึงผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าแล้ว ทุกคนที่เห็นต้วนหลิงเทียนรับคำท้าฉีอวี่ ก็พากันติดตามไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที

 

อันที่จริงอาวุโสที่เฝ้าบันไดสวรรค์เองก็อยากตามไปดูชมด้วยเช่นกัน แต่มันมีหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ เช่นนั้นจึงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ไปดูชมด้วยได้

 

“อ้าว? ผู้คนไปไหนหมดแล้วเล่า?”

 

หลังศิษย์สายในบางคนกลับออกมาจากบันไดสวรรค์และพบว่ารอบๆกลับไร้ศิษย์สายในแม้แต่คนเดียว มีก็แต่อาวุโสชราลอยร่างค้างกลางหาวอย่างวังเวง มันก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง

 

จนเมื่อทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากอาวุโสชรา มันก็เร่งเหินร่างไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที “เฮ่ยพวก! ศิษย์พี่ฉีอวี่จะสู้กับต้วนหลิงเทียนที่แท่นยอดยุทธ์แน่ะ ใครว่างรีบไปชมดูเร็ว การประลองครั้งนี้อย่าได้พลาดกันเชียว!!”

 

หลังทราบว่าต้วนหลิงเทียนกับฉีอวี่จะไปดวลเดี่ยวกันที่แท่นยอดยุทธ์ เหล่าศิษย์สายในทั้งหลาย ก็เร่งส่งข้อความไปแจ้งเหล่าสหายทันที

 

เป็นผลให้มีผู้คนมุ่งหน้าไปยังแท่นยอดยุทธ์กันหนาตา

 

“อาวุโสเผิง”

 

และอาวุโสที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เอง ในเมื่อตัวเองติดภาระหน้าที่ มันก็ได้แต่ส่งข้อความไปหาอาวุโสคนอื่นที่สนิทสนมกัน “หากข้าจำไม่ผิด…ช่วงนี้ท่านสมควรเป็นผู้ควบคุมดูแลการประลองที่แท่นยอดยุทธ์ใช่หรือไม่ ท่านยังเข้าเวรที่นั่นหรือเปลี่ยนกับผู้อื่นแล้ว?”

 

อีกฝ่ายก็เร่งตอบกลับมาเร็วไว “ใช่เป็นข้าเข้าเวรอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนกะกับผู้ใด…เกิดอันใดขึ้นรึ?”

 

“อ้อ อีกสักพักฉีอวี่ศิษย์ของอาวุโส 2 กับต้วนหลิงเทียนที่ท่านรองประมุขมู่หรงแนะนำมาจักไปสู้กันที่แท่นยอดยุทธ์ ท่านช่วยคอยรายงานสถานการณ์ให้ข้าฟังหน่อย…และหากต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในอันตราย ท่านก็รีบส่งเสียงไปบอกให้มันกล่าวยอมแพ้เสีย เจ้าหนูผู้นี้ค่อนข้างดี ไม่เพียงกิริยามารยาทงาม มันยังมีพรสวรรค์กับความเข้าใจสูงล้ำมีมันอยู่ก็เป็นประโยชน์กับนิกายของเราไม่มีโทษ”

 

อาวุโสที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เร่งกล่าว

 

“อะไร? ฉีอวี่กับต้วนหลิงเทียนกำลังมาแท่นยอดยุทธ์เพื่อสู้กันรึ?”

 

“อ่า ข้าเห็นพวกมันแล้ว…ท่านไม่ต้องห่วง กับอัจฉริยะเช่นนี้ข้าเองก็ไม่อยากให้ด่วนตายนักหรอก”

 

ไม่นานอาวุโสเผิงที่ประจำแท่นยอดยุทธ์ ก็สังเกตเห็นกลุ่มคนกำลังเหินมาแต่ไกล และหัวขบวนก็นำมาโดย ฉีอวี่ ศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับที่มันก็รู้จักดี

 

ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น แม้มันจะไม่เคยเห็นคนตัวเป็นๆมาก่อน แต่ก็ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลามักใส่ชุดสีม่วง มันก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าเป็นคนที่กำลังเหินตามฉีอวี่มาไม่ผิดแน่

 

แท่นยอดยุทธ์นั้น มีสังเวียนย่อยทั้งสิ้น 19 สังเวียน และด้านล่างแท่นยอดยุทธ์ก็เป็นลานจัตุรัสอันกว้างขวาง ซึ่งเป็นสถานที่ๆคึกคักที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ มักมีเหล่าศิษย์มาสนทนาบ้างก็แลกหาสิ่งของ ไม่เว้นนัดกันมาประลองเสมอ

 

และโดยปกติแล้วสังเวียนย่อยของแท่นยอดยุทธ์ทั้ง 19 สังเวียนก็มักจะว่างเปล่าร้างผู้คนเสมอ เพราะเหล่าศิษย์มันเลือกจะหาพื้นที่ในลานจัตุรัสด้านล่างเพื่อประลองกันแทน

 

และลานจัตรุรัสกับแท่นยอดยุทธ์นั้น ก็ไม่ได้เป็นสถานที่เฉพาะของฝ่ายในนิกายแต่อย่างใด แต่เป็นสถานที่ๆฝ่ายในและฝ่ายนอกใช้ร่วมกัน

 

ตำแหน่งที่ตั้งของมันก็อยู่กึ่งกลางระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก

 

“ไฉนวันนี้ผู้คนมากันเยอะนักล่ะ?”

 

“พวกศิษย์พี่แลดูคึกคักยิ่ง มีเรื่องอะไรกันหรือ?”

 

 

ในลานจัตุรัสนั้นเดิมทีก็มีศิษย์อยู่ไม่น้อย พอฉีอวี่กับต้วนหลิงเทียน รวมถึงเหล่าศิษย์สายในทั้งหลายแห่กันมา ก็สร้างความสนใจให้กับเหล่าศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในที่อยู่ในจัตุรัสไม่น้อย

 

และพอทุกคนแลเห็นร่างที่เหินนำกลุ่มคนชัดเจน สองตาพวกมันก็ลุกวาวจ้าขึ้น “เฮ่ นั่นคือศิษย์พี่ฉีอวี่! 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุด!!”

 

“ศิษย์พี่ฉีอวี่รึ? ดูเหมือนกำลังจะไปแท่นยอดยุทธ์กระมัง?”

 

“หืม? ศิษย์พี่จะสู้กับผู้ใดกัน?”

 

“พวกเจ้าเห็นคนที่เหาะตามศิษย์พี่ฉีอวี่มาหรือไม่ มันเป็นใครกัน?”

 

 

เหล่าศิษย์สายในและสายนอกที่อยู่ในจัตุรัส เริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่บอกถามกันระงม บ้างก็เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าด้วความอยากรู้

 

ด้านศิษย์สาในกับสานอกบางคที่ง่วนกับการประมือกันอยู่ พอพบว่าเสียงโดยรอบอยยู่ๆก็เงียบหายไป ทั้งไม่มีใครเหลืออยู่ในจัตรุรัสเลยพวกมันก็เลิกประมือกันทันที จากนั้นก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนฟ้า ก็เลยพากันเหาะร่างขึ้นไปชมดู

 

“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรกันหรือ ไฉนพวกท่านอยู่ๆถึงแห่กันมาแท่นยอดยุทธ์ได้ล่ะ?”

 

เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้ไปยังสถานที่แข่งไต่บันไดสวรรค์ ก็ได้แต่ถามเหล่าศิษย์สายในที่แห่กันมา

 

และพอได้รับคำตอบ สีหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง “ต้วนหลิงเทียน ศิษย์สายในที่พึ่งเข้ามาใหม่? มันไม่ใช่ว่าเป็นเทพขั้นกลางหรือไร? เทพขั้นกลางเช่นมันกล้ามาประลองกับศิษย์พี่ฉีอวี่ที่แท่นยอดยุทธ์เชียว?”

 

“นั่นสิ มันไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องมันมาบ้าง เห็นว่านอกจากด่านพลังเทพขั้นกลางล้ว มันก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ…แต่อย่างไรศิษย์พี่ฉีอวี่ก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการเช่นกัน ในเมื่อด่านพลังสูงกว่าเป็นขั้นเช่นนี้ มันก็มีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น..”

 

“ข้าเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนมันถึงกล้ารับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ทั้งๆที่ระดับพลังต่างกันเป็นขั้น…”

 

 

ถึงแม้เหล่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับจะไม่เข้าใจ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ยอมรับคำท้าสู้ครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับความคึกคักและอยากรู้อยากเห็นของพวกมัน

 

“อัจฉริยะ ตายเพราะความวู่วามกันมานักต่อนักแล้ว”

 

หลายคนได้แต่มองแผ่นหลังสีม่วงที่เข้าสู่แท่นยอดยุทธ์ด้วยสีหน้าสงสารพลางส่ายหน้าไปมา

 

และท่ามกลางสายตาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามฉีอวี่ จนร่อนลงไปยังสังเวียนย่อย 1 ใน 19 สังเวียนบนแท่นยอดยุทธ์ และยังเป็นสังเวียนที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย

 

สังเวียนขนาดใหญ่แห่งนี้ เรียกว่าตั้งอยู่ตรงกลางเลยก็ว่าได้ และมีสังเวียนย่อยอีก 18 สังเวียนที่มีขนาดเล็กกว่าลอยล่องอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกเสมือนดาวล้อมเดือนอยู่บ้าง  

 

หลังฉีอวี่ลงไปยืนบนสังเวียน มันก็มองต้วนหลิงเทียนที่ติดตามขึ้นสังเวียนอย่างใจเย็น

 

และพอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงดูสงบเฉยเมยอยู่ได้ ฉีอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจขึ้นมา

 

หากก่อนจะขึ้นสังเวียนของแท่นยอยดยุทธ์ ต้วนหลิงเทียนยังคงแลดูสงบไม่แยแส มันจะไม่แปลกใจอะไรเลย เพราะนั่นอาจเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ แต่ในเมื่อขึ้นสังเวียนมาแล้วแบบนี้ เรื่องเสแสร้งทำเป็นนิ่งย่อมเป็นไปไม่ได้อีก…เช่นนั้นอีกฝ่ายไม่ควรแลดูสงบเฉยเมยอย่างที่เห็น

 

สุดท้ายด่านพลังของมัน ฉีอวี่ ก็เหนือกว่าเป็นขั้น

 

ทันใดนั้นเอง…

 

ในที่สุดฉีอวี่ก็ทนความสงสัยไม่ไหว เลือกจะแผ่สำนึกเทวะของมันออกไปปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนทันที

 

วินาทีต่อมา ลูกตาของมันก็หดเล็กลงโดยพลัน ในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึงเหลือเชื่อ

 

‘มัน…มันทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แล้ว?’

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3675

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3675 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3675 : สังเวียนยอดยุทธ์

 

พอเสียงโพล่งตะโกนด้วยโทสะของฉีอวี่ดังขึ้น ผู้คนโดยรอบก็พากันเงียบปากไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

 

บัดนี้กลิ่นดินปืนมันคละคลุ้งเหลือเกิน พาลให้ใจทุกคนเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนและฉีอวี่ไม่วางตา

 

“อยากตาย?”

 

หลังฉีอวี่โพล่งออกมาสนั่นด้วยโทสะ ต้วนหลิงเทียนเพียงหันไปมองมันด้วยสายตาล้ำลึก “เจ้าแน่ใจหรือ ว่าเจ้ามีปัญญาทำอะไรข้าได้?”

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

ฉีอวี่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น สองตาฉายชัดถึงความเย้ยหยันปรามาส “ต้วนหลิงเทียน แค่เจ้ามีโชคขึ้นไปถึงขั้นที่ 9 เข้าหน่อย ทำให้อันดับของเจ้าเหนือกว่าข้าฉีอวี่ ก็ทำให้เจ้าถึงกับไม่เห็นหัวข้าฉีอวี่แล้วเช่นนั้นรึ?”

 

“อันดับในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ มันไม่ได้บอกถึงอันดับพลังฝีมือ!”

 

“อ้อ จะว่าไปเจ้ามันก็แค่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาในนิกาย เช่นนั้นเรื่องนี้เจ้าจะไม่รู้ก็ไม่แปลก”

 

พอกล่าวถึงจุดนี้ มุมปากของฉีอวี่ก็ยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างถือดี

 

ในสายตาของฉีอวี่ ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาอยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 อยู่นานสองนาน เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 มาได้ด้วยพลังฝีมือ ทว่าอีกฝ่ายกลับผ่านมาได้ในเวลาอันสั้น เช่นนั้นหมายความได้อย่างเดียว…ผู้เฝ้าด่านในบันไดขั้น 8 ที่ต้วนหลิงเทียนเจอ จงใจปล่อยต้วนหลิงเทียนให้ผ่านไปเฉยๆ

 

ผู้เฝ้าด่านนั้น หากเป็นศิษย์ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ไหนเลยจะสนใจอะไรอีก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะจงใจปล่อยผู้คน

 

ท้ายที่สุดแล้วถึงพวกมันจะชนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลือกรักษาศักดิ์ศรีและรอคอยโอกาสเหมือนผู้เฝ้าด่านในขั้นที่ 9 ที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ…   

 

ที่สำคัญต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกมาเอง ว่าในขั้นที่ 9 นั้น ผลการประมือมันจบลงในกระบวนเดียว

 

และที่ไฉนถึงรั้งอยู่บนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ได้นานสองนาน ทั้งหมดเพราะสนทนากับผู้เฝ้าด่านอยู่…

 

ดังนั้นถึงแม้อันดับในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจะสูงกว่า แต่ฉีอวี่ก็ไม่ได้ยึดถือเป็นจริงจังอะไร เห็นแค่อีกฝ่ายเป็นคนโชคดีเท่านั้น

 

“มีโชค?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปทางฉีอวี่ “เจ้าสามารถลองได้..”

 

“ไหนเลยจะไม่ลองเล่า!”

 

ฉีอวี่กล่าวท้า “เอาเป็นว่า ตอนนี้เจ้ากล้าขึ้นไปประลองบนแท่นยอดยุทธ์กับข้าตอนนี้เลยไหมเล่า?”

 

แท่นยอดยุทธ์นั้น เป็นดั่งสังเวียนให้คนของนิกายหมอกเร้นลับต่อสู้กัน

 

การขึ้นไปต่อสู้บนแท่นยอดยุทธ์นั้น ท่านสามารถกล่าวคำยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และหลังจากกล่าวยอมแพ้ คู่ต่อสู้ก็ไม่อาจสังหารท่านได้อีก…แต่ถ้าเกิดกล่าวยอมแพ้ไม่ทัน ต่อให้จะถูกคู่ต่อสู้ฆ่าตาย ก็ทำได้แค่ตายเปล่า…

 

ในนิกายหมอกเร้นลับ ไม่มีสถานที่เฉกเช่นสังเวียนเป็นตาย ที่หลังจากขึ้นไปแล้วต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง

 

ไม่ว่าจะมีเรื่องราวบาดหมางร้ายแรงเพียงใด เต็มที่ก็ได้แต่ขึ้นไปสะสางกันบนแท่นยอดยุทธ์

 

แท่นยอดยุทธ์ที่ว่า ก็เป็นสังเวียนที่ลอยล่องอยู่กลางหาว เหนือจัตุรัสกลางของเขตใน

 

“แท่นยอดยุทธ์? ศิษย์พี่ฉีอวี่คิดขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับต้วนหลิงเทียนรึ?”

 

“ให้ตายเถอะ! ประลองบนแท่นยอดยุทธ์ ดาบกระบี่ล้วนไร้นัยน์ตา หากยอมแพ้ไม่ทันเวลา เกิดโดนฆ่าทิ้งไปก็เหมือนตายเปล่า..”

 

“ที่แท้ศิษย์พี่ฉีอวี่มีความแค้นกับต้วนหลิงเทียนอย่างไรกันแน่? ไฉนถึงท้าต้วนหลิงเทียนขึ้นไปสู้บนแท่นยอดยุทธ์แบบนี้?”

 

 

หลังจากเหล่าศิษย์สายในโดยรอบกลับมารู้สึกตัว สีหน้าพวกมันก็ฉายชัดถึงความตกตะลึง และยังมีบางคนที่กลัวโลกวุ่นวายไม่พอ ดวงตายังลุกวาวขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

 

“ต้วนหลิงเทียน!”

 

ตอนนี้เองถังอู๋เหยียนก็รีบส่งเสียงผ่านพลังมาห้ามปรามต้วนหลิงเทียน “เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่น…แท่นยอดยุทธ์นั่นเมื่อขึ้นไปแล้ว หากกล่าวยอมแพ้ไม่ทัน ต่อให้เจ้าจะถูกฆ่าตาย ทางนิกายก็จะไม่เอาโทษคนลงมือ”

 

“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ในคู่มือศิษย์สายในก็มีบอกเรื่องแท่นยอดยุทธ์ไว้เช่นกัน”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตอบถังอู๋เยียนด้วยรอยยิ้ม

 

และฉากดังกล่าว ก็ทำให้ฉีอวี่อิจฉาตาร้อน…ยิ่งได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนพูดกับถังอู๋เยียน มันก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าถังอู๋เยียนต้องส่งเสียงผ่านพลังไปห้ามต้วนหลิงเทียนไม่ให้ขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับมันแน่

 

“ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์…เจ้ากล้าหรือไม่!?”

 

ฉีอวี่หันไปถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มประชดประชัน น้ำเสียงไม่ขาดการท้าทาย

 

“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าไม่มั่นใจก็อย่าได้วู่วามรับคำท้าของมัน”

 

ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะเป็นอาวุโสนิกายหมอกเร้นลับ ที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เป็นผู้ส่งมา

 

“ขอท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ ข้าต้วนหลิงเทียนไม่คิดทำสิ่งที่ไม่มั่นใจโดยประมาท”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งเสียงผ่านพลังให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปมองฉีอวี่พลางกล่าวเสียงเรียบ “นำทางไป”

 

นำทางไป!   

 

นี่คือคำตอบของต้วนหลิงเทียน!

 

ฉีอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มเย้ยเยาะจะคลี่กางบนใบหน้า และพอมันเริ่มเหินร่างนำทางไปจริงๆ เหล่าศิษย์สายในหลายคนก็โพล่งออกมาด้วยความสมใจ “ให้มันได้ยังงี้สิ!!”

 

“ว่าแต่ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงยอมรับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ เพราะในเมื่อศิษย์พี่ฉีอวี่กล้าท้ามัน ย่อมหมายความว่าศิษย์พี่มั่นใจว่าจะเอาชนะมันได้แน่”

 

“มันเป็นแค่เทพขั้นกลางคนหนึ่ง แต่กล้าสู้กับเทพขั้นสูงจริงๆหรือ?”

 

ท่ามกลางความโกลาหลของเหล่าศิษย์สายใน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามฉีอวี่ไปยังแท่นยอดยุทธ์

 

“บุรุษผู้นี้…”

 

พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ฟังคำเตือน ถังอู๋เยียนก็ย่นคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นนางก็เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนไปทันที ยังส่งเสียงผ่านพลังไปว่า “หากเจ้าเห็นท่าไม่ดี ก็รีบยอมแพ้ให้ไวเลย”

 

“เพราะขอเพียงเจ้ากล่าวคำยอมแพ้ออกมา ฉีอวี่ย่อมไม่กล้าลงมือฆ่าเจ้าอีก แถมอาวุโสที่ควบคุมดูแลการประลองในแท่นยอดยุทธ์ก็จะปกป้องเจ้าด้วย”

 

คำพูดของถังอู๋เยียนต้วนหลิงเทียนเพียงรับฟังอย่างไม่จริงจัง

 

แต่กระนั้น เพราะอีกฝ่ายกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เขาก็ยังส่งเสียงผ่านพลังไปขอบคุณนาง

 

นอกจากเหล่าศิษย์สายในที่ยังอยู่ในบันไดสวรรค์รวมถึงผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าแล้ว ทุกคนที่เห็นต้วนหลิงเทียนรับคำท้าฉีอวี่ ก็พากันติดตามไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที

 

อันที่จริงอาวุโสที่เฝ้าบันไดสวรรค์เองก็อยากตามไปดูชมด้วยเช่นกัน แต่มันมีหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ เช่นนั้นจึงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ไปดูชมด้วยได้

 

“อ้าว? ผู้คนไปไหนหมดแล้วเล่า?”

 

หลังศิษย์สายในบางคนกลับออกมาจากบันไดสวรรค์และพบว่ารอบๆกลับไร้ศิษย์สายในแม้แต่คนเดียว มีก็แต่อาวุโสชราลอยร่างค้างกลางหาวอย่างวังเวง มันก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง

 

จนเมื่อทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากอาวุโสชรา มันก็เร่งเหินร่างไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที “เฮ่ยพวก! ศิษย์พี่ฉีอวี่จะสู้กับต้วนหลิงเทียนที่แท่นยอดยุทธ์แน่ะ ใครว่างรีบไปชมดูเร็ว การประลองครั้งนี้อย่าได้พลาดกันเชียว!!”

 

หลังทราบว่าต้วนหลิงเทียนกับฉีอวี่จะไปดวลเดี่ยวกันที่แท่นยอดยุทธ์ เหล่าศิษย์สายในทั้งหลาย ก็เร่งส่งข้อความไปแจ้งเหล่าสหายทันที

 

เป็นผลให้มีผู้คนมุ่งหน้าไปยังแท่นยอดยุทธ์กันหนาตา

 

“อาวุโสเผิง”

 

และอาวุโสที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เอง ในเมื่อตัวเองติดภาระหน้าที่ มันก็ได้แต่ส่งข้อความไปหาอาวุโสคนอื่นที่สนิทสนมกัน “หากข้าจำไม่ผิด…ช่วงนี้ท่านสมควรเป็นผู้ควบคุมดูแลการประลองที่แท่นยอดยุทธ์ใช่หรือไม่ ท่านยังเข้าเวรที่นั่นหรือเปลี่ยนกับผู้อื่นแล้ว?”

 

อีกฝ่ายก็เร่งตอบกลับมาเร็วไว “ใช่เป็นข้าเข้าเวรอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนกะกับผู้ใด…เกิดอันใดขึ้นรึ?”

 

“อ้อ อีกสักพักฉีอวี่ศิษย์ของอาวุโส 2 กับต้วนหลิงเทียนที่ท่านรองประมุขมู่หรงแนะนำมาจักไปสู้กันที่แท่นยอดยุทธ์ ท่านช่วยคอยรายงานสถานการณ์ให้ข้าฟังหน่อย…และหากต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในอันตราย ท่านก็รีบส่งเสียงไปบอกให้มันกล่าวยอมแพ้เสีย เจ้าหนูผู้นี้ค่อนข้างดี ไม่เพียงกิริยามารยาทงาม มันยังมีพรสวรรค์กับความเข้าใจสูงล้ำมีมันอยู่ก็เป็นประโยชน์กับนิกายของเราไม่มีโทษ”

 

อาวุโสที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เร่งกล่าว

 

“อะไร? ฉีอวี่กับต้วนหลิงเทียนกำลังมาแท่นยอดยุทธ์เพื่อสู้กันรึ?”

 

“อ่า ข้าเห็นพวกมันแล้ว…ท่านไม่ต้องห่วง กับอัจฉริยะเช่นนี้ข้าเองก็ไม่อยากให้ด่วนตายนักหรอก”

 

ไม่นานอาวุโสเผิงที่ประจำแท่นยอดยุทธ์ ก็สังเกตเห็นกลุ่มคนกำลังเหินมาแต่ไกล และหัวขบวนก็นำมาโดย ฉีอวี่ ศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับที่มันก็รู้จักดี

 

ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น แม้มันจะไม่เคยเห็นคนตัวเป็นๆมาก่อน แต่ก็ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลามักใส่ชุดสีม่วง มันก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าเป็นคนที่กำลังเหินตามฉีอวี่มาไม่ผิดแน่

 

แท่นยอดยุทธ์นั้น มีสังเวียนย่อยทั้งสิ้น 19 สังเวียน และด้านล่างแท่นยอดยุทธ์ก็เป็นลานจัตุรัสอันกว้างขวาง ซึ่งเป็นสถานที่ๆคึกคักที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ มักมีเหล่าศิษย์มาสนทนาบ้างก็แลกหาสิ่งของ ไม่เว้นนัดกันมาประลองเสมอ

 

และโดยปกติแล้วสังเวียนย่อยของแท่นยอดยุทธ์ทั้ง 19 สังเวียนก็มักจะว่างเปล่าร้างผู้คนเสมอ เพราะเหล่าศิษย์มันเลือกจะหาพื้นที่ในลานจัตุรัสด้านล่างเพื่อประลองกันแทน

 

และลานจัตรุรัสกับแท่นยอดยุทธ์นั้น ก็ไม่ได้เป็นสถานที่เฉพาะของฝ่ายในนิกายแต่อย่างใด แต่เป็นสถานที่ๆฝ่ายในและฝ่ายนอกใช้ร่วมกัน

 

ตำแหน่งที่ตั้งของมันก็อยู่กึ่งกลางระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก

 

“ไฉนวันนี้ผู้คนมากันเยอะนักล่ะ?”

 

“พวกศิษย์พี่แลดูคึกคักยิ่ง มีเรื่องอะไรกันหรือ?”

 

 

ในลานจัตุรัสนั้นเดิมทีก็มีศิษย์อยู่ไม่น้อย พอฉีอวี่กับต้วนหลิงเทียน รวมถึงเหล่าศิษย์สายในทั้งหลายแห่กันมา ก็สร้างความสนใจให้กับเหล่าศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในที่อยู่ในจัตุรัสไม่น้อย

 

และพอทุกคนแลเห็นร่างที่เหินนำกลุ่มคนชัดเจน สองตาพวกมันก็ลุกวาวจ้าขึ้น “เฮ่ นั่นคือศิษย์พี่ฉีอวี่! 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุด!!”

 

“ศิษย์พี่ฉีอวี่รึ? ดูเหมือนกำลังจะไปแท่นยอดยุทธ์กระมัง?”

 

“หืม? ศิษย์พี่จะสู้กับผู้ใดกัน?”

 

“พวกเจ้าเห็นคนที่เหาะตามศิษย์พี่ฉีอวี่มาหรือไม่ มันเป็นใครกัน?”

 

 

เหล่าศิษย์สายในและสายนอกที่อยู่ในจัตุรัส เริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่บอกถามกันระงม บ้างก็เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าด้วความอยากรู้

 

ด้านศิษย์สาในกับสานอกบางคที่ง่วนกับการประมือกันอยู่ พอพบว่าเสียงโดยรอบอยยู่ๆก็เงียบหายไป ทั้งไม่มีใครเหลืออยู่ในจัตรุรัสเลยพวกมันก็เลิกประมือกันทันที จากนั้นก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนฟ้า ก็เลยพากันเหาะร่างขึ้นไปชมดู

 

“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรกันหรือ ไฉนพวกท่านอยู่ๆถึงแห่กันมาแท่นยอดยุทธ์ได้ล่ะ?”

 

เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้ไปยังสถานที่แข่งไต่บันไดสวรรค์ ก็ได้แต่ถามเหล่าศิษย์สายในที่แห่กันมา

 

และพอได้รับคำตอบ สีหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง “ต้วนหลิงเทียน ศิษย์สายในที่พึ่งเข้ามาใหม่? มันไม่ใช่ว่าเป็นเทพขั้นกลางหรือไร? เทพขั้นกลางเช่นมันกล้ามาประลองกับศิษย์พี่ฉีอวี่ที่แท่นยอดยุทธ์เชียว?”

 

“นั่นสิ มันไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องมันมาบ้าง เห็นว่านอกจากด่านพลังเทพขั้นกลางล้ว มันก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ…แต่อย่างไรศิษย์พี่ฉีอวี่ก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการเช่นกัน ในเมื่อด่านพลังสูงกว่าเป็นขั้นเช่นนี้ มันก็มีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น..”

 

“ข้าเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนมันถึงกล้ารับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ทั้งๆที่ระดับพลังต่างกันเป็นขั้น…”

 

 

ถึงแม้เหล่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับจะไม่เข้าใจ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ยอมรับคำท้าสู้ครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับความคึกคักและอยากรู้อยากเห็นของพวกมัน

 

“อัจฉริยะ ตายเพราะความวู่วามกันมานักต่อนักแล้ว”

 

หลายคนได้แต่มองแผ่นหลังสีม่วงที่เข้าสู่แท่นยอดยุทธ์ด้วยสีหน้าสงสารพลางส่ายหน้าไปมา

 

และท่ามกลางสายตาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามฉีอวี่ จนร่อนลงไปยังสังเวียนย่อย 1 ใน 19 สังเวียนบนแท่นยอดยุทธ์ และยังเป็นสังเวียนที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย

 

สังเวียนขนาดใหญ่แห่งนี้ เรียกว่าตั้งอยู่ตรงกลางเลยก็ว่าได้ และมีสังเวียนย่อยอีก 18 สังเวียนที่มีขนาดเล็กกว่าลอยล่องอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกเสมือนดาวล้อมเดือนอยู่บ้าง  

 

หลังฉีอวี่ลงไปยืนบนสังเวียน มันก็มองต้วนหลิงเทียนที่ติดตามขึ้นสังเวียนอย่างใจเย็น

 

และพอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงดูสงบเฉยเมยอยู่ได้ ฉีอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจขึ้นมา

 

หากก่อนจะขึ้นสังเวียนของแท่นยอยดยุทธ์ ต้วนหลิงเทียนยังคงแลดูสงบไม่แยแส มันจะไม่แปลกใจอะไรเลย เพราะนั่นอาจเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ แต่ในเมื่อขึ้นสังเวียนมาแล้วแบบนี้ เรื่องเสแสร้งทำเป็นนิ่งย่อมเป็นไปไม่ได้อีก…เช่นนั้นอีกฝ่ายไม่ควรแลดูสงบเฉยเมยอย่างที่เห็น

 

สุดท้ายด่านพลังของมัน ฉีอวี่ ก็เหนือกว่าเป็นขั้น

 

ทันใดนั้นเอง…

 

ในที่สุดฉีอวี่ก็ทนความสงสัยไม่ไหว เลือกจะแผ่สำนึกเทวะของมันออกไปปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนทันที

 

วินาทีต่อมา ลูกตาของมันก็หดเล็กลงโดยพลัน ในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึงเหลือเชื่อ

 

‘มัน…มันทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แล้ว?’

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+