ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 378 ภูเขาหิมะ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 378 ภูเขาหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 378

ภูเขาหิมะ

หลิวจือหลิงดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พร้อมทั้งตะโกนไปด้วยในเวลาเดียวกัน

แม่นมหลิวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตัวสั่นเทิ้ม ปากร้องขอความเมตตาอย่างต่อเนื่อง “องค์จักรพรรดิ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย องค์จักรพรรดิ ได้โปรดอภัยให้คุณหนูหลิวด้วยนะเพคะ คุณหนูหลิวยังเด็กจึงทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิดให้ดี” เธอเอาแต่คำนับพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา

ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเองที่ไม่ได้พูดกับคุณหนูหลิวให้ชัดเจนว่าวังหลังเป็นสถานที่ที่วุ่นวายสำหรับเด็กสาวและอาจจะทำให้นางต้องสูญเสียชีวิตของตัวเองได้ง่ายๆ

หลินหยางโบกมืออีกครั้งและทหารก็เข้ามาลากแม่นมหลิวออกไปทันที คนที่เหลือก็คือเหล่าสนมจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัยซึ่งกลัวจนไม่กล้าจะขยับไปไหนเลย พวกเธอมาผิดวันจริงๆ น่าขำจริงๆที่คิดว่าองค์ราชินีจะมีจุดจบที่ไม่สวย

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่านางสนมก่อนหน้านี้ถึงได้ปิดประตูตำหนักกันเงียบ ดูเหมือนว่าพวกนางเองก็จะรู้ท่าทางขององค์จักรพรรดิดีแล้ว

หลินหยางและมู่หรงไม่ได้สนใจพวกนาง และปล่อยให้พวกเธอนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น

หลังจากการพยายามถึงสองครั้ง เหล่าผู้หญิงในวังหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างดีแล้ว

สองเดือนต่อมา

ไม่มีใครในราชสำนักกล้าที่จะตั้งคำถามกับนโยบายต่างๆของจักรพรรดิองค์ใหม่ ที่ถนนมีรถบัสวิ่งอยู่บนถนน, ทุกที่ต่างก็มีป้ายสัญญาณอยู่ทั่ว, ถนนก็กว้างขวาง เศรษฐกิจของ หลิวตงและเมืองที่เจริญรุ่งเรืองได้เปลี่ยนความคิดของทุกคน

พวกเขาไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเขาถึงกับจัดตั้งห้องร้องเรียนในสถานที่ต่างๆ

รายงานการคอร์รัปชันจะได้รับการสืบสวนอย่างจริงจัง

ประชาธิปไตยของประชาชนมาถึงจุดสูงสุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในหัวใจของประชาชนหลินหยางยิ่งเหมือนเทพเจ้ามากขึ้นไปอีก สำหรับองค์ราชินีอันเป็นที่รักขององค์จักรพรรดิ ประชาชนต่างก็ยกให้มู่หรงเสวี่ยเป็นหญิงงามที่แสนพิเศษ

เหล่าผู้หญิงในวังหลังก็ค่อยๆที่จะลืม สุดท้ายพวกนางก็เจอวิธีที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังได้

ไม่มีดินแดนไหนเคยมีวังหลังที่เงียบสงบแบบนี้มาก่อน เหล่านางสนมบางครั้งก็จะออกมาปลูกดอกไม้กันบ้าง, เลี้ยงนกบ้าง, และบางครั้งก็จะออกมาเรียนรู้เรื่องการกินและคุยกันเรื่องการทำอาหาร

สำหรับองค์หญิงต่างๆของทั้งสามดินแดน พวกนางก็ถูกกำจัดออกไปอย่างเงียบๆพร้อมด้วยเหล่าสาวใช้

ตอนที่เฟิงอู๋ซีถูกจัดการในห้องของนางก็ไม่ได้นองเลือดมากนัก ก่อนที่นางจะตาย เธอเอาแต่ขอร้องกับมือสังหารที่จะมาฆ่าเธอว่าให้ฆ่าเธอด้วยความเร็วด้วย

ส่วนเสี่ยวหงนั่นต้องตายเพราะถูกทรมานแบบนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานา อย่างไรก็ตามร่างกายของเธอสกปรกมอมแมมไปหมดจนมองไม่เห็นส่วนของผิวหนังที่ดีเลยซึ่งทำให้ทนมองไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนเฟิงอู๋ซีที่ขัดขืนอย่างบ้าคลั่งแต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยการดื่มยาพิษ

ก่อนที่เธอจะตาย เธอพูดเพียงแค่ว่า “บางทีข้าน่าจะตายต่อหน้าองค์จักรพรรดินะ” จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเป็นเธอคนเดิม เธอกลัวที่จะต้องดื่มยาพิษแต่วังหลังถูกแยกออกมาอยู่ห่างไกลซึ่งก็เหมือนกับบ้านที่ถูกใช้แทนคุกก็ว่าได้ เหล่าสาวใช้ที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูของวังหลังต่างก็รู้สึกเศร้ามากที่พวกเธอจะไม่ต้องมาอยู่ในวังหลังอีกแล้ว ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายที่พวกเธอต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็พูดได้ว่าชีวิตก็ไม่เคยยุติธรรมอยู่แล้ว

เหล่าขอทานที่อยู่ตามท้องถนนต่างก็มีความสุขที่ได้มีอาหารและเสื้อผ้าให้ได้กินได้ใช้ในทุกๆวัน ความหวังของคนตาบอดก็คือการได้มองเห็นท้องฟ้าที่สดใส คนธรรมดาทั่วไปต่างก็ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นเสียงของผู้คนจึงถูกครอบงำด้วยความปรารถนา

มู่หรงเองก็มีความปรารถนาไม่ต่างกัน เธอหวังที่จะได้ตามหาพ่อแม่ของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

บางคนก็หลงระเริงอยู่ในอำนาจ แต่จะบอกว่าคนแบบนี้เป็นคนไม่ดีได้งั้นเหรอ?! แน่นอนว่าไม่ได้เพราะนี่ก็เป็นแค่ความปรารถนาที่แตกต่างกัน

สองเดือนต่อมา ในที่สุดหลินหยางก็จัดการหน้าที่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อย เขาเลือกคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้หลายคนให้เข้ามาช่วยเรื่องราชสำนักแล้วเขาก็ออกมาข้างนอกด้วยเสื้อผ้าที่ธรรมดา แน่นอนว่ามีองครักษ์ชุดดำที่มากด้วยฝีมือติดตามออกมาด้วยมากมาย ยังไงซะก็ยังศัตรูที่เหลือจากราชวงศ์สมัยที่แล้วอยู่อีกมาก

เขาจะเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นไม่ได้ ยังไงซะก็ยังมีคนที่เจ็บปวดจากการต้องสูญเสียบ้านของตัวเองอยู่

เขาต้องระวังไว้ก่อน เพราะถ้าเขาตายแผนการมากมายพวกนั้นก็คงจะต้องสะดุด

มู่หรงและหลินหยางนั่งอยู่ในรถม้าที่ดูธรรมดาๆ ถึงมันดูเรียบง่ายแต่อันที่จริงแล้วมันดูหรูหราอย่างมาก ทั้งเบาะที่นุ่มนิ่ม, กว้างสบายและพร้อมด้วยบาร์ขนมอีก

“การเป็นองค์จักรพรรดิทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดหรือเปล่า?” มู่หรงที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลินหยางถามขึ้นมา

“ตอนที่ข้าเป็นประชาชน ข้าคิดว่ามันคงจะดีถ้าได้เป็นท่านลอร์ดของเมือง ข้าคงจะมีชีวิตที่สะดวกสบายและไร้กังวลจากภัยคุกคามใดๆ หลังจากที่ได้เห็นการพัฒนาของทั้งสามดินแดน ข้าก็รู้สึกว่าเราควรที่จะสร้างดินแดนบ้าง ไม่งั้นเราจะเทียบกับพวกเขาได้ยังไง ตอนนี้เมื่อข้าได้ครองทั้งโลกแต่ข้าก็ยังรู้สึกสับสนและอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนความว่างเปล่า” หลินหยางพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเหล่ตาไปที่เขา “หาสาวสวยสักคนมาอยู่ด้วยสิจะได้ไม่รู้สึกเหงา”

“ข้าไม่ได้รู้สึกเหงา ข้าคิดว่าชีวิตมันน่าเบื่อแต่ก็ยังไม่อยากจะตาย”

“นี่เจ้าหนูหลิน ข้าบอกได้เลยนะว่านี่เป็นอาการป่วยทางจิตแล้วล่ะ เรียกว่าเข้าวัยทอง โรคแห่งความว่างเปล่า เจ้าต้องไปหาหมอแล้วล่ะ” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูกและพูดออกมา

“ไปให้พ้นเลย คุยเรื่องชีวิตกับเจ้านี่มันเสียเวลาเปล่าจริงๆ” หลินหยางมองไปที่เธอพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ก็ข้าไม่ใช่ลูกบอลนี่ที่จะได้กลิ้งไปกลิ้งมาได้เหมือนเจ้า อีกอย่างนะข้าพูดเรื่องจริง เจ้าต้องคิดเรื่องนี้ดีๆ บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจจะเข้าใจความจริงที่ข้าพูดและเลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่สวรรค์แทน” มู่หรงหยิบติ่มซำที่อยู่ในรถม้าออกมาและกินเข้าไปในขณะที่พูดออกมา

หลินหยางไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าเธอด้วยซ้ำ

“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่าเนี่ย?” มู่หรงเห็นว่าเขาไม่ตอบจึงถามออกไปอีกครั้ง

“ได้ยิน ข้าไม่ได้หูหนวกนะ” หลินหยางลืมตาขึ้นอย่างขี้เกียจและมองไปที่เธอ ในโลกนี้มีผู้หญิงแบบนี้อยู่ได้ยังไงเนี่ย

“เจ้ามองอะไร? ชอบข้าขึ้นมาแล้วหรือไง?” มู่หรงพูด

ฟู่!

หลินหยางแทบจะสำลักออกมา “เจ้านี่หน้าด้านจริงๆ ข้าไม่ชอบผู้หญิงอย่างเจ้าหรอก”

มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมล่ะ?”

“ทำไมอะไร? ก็เจ้าเป็นแบบนี้ไงล่ะ” หลินหยางพูด

“พวกผู้หญิงในวังหลังของเจ้าต่างก็ดูอ่อนหวานแต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้าจะชอบพวกนางเลย” มู่หรงพูด

“ลืมพวกนางไปเถอะ” จะพูดยังไงดีล่ะ เพราะช่วงเวลาที่ต่างกัน เขาไม่ชอบผู้หญิงของโลกนี้เท่าไร ถึงแม้พวกนางจะสวยแต่เขาชอบผู้หญิงที่เข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า

มู่หรงที่อยู่ในรถม้าที่โคลงเคลงเริ่มที่จะหลับตาและผล็อยหลับไป

หลินหยางมองไปที่ใบหน้าที่กำลังหลับของเธอ ในหัวใจไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเพียงแต่คิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่เหมือนกับเขา มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าโดดเดี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่สำคัญว่าเขาจะชอบหรือเปล่า แต่ก็คงจะมีความสุขกว่าถ้าได้อยู่กับคนที่เหมือนกันเพราะงั้นเขาถึงแวะไปที่ตำหนักเธอทุกวัน

ถึงแม้จะไม่ได้รักแต่มีเพียงมู่หรงเท่านั้นที่สามารถคุยกับเขาได้รู้เรื่อง ส่วนพวกผู้หญิงที่ตำหนักหลักก็เอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอด พอได้คุยก็มีแต่ทำให้เขารู้สึกปวดหัวแล้วแบบนี้เขาจะรู้สึกอะไรด้วยได้ยังไงกัน

ที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิคือตำแหน่งที่สูงที่สุดสำหรับคนที่ครองโลกได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้อะไรเลย อย่างไรก็ตามการที่ทำให้ประชาชนยิ้มได้เป็นกำไรสูงสุดของเขาแล้ว

มีการดำเนินการรถโดยสารในเขตมหานครปักกิ่ง รถยนต์ยังไม่มีการผลิตออกมา ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงต้องใช้รถม้าซึ่งค่อนข้างที่จะช้า

พวกเขาต้องขึ้นไปที่ภูเขาหิมะใหญ่ หลินหยางไม่รู้ว่าทำไม จากวันที่เขาขึ้นครองราชย์จู่ๆเขาก็มีข้อมูลนี้เข้ามาอยู่ในหัวเอง

สายเลือดมังกรงั้นเหรอ?! หลินหยางยิ้ม

เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตที่แล้ว ดูเหมือนว่ามันจะผ่านมาสิบล้านปีแล้ว มันทำให้เขารู้สึกสับสนไม่มากก็น้อย

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตื่น รถม้าก็หยุดลง

“ตื่นได้แล้ว เราถึงโรงเตี๊ยมแล้ว นี่นอนหลับอย่างกับตายเลยนะ” หลินหยางรอเธออยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ

มู่หรงขยี้ตา ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

หลินหยางมองไปที่ท่าทางน่ารักของมู่หรง ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆถึงอยากจะหัวเราะออกมา

“หมูน้อย ลุกขึ้นเร็ว นี่ดึกแล้วนะ ไม่หิวหรือไง?” หลินหยางพูด

เมื่อได้ยินคำว่าอาหารมู่หรงเสวี่ยก็อารมณ์ดีขึ้นมาเลย

“มาเถอะ หิวแล้ว” มู่หรงกระโดดลงมาจากรถม้าโดยไม่สนใจร่างขององครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างล่างเลย

หลินหยางอยู่ข้างหลังเธอรู้สึกพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ทั้งหมดนี่เป็นภาพหลอนใช่ไหม เธอคนนี้ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด

หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่บนรถม้าต่ออีกหลายวัน เมื่อค่ำก็หาโรงเตี๊ยม ถ้าไม่มีโรงเตี๊ยมก็ตั้งแคมป์นอนกันข้างนอกเลย โชคดีที่บอดี้การ์ดชุดดำทุกคนต่างก็มีฝีมือทั้งเรื่องการสังหารและการล่าสัตว์ด้วย

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยดูจะสนุกอย่างมาก

เมื่อพวกเขามาถึงขอบของภูเขาหิมะใหญ่

มู่หรงเสวี่ยก็ตัวสั่นเพราะความหนาว ยังไงซะที่นี่เธอก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่จะทำให้ร่างกายของตัวเองอบอุ่นได้ ถึงแม้เธอจะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแล้วก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกหนาวมากอยู่ดี

“หาว” มู่หรงเสวี่ยหาวอยู่หลายครั้ง

“ไม่ไหวเลย สวมไว้ซะ” หลินหยางเอาเสื้อโค้ทของเขามาสวมให้มู่หรง

มู่หรงไม่ได้ขอบคุณเขาแต่กลับห่อตัวเองจนกลมเป็นลูกบอลเพราะตอนนี้เธอหนาวจะตายอยู่แล้ว

“ที่นี่เหรอ?” เธอถาม

“ที่จุดสูงสุดของภูเขาน่ะ” หลินหยางตอบเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก แค่ที่ตีนเขาก็หนาวจะแข็งตายอยู่แล้ว แค่มองไปที่ยอดเขาเธอก็รู้สึกแย่แล้ว แล้วนี่เธอจะปีนขึ้นไปยังไงล่ะ

มู่หรงหันกลับมามองที่หลินหยาง “เจ้าพาข้าบินขึ้นไปที่ยอดเขาเลยได้ไหม?”

หลินหยางหัวเราะ “เจ้าก็ลองพาข้าบินขึ้นไปดูบ้างสิ”

นี่มันภูเขาสูง 2,000 เมตรเหนือน้ำทะเลเชียวนะ

“ถ้าตอนนี้ข้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณ ข้าก็คงจะพาเจ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เร็วกว่าเครื่องบินแล้ว” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาเย้อหยัน

หลินหยางแสยะ “เจ้าก็แค่จะเป่าข้าขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ?! ฝัน ฝันไปแหละ นี่เจ้ายังไม่ตื่นหรือไง?”

“จะเชื่อหรือไม่ก็ช่าง” มู่หรงเดินออกไปโดยไม่สนใจสายตาของเขา

“นี่แม่คุณ จะไปไหนเหรอ?” หลินหยางจับเธอ

“อะไร ที่ไหนล่ะ?! ก็ปีนขึ้นไปไง” มู่หรงพูดโดยแทบจะไม่หายใจ

“เจ้าจะปีนขึ้นไปแบบนี้เนี่ยนะ?! อยากจะตายหรือไง?” หลินหยางจ้องไปที่เธอ

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ตรงนั้นมีหิมะถล่ม ถ้าอยากจะตายก็ปีนขึ้นไปเลย” หลินหยางพูด

“งั้นเจ้าอยากจะทำยังไงล่ะ?” ไม่ช้าหรือเร็วมันก็ปีนขึ้นไปอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?!

“เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสิ” หลินหยางพูด

“ในเมื่อเจ้าไม่อยากที่จะไปอยู่แล้ว งั้นทำไมไม่รออยู่ที่นี่ล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 378 ภูเขาหิมะ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 378 ภูเขาหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 378

ภูเขาหิมะ

หลิวจือหลิงดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พร้อมทั้งตะโกนไปด้วยในเวลาเดียวกัน

แม่นมหลิวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตัวสั่นเทิ้ม ปากร้องขอความเมตตาอย่างต่อเนื่อง “องค์จักรพรรดิ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย องค์จักรพรรดิ ได้โปรดอภัยให้คุณหนูหลิวด้วยนะเพคะ คุณหนูหลิวยังเด็กจึงทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิดให้ดี” เธอเอาแต่คำนับพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา

ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเองที่ไม่ได้พูดกับคุณหนูหลิวให้ชัดเจนว่าวังหลังเป็นสถานที่ที่วุ่นวายสำหรับเด็กสาวและอาจจะทำให้นางต้องสูญเสียชีวิตของตัวเองได้ง่ายๆ

หลินหยางโบกมืออีกครั้งและทหารก็เข้ามาลากแม่นมหลิวออกไปทันที คนที่เหลือก็คือเหล่าสนมจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัยซึ่งกลัวจนไม่กล้าจะขยับไปไหนเลย พวกเธอมาผิดวันจริงๆ น่าขำจริงๆที่คิดว่าองค์ราชินีจะมีจุดจบที่ไม่สวย

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่านางสนมก่อนหน้านี้ถึงได้ปิดประตูตำหนักกันเงียบ ดูเหมือนว่าพวกนางเองก็จะรู้ท่าทางขององค์จักรพรรดิดีแล้ว

หลินหยางและมู่หรงไม่ได้สนใจพวกนาง และปล่อยให้พวกเธอนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น

หลังจากการพยายามถึงสองครั้ง เหล่าผู้หญิงในวังหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างดีแล้ว

สองเดือนต่อมา

ไม่มีใครในราชสำนักกล้าที่จะตั้งคำถามกับนโยบายต่างๆของจักรพรรดิองค์ใหม่ ที่ถนนมีรถบัสวิ่งอยู่บนถนน, ทุกที่ต่างก็มีป้ายสัญญาณอยู่ทั่ว, ถนนก็กว้างขวาง เศรษฐกิจของ หลิวตงและเมืองที่เจริญรุ่งเรืองได้เปลี่ยนความคิดของทุกคน

พวกเขาไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเขาถึงกับจัดตั้งห้องร้องเรียนในสถานที่ต่างๆ

รายงานการคอร์รัปชันจะได้รับการสืบสวนอย่างจริงจัง

ประชาธิปไตยของประชาชนมาถึงจุดสูงสุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในหัวใจของประชาชนหลินหยางยิ่งเหมือนเทพเจ้ามากขึ้นไปอีก สำหรับองค์ราชินีอันเป็นที่รักขององค์จักรพรรดิ ประชาชนต่างก็ยกให้มู่หรงเสวี่ยเป็นหญิงงามที่แสนพิเศษ

เหล่าผู้หญิงในวังหลังก็ค่อยๆที่จะลืม สุดท้ายพวกนางก็เจอวิธีที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังได้

ไม่มีดินแดนไหนเคยมีวังหลังที่เงียบสงบแบบนี้มาก่อน เหล่านางสนมบางครั้งก็จะออกมาปลูกดอกไม้กันบ้าง, เลี้ยงนกบ้าง, และบางครั้งก็จะออกมาเรียนรู้เรื่องการกินและคุยกันเรื่องการทำอาหาร

สำหรับองค์หญิงต่างๆของทั้งสามดินแดน พวกนางก็ถูกกำจัดออกไปอย่างเงียบๆพร้อมด้วยเหล่าสาวใช้

ตอนที่เฟิงอู๋ซีถูกจัดการในห้องของนางก็ไม่ได้นองเลือดมากนัก ก่อนที่นางจะตาย เธอเอาแต่ขอร้องกับมือสังหารที่จะมาฆ่าเธอว่าให้ฆ่าเธอด้วยความเร็วด้วย

ส่วนเสี่ยวหงนั่นต้องตายเพราะถูกทรมานแบบนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานา อย่างไรก็ตามร่างกายของเธอสกปรกมอมแมมไปหมดจนมองไม่เห็นส่วนของผิวหนังที่ดีเลยซึ่งทำให้ทนมองไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนเฟิงอู๋ซีที่ขัดขืนอย่างบ้าคลั่งแต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยการดื่มยาพิษ

ก่อนที่เธอจะตาย เธอพูดเพียงแค่ว่า “บางทีข้าน่าจะตายต่อหน้าองค์จักรพรรดินะ” จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเป็นเธอคนเดิม เธอกลัวที่จะต้องดื่มยาพิษแต่วังหลังถูกแยกออกมาอยู่ห่างไกลซึ่งก็เหมือนกับบ้านที่ถูกใช้แทนคุกก็ว่าได้ เหล่าสาวใช้ที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูของวังหลังต่างก็รู้สึกเศร้ามากที่พวกเธอจะไม่ต้องมาอยู่ในวังหลังอีกแล้ว ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายที่พวกเธอต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็พูดได้ว่าชีวิตก็ไม่เคยยุติธรรมอยู่แล้ว

เหล่าขอทานที่อยู่ตามท้องถนนต่างก็มีความสุขที่ได้มีอาหารและเสื้อผ้าให้ได้กินได้ใช้ในทุกๆวัน ความหวังของคนตาบอดก็คือการได้มองเห็นท้องฟ้าที่สดใส คนธรรมดาทั่วไปต่างก็ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นเสียงของผู้คนจึงถูกครอบงำด้วยความปรารถนา

มู่หรงเองก็มีความปรารถนาไม่ต่างกัน เธอหวังที่จะได้ตามหาพ่อแม่ของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

บางคนก็หลงระเริงอยู่ในอำนาจ แต่จะบอกว่าคนแบบนี้เป็นคนไม่ดีได้งั้นเหรอ?! แน่นอนว่าไม่ได้เพราะนี่ก็เป็นแค่ความปรารถนาที่แตกต่างกัน

สองเดือนต่อมา ในที่สุดหลินหยางก็จัดการหน้าที่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อย เขาเลือกคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้หลายคนให้เข้ามาช่วยเรื่องราชสำนักแล้วเขาก็ออกมาข้างนอกด้วยเสื้อผ้าที่ธรรมดา แน่นอนว่ามีองครักษ์ชุดดำที่มากด้วยฝีมือติดตามออกมาด้วยมากมาย ยังไงซะก็ยังศัตรูที่เหลือจากราชวงศ์สมัยที่แล้วอยู่อีกมาก

เขาจะเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นไม่ได้ ยังไงซะก็ยังมีคนที่เจ็บปวดจากการต้องสูญเสียบ้านของตัวเองอยู่

เขาต้องระวังไว้ก่อน เพราะถ้าเขาตายแผนการมากมายพวกนั้นก็คงจะต้องสะดุด

มู่หรงและหลินหยางนั่งอยู่ในรถม้าที่ดูธรรมดาๆ ถึงมันดูเรียบง่ายแต่อันที่จริงแล้วมันดูหรูหราอย่างมาก ทั้งเบาะที่นุ่มนิ่ม, กว้างสบายและพร้อมด้วยบาร์ขนมอีก

“การเป็นองค์จักรพรรดิทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดหรือเปล่า?” มู่หรงที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลินหยางถามขึ้นมา

“ตอนที่ข้าเป็นประชาชน ข้าคิดว่ามันคงจะดีถ้าได้เป็นท่านลอร์ดของเมือง ข้าคงจะมีชีวิตที่สะดวกสบายและไร้กังวลจากภัยคุกคามใดๆ หลังจากที่ได้เห็นการพัฒนาของทั้งสามดินแดน ข้าก็รู้สึกว่าเราควรที่จะสร้างดินแดนบ้าง ไม่งั้นเราจะเทียบกับพวกเขาได้ยังไง ตอนนี้เมื่อข้าได้ครองทั้งโลกแต่ข้าก็ยังรู้สึกสับสนและอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนความว่างเปล่า” หลินหยางพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเหล่ตาไปที่เขา “หาสาวสวยสักคนมาอยู่ด้วยสิจะได้ไม่รู้สึกเหงา”

“ข้าไม่ได้รู้สึกเหงา ข้าคิดว่าชีวิตมันน่าเบื่อแต่ก็ยังไม่อยากจะตาย”

“นี่เจ้าหนูหลิน ข้าบอกได้เลยนะว่านี่เป็นอาการป่วยทางจิตแล้วล่ะ เรียกว่าเข้าวัยทอง โรคแห่งความว่างเปล่า เจ้าต้องไปหาหมอแล้วล่ะ” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูกและพูดออกมา

“ไปให้พ้นเลย คุยเรื่องชีวิตกับเจ้านี่มันเสียเวลาเปล่าจริงๆ” หลินหยางมองไปที่เธอพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ก็ข้าไม่ใช่ลูกบอลนี่ที่จะได้กลิ้งไปกลิ้งมาได้เหมือนเจ้า อีกอย่างนะข้าพูดเรื่องจริง เจ้าต้องคิดเรื่องนี้ดีๆ บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจจะเข้าใจความจริงที่ข้าพูดและเลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่สวรรค์แทน” มู่หรงหยิบติ่มซำที่อยู่ในรถม้าออกมาและกินเข้าไปในขณะที่พูดออกมา

หลินหยางไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าเธอด้วยซ้ำ

“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่าเนี่ย?” มู่หรงเห็นว่าเขาไม่ตอบจึงถามออกไปอีกครั้ง

“ได้ยิน ข้าไม่ได้หูหนวกนะ” หลินหยางลืมตาขึ้นอย่างขี้เกียจและมองไปที่เธอ ในโลกนี้มีผู้หญิงแบบนี้อยู่ได้ยังไงเนี่ย

“เจ้ามองอะไร? ชอบข้าขึ้นมาแล้วหรือไง?” มู่หรงพูด

ฟู่!

หลินหยางแทบจะสำลักออกมา “เจ้านี่หน้าด้านจริงๆ ข้าไม่ชอบผู้หญิงอย่างเจ้าหรอก”

มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมล่ะ?”

“ทำไมอะไร? ก็เจ้าเป็นแบบนี้ไงล่ะ” หลินหยางพูด

“พวกผู้หญิงในวังหลังของเจ้าต่างก็ดูอ่อนหวานแต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้าจะชอบพวกนางเลย” มู่หรงพูด

“ลืมพวกนางไปเถอะ” จะพูดยังไงดีล่ะ เพราะช่วงเวลาที่ต่างกัน เขาไม่ชอบผู้หญิงของโลกนี้เท่าไร ถึงแม้พวกนางจะสวยแต่เขาชอบผู้หญิงที่เข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า

มู่หรงที่อยู่ในรถม้าที่โคลงเคลงเริ่มที่จะหลับตาและผล็อยหลับไป

หลินหยางมองไปที่ใบหน้าที่กำลังหลับของเธอ ในหัวใจไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเพียงแต่คิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่เหมือนกับเขา มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าโดดเดี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่สำคัญว่าเขาจะชอบหรือเปล่า แต่ก็คงจะมีความสุขกว่าถ้าได้อยู่กับคนที่เหมือนกันเพราะงั้นเขาถึงแวะไปที่ตำหนักเธอทุกวัน

ถึงแม้จะไม่ได้รักแต่มีเพียงมู่หรงเท่านั้นที่สามารถคุยกับเขาได้รู้เรื่อง ส่วนพวกผู้หญิงที่ตำหนักหลักก็เอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอด พอได้คุยก็มีแต่ทำให้เขารู้สึกปวดหัวแล้วแบบนี้เขาจะรู้สึกอะไรด้วยได้ยังไงกัน

ที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิคือตำแหน่งที่สูงที่สุดสำหรับคนที่ครองโลกได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้อะไรเลย อย่างไรก็ตามการที่ทำให้ประชาชนยิ้มได้เป็นกำไรสูงสุดของเขาแล้ว

มีการดำเนินการรถโดยสารในเขตมหานครปักกิ่ง รถยนต์ยังไม่มีการผลิตออกมา ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงต้องใช้รถม้าซึ่งค่อนข้างที่จะช้า

พวกเขาต้องขึ้นไปที่ภูเขาหิมะใหญ่ หลินหยางไม่รู้ว่าทำไม จากวันที่เขาขึ้นครองราชย์จู่ๆเขาก็มีข้อมูลนี้เข้ามาอยู่ในหัวเอง

สายเลือดมังกรงั้นเหรอ?! หลินหยางยิ้ม

เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตที่แล้ว ดูเหมือนว่ามันจะผ่านมาสิบล้านปีแล้ว มันทำให้เขารู้สึกสับสนไม่มากก็น้อย

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตื่น รถม้าก็หยุดลง

“ตื่นได้แล้ว เราถึงโรงเตี๊ยมแล้ว นี่นอนหลับอย่างกับตายเลยนะ” หลินหยางรอเธออยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ

มู่หรงขยี้ตา ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

หลินหยางมองไปที่ท่าทางน่ารักของมู่หรง ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆถึงอยากจะหัวเราะออกมา

“หมูน้อย ลุกขึ้นเร็ว นี่ดึกแล้วนะ ไม่หิวหรือไง?” หลินหยางพูด

เมื่อได้ยินคำว่าอาหารมู่หรงเสวี่ยก็อารมณ์ดีขึ้นมาเลย

“มาเถอะ หิวแล้ว” มู่หรงกระโดดลงมาจากรถม้าโดยไม่สนใจร่างขององครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างล่างเลย

หลินหยางอยู่ข้างหลังเธอรู้สึกพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ทั้งหมดนี่เป็นภาพหลอนใช่ไหม เธอคนนี้ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด

หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่บนรถม้าต่ออีกหลายวัน เมื่อค่ำก็หาโรงเตี๊ยม ถ้าไม่มีโรงเตี๊ยมก็ตั้งแคมป์นอนกันข้างนอกเลย โชคดีที่บอดี้การ์ดชุดดำทุกคนต่างก็มีฝีมือทั้งเรื่องการสังหารและการล่าสัตว์ด้วย

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยดูจะสนุกอย่างมาก

เมื่อพวกเขามาถึงขอบของภูเขาหิมะใหญ่

มู่หรงเสวี่ยก็ตัวสั่นเพราะความหนาว ยังไงซะที่นี่เธอก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่จะทำให้ร่างกายของตัวเองอบอุ่นได้ ถึงแม้เธอจะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแล้วก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกหนาวมากอยู่ดี

“หาว” มู่หรงเสวี่ยหาวอยู่หลายครั้ง

“ไม่ไหวเลย สวมไว้ซะ” หลินหยางเอาเสื้อโค้ทของเขามาสวมให้มู่หรง

มู่หรงไม่ได้ขอบคุณเขาแต่กลับห่อตัวเองจนกลมเป็นลูกบอลเพราะตอนนี้เธอหนาวจะตายอยู่แล้ว

“ที่นี่เหรอ?” เธอถาม

“ที่จุดสูงสุดของภูเขาน่ะ” หลินหยางตอบเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก แค่ที่ตีนเขาก็หนาวจะแข็งตายอยู่แล้ว แค่มองไปที่ยอดเขาเธอก็รู้สึกแย่แล้ว แล้วนี่เธอจะปีนขึ้นไปยังไงล่ะ

มู่หรงหันกลับมามองที่หลินหยาง “เจ้าพาข้าบินขึ้นไปที่ยอดเขาเลยได้ไหม?”

หลินหยางหัวเราะ “เจ้าก็ลองพาข้าบินขึ้นไปดูบ้างสิ”

นี่มันภูเขาสูง 2,000 เมตรเหนือน้ำทะเลเชียวนะ

“ถ้าตอนนี้ข้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณ ข้าก็คงจะพาเจ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เร็วกว่าเครื่องบินแล้ว” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาเย้อหยัน

หลินหยางแสยะ “เจ้าก็แค่จะเป่าข้าขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ?! ฝัน ฝันไปแหละ นี่เจ้ายังไม่ตื่นหรือไง?”

“จะเชื่อหรือไม่ก็ช่าง” มู่หรงเดินออกไปโดยไม่สนใจสายตาของเขา

“นี่แม่คุณ จะไปไหนเหรอ?” หลินหยางจับเธอ

“อะไร ที่ไหนล่ะ?! ก็ปีนขึ้นไปไง” มู่หรงพูดโดยแทบจะไม่หายใจ

“เจ้าจะปีนขึ้นไปแบบนี้เนี่ยนะ?! อยากจะตายหรือไง?” หลินหยางจ้องไปที่เธอ

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ตรงนั้นมีหิมะถล่ม ถ้าอยากจะตายก็ปีนขึ้นไปเลย” หลินหยางพูด

“งั้นเจ้าอยากจะทำยังไงล่ะ?” ไม่ช้าหรือเร็วมันก็ปีนขึ้นไปอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?!

“เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสิ” หลินหยางพูด

“ในเมื่อเจ้าไม่อยากที่จะไปอยู่แล้ว งั้นทำไมไม่รออยู่ที่นี่ล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+