ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 182 การเปลี่ยนแปลง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 182 การเปลี่ยนแปลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 182
การเปลี่ยนแปลง

หลังจากที่กินอาหารกับคุณปู่คุณย่าเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็เดินทางกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์

มู่หรงเสวี่ยนึกถึงเรื่องที่คุณปู่พูด ให้กล้าที่จะไขว่คว้ามันงั้นเหรอ?!! ในชีวิตที่แล้วเธอบ้าบิ่นและกล้าหาญที่จะไขว่คว้าแต่มันน่าเสียดายที่เธอได้เจอกับคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ ในชีวิตนี้เธอมักจะขี้อายและไม่กล้าที่จะมอบหัวใจให้ใครแต่เธอก็อยากที่จะได้ความอบอุ่นที่พวกเขามอบให้ เธอเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆ

นี่เธอเข้าใจความหมายของความรักผิดไปหรือเปล่า
ท้องฟ้าข้างนอกยังสดใสแต่หัวใจของเธอกลับเยือกเย็นราวสายฝน

อันที่จริง เธอไม่รู้เจตนาของคนพวกนั้นจริงๆงั้นเหรอ?!! ไม่ เธอรู้ดี เธอรู้ดีแต่ก็เพราะความโลภอยากจะได้ความอบอุ่นของชีวิตที่แล้ว เธอจึงปล่อยให้มันเข้ามาครอบคลุมจิตใจตัวเองได้ แล้วคนที่เธอแคร์ก็ค่อยจากไปทีละคนๆจนกระทั่งไม่เหลือใคร แต่เธอก็ยังต้องเป็นไปตามกระแสของโลกอยู่ดี

ถ้าจะต้องตาย เธอก็จะตาย หัวใจที่ขลาดกลัวของเธอทอดทิ้งตัวเธอไปแล้วอย่างหมดสิ้น แทนที่จะเข้ามาช่วยเหลือตัวเอง เธอเกิดใหม่มานานจนสามารถมองทะลุแก่นแท้ของตัวเองได้แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้

ความเห็นแก่ตัวของเธอไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเธอแต่กลับทำร้ายคนที่รักเธอด้วย เช่นพี่ชูและชางกวนโม่

เธออยู่กับชางกวนโม่มานานแต่ก็มองเห็นไม่ชัด ความผิดพลาดคือร่างกายของเธอเองซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาร้าวฉานและเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดนี้

และเมื่อนึกถึงความอ่อนโยนของพี่ชู เธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เธอรู้ดีอย่างชัดเจน เธอเอาเปรียบความใจดีของคนอื่นเพื่อมาปลอบโยนหัวใจที่บาดเจ็บของตัวเองหลังจากที่เขาดีกับเธอมากขนาดนั้นได้ยังไง? นี่เป็นการดึงคนที่รักเธอลงไปในเหวที่เธอเองก็ขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหม?

อีกอย่างเธอไม่กล้าที่จะมองเข้าไปในความกลัวของตัวเอง ว่าตัวเองโหดร้ายมากแค่ไหนและตอนนี้สุดท้ายเธอก็ได้หันกลับมามองตัวเอง จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและรีบวิ่งออกไป เธอขับรถอย่างเร็วเพื่อตรงไปฐานของฮวงฟูอี้ ตอนนี้เธอได้สติแล้วและหวังว่าทุกอย่างจะยังทันเวลา เธอหวังว่าอย่างนั้นจริงๆ

เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ขึ้นเครื่องกลับมาที่เมืองหลวง เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูทะเลหมอก เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอเข้าใจเรื่องที่คุณปู่พูดแต่มันก็สายเกินไปหน่อยแล้ว

เมื่อวานตอนที่เธอไปถึงฐานที่เธอกับฮวงฟูอี้เคยอยู่ด้วยกัน ตึกสูงใหญ่ตรงหน้าเธอมันหายไปไหนแล้วล่ะ? ตรงหน้าเธอมีเพียงกองซากปรักหักพัง หัวใจเธอกลายเป็นพื้นที่รกร้างไปแล้ว เขาตัดการติดต่อกับเธอทั้งหมด ช่างใจแข็งและยโสเหลือเกิน มู่หรงเสวี่ยยืนอยู่แบบนั้นอยู่นานจนกระทั่งอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นค่ำคืน
แต่ยังไงซะเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มใหม่อีกครั้ง ลาก่อนมู่หรงผู้ขี้ขลาดที่ในชีวิตที่แล้วไร้ซึ่งอิสระ

ในร้านกาแฟที่ดูธรรมดาอย่างมากแต่บรรยากาศกลับดีอย่างเหลือเชื่อ เพลงฟังสบายและรอบๆก็มีดอกไม้ ต้นไม้ปลูกไว้ด้วย แต่ละที่นั่งจะมีฉากกั้นไว้ นี่เป็นช่วงเวลาทำงานในร้านจึงมีคนไม่มาก มู่หรงเสวี่ยนั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองผู้คนที่เดินไปมาด้วยความเร่งรีบพร้อมรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก

“ขอโทษนะเสี่ยวเสวี่ย รอนานหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมด้วยอาการหอบหายใจและเหงื่อเล็กน้อย

มู่หรงเสวี่ยถือแก้วกาแฟไว้ในมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกค่ะ ฉันเพิ่งมาถึง นั่งสิพี่ชู ขอโทษนะคะที่มักจะเรียกให้พี่ออกมาแบบกะทันหันแบบนี้ตลอดเลย”

การที่มู่หรงเสวี่ยเรียกให้เขาออกมาทำให้เขามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใด

“เสี่ยวเสวี่ยมาที่นี่ได้ยังไง?” แถวนี้อยู่ไม่ห่างจากบริษัทเขาและเขาจำได้ว่ามู่หรงแทบจะไม่เคยมาถนนแถวนี้เลย

“ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับพี่ชูหน่อยน่ะค่ะ…” มู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนท่าทางและมองไปที่ชูอี้เสิ่นอย่างจริงจัง

รอยยิ้มที่มุมปากของชูอี้เสิ่นหยุดแล้วก็กลับมาอีกครั้ง “ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็จะตั้งใจฟัง”

“พี่ชู ขอบคุณที่ฟังฉันนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาแล้วก็หยุด แล้วก็พูดต่อ “พี่ชู ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะตามเขาไปตลอดชีวิตของฉัน…”

เธอมองไปที่ชูอี้เสิ่นและเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดแต่เขาก็ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองไว้ เธอไม่สนใจว่าพี่ชูจะเสียใจมากแค่ไหนและสนใจเพียงความเห็นแก่ตัวของตัวเอง จากนี้ไปเธอจะไม่มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือพร้อมกันสองคนอีก ในเมื่อมันเป็นความผิดของเธอ งั้นเธอก็ต้องแก้ไข

“ขอโทษนะคะพี่ชู! อันที่จริงฉันรู้มาตลอด…” สายตาที่เย็นชามู่หรงเสวี่ยมั่นใจและมีร่องรอยของการตัดสินใจแล้ว “ฉันรู้เจตนาของพี่ชู…”

ชูอี้เสิ่นยังนั่งฟังเงียบ มู่หรงเสวี่ยกำแก้วกาแฟอีกครั้ง ความอุ่นของแก้วดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความกล้าให้เธอได้ “พี่ชูเข้าใจฉันผิด อันที่จริงฉันตั้งใจและเห็นแก่ตัวมาก ฉันไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่พี่ชูเห็น”

“ฉันเป็นแค่คนที่เห็นแก่ตัว จากนี้ไปฉันจะไม่ทำให้พี่ชูต้องสับสนอีก…และต้องขอบคุณพี่ชูที่ก่อนหน้านี้ทนกับฉันมาตลอด…”

มู่หรงเสวี่ยวางแก้วกาแฟลงและกำหมัดแน่น “ฉันจะตามคนที่ฉันชอบและจะไม่เปลี่ยนใจไปตลอดชีวิต ฉันหวังว่าพี่ชูจะมีความสุขได้ ในอนาคตฉันจะไม่พึ่งอ้อมกอดของพี่ชูพร่ำเพรื่อเหมือนแต่ก่อนอีก ฉันขอโทษ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเองที่ทำให้พี่ชูมีความหวัง…”
ชูอี้เสิ่นเปิดปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเสี่ยวเสวี่ยพูดความคิดตัวเองออกมาอย่างชัดเจน เธอที่อยู่ตรงหน้าเขาดูไม่เขินอาย, ไม่ลนลาน, และไม่อ่อนโยน เธอดูเฉียบขาดมากกว่าแต่ก่อน

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันไม่มีความหวังเลยใช่ไหม?” น้ำเสียงของเธอที่พูดออกมาอย่างรอบคอบเพื่อตัดความหวังของเขาช่างแตกต่างจากน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเห็นใจก่อนหน้านี้มาก

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา ถึงแม้ในหัวใจเธอจะรู้สึกเจ็บปวดแต่เธอก็ไม่ชอบการยอมแพ้ เธอเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่สับสนหรือให้ความหวังคนอื่นและทำร้ายความรู้สึกคนอื่นจนสุดท้ายก็ย้อนกลับมาทำร้ายเธอเองอีกแล้ว “ใช่ค่ะพี่ชู! ฉันตัดสินใจแล้ว…”

หลังจากที่เงียบไปนาน ชูอี้เสิ่นก็พูดออกมาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการให้เธอมารักฉัน เธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉันหรอก…แค่ปล่อยให้ฉันอยู่ข้างเธอได้ไหม?” ถึงแม้เขาจะถูกเธอปฏิเสธ

อันที่จริงเขาไม่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องการความอ่อนโยนของเขาก็แค่เพียงตอนที่เธออ่อนแอและเขาก็รู้ด้วยว่าเธอไม่รักเขาแต่เขาก็พร้อมยอม

ไม่จำเป็นต้องเข้ามารับผิดชอบ นี่เป็นกับดักที่สวยงาม พี่ชูพาตัวเองมาติดอยู่กับกับดักซะแล้ว “พี่ชู ฉันไม่ต้องการอีกแล้ว! พี่ควรจะรีบออกไปให้ไว! โอเคไหม?” เธออยากที่จะปล่อยพี่ชูไป อยากจะไขกุญแจข้อมือที่เธอใช้รั้งพี่ชูเอาไว้

“ฉันเข้าใจแล้ว!” ชูอี้เสิ่นลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยแล้วเขาไม่แม้แต่จะกล่าวลา เขาจะไปแล้วจริงๆ

เธอกลัวว่าตัวเองจะเสียการควบคุมในวินาทีต่อมา มันยากสำหรับมู่หรงเสวี่ย การโตขึ้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเธอ เขากลายเป็นต้องขวางกั้นเธองั้นเหรอ? เขาจะเติมเต็มทุกอย่างที่เธอต้องการ ถ้าอย่างงั้นเธอก็ยังทอดทิ้งเขา

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ร่างของพี่ชูที่เดินออกไปโดยไม่ขยับ เธอยกแก้วกาแฟที่เย็นแล้วขึ้นมาจิบ รสชาติขมกระจายไปทั่วหัวใจ

ดื่มยากงั้นเหรอ!? เธอวางแก้วกาแฟลง จากนี้ไปเธอได้เสียความอ่อนโยนของพี่ชูไปแล้ว แต่พี่ชูก็จะได้เป็นอิสระจากเรื่องนี้ด้วย

คนที่เดินผ่านไปมาที่หน้าต่างก็ยังเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง มีทั้งความสุข โกรธหรือกังวล ปล่อยให้เธอได้มองอย่างเพลิดเพลิน ทุกคนต่างก็มีเรื่องกังวลของตัวเอง แต่ก่อนเธอมองไม่เห็นได้ยังไง

เธอลุกขึ้นไปจ่ายตังค์โดยไม่สนใจสายตาชื่นชมของพนักงาน สิ่งที่คนอื่นเห็นคือหน้าตาที่สวยงามของเธอ พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าหัวใจที่อยู่ภายใต้ผิวที่ขาวนวลของเธอเป็นยังไง

มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาจากร้าน แสงอาทิตย์ด้านนอกยังร้อนแรง แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ เธอเดินออกมาจากปราสาทด้วยเท้าข้างเดียว เธอไม่จำเป็นต้องรอให้คนอื่นเข้ามาช่วย เธอทำได้ด้วยตัวเอง ใช่ไหม?!!

วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยสวมชุดนักศึกษาและพร้อมที่จะไปมหาลัย

พวกนักศึกษาตามถนนของมหาลัยยังมองและหัวเราะมาที่เธอ ตอนนี้เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เธอดีเกินไป เธอแค่บังเอิญเป็นหัวข้อบทสนทนา ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าภูมิใจเท่าไร ตรงกันข้ามเธอน่าจะรู้สึกผิด

เมื่อเธอมาถึงห้องเรียน เธอก็เห็นว่าทุกคนยืนล้อมรอบกันแน่นและบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา เธอประหลาดใจปกติในชั้นเรียนแทบจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เลย เธอเดินเข้ามาด้วยความสงสัยและก็ได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน

“ว่าว! สวยอะไรขนาดนี้” เด็กสาวคนหนึ่งร้องอุทานออกมา

“ฮ่าฮ่า นี่เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ของไชในประเทศซีเลยนะ เป็นของลิมิเตทด้วย!” เสียงที่คุ้นเคยทำให้มู่หรงเสวี่ยถึงกับต้องเดินเข้าไป

“เสี่ยวเฟ่ย มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าครอบครัวเธอจะรวยขนาดนี้ เหมือนเจ้าหญิงเลยอ่ะ น่าอิจฉาเธอจริงๆเลย” เด็กสาวอีกคนพูดโอ้อวด

“เสี่ยวเฟ่ย ไปเที่ยวด้วยกันไหม ฉันรู้สึกว่าตัวเองหลงรักเธอเข้าแล้ว…” เด็กหนุ่มพูด

“ไปเลย ไปเลย ไอ้ขี้แพ้ถ้านายยังอยากจะตามจีบ เสี่ยวเฟ่ยละก็ ไปเข้าแถวรอเลย…”

” ฮ่าฮ่า อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันขอโทษจริงๆ…” ถึงแม้ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยจะเขินแต่สีหน้าเธอก็ค่อนข้างภูมิใจอยู่เล็กๆ

“เสี่ยวเฟ่ยนี่สวยจริงๆเลย ฉันขอโทษนะที่ไอ้พวกผู้ชายตัวเหม็นนี่พยายามที่จะตามจีบเธอ…”
“…”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 182 การเปลี่ยนแปลง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 182 การเปลี่ยนแปลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 182
การเปลี่ยนแปลง

หลังจากที่กินอาหารกับคุณปู่คุณย่าเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็เดินทางกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์

มู่หรงเสวี่ยนึกถึงเรื่องที่คุณปู่พูด ให้กล้าที่จะไขว่คว้ามันงั้นเหรอ?!! ในชีวิตที่แล้วเธอบ้าบิ่นและกล้าหาญที่จะไขว่คว้าแต่มันน่าเสียดายที่เธอได้เจอกับคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ ในชีวิตนี้เธอมักจะขี้อายและไม่กล้าที่จะมอบหัวใจให้ใครแต่เธอก็อยากที่จะได้ความอบอุ่นที่พวกเขามอบให้ เธอเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆ

นี่เธอเข้าใจความหมายของความรักผิดไปหรือเปล่า
ท้องฟ้าข้างนอกยังสดใสแต่หัวใจของเธอกลับเยือกเย็นราวสายฝน

อันที่จริง เธอไม่รู้เจตนาของคนพวกนั้นจริงๆงั้นเหรอ?!! ไม่ เธอรู้ดี เธอรู้ดีแต่ก็เพราะความโลภอยากจะได้ความอบอุ่นของชีวิตที่แล้ว เธอจึงปล่อยให้มันเข้ามาครอบคลุมจิตใจตัวเองได้ แล้วคนที่เธอแคร์ก็ค่อยจากไปทีละคนๆจนกระทั่งไม่เหลือใคร แต่เธอก็ยังต้องเป็นไปตามกระแสของโลกอยู่ดี

ถ้าจะต้องตาย เธอก็จะตาย หัวใจที่ขลาดกลัวของเธอทอดทิ้งตัวเธอไปแล้วอย่างหมดสิ้น แทนที่จะเข้ามาช่วยเหลือตัวเอง เธอเกิดใหม่มานานจนสามารถมองทะลุแก่นแท้ของตัวเองได้แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้

ความเห็นแก่ตัวของเธอไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเธอแต่กลับทำร้ายคนที่รักเธอด้วย เช่นพี่ชูและชางกวนโม่

เธออยู่กับชางกวนโม่มานานแต่ก็มองเห็นไม่ชัด ความผิดพลาดคือร่างกายของเธอเองซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาร้าวฉานและเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดนี้

และเมื่อนึกถึงความอ่อนโยนของพี่ชู เธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เธอรู้ดีอย่างชัดเจน เธอเอาเปรียบความใจดีของคนอื่นเพื่อมาปลอบโยนหัวใจที่บาดเจ็บของตัวเองหลังจากที่เขาดีกับเธอมากขนาดนั้นได้ยังไง? นี่เป็นการดึงคนที่รักเธอลงไปในเหวที่เธอเองก็ขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหม?

อีกอย่างเธอไม่กล้าที่จะมองเข้าไปในความกลัวของตัวเอง ว่าตัวเองโหดร้ายมากแค่ไหนและตอนนี้สุดท้ายเธอก็ได้หันกลับมามองตัวเอง จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและรีบวิ่งออกไป เธอขับรถอย่างเร็วเพื่อตรงไปฐานของฮวงฟูอี้ ตอนนี้เธอได้สติแล้วและหวังว่าทุกอย่างจะยังทันเวลา เธอหวังว่าอย่างนั้นจริงๆ

เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ขึ้นเครื่องกลับมาที่เมืองหลวง เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูทะเลหมอก เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอเข้าใจเรื่องที่คุณปู่พูดแต่มันก็สายเกินไปหน่อยแล้ว

เมื่อวานตอนที่เธอไปถึงฐานที่เธอกับฮวงฟูอี้เคยอยู่ด้วยกัน ตึกสูงใหญ่ตรงหน้าเธอมันหายไปไหนแล้วล่ะ? ตรงหน้าเธอมีเพียงกองซากปรักหักพัง หัวใจเธอกลายเป็นพื้นที่รกร้างไปแล้ว เขาตัดการติดต่อกับเธอทั้งหมด ช่างใจแข็งและยโสเหลือเกิน มู่หรงเสวี่ยยืนอยู่แบบนั้นอยู่นานจนกระทั่งอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นค่ำคืน
แต่ยังไงซะเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มใหม่อีกครั้ง ลาก่อนมู่หรงผู้ขี้ขลาดที่ในชีวิตที่แล้วไร้ซึ่งอิสระ

ในร้านกาแฟที่ดูธรรมดาอย่างมากแต่บรรยากาศกลับดีอย่างเหลือเชื่อ เพลงฟังสบายและรอบๆก็มีดอกไม้ ต้นไม้ปลูกไว้ด้วย แต่ละที่นั่งจะมีฉากกั้นไว้ นี่เป็นช่วงเวลาทำงานในร้านจึงมีคนไม่มาก มู่หรงเสวี่ยนั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองผู้คนที่เดินไปมาด้วยความเร่งรีบพร้อมรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก

“ขอโทษนะเสี่ยวเสวี่ย รอนานหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมด้วยอาการหอบหายใจและเหงื่อเล็กน้อย

มู่หรงเสวี่ยถือแก้วกาแฟไว้ในมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกค่ะ ฉันเพิ่งมาถึง นั่งสิพี่ชู ขอโทษนะคะที่มักจะเรียกให้พี่ออกมาแบบกะทันหันแบบนี้ตลอดเลย”

การที่มู่หรงเสวี่ยเรียกให้เขาออกมาทำให้เขามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใด

“เสี่ยวเสวี่ยมาที่นี่ได้ยังไง?” แถวนี้อยู่ไม่ห่างจากบริษัทเขาและเขาจำได้ว่ามู่หรงแทบจะไม่เคยมาถนนแถวนี้เลย

“ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับพี่ชูหน่อยน่ะค่ะ…” มู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนท่าทางและมองไปที่ชูอี้เสิ่นอย่างจริงจัง

รอยยิ้มที่มุมปากของชูอี้เสิ่นหยุดแล้วก็กลับมาอีกครั้ง “ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็จะตั้งใจฟัง”

“พี่ชู ขอบคุณที่ฟังฉันนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาแล้วก็หยุด แล้วก็พูดต่อ “พี่ชู ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะตามเขาไปตลอดชีวิตของฉัน…”

เธอมองไปที่ชูอี้เสิ่นและเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดแต่เขาก็ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองไว้ เธอไม่สนใจว่าพี่ชูจะเสียใจมากแค่ไหนและสนใจเพียงความเห็นแก่ตัวของตัวเอง จากนี้ไปเธอจะไม่มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือพร้อมกันสองคนอีก ในเมื่อมันเป็นความผิดของเธอ งั้นเธอก็ต้องแก้ไข

“ขอโทษนะคะพี่ชู! อันที่จริงฉันรู้มาตลอด…” สายตาที่เย็นชามู่หรงเสวี่ยมั่นใจและมีร่องรอยของการตัดสินใจแล้ว “ฉันรู้เจตนาของพี่ชู…”

ชูอี้เสิ่นยังนั่งฟังเงียบ มู่หรงเสวี่ยกำแก้วกาแฟอีกครั้ง ความอุ่นของแก้วดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความกล้าให้เธอได้ “พี่ชูเข้าใจฉันผิด อันที่จริงฉันตั้งใจและเห็นแก่ตัวมาก ฉันไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่พี่ชูเห็น”

“ฉันเป็นแค่คนที่เห็นแก่ตัว จากนี้ไปฉันจะไม่ทำให้พี่ชูต้องสับสนอีก…และต้องขอบคุณพี่ชูที่ก่อนหน้านี้ทนกับฉันมาตลอด…”

มู่หรงเสวี่ยวางแก้วกาแฟลงและกำหมัดแน่น “ฉันจะตามคนที่ฉันชอบและจะไม่เปลี่ยนใจไปตลอดชีวิต ฉันหวังว่าพี่ชูจะมีความสุขได้ ในอนาคตฉันจะไม่พึ่งอ้อมกอดของพี่ชูพร่ำเพรื่อเหมือนแต่ก่อนอีก ฉันขอโทษ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเองที่ทำให้พี่ชูมีความหวัง…”
ชูอี้เสิ่นเปิดปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเสี่ยวเสวี่ยพูดความคิดตัวเองออกมาอย่างชัดเจน เธอที่อยู่ตรงหน้าเขาดูไม่เขินอาย, ไม่ลนลาน, และไม่อ่อนโยน เธอดูเฉียบขาดมากกว่าแต่ก่อน

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันไม่มีความหวังเลยใช่ไหม?” น้ำเสียงของเธอที่พูดออกมาอย่างรอบคอบเพื่อตัดความหวังของเขาช่างแตกต่างจากน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเห็นใจก่อนหน้านี้มาก

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา ถึงแม้ในหัวใจเธอจะรู้สึกเจ็บปวดแต่เธอก็ไม่ชอบการยอมแพ้ เธอเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่สับสนหรือให้ความหวังคนอื่นและทำร้ายความรู้สึกคนอื่นจนสุดท้ายก็ย้อนกลับมาทำร้ายเธอเองอีกแล้ว “ใช่ค่ะพี่ชู! ฉันตัดสินใจแล้ว…”

หลังจากที่เงียบไปนาน ชูอี้เสิ่นก็พูดออกมาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการให้เธอมารักฉัน เธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉันหรอก…แค่ปล่อยให้ฉันอยู่ข้างเธอได้ไหม?” ถึงแม้เขาจะถูกเธอปฏิเสธ

อันที่จริงเขาไม่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องการความอ่อนโยนของเขาก็แค่เพียงตอนที่เธออ่อนแอและเขาก็รู้ด้วยว่าเธอไม่รักเขาแต่เขาก็พร้อมยอม

ไม่จำเป็นต้องเข้ามารับผิดชอบ นี่เป็นกับดักที่สวยงาม พี่ชูพาตัวเองมาติดอยู่กับกับดักซะแล้ว “พี่ชู ฉันไม่ต้องการอีกแล้ว! พี่ควรจะรีบออกไปให้ไว! โอเคไหม?” เธออยากที่จะปล่อยพี่ชูไป อยากจะไขกุญแจข้อมือที่เธอใช้รั้งพี่ชูเอาไว้

“ฉันเข้าใจแล้ว!” ชูอี้เสิ่นลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยแล้วเขาไม่แม้แต่จะกล่าวลา เขาจะไปแล้วจริงๆ

เธอกลัวว่าตัวเองจะเสียการควบคุมในวินาทีต่อมา มันยากสำหรับมู่หรงเสวี่ย การโตขึ้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเธอ เขากลายเป็นต้องขวางกั้นเธองั้นเหรอ? เขาจะเติมเต็มทุกอย่างที่เธอต้องการ ถ้าอย่างงั้นเธอก็ยังทอดทิ้งเขา

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ร่างของพี่ชูที่เดินออกไปโดยไม่ขยับ เธอยกแก้วกาแฟที่เย็นแล้วขึ้นมาจิบ รสชาติขมกระจายไปทั่วหัวใจ

ดื่มยากงั้นเหรอ!? เธอวางแก้วกาแฟลง จากนี้ไปเธอได้เสียความอ่อนโยนของพี่ชูไปแล้ว แต่พี่ชูก็จะได้เป็นอิสระจากเรื่องนี้ด้วย

คนที่เดินผ่านไปมาที่หน้าต่างก็ยังเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง มีทั้งความสุข โกรธหรือกังวล ปล่อยให้เธอได้มองอย่างเพลิดเพลิน ทุกคนต่างก็มีเรื่องกังวลของตัวเอง แต่ก่อนเธอมองไม่เห็นได้ยังไง

เธอลุกขึ้นไปจ่ายตังค์โดยไม่สนใจสายตาชื่นชมของพนักงาน สิ่งที่คนอื่นเห็นคือหน้าตาที่สวยงามของเธอ พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าหัวใจที่อยู่ภายใต้ผิวที่ขาวนวลของเธอเป็นยังไง

มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาจากร้าน แสงอาทิตย์ด้านนอกยังร้อนแรง แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ เธอเดินออกมาจากปราสาทด้วยเท้าข้างเดียว เธอไม่จำเป็นต้องรอให้คนอื่นเข้ามาช่วย เธอทำได้ด้วยตัวเอง ใช่ไหม?!!

วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยสวมชุดนักศึกษาและพร้อมที่จะไปมหาลัย

พวกนักศึกษาตามถนนของมหาลัยยังมองและหัวเราะมาที่เธอ ตอนนี้เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เธอดีเกินไป เธอแค่บังเอิญเป็นหัวข้อบทสนทนา ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าภูมิใจเท่าไร ตรงกันข้ามเธอน่าจะรู้สึกผิด

เมื่อเธอมาถึงห้องเรียน เธอก็เห็นว่าทุกคนยืนล้อมรอบกันแน่นและบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา เธอประหลาดใจปกติในชั้นเรียนแทบจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เลย เธอเดินเข้ามาด้วยความสงสัยและก็ได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน

“ว่าว! สวยอะไรขนาดนี้” เด็กสาวคนหนึ่งร้องอุทานออกมา

“ฮ่าฮ่า นี่เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ของไชในประเทศซีเลยนะ เป็นของลิมิเตทด้วย!” เสียงที่คุ้นเคยทำให้มู่หรงเสวี่ยถึงกับต้องเดินเข้าไป

“เสี่ยวเฟ่ย มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าครอบครัวเธอจะรวยขนาดนี้ เหมือนเจ้าหญิงเลยอ่ะ น่าอิจฉาเธอจริงๆเลย” เด็กสาวอีกคนพูดโอ้อวด

“เสี่ยวเฟ่ย ไปเที่ยวด้วยกันไหม ฉันรู้สึกว่าตัวเองหลงรักเธอเข้าแล้ว…” เด็กหนุ่มพูด

“ไปเลย ไปเลย ไอ้ขี้แพ้ถ้านายยังอยากจะตามจีบ เสี่ยวเฟ่ยละก็ ไปเข้าแถวรอเลย…”

” ฮ่าฮ่า อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันขอโทษจริงๆ…” ถึงแม้ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยจะเขินแต่สีหน้าเธอก็ค่อนข้างภูมิใจอยู่เล็กๆ

“เสี่ยวเฟ่ยนี่สวยจริงๆเลย ฉันขอโทษนะที่ไอ้พวกผู้ชายตัวเหม็นนี่พยายามที่จะตามจีบเธอ…”
“…”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+