ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 262 รูปงามยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก!

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 262 รูปงามยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 262 รูปงามยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก!

“มู่เทียน…” เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรงั้นเหรอ?! ทำไมทำท่าแบบนั้นล่ะ?”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อเล็กน้อยและรีบหันหัวไปทางอื่นทันที “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

ทั้งสองเดินออกมาจากฝูงชน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้จึงไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายอีก เธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงงามที่ไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไรติดตัว ยังไงซะสมบัติล้ำค่าก็สามารถที่จะช่วยให้ผู้คนไต่ขึ้นไปในฐานะที่สูงขึ้นได้

“อ่า! ข้ารู้สึกว่าเจ้ามองข้าแปลกๆจริงๆนะ ทำไมงั้นเหรอ?!!” มู่หรงเสวี่ยวิ่งตรงเข้าไปหาเฟิงจือหลิง

เมื่อฟางจือหลิงมองไปที่ใบหน้าทรงเสน่ห์ของเธอ เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าทันที

ท้องฟ้ามันมีอะไรถึงได้น่ามองขนาดนั้น มู่หรงเสวี่ยเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้วย “นอกจากท้องฟ้าสีฟ้ากับก้อนเมฆสีขาวก็ไม่เห็นจะมีอะไรแล้วนะ”

ไม่สำคัญหรอก! เฟิงจือหลิงยังคงมองท้องฟ้าต่อไปเรื่อยๆและทำราวกับว่ามู่เทียนเป็นสิ่งโปร่งแสง

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก มือของเธอยื่นไปจับหน้าเขาและบังคับให้มองหน้ากันและกัน ดวงตาที่กลมโตและดวงตาที่หลี่เล็กผสานกัน

“หน้าเจ้าร้อนมากเลยนะ” มู่หรงเสวี่ยปล่อยมือและร้องอุทานออกมา

แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าใบหน้าของเฟิงจื่อหลิงแดงระเรื่อ ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเพราะอะไร เธอนั่งยองๆลงไปและหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!! ตลกจริงๆเลย เจ้าเขินงั้นเหรอ”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนจากแดงระเรื่อเป็นเข้มขึ้นมาทันทีและสุดท้ายก็กลับมามีท่าทางเย็นชาได้อีกครั้ง “ตลกมากงั้นเหรอ?!!”

ทำไมถึงเย็นชาจัง!!!

รอยยิ้มของมู่หรงเสวี่ยสะดุดแล้วเธอก็หุบปาก “การหัวเราะมันไม่ดีตรงไหนงั้นเหรอ…” แล้วเธอก็ทำสายตาล้อเลียน

เฟิงจือหลิงเหล่ตามองและอยากที่จะฆ่ามู่เทียนจริงๆ อย่างไรก็ตามเมื่อในตอนนี้เขาแต่งตัวเป็นผู้หญิง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิง แต่ก็รู้สึกว่าทำร้ายไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายหลังจากที่พยายามห้ามใจอยู่หลายครั้ง เขาก็อดกลั้นไว้และสุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าใครที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้กัน

“โอ้ อย่าเพิ่งไปสิ!” มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งตามไป

“เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เจ้าจะหน้าแดงเวลาที่เจอผู้หญิงได้ยังไง…”

“ในฐานะน้องชาย ข้าจะทำให้เจ้าดูนะ นี่ มองทางนี้สิ!!! ถ้าเจ้าทำหน้าแบบนี้พวกผู้หญิงก็จะรังแกเจ้านะ จริงๆนะฟังข้าก่อนสิ…”

มู่หรงเสวี่ยพูดในระหว่างที่เดินไปด้วย โดยไม่สนใจก้าวที่เร็วขึ้นๆหรือสีหน้าที่เข้มขึ้นของเฟิงจือหลิงเลย

ถ้ามีน้องชายแบบนี้ เขาก็อยากที่จะตายจริงๆ เมื่อเฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจ เขาก็จะทำเป็นไม่สนใจ เขาคิดว่าตัวเองคงจะสามารถที่จะทำใจให้แข็งได้ สีหน้าจึงเคร่งขรึม

“อะไร! ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า…”

เฟิงจือหลิงสะบัดมือของเธอออกอย่างเหลืออดและเดินต่อไป

มู่หรงเสวี่ยเดินตามต่อไปเรื่อยๆ

คนหนึ่งพยายามที่จะอดทน ส่วนอีกคนก็ไม่ยอมลดละ ตลอดทางมีแต่เรื่องสนุก จนกระทั่งออกมานอกเขตแดน จำนวนของผู้ที่ค้นหาก็เพิ่มขึ้นมาก

ตระกูลเฟิงเองก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าแห่งความตาย พวกเขารู้ว่านายน้อยของตระกูลถูกโจมตีในป่าแห่งความตายและก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงด้วย ดังนั้นตระกูลแเฟิงจึงส่งคนมากมายออกมาค้นหาข่าวคราวทั่วป่าแห่งความตาย ตรงกันข้ามถ้ามีใครแตะต้องเฟิงจือหลิงแม้แต่ปลายผม และคนพวกนั้นก็จะกลายเป็นศัตรูของตระกูลเฟิง ตระกูลเฟิงจะตามเก็บหนี้ทุกคน

ในระหว่างทาง เฟิงจือหลิงไม่ได้ติดต่อสมาชิกของตระกูลเฟิงเพราะไม่อยากที่จะดึงดูดความสนใจจากทุกคน ในตอนนี้มันคงจะดีกว่าถ้าได้ออกไปจากป่าแห่งความตายโดยเร็วที่สุด

หลังจากเข้ามาถึงเมือง แม้ว่าพวกเขาจะได้รับชีวิตใหม่แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำ ในป่าแห่งความตายมันแตกต่างออกไป เดาว่าแม้ตระกูลเฟิงจะปล่อยข่าวแบบนั้นออกไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะเข้าร่วม ยังไงซะในป่าแห่งความตายก็ไม่มีอาจารย์คอยสอน

หลังจากผ่านมาไม่กี่วัน ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจากรอบนอกของป่าแห่งความตายได้ เพื่อที่จะออกมาให้ได้ พวกเขาจึงแทบไม่ได้พักกันเลย

ทันทีที่ได้เห็นเมืองตะวันออก ทวีปเฟิงหยุนถูกแบ่งเป็นสี่เมือง ตะวันออก, ตะวันตก, เหนือและใต้ เมืองตะวันออกถูกปกครองด้วยเจ้าเมือง วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เหล่าผู้ฝึกตนทำอะไรตามใจที่ต้องการโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หลังจากที่เข้ามาในเมือง มันมีกรอบการทำงานที่แน่นอนสำหรับการจัดการ ในศาลากลางมีศาสตราจารย์ในระดับสีม่วงอยู่มากมายและมีทีมบังคับใช้กฎหมายค้นหาและลาดตระเวนทุกวันในแต่ละเมือง โดยพื้นฐานแล้วในเมืองจะมีคนสร้างปัญหาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ดังนั้นเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆจึงตัดสินใจที่จะรีบเข้ามาในเมืองเพื่อความปลอดภัย

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับกำแพงเมืองสูงที่อยู่เบื้องหน้า ในโลกที่ไร้ซึ่งเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนาหรือเทคโนโลยีเลย สำนักหลงหยู่ตั้งอยู่พื้นที่ส่วนกลางด้านในของตงเฉิง ซึ่งเป็นตำแหน่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในดินแดนเฟิงหยุ่นซึ่งมีอำนาจไม่น้อยไปกว่าตระกูลชนชั้นสูงอื่น ๆ แม้ในดินแดนเฟิงหยุนจะมีราชวงศ์อยู่ด้วยก็ตาม แต่ตระกูลใหญ่ๆอย่างตระกูลเฟิงและสำนักหลงหยู่ก็ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกราชวงศ์ พูดง่ายๆคืออำนาจของจักรพรรดิควบคุมอะไรพวกเขาไม่ได้ ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นโลกแห่งศิลปะการต่อสู้โดยมีกำลังทหารเป็นผู้นำ

กำแพงสูงที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนถูกสร้างมาจากหินเชิร์ตซึ่งสูงหลายสิบเมตร ผู้คนที่อยู่ภายใต้กำแพงดูเล็กราวกับมด

เฟิงจือหลิงเห็นท่าทางชื่นชมของมู่หรง ดวงตาที่เบ่งบานราวกับดอกไม้กำลังยิ้ม: บ้าจริง!

หลังจากที่พวกเขาจ่ายไปสองเหรียญคริสตัล พวกเขาก็ผ่านเข้ามาในเมือง มู่หรงเสวี่ยรับรู้ได้ว่าในโลกนี้มีคนปกติธรรมดาด้วย เธอเคยคิดว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นผู้ฝึกตนทั้งหมด อย่างไรก็ตามแม้แต่คนธรรมดาก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากกว่าพวกคนในโลกสมัยใหม่ ยังไงซะโลกนี้ก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ไม่เหมือนกับโลกสมัยใหม่ ที่อ่อนปวกเปียกจนน่าสงสาร คนธรรมดาจำนวนมากตั้งแผงขายของทั้งสองข้างทางอย่างเป็นระเบียบดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่เจริญแล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนในเมืองจะมีคนมากกว่าแต่ก่อนมาก ที่ถนนมีคนหนาแน่น เขาเห็นคนมากมายพยายามที่จะเบียดเข้ามาทางมู่เทียน สายตาของเขาเย็นยะเยือก เขาเอามือโอบไปรอบไหล่ของมู่หรงเสวี่ยแล้วใช้ร่างกายตัวเองเพื่อกันไว้ การปกป้องอย่างมั่นคงรอบๆตัวเธอก็เพื่อป้องกันคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเข้ามาชนเธอ

มู่หรงเสวี่ยถามออกไปและรอคำตอบอยู่นาน “มีอะไรเหรอ?”

“ที่นี่มีคนเยอะเกินไป ไปกันเถอะ ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ!” เมื่อรู้ว่ามู่เทียนเป็นผู้ชาย เขาเพียงแค่ใช้แหวนเพื่อช่วยในการปลอมตัวเท่านั้น เขาแค่ทนที่จะต้องอยู่ในที่ที่มีแต่เหงื่อของผู้คนแบบนี้ไม่ได้

เมื่อมองไปรอบๆ มู่หรงเสวี่ยก็เห็นเจตนาไม่ดีของคนมากมาย เธอเข้าใจว่าเฟิงจือหลิงมีเจตนาที่ดี อย่างไรก็ตามสถานะของผู้หญิงในโลกนี้ก็ต่ำกว่าพวกผู้ชายอยู่แล้วซึ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอยู่นิดหน่อย

อย่างไรก็ตามเป็นเพราะในโลกนี้มีผู้หญิงที่อยู่ในระดับการฝึกตนสูงๆไม่มากด้วย ผู้หญิงที่มีความสามารถทั่วไปจะต่ำกว่าพวกผู้ชายดังนั้นจึงเกิดบรรยากาศที่เป็นแบบนี้

พวกเขาเข้าไปโรงแรมหลายแห่ง แต่ก็เต็มหมด

“ในเมืองคนเยอะแบบนี้เลยงั้นเหรอ?” มู่หรงถาม

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วแล้วจึงส่ายหน้า “ไม่หรอก น่าจะเป็นเพราะเรื่องป่าแห่งความตายก่อนหน้านี้ มีคนมากมายที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาแต่ก็เข้ามาในเมืองด้วยเหมือนกันและสำนักหลงหยู่ก็เริ่มที่จะรับสมัครศิษย์แล้วด้วย มีสมาชิกของหลายตระกูลที่มาสำนักหลงหยู่เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าด้วยเหมือนกัน…”

“สอบเข้างั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็เข้าได้งั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะต้องทำการทดสอบและหวู่เสี่ยวเหมยที่อ่อนที่สุดล่ะ

“ในอดีต มันก็เป็นเรื่องจริงที่แค่มีเงินก็เรียนได้แล้วแต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนมากมายที่เข้ามาที่สำนักซึ่งส่งผลกระทบกับคุณภาพการสอนของสำนัก

ดังนั้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ศิษย์ทุกคนจะต้องได้รับการประเมินและโค้วต้าก็มีจำกัดด้วย” เฟิงจือหลิงอธิบายเสียงเบา

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วตอนนี้พวกเธอเป็นเพื่อนกันแล้ว ถ้ามีใครที่เข้าไม่ได้ก็คงจะกลายเป็นปัญหา เธอทิ้งพวกเขาไม่ได้ ยังไงซะพวกเขาก็เป็นเพื่อนตายกับเธอ

เฟิงจือหลิงมองท่าทางของมู่เทียนแล้วจึงพูดต่อ “เจ้ากังวลเรื่องอะไร? ฝีมือระดับเจ้าเข้าได้อยู่แล้ว…” เขาคิดว่าสำนักจะต้องขอให้มู่เทียนเข้าสำนักและมอบสิทธิพิเศษให้เขามากมายด้วย ระดับสีม่วงไม่ใช่ระดับของศิษย์อีกแล้ว แม้แต่ในระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าอย่างเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน เขาเพียงแค่ต้องรายงานตัวกับสำนักนานๆครั้ง

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องตัวเอง…” มู่หรงเสวี่ยตอบเสียงเบา

เพียงแค่ประโยคนี้ เฟิงจือหลิงก็เข้าใจความหมายของมู่หรงเสวี่ย พร้อมกันนั้นร่องรอยของความรู้สึกก็โผล่ขึ้นมาในหัวใจเขา เขารู้สึกมีความสุขจริงๆที่ได้รู้ว่าเธอเป็นห่วงพวกเขา

พวกเขามาถึงโรงแรมสุดท้าย ถ้าที่นี่เต็มอีกคืนนี้พวกเธอก็คงจะต้องนอนกันข้างถนน เมืองนี้ใหญ่มากและหนทางที่จะไปจากตระกูลเฟิงไปสำนักหลงหยู่ยังอีกไกล หลังจากที่เดินทางกันมาหลายวัน และหลังจากที่เข้าเมืองมาพวกเขาก็อยากที่จะนอนหลับพักอย่างสบายสักคืน

“หัวหน้า เรายังเหลือห้องอีกไหม?” เฟิงจือหลิงถาม

“เหลือ ยังเหลือห้องขนาดกลางอยู่อีกห้อง!”

“ห้องเดียวเหรอ?! ห้องเดียวก็ห้องเดียว! ข้าขอห้องนั้น ราคาเท่าไร?” พวกเขามีกันสองคน ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็คงจะต้องนอนที่พื้น

“โอเค ทั้งหมดก็ 50 เหรียญคริสตัลขาว!” เจ้าของโรงแรมยิ้มกว้างที่หลายวันที่ผ่านมานี้เขาทำเงินได้มากมาย

“อะไรนะ?!!” ถึงแม้เฟิงจือหลิงจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่ราคาของโรงแรมนี้ก็สูงเกินไปมาก ปกติแล้วขนาดโรงแรมชั้นหนึ่งก็ยังราคาแค่ 5 เหรียญคริสตัลเท่านั้นเอง

“ตอนนี้ทุกที่ก็ราคานี้หมดแหละ โรงแรมของเรายังถือว่าถูกนะ…” ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คนหนาแน่น ถ้าไม่ขึ้นราคาก็ถือว่าโง่มากแล้ว

เฟิงจือหลิงนึกถึงฝูงชนที่อยู่ข้างนอกและก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาหยิบเงินออกมา 50 เหรียญคริสตัลและจ่ายเงินไป แล้วก็รับกุญแจมาและเตรียมที่จะขึ้นไปข้างบน

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่อีกฝั่งไม่เข้าใจเรื่องเงินของโลกนี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

อันที่จริง เหรียญคริสตัลหนึ่งเหรียญเท่ากับเหรียญทองแดง 1,000 เหรียญ เหรียญทองแดง 10 เหรียญสามารถที่จะซื้อซาลาเปาได้หนึ่งลูก หนึ่งเหรียญคริสตัลสามารถให้คนธรรมดาใช้ชีวิตได้หนึ่งอาทิตย์ นี่ไม่ต้องพูดถึงเหรียญคริสตัล 50 เหรียญสำหรับหนึ่งคืนเลย พูดได้เลยว่าราคาถึงไปสูงราวกับจรวดพุ่งเลยทีเดียว

ตอนที่พวกเขากำลังจะขึ้นไปชั้นบน ก็มีคนเข้ามาพอดีและพูดว่า “หัวหน้า สองห้อง…”

“ท่านทั้งสอง ข้าต้องขอโทษด้วย ห้องเพิ่งจะถูกจองไป…” เจ้าของโรงแรมพูดด้วยเสียงเบาพร้อมรอยยิ้ม

“อะไรนะ?! อยากจะตายหรือไง?” ชายที่มีตาเพียงข้างเดียวพูดขึ้นมาพร้อมทั้งยกตัวเจ้าของโรงแรมขึ้น

เจ้าของโรงแรมอยู่ในระดับการฝึกตนเพียงแค่สีเหลือง แต่ต้องมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่อยู่ในระดับสีฟ้า เขาเริ่มที่จะเหงื่อตกแล้ว “นายท่าน ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่เหลือห้องว่างแล้ว…” ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว แต่เจ้าของโรงแรมรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่กล้าที่จะฆ่าเขาหรอก ยังไงซะก็ยังมีทีมกฎหมายคอยควบคุมอยู่

“อืม เจ้าบอกว่าห้องเพิ่งถูกจองไป งั้นใครที่อยู่ห้องนั้น?” ชายหนุ่มถาม

เจ้าของโรงแรมลังเล เขาไม่ได้ระวังสายตาตัวเองและมองมาที่เฟิงจือหลิง

ชายหนุ่มรีบวางเจ้าของโรงแรมลงทันทีและหันมามองเฟิงจือหลิง “เฮ้ พวกเจ้าสองคนเพิ่งเอากุญแจไปใช่ไหม?!”

เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดและหันกลับมาในทันทีและมองอย่างเย็นชาไปที่ชายสองคนที่ท่าทางดูนักเลง

ทันทีที่ชายยโสตาเดียวเห็นหน้าตาของมู่หรงเสวี่ย สายตาของเขาก็แวบประกายประหลาดใจขึ้นมาแล้วไม่นานก็จางหายไป “ส่งห้องมา ข้าจะจ่ายเงินให้อีกสิบเท่า!”

เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยมองหน้ากัน ชายตาเดียวอยู่ในระดับการฝึกตนขั้นกลางของระดับสีฟ้า ส่วนชายอีกครั้งที่ยืนข้างๆสวมชุดดำและไม่ได้พูดอะไร แต่ระดับการฝึกตนของเขานี่สิ

สายตาของมู่หรงเสวี่ยเย็นชาและเธอเพิ่งเจอกับต้นตอ อีกฝ่ายอยู่ในระดับสีม่วง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ยโสนัก

“เราไม่ต้องการเงิน…” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเย็นชา

“ข้าบอกแล้วไง ว่าอย่าดืม อย่ากิน อย่ายื่นข้อเสนอให้คนที่ไม่สมควรจะได้รับ…” แน่นอน เขาเห็นว่าระดับการฝึกตนของเฟิงจิอหลิงสูงกว่าตัวเองแต่แล้วทำไมล่ะ? มีคนที่อยู่ในระดับสีม่วงยืนอยู่ข้างๆเขาแล้วนี่ไง

เฟิงจื่อหลิงกำดาบที่อยู่ในมือแน่น ทั่วๆทั้งร่างกายระเบิดพลังในระดับสูงสุดของขั้นสีฟ้า “แล้วถ้าเราไม่ยกให้ล่ะ?!!”

“งั้นก็ตายซะเถอะ และสำหรับสาวสวยคนนั้น แน่นอนว่าข้าจะเก็บนางไว้ปฏิบัติข้าเอง! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

มู่หรงเสวี่ยรีบพุ่งไปที่ประตูทันทีและเตะชายตาเดียวออกไปนอกประตูด้วยเท้าข้างเดียว ราวกับว่าวที่สายขาด ชายตาเดียวบินออกไปนอกประตูห่างไปหลายสิบเมตร ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาถึงกับตกตะลึง

“ถ้าจะฆ่าก็ทำเลย อย่ามัวปากดี! แต่ถ้าดูถูกข้า ข้าก็จะตอบแทนอย่างสาสม” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา!

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ย ผู้คนรอบๆก็เริ่มที่จะเอะอะ!

“เก่งมาก!”

“สาวงามก็คือสาวงาม!”

“ข้าหลงรักเจ้าเลย…”

“บ้าเอ๊ย รูปงามกว่าผู้ชายซะอีก…”

สุดท้ายชายชุดดำที่ยืนข้างชายตาเดียวก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเงินคู่แปลกมองมาที่มู่หรงเสวี่ย “กลายเป็นว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญ…”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 262 รูปงามยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก!

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 262 รูปงามยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 262 รูปงามยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก!

“มู่เทียน…” เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรงั้นเหรอ?! ทำไมทำท่าแบบนั้นล่ะ?”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อเล็กน้อยและรีบหันหัวไปทางอื่นทันที “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

ทั้งสองเดินออกมาจากฝูงชน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้จึงไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายอีก เธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงงามที่ไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไรติดตัว ยังไงซะสมบัติล้ำค่าก็สามารถที่จะช่วยให้ผู้คนไต่ขึ้นไปในฐานะที่สูงขึ้นได้

“อ่า! ข้ารู้สึกว่าเจ้ามองข้าแปลกๆจริงๆนะ ทำไมงั้นเหรอ?!!” มู่หรงเสวี่ยวิ่งตรงเข้าไปหาเฟิงจือหลิง

เมื่อฟางจือหลิงมองไปที่ใบหน้าทรงเสน่ห์ของเธอ เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าทันที

ท้องฟ้ามันมีอะไรถึงได้น่ามองขนาดนั้น มู่หรงเสวี่ยเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้วย “นอกจากท้องฟ้าสีฟ้ากับก้อนเมฆสีขาวก็ไม่เห็นจะมีอะไรแล้วนะ”

ไม่สำคัญหรอก! เฟิงจือหลิงยังคงมองท้องฟ้าต่อไปเรื่อยๆและทำราวกับว่ามู่เทียนเป็นสิ่งโปร่งแสง

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก มือของเธอยื่นไปจับหน้าเขาและบังคับให้มองหน้ากันและกัน ดวงตาที่กลมโตและดวงตาที่หลี่เล็กผสานกัน

“หน้าเจ้าร้อนมากเลยนะ” มู่หรงเสวี่ยปล่อยมือและร้องอุทานออกมา

แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าใบหน้าของเฟิงจื่อหลิงแดงระเรื่อ ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเพราะอะไร เธอนั่งยองๆลงไปและหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!! ตลกจริงๆเลย เจ้าเขินงั้นเหรอ”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนจากแดงระเรื่อเป็นเข้มขึ้นมาทันทีและสุดท้ายก็กลับมามีท่าทางเย็นชาได้อีกครั้ง “ตลกมากงั้นเหรอ?!!”

ทำไมถึงเย็นชาจัง!!!

รอยยิ้มของมู่หรงเสวี่ยสะดุดแล้วเธอก็หุบปาก “การหัวเราะมันไม่ดีตรงไหนงั้นเหรอ…” แล้วเธอก็ทำสายตาล้อเลียน

เฟิงจือหลิงเหล่ตามองและอยากที่จะฆ่ามู่เทียนจริงๆ อย่างไรก็ตามเมื่อในตอนนี้เขาแต่งตัวเป็นผู้หญิง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิง แต่ก็รู้สึกว่าทำร้ายไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายหลังจากที่พยายามห้ามใจอยู่หลายครั้ง เขาก็อดกลั้นไว้และสุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าใครที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้กัน

“โอ้ อย่าเพิ่งไปสิ!” มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งตามไป

“เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เจ้าจะหน้าแดงเวลาที่เจอผู้หญิงได้ยังไง…”

“ในฐานะน้องชาย ข้าจะทำให้เจ้าดูนะ นี่ มองทางนี้สิ!!! ถ้าเจ้าทำหน้าแบบนี้พวกผู้หญิงก็จะรังแกเจ้านะ จริงๆนะฟังข้าก่อนสิ…”

มู่หรงเสวี่ยพูดในระหว่างที่เดินไปด้วย โดยไม่สนใจก้าวที่เร็วขึ้นๆหรือสีหน้าที่เข้มขึ้นของเฟิงจือหลิงเลย

ถ้ามีน้องชายแบบนี้ เขาก็อยากที่จะตายจริงๆ เมื่อเฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจ เขาก็จะทำเป็นไม่สนใจ เขาคิดว่าตัวเองคงจะสามารถที่จะทำใจให้แข็งได้ สีหน้าจึงเคร่งขรึม

“อะไร! ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า…”

เฟิงจือหลิงสะบัดมือของเธอออกอย่างเหลืออดและเดินต่อไป

มู่หรงเสวี่ยเดินตามต่อไปเรื่อยๆ

คนหนึ่งพยายามที่จะอดทน ส่วนอีกคนก็ไม่ยอมลดละ ตลอดทางมีแต่เรื่องสนุก จนกระทั่งออกมานอกเขตแดน จำนวนของผู้ที่ค้นหาก็เพิ่มขึ้นมาก

ตระกูลเฟิงเองก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าแห่งความตาย พวกเขารู้ว่านายน้อยของตระกูลถูกโจมตีในป่าแห่งความตายและก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงด้วย ดังนั้นตระกูลแเฟิงจึงส่งคนมากมายออกมาค้นหาข่าวคราวทั่วป่าแห่งความตาย ตรงกันข้ามถ้ามีใครแตะต้องเฟิงจือหลิงแม้แต่ปลายผม และคนพวกนั้นก็จะกลายเป็นศัตรูของตระกูลเฟิง ตระกูลเฟิงจะตามเก็บหนี้ทุกคน

ในระหว่างทาง เฟิงจือหลิงไม่ได้ติดต่อสมาชิกของตระกูลเฟิงเพราะไม่อยากที่จะดึงดูดความสนใจจากทุกคน ในตอนนี้มันคงจะดีกว่าถ้าได้ออกไปจากป่าแห่งความตายโดยเร็วที่สุด

หลังจากเข้ามาถึงเมือง แม้ว่าพวกเขาจะได้รับชีวิตใหม่แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำ ในป่าแห่งความตายมันแตกต่างออกไป เดาว่าแม้ตระกูลเฟิงจะปล่อยข่าวแบบนั้นออกไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะเข้าร่วม ยังไงซะในป่าแห่งความตายก็ไม่มีอาจารย์คอยสอน

หลังจากผ่านมาไม่กี่วัน ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจากรอบนอกของป่าแห่งความตายได้ เพื่อที่จะออกมาให้ได้ พวกเขาจึงแทบไม่ได้พักกันเลย

ทันทีที่ได้เห็นเมืองตะวันออก ทวีปเฟิงหยุนถูกแบ่งเป็นสี่เมือง ตะวันออก, ตะวันตก, เหนือและใต้ เมืองตะวันออกถูกปกครองด้วยเจ้าเมือง วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เหล่าผู้ฝึกตนทำอะไรตามใจที่ต้องการโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หลังจากที่เข้ามาในเมือง มันมีกรอบการทำงานที่แน่นอนสำหรับการจัดการ ในศาลากลางมีศาสตราจารย์ในระดับสีม่วงอยู่มากมายและมีทีมบังคับใช้กฎหมายค้นหาและลาดตระเวนทุกวันในแต่ละเมือง โดยพื้นฐานแล้วในเมืองจะมีคนสร้างปัญหาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ดังนั้นเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆจึงตัดสินใจที่จะรีบเข้ามาในเมืองเพื่อความปลอดภัย

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับกำแพงเมืองสูงที่อยู่เบื้องหน้า ในโลกที่ไร้ซึ่งเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนาหรือเทคโนโลยีเลย สำนักหลงหยู่ตั้งอยู่พื้นที่ส่วนกลางด้านในของตงเฉิง ซึ่งเป็นตำแหน่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในดินแดนเฟิงหยุ่นซึ่งมีอำนาจไม่น้อยไปกว่าตระกูลชนชั้นสูงอื่น ๆ แม้ในดินแดนเฟิงหยุนจะมีราชวงศ์อยู่ด้วยก็ตาม แต่ตระกูลใหญ่ๆอย่างตระกูลเฟิงและสำนักหลงหยู่ก็ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกราชวงศ์ พูดง่ายๆคืออำนาจของจักรพรรดิควบคุมอะไรพวกเขาไม่ได้ ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นโลกแห่งศิลปะการต่อสู้โดยมีกำลังทหารเป็นผู้นำ

กำแพงสูงที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนถูกสร้างมาจากหินเชิร์ตซึ่งสูงหลายสิบเมตร ผู้คนที่อยู่ภายใต้กำแพงดูเล็กราวกับมด

เฟิงจือหลิงเห็นท่าทางชื่นชมของมู่หรง ดวงตาที่เบ่งบานราวกับดอกไม้กำลังยิ้ม: บ้าจริง!

หลังจากที่พวกเขาจ่ายไปสองเหรียญคริสตัล พวกเขาก็ผ่านเข้ามาในเมือง มู่หรงเสวี่ยรับรู้ได้ว่าในโลกนี้มีคนปกติธรรมดาด้วย เธอเคยคิดว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นผู้ฝึกตนทั้งหมด อย่างไรก็ตามแม้แต่คนธรรมดาก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากกว่าพวกคนในโลกสมัยใหม่ ยังไงซะโลกนี้ก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ไม่เหมือนกับโลกสมัยใหม่ ที่อ่อนปวกเปียกจนน่าสงสาร คนธรรมดาจำนวนมากตั้งแผงขายของทั้งสองข้างทางอย่างเป็นระเบียบดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่เจริญแล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนในเมืองจะมีคนมากกว่าแต่ก่อนมาก ที่ถนนมีคนหนาแน่น เขาเห็นคนมากมายพยายามที่จะเบียดเข้ามาทางมู่เทียน สายตาของเขาเย็นยะเยือก เขาเอามือโอบไปรอบไหล่ของมู่หรงเสวี่ยแล้วใช้ร่างกายตัวเองเพื่อกันไว้ การปกป้องอย่างมั่นคงรอบๆตัวเธอก็เพื่อป้องกันคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเข้ามาชนเธอ

มู่หรงเสวี่ยถามออกไปและรอคำตอบอยู่นาน “มีอะไรเหรอ?”

“ที่นี่มีคนเยอะเกินไป ไปกันเถอะ ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ!” เมื่อรู้ว่ามู่เทียนเป็นผู้ชาย เขาเพียงแค่ใช้แหวนเพื่อช่วยในการปลอมตัวเท่านั้น เขาแค่ทนที่จะต้องอยู่ในที่ที่มีแต่เหงื่อของผู้คนแบบนี้ไม่ได้

เมื่อมองไปรอบๆ มู่หรงเสวี่ยก็เห็นเจตนาไม่ดีของคนมากมาย เธอเข้าใจว่าเฟิงจือหลิงมีเจตนาที่ดี อย่างไรก็ตามสถานะของผู้หญิงในโลกนี้ก็ต่ำกว่าพวกผู้ชายอยู่แล้วซึ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอยู่นิดหน่อย

อย่างไรก็ตามเป็นเพราะในโลกนี้มีผู้หญิงที่อยู่ในระดับการฝึกตนสูงๆไม่มากด้วย ผู้หญิงที่มีความสามารถทั่วไปจะต่ำกว่าพวกผู้ชายดังนั้นจึงเกิดบรรยากาศที่เป็นแบบนี้

พวกเขาเข้าไปโรงแรมหลายแห่ง แต่ก็เต็มหมด

“ในเมืองคนเยอะแบบนี้เลยงั้นเหรอ?” มู่หรงถาม

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วแล้วจึงส่ายหน้า “ไม่หรอก น่าจะเป็นเพราะเรื่องป่าแห่งความตายก่อนหน้านี้ มีคนมากมายที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาแต่ก็เข้ามาในเมืองด้วยเหมือนกันและสำนักหลงหยู่ก็เริ่มที่จะรับสมัครศิษย์แล้วด้วย มีสมาชิกของหลายตระกูลที่มาสำนักหลงหยู่เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าด้วยเหมือนกัน…”

“สอบเข้างั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็เข้าได้งั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะต้องทำการทดสอบและหวู่เสี่ยวเหมยที่อ่อนที่สุดล่ะ

“ในอดีต มันก็เป็นเรื่องจริงที่แค่มีเงินก็เรียนได้แล้วแต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนมากมายที่เข้ามาที่สำนักซึ่งส่งผลกระทบกับคุณภาพการสอนของสำนัก

ดังนั้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ศิษย์ทุกคนจะต้องได้รับการประเมินและโค้วต้าก็มีจำกัดด้วย” เฟิงจือหลิงอธิบายเสียงเบา

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วตอนนี้พวกเธอเป็นเพื่อนกันแล้ว ถ้ามีใครที่เข้าไม่ได้ก็คงจะกลายเป็นปัญหา เธอทิ้งพวกเขาไม่ได้ ยังไงซะพวกเขาก็เป็นเพื่อนตายกับเธอ

เฟิงจือหลิงมองท่าทางของมู่เทียนแล้วจึงพูดต่อ “เจ้ากังวลเรื่องอะไร? ฝีมือระดับเจ้าเข้าได้อยู่แล้ว…” เขาคิดว่าสำนักจะต้องขอให้มู่เทียนเข้าสำนักและมอบสิทธิพิเศษให้เขามากมายด้วย ระดับสีม่วงไม่ใช่ระดับของศิษย์อีกแล้ว แม้แต่ในระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าอย่างเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน เขาเพียงแค่ต้องรายงานตัวกับสำนักนานๆครั้ง

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องตัวเอง…” มู่หรงเสวี่ยตอบเสียงเบา

เพียงแค่ประโยคนี้ เฟิงจือหลิงก็เข้าใจความหมายของมู่หรงเสวี่ย พร้อมกันนั้นร่องรอยของความรู้สึกก็โผล่ขึ้นมาในหัวใจเขา เขารู้สึกมีความสุขจริงๆที่ได้รู้ว่าเธอเป็นห่วงพวกเขา

พวกเขามาถึงโรงแรมสุดท้าย ถ้าที่นี่เต็มอีกคืนนี้พวกเธอก็คงจะต้องนอนกันข้างถนน เมืองนี้ใหญ่มากและหนทางที่จะไปจากตระกูลเฟิงไปสำนักหลงหยู่ยังอีกไกล หลังจากที่เดินทางกันมาหลายวัน และหลังจากที่เข้าเมืองมาพวกเขาก็อยากที่จะนอนหลับพักอย่างสบายสักคืน

“หัวหน้า เรายังเหลือห้องอีกไหม?” เฟิงจือหลิงถาม

“เหลือ ยังเหลือห้องขนาดกลางอยู่อีกห้อง!”

“ห้องเดียวเหรอ?! ห้องเดียวก็ห้องเดียว! ข้าขอห้องนั้น ราคาเท่าไร?” พวกเขามีกันสองคน ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็คงจะต้องนอนที่พื้น

“โอเค ทั้งหมดก็ 50 เหรียญคริสตัลขาว!” เจ้าของโรงแรมยิ้มกว้างที่หลายวันที่ผ่านมานี้เขาทำเงินได้มากมาย

“อะไรนะ?!!” ถึงแม้เฟิงจือหลิงจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่ราคาของโรงแรมนี้ก็สูงเกินไปมาก ปกติแล้วขนาดโรงแรมชั้นหนึ่งก็ยังราคาแค่ 5 เหรียญคริสตัลเท่านั้นเอง

“ตอนนี้ทุกที่ก็ราคานี้หมดแหละ โรงแรมของเรายังถือว่าถูกนะ…” ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คนหนาแน่น ถ้าไม่ขึ้นราคาก็ถือว่าโง่มากแล้ว

เฟิงจือหลิงนึกถึงฝูงชนที่อยู่ข้างนอกและก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาหยิบเงินออกมา 50 เหรียญคริสตัลและจ่ายเงินไป แล้วก็รับกุญแจมาและเตรียมที่จะขึ้นไปข้างบน

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่อีกฝั่งไม่เข้าใจเรื่องเงินของโลกนี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

อันที่จริง เหรียญคริสตัลหนึ่งเหรียญเท่ากับเหรียญทองแดง 1,000 เหรียญ เหรียญทองแดง 10 เหรียญสามารถที่จะซื้อซาลาเปาได้หนึ่งลูก หนึ่งเหรียญคริสตัลสามารถให้คนธรรมดาใช้ชีวิตได้หนึ่งอาทิตย์ นี่ไม่ต้องพูดถึงเหรียญคริสตัล 50 เหรียญสำหรับหนึ่งคืนเลย พูดได้เลยว่าราคาถึงไปสูงราวกับจรวดพุ่งเลยทีเดียว

ตอนที่พวกเขากำลังจะขึ้นไปชั้นบน ก็มีคนเข้ามาพอดีและพูดว่า “หัวหน้า สองห้อง…”

“ท่านทั้งสอง ข้าต้องขอโทษด้วย ห้องเพิ่งจะถูกจองไป…” เจ้าของโรงแรมพูดด้วยเสียงเบาพร้อมรอยยิ้ม

“อะไรนะ?! อยากจะตายหรือไง?” ชายที่มีตาเพียงข้างเดียวพูดขึ้นมาพร้อมทั้งยกตัวเจ้าของโรงแรมขึ้น

เจ้าของโรงแรมอยู่ในระดับการฝึกตนเพียงแค่สีเหลือง แต่ต้องมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่อยู่ในระดับสีฟ้า เขาเริ่มที่จะเหงื่อตกแล้ว “นายท่าน ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่เหลือห้องว่างแล้ว…” ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว แต่เจ้าของโรงแรมรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่กล้าที่จะฆ่าเขาหรอก ยังไงซะก็ยังมีทีมกฎหมายคอยควบคุมอยู่

“อืม เจ้าบอกว่าห้องเพิ่งถูกจองไป งั้นใครที่อยู่ห้องนั้น?” ชายหนุ่มถาม

เจ้าของโรงแรมลังเล เขาไม่ได้ระวังสายตาตัวเองและมองมาที่เฟิงจือหลิง

ชายหนุ่มรีบวางเจ้าของโรงแรมลงทันทีและหันมามองเฟิงจือหลิง “เฮ้ พวกเจ้าสองคนเพิ่งเอากุญแจไปใช่ไหม?!”

เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดและหันกลับมาในทันทีและมองอย่างเย็นชาไปที่ชายสองคนที่ท่าทางดูนักเลง

ทันทีที่ชายยโสตาเดียวเห็นหน้าตาของมู่หรงเสวี่ย สายตาของเขาก็แวบประกายประหลาดใจขึ้นมาแล้วไม่นานก็จางหายไป “ส่งห้องมา ข้าจะจ่ายเงินให้อีกสิบเท่า!”

เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยมองหน้ากัน ชายตาเดียวอยู่ในระดับการฝึกตนขั้นกลางของระดับสีฟ้า ส่วนชายอีกครั้งที่ยืนข้างๆสวมชุดดำและไม่ได้พูดอะไร แต่ระดับการฝึกตนของเขานี่สิ

สายตาของมู่หรงเสวี่ยเย็นชาและเธอเพิ่งเจอกับต้นตอ อีกฝ่ายอยู่ในระดับสีม่วง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ยโสนัก

“เราไม่ต้องการเงิน…” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเย็นชา

“ข้าบอกแล้วไง ว่าอย่าดืม อย่ากิน อย่ายื่นข้อเสนอให้คนที่ไม่สมควรจะได้รับ…” แน่นอน เขาเห็นว่าระดับการฝึกตนของเฟิงจิอหลิงสูงกว่าตัวเองแต่แล้วทำไมล่ะ? มีคนที่อยู่ในระดับสีม่วงยืนอยู่ข้างๆเขาแล้วนี่ไง

เฟิงจื่อหลิงกำดาบที่อยู่ในมือแน่น ทั่วๆทั้งร่างกายระเบิดพลังในระดับสูงสุดของขั้นสีฟ้า “แล้วถ้าเราไม่ยกให้ล่ะ?!!”

“งั้นก็ตายซะเถอะ และสำหรับสาวสวยคนนั้น แน่นอนว่าข้าจะเก็บนางไว้ปฏิบัติข้าเอง! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

มู่หรงเสวี่ยรีบพุ่งไปที่ประตูทันทีและเตะชายตาเดียวออกไปนอกประตูด้วยเท้าข้างเดียว ราวกับว่าวที่สายขาด ชายตาเดียวบินออกไปนอกประตูห่างไปหลายสิบเมตร ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาถึงกับตกตะลึง

“ถ้าจะฆ่าก็ทำเลย อย่ามัวปากดี! แต่ถ้าดูถูกข้า ข้าก็จะตอบแทนอย่างสาสม” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา!

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ย ผู้คนรอบๆก็เริ่มที่จะเอะอะ!

“เก่งมาก!”

“สาวงามก็คือสาวงาม!”

“ข้าหลงรักเจ้าเลย…”

“บ้าเอ๊ย รูปงามกว่าผู้ชายซะอีก…”

สุดท้ายชายชุดดำที่ยืนข้างชายตาเดียวก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเงินคู่แปลกมองมาที่มู่หรงเสวี่ย “กลายเป็นว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญ…”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+