ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 305 สถาบันวิจัย

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 305 สถาบันวิจัย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 305
สถาบันวิจัย

“ในบ้านมีของอะไรสำคัญหรือเปล่า จะเป็นอะไรไหมถ้าให้เขาอยู่ที่นั่น?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ไม่หรอก ข้าไม่เอาของสำคัญเก็บไว้ที่นั่นหรอก ไปดูเครื่องมือของเรากันเถอะ” หลินหยางพูด

หลินหยางพามู่หรงเสวี่ยไปที่ด้านหลังภูเขา รอบๆด้านหลังของภูเขามีอาวุธกองอยู่มากมาย มีเหล่าองครักษ์เดินตรวจตราไปมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะมีองครักษ์อยู่มากกว่าที่บ้านของผู้ปกครองของเมืองด้วยซ้ำ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ภูเขาที่เปิดโล่ง รอบๆตัวเธอไม่มีอะไรเลยแม้แต่ต้นไม้ก็ยังไม่มี “เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม? ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“ตามข้ามาเถอะ ระวังด้วย แล้วเดินตามข้ามา มันอาจจะมีทุ่นระเบิดก็ได้” หลินหยางพูด

“เจ้าเคยขุดทุ่นระเบิดออกบ้างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามในระหว่างที่เดินตามรอยเท้าเขาทุกก้าว

ทุ่นระเบิดเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ราคาค่อนข้างถูก ทุ่นระเบิดที่เก่าแก่ที่สุดมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ทุ่นระเบิดต่อต้านทหารราบ – พัฒนาโดยรัสเซียประมาณปี 1903 นี่คือการผลิตทุ่นระเบิดมาตรฐานที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีการใช้งานครั้งแรกในสงครามรัสเซียญี่ปุ่นและผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ

ทุ่นระเบิดต่อต้านรถถังได้รับการพัฒนาโดยชาวเยอรมันในปี 1918 ทุ่นระเบิดต่อต้านทหารราบถูกคิดค้นโดยชาวเยอรมันเมื่อราวปี 1938 ระบบการวางทุ่นระเบิดได้รับการพัฒนาโดยสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในปี 1970 ตอนนี้อนุสัญญาระหว่างประเทศได้สั่งห้ามการใช้ทุ่นระเบิดโดยสิ้นเชิง

“จะแปลกใจเรื่องอะไรกัน? สมัยต้นราชวงศ์หมิงก็มีทุ่นระเบิดจริงพร้อมอุปกรณ์จุดระเบิดเชิงกลแล้ว อีกอย่างนะทุ่นระเบิดก็ไม่ได้ทำยากอะไรด้วย ตอนนี้ข้าก็เอาพวกมันมาใช้แค่ที่นี่เท่านั้นแหละ เพราะยุคนี้ไม่มีรถถัง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้งานในปริมาณมากด้วย ไม่งั้นมันคงจะเป็นแย่แน่ๆถ้าทำให้เหล่าประชาชนต้องบาดเจ็บ” หลินหยางพูด

หลังจากที่เดินมานาน หลินหยางก็ยืนอยู่เบื้องหน้าก้อนหินใหญ่ เขาใช้มือกดลงไป ทันใดนั้นทางเดินก็เปิดออกที่พื้นเบื้องหน้าเขาพร้อมด้วยบันได

“ลงมากับข้าสิ” หลินหยางโบกมือเรียกมู่หรงเสวี่ย

เบื้องล่างบันไดเป็นอุโมงค์ที่ยาวมาก อุโมงค์ดูสะอาดสะอ้านดีแต่มันถูกปูด้วยซีเมนท์ ทั้งสองฝั่งของอุโมงค์มีแสงไฟและมีคนประจำอยู่ในทุกช่วงระยะ

“เจ้าสร้างคลั่งอาวุธไว้ใต้ดินงั้นเหรอ? แล้วมันระบายอากาศยังไงล่ะ?” มันควรจะถูกสร้างอยู่ในระดับเดียวกับพื้นดินเพราะออกซิเจนที่ไม่เพียงพอและเป็นเรื่องยากที่จะหายใจด้วย อย่างไรก็ตามเธอสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆที่พัดผ่านมา งั้นก็พูดได้ว่าที่นี่มีช่องอากาศ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ยังไงซะข้าก็ทำได้แล้วกัน” หลินหยางพูด

“งั้นข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งสามดินแดนถึงไม่สามารถที่จะหาคลั่งอาวุธทางการทหารของเจ้าเจอได้เลย ทั้งๆที่อุตส่าห์ส่งสายลับที่เก่งๆมาตั้งมากมาย” มู่หรงพูด

“ไม่งั้นจะเรียกว่าสมองของคนสมัยใหม่ได้ยังไงล่ะ? ถ้าพวกเราโง่เหมือนเจ้ากันหมดก็คงจะทำไม่ได้หรอกจริงไหม?” หลินหยางพูด

มู่หรงเสวี่ยหันกลับมามองอย่างพูดอะไรไม่ออก นี่จะบอกว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดเพราะความโง่ของเธอสินะ ใครจะไปคิดล่ะว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ถ้าเธอรู้ เธอก็คงจะไม่มีวันทำลงไปหรอกน่า

“ต้องเดินอีกไกลแค่ไหนเนี่ย?”

“ถึงแล้วล่ะ!” หลินหยางพูด
มู่หรงเห็นเขาเปิดประตูซึ่งราวกับเป็นคนละโลกไปเลยในทันที ข้างในมีคนทุกประเภทเดินกันไปมา ง่วนอยู่กับแม่พิมพ์ที่ทันสมัยกันอย่างจริงจัง

เธออดไม่ได้ที่จ้องไปที่พวกเขา คลั่งอาวุธใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก นอกจากนี้มันดูเหมือนว่าตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ของการทดลอง “แล้วแผนกการผลิตล่ะ?” นี่เป็นแค่สถาบันวิจัยงั้นเหรอ?”

“แผนกการผลิตไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก เจ้าแค่ต้องดูผลห้องวิจัย ห้องวิจัยมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้สมมติฐานและข้อมูลเสร็จสมบูรณ์และจากนั้นคนในแผนกการผลิตจะดำเนินการผลิตออกมาในจำนวนมากๆตามข้อมูลในสถาบันวิจัย” หลินหยางอธิบายเสียงเรียบ

“นี่เป็นรถจักรไอน้ำใช่ไหม?” ทันใดนั้นมู่หรงก็เห็นกลุ่มของเครื่องจักรและถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“เราจะใช้กำลังคนในการผลิตทั้งหมดไม่ได้หรอกและการผลิตเครื่องจักรจำนวนมากเป็นหัวใจเลย ข้ามีความเข้าใจทั่วไปในด้านนี้เท่านั้นดังนั้นเครื่องจักรไอน้ำนี้จึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ก็พอที่จะใช้งานได้ทั่วไป…”

ในระหว่างที่ฟังหลินหยางอธิบาย มู่หรงเสวี่ยก็เดินเข้าไปข้างในและตรวจโปรเจคงานวิจัยทั้งหมดที่อยู่ด้านใน รวมทั้งอาวุธล้อมและปืนใหญ่ที่สร้างโดยจิน ไห่เว่ย

หลังจากที่เฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาสองชั่วโมง มู่หรงเสวี่ยก็จบการเดินชม

“เร็วกว่าที่ข้าคิดนะ” มู่หรงพูด

“ต้องขอบคุณตัวตนของข้าก่อนหน้านี้แต่เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ได้ยังไงกัน? เจ้าเป็นนักธุรกิจไม่ใช่เหรอ?” หลินหยางถาม

“ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะขาวสะอาด ข้าก็ด้วย โอเคไหม ข้าอาจจะสามารถช่วยเรื่องข้อมูลส่วนที่เหลือได้ ข้ายังไม่อยากที่จะกลับไปที่บ้านของเจ้าในตอนนี้ ส่วนเรื่องเพื่อนของข้าคงต้องรบกวนเจ้าด้วยและจะต้องหาเขาให้เจอ…” มู่หรงเสวี่ยพูด
“ไม่ต้องห่วงหรอก!”

หลินหยางแนะนำมู่หรงเสวี่ยให้เหล่านักวิจัยที่อยู่ในห้องวิจัยรู้จักทีละคนๆ แล้วจึงเดินกลับไปในเส้นทางเดิม เขาไม่มีเวลาที่จะมาเสียอยู่ที่นี่

มู่หรงเสวี่ยยังเด็ก และเธอก็เป็นผู้หญิง แม้ว่าหลินหยางจะสนับสนุนความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิง แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้หญิงในยุคหลังนี้ พวกเขายังคงรู้สึกว่าผู้หญิงควรอยู่บ้านกับสามีและลูกๆ

ห้องวิจัยทั้งหมดก็สอดคล้องกับปรากฏการณ์ของยุคนี้เช่นกัน คือมีแต่ผู้ชายทั้งหมด มีเพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่เป็นผู้หญิง

ตอนที่หลินหยางยังอยู่เมื่อกี้ ทุกคนต่างก็กล่าวทักทายกับเขาเพราะเห็นแก่หน้าของหลินหยาง แต่เมื่อหลินหยางออกไปแล้ว ทุกคนต่างก็หันกลับไปและยุ่งอยู่กับงานของตัวเองตรงหน้า พวกเขาลืมไปสนิทเรื่องที่หลินหยางบอกว่าพวกเขาสามารถที่จะสอบถามกับมู่หรงเสวี่ยได้
ปากของมู่หรงเผยรอยยิ้มแสยะ เธอเข้าใจเจตนาของทุกคนเป็นอย่างดี นี่คือการใช้ความเงียบเพื่อแยกตัวออกจากเธอ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งทางเพศ เธอจะต้องรีบช่วยเรื่องการพัฒนาอาวุธที่จะสามารถระเบิดได้อย่างเร็วที่สุด

มู่หรงไม่ได้เดินเข้าไปคุยกับพวกเขาอย่างจงใจแต่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เพื่อดูความคืบหน้าและความสำเร็จของการวิจัยของพวกเขา

ชายหนุ่มเห็นมู่หรงเสวี่ยที่กำลังยืนอยู่ข้างๆและอดไม่ได้ที่จะมองด้วยสายตาดูถูกแล้วจึงพูดออกมาอย่างหยาบคาย “หลีกไปให้พ้นทางข้าเลย เจ้ากำลังเกะกะข้าอยู่นะ”

นักวิจัยประเภทนี้ส่วนใหญ่ในหัวจะคิดแต่เรื่องข้อมูลเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องความสวยของมู่หรงเสวี่ย สำหรับนักวิจัยอย่างพวกเขา มันเหมือนเป็นการดูถูกกันถ้าปล่อยให้ผู้หญิงมานำ

มู่หรงไม่สนใจเพียงแค่หลีกเปิดทางให้เล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินออกไป มู่หรงเสวี่ยก็เริ่มที่จะมองไปที่กังหันไอน้ำที่อยู่เบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่าหลินหยางไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องจักรไอน้ำมากเท่าไร ไม่งั้นเขาคงไม่ปล่อยให้พนักงานสร้างเครื่องจักรไอน้ำแบบนี้หรอก

รูปแบบของเครื่องทำไอน้ำนี้คือเครื่องกำเนิดไอน้ำแบบสุญญากาศดั้งเดิม เครื่องจักรไอน้ำแบบนี้ไม่ตอบสนองกับการผลิตจำนวนมากอย่างที่หลินหยางต้องการเลย มู่หรงส่ายหัวเล็กน้อยและเฝ้าคิดถึงเครื่องจักรและงานฝีมือที่ทันสมัยอยู่ในใจ

ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมา เมื่อเห็นว่ามู่หรงกำลังส่ายหัว เขาก็พูดออกมา “เจ้าเข้าใจเรื่องเครื่องจักรนี่ด้วยงั้นเหรอ?! ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าแกล้งทำเป็นเข้าใจ ออกไปให้พ้นทางเลย อย่ามาทำให้คนอื่นเขาเสียเวลา”

มู่หรงไม่ได้ปล่อยผ่านเรื่องนี้แต่เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเริ่มลงมือต่อ เธอมองไปที่ชิ้นส่วนของเครื่องจักรไอน้ำสุญญากาศ เธอจำได้ว่านี่คือเครื่องจักรไอน้ำสุญญากาศยุคแรกสุด ถึงแม้มันจะปลอดภัยอย่างมากแต่ความดันค่อนข้างต่ำและประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานการผลิตของโรงงาน

เมื่อผ่านไปสักพักเขาก็ไม่กล้าที่จะมองเธออีก อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นว่าเขาถูกผู้หญิงเมินใส่ เขาก็เกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและยื่นมือออกไปผลักมู่หรงเสวี่ยออกไป

และมู่หรงที่มัวแต่สนใจอยู่กับเครื่องจักรตรงหน้าจึงไม่ได้สังเกตท่าทางของชายหนุ่มและจู่ๆก็ร่วงลงไปกองกับพื้น

เนื่องจากไม่ได้ตั้งรับไว้ หัวของมู่หรงจึงกระแทกไปกับโต๊ะเสียงดัง “โปก” ความรู้สึกเจ็บแล่นขึ้นมาทันที มู่หรงเอามือกุมไว้ที่หัว เธอรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลลงมาจากด้านบนของหัวเธอ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเวียนหัวและสายตาเธอก็เย็นชา “เจ้า…”

เมื่อชาวยหนุ่มได้เห็นเลือดก็รู้สึกตื่นเต้นไปชั่วขณะ “ใคร…ใครใช้ให้เจ้าขวางทางล่ะ…” เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเธอ

มู่หรงเริ่มรู้สึกตาพร่ามากขึ้นเรื่อยๆ และสติเริ่มที่จะรางเลือน เธอกัดริมฝีปากพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แจ้งหลินหยาง เร็วเข้าสิ”

หลังจากที่พูดจบ เธอก็ทนต่อไม่ไหวแล้วและสลบไป

ถึงแม้ผู้คนที่อยู่ในห้องวิจัยจะชอบดูถูกผู้หญิงแต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจไม้ไส้ระกําอะไร อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็สนิทกับผู้ปกครองของดินแดนอย่างมากด้วยและเธอก็กล้าหาญพอด้วย

ยิ่งช้าเท่าไร มู่หรงเสวี่ยก็ยิ่งเสียเลือดมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ปกติผู้ปกครองของดินแดนจะเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายแต่เขาเองก็เป็นคนที่ไร้ความปรานีกับศัตรูด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รีบไปเรียกองครักษ์ทันทีและพวกเขาก็ช่วยกันพามู่หรงออกไปทันที

“เกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

หลินหยางเรียกให้หมอมารักษาบาดแผลที่หัวของ มู่หรงเสวี่ยแล้วหันไปถามพวกองครักษ์ที่พามู่หรงเสวี่ยมาส่ง

“ได้โปรดลงโทษพวกเราด้วยครับท่าน!” ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงกับพื้นและพูดออกมาทันที

“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรด้วย?” หลินหยางตบไปที่โต๊ะ

“ข้าเป็นคนที่ผลักคุณมู่หรงเอง” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา

หลินหยางมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่เขาพาตัวมาเอง ตอนแรกเขามีแผงขายของอยู่ที่ตลาดและที่แผงก็เต็มไปด้วยเครื่องมือต่างๆที่เขาเป็นคนทำขึ้นมาเอง เพราะทั้งหมดต่างก็เป็นข้าวของแปลกๆ เดิมทีเขาไม่ได้สังเกตเขา

ในวันนั้นเขาบังเอิญออกไปที่ตลาดเพื่อตรวจตราสถานการณ์ แน่นอนว่าเขาปลอมตัวออกมา เขาบังเอิญได้เจอกับพวกนักเลงที่กำลังทำลายแผงของเขาอยู่ มีคนหนึ่งกลิ้งลงมาแทบเท้าเขา เขาหยิบเครื่องยิงจรวดขนาดเล็กขึ้นมาและพบว่ามีความตึงถึง 300 ครั้ง เขารู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีจึงช่วยจ่ายเงินที่เขาเป็นหนี้ไว้ก่อนหน้านี้ให้

เขาชื่อเฉินสุ่ย ครอบครัวของเขาเป็นช่างยนต์มาหลายชั่วอายุคน อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของเขาตกต่ำลงด้วยเหตุผลหลายประการ ตอนที่เขาไปแนะนำตัวกับทั้งสามดินแดน แต่กลับโดนดูถูกกลับมา เขารำลึกถึงบุญคุณของหลินหยางมาตั้งแต่ต้นและพยายามที่จะทำอย่างสุดฝีมือเพื่อที่จะช่วยหลินหยางและไอเดียที่หลากหลายของหลินหยางทำให้เขามองเป็นแบบอย่าง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 305 สถาบันวิจัย

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 305 สถาบันวิจัย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 305
สถาบันวิจัย

“ในบ้านมีของอะไรสำคัญหรือเปล่า จะเป็นอะไรไหมถ้าให้เขาอยู่ที่นั่น?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ไม่หรอก ข้าไม่เอาของสำคัญเก็บไว้ที่นั่นหรอก ไปดูเครื่องมือของเรากันเถอะ” หลินหยางพูด

หลินหยางพามู่หรงเสวี่ยไปที่ด้านหลังภูเขา รอบๆด้านหลังของภูเขามีอาวุธกองอยู่มากมาย มีเหล่าองครักษ์เดินตรวจตราไปมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะมีองครักษ์อยู่มากกว่าที่บ้านของผู้ปกครองของเมืองด้วยซ้ำ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ภูเขาที่เปิดโล่ง รอบๆตัวเธอไม่มีอะไรเลยแม้แต่ต้นไม้ก็ยังไม่มี “เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม? ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“ตามข้ามาเถอะ ระวังด้วย แล้วเดินตามข้ามา มันอาจจะมีทุ่นระเบิดก็ได้” หลินหยางพูด

“เจ้าเคยขุดทุ่นระเบิดออกบ้างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามในระหว่างที่เดินตามรอยเท้าเขาทุกก้าว

ทุ่นระเบิดเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ราคาค่อนข้างถูก ทุ่นระเบิดที่เก่าแก่ที่สุดมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ทุ่นระเบิดต่อต้านทหารราบ – พัฒนาโดยรัสเซียประมาณปี 1903 นี่คือการผลิตทุ่นระเบิดมาตรฐานที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีการใช้งานครั้งแรกในสงครามรัสเซียญี่ปุ่นและผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ

ทุ่นระเบิดต่อต้านรถถังได้รับการพัฒนาโดยชาวเยอรมันในปี 1918 ทุ่นระเบิดต่อต้านทหารราบถูกคิดค้นโดยชาวเยอรมันเมื่อราวปี 1938 ระบบการวางทุ่นระเบิดได้รับการพัฒนาโดยสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในปี 1970 ตอนนี้อนุสัญญาระหว่างประเทศได้สั่งห้ามการใช้ทุ่นระเบิดโดยสิ้นเชิง

“จะแปลกใจเรื่องอะไรกัน? สมัยต้นราชวงศ์หมิงก็มีทุ่นระเบิดจริงพร้อมอุปกรณ์จุดระเบิดเชิงกลแล้ว อีกอย่างนะทุ่นระเบิดก็ไม่ได้ทำยากอะไรด้วย ตอนนี้ข้าก็เอาพวกมันมาใช้แค่ที่นี่เท่านั้นแหละ เพราะยุคนี้ไม่มีรถถัง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้งานในปริมาณมากด้วย ไม่งั้นมันคงจะเป็นแย่แน่ๆถ้าทำให้เหล่าประชาชนต้องบาดเจ็บ” หลินหยางพูด

หลังจากที่เดินมานาน หลินหยางก็ยืนอยู่เบื้องหน้าก้อนหินใหญ่ เขาใช้มือกดลงไป ทันใดนั้นทางเดินก็เปิดออกที่พื้นเบื้องหน้าเขาพร้อมด้วยบันได

“ลงมากับข้าสิ” หลินหยางโบกมือเรียกมู่หรงเสวี่ย

เบื้องล่างบันไดเป็นอุโมงค์ที่ยาวมาก อุโมงค์ดูสะอาดสะอ้านดีแต่มันถูกปูด้วยซีเมนท์ ทั้งสองฝั่งของอุโมงค์มีแสงไฟและมีคนประจำอยู่ในทุกช่วงระยะ

“เจ้าสร้างคลั่งอาวุธไว้ใต้ดินงั้นเหรอ? แล้วมันระบายอากาศยังไงล่ะ?” มันควรจะถูกสร้างอยู่ในระดับเดียวกับพื้นดินเพราะออกซิเจนที่ไม่เพียงพอและเป็นเรื่องยากที่จะหายใจด้วย อย่างไรก็ตามเธอสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆที่พัดผ่านมา งั้นก็พูดได้ว่าที่นี่มีช่องอากาศ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ยังไงซะข้าก็ทำได้แล้วกัน” หลินหยางพูด

“งั้นข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งสามดินแดนถึงไม่สามารถที่จะหาคลั่งอาวุธทางการทหารของเจ้าเจอได้เลย ทั้งๆที่อุตส่าห์ส่งสายลับที่เก่งๆมาตั้งมากมาย” มู่หรงพูด

“ไม่งั้นจะเรียกว่าสมองของคนสมัยใหม่ได้ยังไงล่ะ? ถ้าพวกเราโง่เหมือนเจ้ากันหมดก็คงจะทำไม่ได้หรอกจริงไหม?” หลินหยางพูด

มู่หรงเสวี่ยหันกลับมามองอย่างพูดอะไรไม่ออก นี่จะบอกว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดเพราะความโง่ของเธอสินะ ใครจะไปคิดล่ะว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ถ้าเธอรู้ เธอก็คงจะไม่มีวันทำลงไปหรอกน่า

“ต้องเดินอีกไกลแค่ไหนเนี่ย?”

“ถึงแล้วล่ะ!” หลินหยางพูด
มู่หรงเห็นเขาเปิดประตูซึ่งราวกับเป็นคนละโลกไปเลยในทันที ข้างในมีคนทุกประเภทเดินกันไปมา ง่วนอยู่กับแม่พิมพ์ที่ทันสมัยกันอย่างจริงจัง

เธออดไม่ได้ที่จ้องไปที่พวกเขา คลั่งอาวุธใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก นอกจากนี้มันดูเหมือนว่าตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ของการทดลอง “แล้วแผนกการผลิตล่ะ?” นี่เป็นแค่สถาบันวิจัยงั้นเหรอ?”

“แผนกการผลิตไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก เจ้าแค่ต้องดูผลห้องวิจัย ห้องวิจัยมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้สมมติฐานและข้อมูลเสร็จสมบูรณ์และจากนั้นคนในแผนกการผลิตจะดำเนินการผลิตออกมาในจำนวนมากๆตามข้อมูลในสถาบันวิจัย” หลินหยางอธิบายเสียงเรียบ

“นี่เป็นรถจักรไอน้ำใช่ไหม?” ทันใดนั้นมู่หรงก็เห็นกลุ่มของเครื่องจักรและถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“เราจะใช้กำลังคนในการผลิตทั้งหมดไม่ได้หรอกและการผลิตเครื่องจักรจำนวนมากเป็นหัวใจเลย ข้ามีความเข้าใจทั่วไปในด้านนี้เท่านั้นดังนั้นเครื่องจักรไอน้ำนี้จึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ก็พอที่จะใช้งานได้ทั่วไป…”

ในระหว่างที่ฟังหลินหยางอธิบาย มู่หรงเสวี่ยก็เดินเข้าไปข้างในและตรวจโปรเจคงานวิจัยทั้งหมดที่อยู่ด้านใน รวมทั้งอาวุธล้อมและปืนใหญ่ที่สร้างโดยจิน ไห่เว่ย

หลังจากที่เฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาสองชั่วโมง มู่หรงเสวี่ยก็จบการเดินชม

“เร็วกว่าที่ข้าคิดนะ” มู่หรงพูด

“ต้องขอบคุณตัวตนของข้าก่อนหน้านี้แต่เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ได้ยังไงกัน? เจ้าเป็นนักธุรกิจไม่ใช่เหรอ?” หลินหยางถาม

“ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะขาวสะอาด ข้าก็ด้วย โอเคไหม ข้าอาจจะสามารถช่วยเรื่องข้อมูลส่วนที่เหลือได้ ข้ายังไม่อยากที่จะกลับไปที่บ้านของเจ้าในตอนนี้ ส่วนเรื่องเพื่อนของข้าคงต้องรบกวนเจ้าด้วยและจะต้องหาเขาให้เจอ…” มู่หรงเสวี่ยพูด
“ไม่ต้องห่วงหรอก!”

หลินหยางแนะนำมู่หรงเสวี่ยให้เหล่านักวิจัยที่อยู่ในห้องวิจัยรู้จักทีละคนๆ แล้วจึงเดินกลับไปในเส้นทางเดิม เขาไม่มีเวลาที่จะมาเสียอยู่ที่นี่

มู่หรงเสวี่ยยังเด็ก และเธอก็เป็นผู้หญิง แม้ว่าหลินหยางจะสนับสนุนความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิง แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้หญิงในยุคหลังนี้ พวกเขายังคงรู้สึกว่าผู้หญิงควรอยู่บ้านกับสามีและลูกๆ

ห้องวิจัยทั้งหมดก็สอดคล้องกับปรากฏการณ์ของยุคนี้เช่นกัน คือมีแต่ผู้ชายทั้งหมด มีเพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่เป็นผู้หญิง

ตอนที่หลินหยางยังอยู่เมื่อกี้ ทุกคนต่างก็กล่าวทักทายกับเขาเพราะเห็นแก่หน้าของหลินหยาง แต่เมื่อหลินหยางออกไปแล้ว ทุกคนต่างก็หันกลับไปและยุ่งอยู่กับงานของตัวเองตรงหน้า พวกเขาลืมไปสนิทเรื่องที่หลินหยางบอกว่าพวกเขาสามารถที่จะสอบถามกับมู่หรงเสวี่ยได้
ปากของมู่หรงเผยรอยยิ้มแสยะ เธอเข้าใจเจตนาของทุกคนเป็นอย่างดี นี่คือการใช้ความเงียบเพื่อแยกตัวออกจากเธอ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งทางเพศ เธอจะต้องรีบช่วยเรื่องการพัฒนาอาวุธที่จะสามารถระเบิดได้อย่างเร็วที่สุด

มู่หรงไม่ได้เดินเข้าไปคุยกับพวกเขาอย่างจงใจแต่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เพื่อดูความคืบหน้าและความสำเร็จของการวิจัยของพวกเขา

ชายหนุ่มเห็นมู่หรงเสวี่ยที่กำลังยืนอยู่ข้างๆและอดไม่ได้ที่จะมองด้วยสายตาดูถูกแล้วจึงพูดออกมาอย่างหยาบคาย “หลีกไปให้พ้นทางข้าเลย เจ้ากำลังเกะกะข้าอยู่นะ”

นักวิจัยประเภทนี้ส่วนใหญ่ในหัวจะคิดแต่เรื่องข้อมูลเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องความสวยของมู่หรงเสวี่ย สำหรับนักวิจัยอย่างพวกเขา มันเหมือนเป็นการดูถูกกันถ้าปล่อยให้ผู้หญิงมานำ

มู่หรงไม่สนใจเพียงแค่หลีกเปิดทางให้เล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินออกไป มู่หรงเสวี่ยก็เริ่มที่จะมองไปที่กังหันไอน้ำที่อยู่เบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่าหลินหยางไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องจักรไอน้ำมากเท่าไร ไม่งั้นเขาคงไม่ปล่อยให้พนักงานสร้างเครื่องจักรไอน้ำแบบนี้หรอก

รูปแบบของเครื่องทำไอน้ำนี้คือเครื่องกำเนิดไอน้ำแบบสุญญากาศดั้งเดิม เครื่องจักรไอน้ำแบบนี้ไม่ตอบสนองกับการผลิตจำนวนมากอย่างที่หลินหยางต้องการเลย มู่หรงส่ายหัวเล็กน้อยและเฝ้าคิดถึงเครื่องจักรและงานฝีมือที่ทันสมัยอยู่ในใจ

ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมา เมื่อเห็นว่ามู่หรงกำลังส่ายหัว เขาก็พูดออกมา “เจ้าเข้าใจเรื่องเครื่องจักรนี่ด้วยงั้นเหรอ?! ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าแกล้งทำเป็นเข้าใจ ออกไปให้พ้นทางเลย อย่ามาทำให้คนอื่นเขาเสียเวลา”

มู่หรงไม่ได้ปล่อยผ่านเรื่องนี้แต่เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเริ่มลงมือต่อ เธอมองไปที่ชิ้นส่วนของเครื่องจักรไอน้ำสุญญากาศ เธอจำได้ว่านี่คือเครื่องจักรไอน้ำสุญญากาศยุคแรกสุด ถึงแม้มันจะปลอดภัยอย่างมากแต่ความดันค่อนข้างต่ำและประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานการผลิตของโรงงาน

เมื่อผ่านไปสักพักเขาก็ไม่กล้าที่จะมองเธออีก อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นว่าเขาถูกผู้หญิงเมินใส่ เขาก็เกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและยื่นมือออกไปผลักมู่หรงเสวี่ยออกไป

และมู่หรงที่มัวแต่สนใจอยู่กับเครื่องจักรตรงหน้าจึงไม่ได้สังเกตท่าทางของชายหนุ่มและจู่ๆก็ร่วงลงไปกองกับพื้น

เนื่องจากไม่ได้ตั้งรับไว้ หัวของมู่หรงจึงกระแทกไปกับโต๊ะเสียงดัง “โปก” ความรู้สึกเจ็บแล่นขึ้นมาทันที มู่หรงเอามือกุมไว้ที่หัว เธอรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลลงมาจากด้านบนของหัวเธอ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเวียนหัวและสายตาเธอก็เย็นชา “เจ้า…”

เมื่อชาวยหนุ่มได้เห็นเลือดก็รู้สึกตื่นเต้นไปชั่วขณะ “ใคร…ใครใช้ให้เจ้าขวางทางล่ะ…” เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเธอ

มู่หรงเริ่มรู้สึกตาพร่ามากขึ้นเรื่อยๆ และสติเริ่มที่จะรางเลือน เธอกัดริมฝีปากพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แจ้งหลินหยาง เร็วเข้าสิ”

หลังจากที่พูดจบ เธอก็ทนต่อไม่ไหวแล้วและสลบไป

ถึงแม้ผู้คนที่อยู่ในห้องวิจัยจะชอบดูถูกผู้หญิงแต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจไม้ไส้ระกําอะไร อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็สนิทกับผู้ปกครองของดินแดนอย่างมากด้วยและเธอก็กล้าหาญพอด้วย

ยิ่งช้าเท่าไร มู่หรงเสวี่ยก็ยิ่งเสียเลือดมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ปกติผู้ปกครองของดินแดนจะเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายแต่เขาเองก็เป็นคนที่ไร้ความปรานีกับศัตรูด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รีบไปเรียกองครักษ์ทันทีและพวกเขาก็ช่วยกันพามู่หรงออกไปทันที

“เกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

หลินหยางเรียกให้หมอมารักษาบาดแผลที่หัวของ มู่หรงเสวี่ยแล้วหันไปถามพวกองครักษ์ที่พามู่หรงเสวี่ยมาส่ง

“ได้โปรดลงโทษพวกเราด้วยครับท่าน!” ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงกับพื้นและพูดออกมาทันที

“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรด้วย?” หลินหยางตบไปที่โต๊ะ

“ข้าเป็นคนที่ผลักคุณมู่หรงเอง” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา

หลินหยางมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่เขาพาตัวมาเอง ตอนแรกเขามีแผงขายของอยู่ที่ตลาดและที่แผงก็เต็มไปด้วยเครื่องมือต่างๆที่เขาเป็นคนทำขึ้นมาเอง เพราะทั้งหมดต่างก็เป็นข้าวของแปลกๆ เดิมทีเขาไม่ได้สังเกตเขา

ในวันนั้นเขาบังเอิญออกไปที่ตลาดเพื่อตรวจตราสถานการณ์ แน่นอนว่าเขาปลอมตัวออกมา เขาบังเอิญได้เจอกับพวกนักเลงที่กำลังทำลายแผงของเขาอยู่ มีคนหนึ่งกลิ้งลงมาแทบเท้าเขา เขาหยิบเครื่องยิงจรวดขนาดเล็กขึ้นมาและพบว่ามีความตึงถึง 300 ครั้ง เขารู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีจึงช่วยจ่ายเงินที่เขาเป็นหนี้ไว้ก่อนหน้านี้ให้

เขาชื่อเฉินสุ่ย ครอบครัวของเขาเป็นช่างยนต์มาหลายชั่วอายุคน อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของเขาตกต่ำลงด้วยเหตุผลหลายประการ ตอนที่เขาไปแนะนำตัวกับทั้งสามดินแดน แต่กลับโดนดูถูกกลับมา เขารำลึกถึงบุญคุณของหลินหยางมาตั้งแต่ต้นและพยายามที่จะทำอย่างสุดฝีมือเพื่อที่จะช่วยหลินหยางและไอเดียที่หลากหลายของหลินหยางทำให้เขามองเป็นแบบอย่าง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+