ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 287 ข้อโต้แย้งทั่วโลก

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 287 ข้อโต้แย้งทั่วโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 287

ข้อโต้แย้งทั่วโลก

“พาข้าออกไปดูหน่อย…” เสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจัง

มู่หรงพยักหน้าแล้วเธอกับเสี่ยวไป๋ก็มาปรากฏตัวในห้อง

เสี่ยวไป๋เดินกลับไปกลับมาอยู่สักพักจากนั้นก็ก้มหัวคิดไตร่ตรอง มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสี่ยวไป๋อย่างกังวลและถามออกมา “เป็นไงบ้าง? เสี่ยวไป๋ รู้หรือเปล่าว่าทำไม?”

“มิตินี่มีข้อจำกัดหรือเปล่า? นอกจากเราจะเปิดอุโมงค์ได้ ไม่งั้นเราจะต้องเจอกับงานหนักแล้วแน่ๆ”

“แล้วเราจะเปิดอุโมงค์มิติยังไงล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

เฟิงจือหลิงเองก็มองไปที่เสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ทุกมิติจะมีความแตกต่างกันแต่มีเรื่องหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือคนที่จะเปิดอุโมงค์มิติจะต้องเป็นหนึ่งในสายเลือดที่แท้จริงของมังกร…”

“อะไรคือสายเลือดที่แท้จริงของมังกรเหรอ?”

“คือจักรพรรดิมังกรตัวจริงที่ถูกมิติลิขิตมา ถ้าพูดกันง่ายๆคือเขาเป็นเจ้าของมิติ ถ้าเจ้ามองหาคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก บางทีเขาก็อาจจะเป็นจักรพรรดิมังกรตัวจริง แต่นอกจากนี้เจ้ายังต้องตามหาพื้นที่ของการส่งผ่านมิติลับด้วย พูดง่ายๆคือจักรพรรดิมังกรที่แท้จริงจะรู้สึกได้ว่ามันคือที่ไหน” เสี่ยวไป่อธิบาย

หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็เคร่งเครียดขึ้นไปอีก เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถไปที่ดินแดนมังกรเพื่อตามหาพ่อแม่ได้แต่ไม่คิดว่าจะเจอเข้ากับเรื่องแบบนี้ แล้วถ้าพวกเขาหาไม่เจอล่ะ?!

อย่างไรก็ตามเธอไม่จำเป็นต้องกลับมารวมตัวกับทุกคนอีก

“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเรากระโดดลงมาจากหน้าผาของทวีปเฟิงหยุน ทำไมเราถึงมาโผล่ที่มิติอื่นล่ะ?” เฟิงจือหลิงถามด้วยความสงสัย

“เดาว่าเบื้องล่างของหน้าผาน่าจะเป็นอุโมงค์มิติ บางทีวิญญาณชั่วร้ายอาจจะถูกปล่อยออกมาจากโลกปีศาจและเจ้าก็เลยบังเอิญมาโผล่ที่มิติอื่น…” เสี่ยวไป๋อธิบาย

ในจังหวะนั้นมีเสียงฝีเท้าดังอยู่ด้านนอกประตู

มู่หรงเสวี่ยคว้าเสี่ยวไป๋และผลักเข้าไปในมิติลับ

“ก๊อกๆ!” มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู

เฟิงจือหลิงเดินไปเปิดประตู

“ทำไมเจ้าสองคนต้องล็อกประตูอยู่ในห้องเดียวกันด้วย?” คนที่อยู่นอกประตูก็คือจิ่วหยาน

“ไม่มีอะไรหรอก!” มู่หรงค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้และพูดออกมา

“ไปกินข้าวด้วยกันได้แล้ว” จิ่วหยานเองก็ไม่ได้ถามต่อ

ลุงฟูที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ก้มหัวอยู่จึงมองเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัด อย่างไรก็ตามเขาก็แปลกใจอย่างมาก เขาเห็นท่าทางของ มู่เทียนที่อยู่ในห้อง ผมสีม่วงที่เปล่งประกายทำให้เขาตกใจอยู่นานจนแทบจะสงบใจไว้ไม่ได้ แต่ยังไงซะเขาก็เป็นพ่อบ้านขององค์ชายสามมานานหลายปีจึงได้เรียนรู้มาว่าต้องเก็บซ่อนความคิดตัวเองไว้ภายในใจ

อันที่จริงแต่ก่อน การที่จะต้องมาเชิญแขกไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่องค์ชายจะต้องมาทำด้วยตัวเองเลย จากเรื่องนี้ทำให้เขารู้ได้เลยว่าองค์ชายคงจะชอบคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้ามากแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่ผม ขมวดคิ้วและพูดออกมา “ให้ข้าออกไปแบบนี้คงจะไม่ดีเท่าไร ตอนที่กินข้าก็สวมหมวกไม่ได้ด้วย เจ้ากินไปก่อนเลย ข้ายังไม่หิวงั้นข้าไม่ไปแล้วกัน…” ในมิติลับเธอก็มีของกินดังนั้นเธอจึงไม่หิวมาก

รอจนกระทั่งเธอย้อมผมซะก่อนเพราะดูเหมือนว่าพวกเธอคงยังไม่ได้ออกไปจากที่นี่เร็วๆนี้แน่ น่าปวดหัวจริงๆเลย!

จิ่วหยวนขมวดคิ้วและเดินเข้ามานั่งในห้อง “ลุงฟู ตั้งโต๊ะอาหารที่นี่ ส่วนคนอื่นๆให้พวกเขากินที่โถงหลักแล้วกัน”

“แต่…” ลุงฟูลังเล

“พอ! ไม่ต้องพูดแล้ว ไปเตรียมให้พร้อม” จิ่วหยานพูดพร้อมทั้งโบกมือ

“ขอรับ” ลุงฟูรับคำสั่งและเดินออกไป

“อันที่จริงเจ้าไปกินเถอะ ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องข้าหรอก!” มู่หรงเทน้ำชาให้จิ่วหยานแล้วพูดออกมา

“ถ้าเจ้าต้องการอะไรในบ้านนี้ เจ้าก็บอกลุงฟูได้เลยนะ” จิ่วหยานพูด

เฟิงจือหลิงเองก็นั่งลงด้วย ถึงแม้เขากับจิ่วหยานจะเข้ากันไม่ได้เท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจิ่วหยานก็ช่วยพวกเขาไว้มากเหมือนกัน เขาเองก็รู้สึกขอบคุณเขามากเหมือนกัน “จิ่วหยาน ทำไมเจ้าถึงอยากที่จะช่วยพวกเราขนาดนี้?”

จิ่วหยานรับถ้วยน้ำชามาและก็หยุดไปชั่วขณะ “ข้าก็แค่ช่วยตัวเอง…” ส่วนคำที่เหลือไม่ได้พูดออกมา เขาเพียงแค่หวังว่าใครบางคนอย่างมู่เทียนจะหันมาชอบเขาบ้าง ถ้าไม่พูดถึงสีตาของเขา ไม่ว่าจะมุมไหนเขาก็ไม่มีทางแพ้องค์ชายคนไหนแน่ๆ ทำไมท่านพ่อถึงไม่มองมาที่เขาบ้าง

มู่หรงแตะไปที่มือของเฟิงจือหลิงเพื่อเป็นการบอกนัยๆว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว

“จิ่วหยาน ถ้าข้าสามารถช่วยเปลี่ยนสีตาของเจ้าให้กลับมาเป็นสีดำได้ เจ้าอยากที่จะเปลี่ยนหรือเปล่า?” การจะหาคอนแทคเลนส์ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร

ถ้วยชาในมือของจิ่วหยานลื่นเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าพูดเรื่องอะไร?”

“พูดกันง่ายๆนะ มันก็ไม่ใช่การเปลี่ยนสีตาของเจ้าหรอกแต่เป็นการปิดบังสีตาของเจ้าไว้ รวมทั้งเรื่องผมของข้าด้วย ข้าจะทำให้มันเป็นสีดำมันจะได้ไม่เด่นจนเกินไป ถึงแม้ข้าจะรู้สึกว่ามันน่าเสียดายก็เถอะ สีม่วงนี่สวยจะตาย!” มู่หรงแตะไปที่ผมสีม่วงของตัวเองและพูดออกมา

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” จิ่วหยานพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ในยุคของข้า พวกเราต่างก็ชอบสีตาหลายๆสี เช่นสีม่วง, สีฟ้า, สีเขียวหรือสีอื่นๆ โดยที่จริงๆแล้วตาเป็นสีดำ แล้วจะให้พวกราทำยังไงล่ะ? ดังนั้นพวกเราก็เลยผลิตสิ่งที่เรียกว่าคอนแทคเลนส์ขึ้นมา ไม่ต้องห่วงนะ มันก็ต้องใช้เวลาหน่อยแต่ข้าจะสร้างมันขึ้นมาเอง…”

ไม่นานลุงฟูก็เดินนำเหล่าแม่บ้านเข้ามาเพื่อเสิร์ฟอาหารจานแล้วจานเล่า เพราะสีผมของมู่เทียน ลุงฟูจึงไม่ได้เรียกแม่บ้านในคฤหาสน์ออกมาแต่เลือกที่จะเรียกแม่บ้านที่ไว้ใจได้เข้ามาทำหน้าที่แทน

หลังจากที่จิ่วหยานรอให้ลุงฟูและคนอื่นๆออกไปแล้ว เขาก็เปิดปากถามพูดออกมา “กินกันเถอะ! ส่วนเรื่องที่เจ้าพูด จะให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง?” นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ในตอนแรกเขาเองก็พยายามที่จะหาวิธีเพื่อเปลี่ยนสีตาของตัวเองเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาถอดใจแล้ว เขาไม่อยากที่จะหวังแล้วก็เจอกับความผิดหวังครั้งใหญ่

“ไม่ต้องหรอก! ข้าจะบอกเจ้าเองถ้ามีอะไร ว่าแต่เจ้าช่วยบอกอะไรข้าเกี่ยวกับโลกนี้ทีได้ไหม? ตัวอย่างเช่น ใครคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“คนที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?! ทุกประเทศต่างก็ต้องมีคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถ้าเจ้าถามถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ข้าก็บอกไม่ได้หรอก ยังไงซะประเทศทั้งสามของเราก็ถูกแบ่งแยกมาหลายปีแล้ว และจนถึงตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้ทำลายความสงบสุขระหว่างกันหรือพยายามที่จะเปรียบเทียบอะไรเป็นพิเศษ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงพื้นผิวเท่านั้นก็ตาม…”

เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยต่างก็ขมวดคิ้วและสีหน้าของพวกเขาก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ได้ดีไปกว่าทวีปเฟิงหยุนเท่าไร ถ้าเป็นแบบนี้แล้วพวกเธอจะหาคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและสายเลือดที่แท้จริงของมังกรได้ยังไง? พวกเขาไม่อยากที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่มากนัก

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สันติภาพถูกรักษาไว้เพราะพระราชาองค์ก่อนๆทำสนธิสัญญาห้ามรุกรานไว้เป็นร้อยปี ตอนนี้ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั่นมาถึงแล้ว และทั้งสามประเทศก็พร้อมที่จะบุกแล้ว รวมทั้งดินแดนหิมะของเราด้วย และพวกเผ่าที่อยู่ชายแดนก็เริ่มที่จะวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย…”

จะมีพระราชาองค์ไหนบ้างที่ไม่อยากจะครองโลก แม้แต่ท่านพ่อของเขาก็ไม่เว้น ท่านก็อยากที่จะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกและครอบครองโลกไว้!

“หมายความว่า เจ้าอยากที่จะสร้างข้อพิพาทกับโลกนี้งั้นเหรอ?” มู่หรงคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ แล้วแบบนี้สายเลือดที่แท้จริงของมังกรก็จะออกมารวมโลกเข้าด้วยกันงั้นเหรอ?!

มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงมองหน้ากันและต่างก็เข้าใจความหมายของกันและกันได้ในทันที พวกเธอคิดว่าจะไปด้วยกัน

“ฮ่าฮ่า! ชายคนนั้นไม่มีความทะเยอทะยานขนาดนั้นหรอก!” จิ่วหยานไม่ปิดบังความทะเยอทะยานในสายตา

“ถ้าข้าสามารถที่จะช่วยเจ้าสู้ในโลกนี้ได้ แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง…” มู่หรงเสวี่ยพูด

จิ่วหยานดื่มไวน์เข้าไปอึกใหญ่พร้อมทั้งมองไปที่มู่เทียนด้วยสายตาข้างเดียว “เจ้าเหรอ?! ฝันไปเถอะ”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยครึมขึ้น นี่เธอถูกดูถูกงั้นเหรอ?! เธอเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกเลยนะ! “รอดูก็แล้วกัน! คิดซะว่าเราตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าแล้วกัน…” เธอไม่ได้อธิบาย เธอพูดเรื่องจริงกับเขา

จิ่วหยานไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่ยิ้มและส่ายหน้า ทั้งสามกินอาหารกันท่ามกลางความคิดของตัวเอง

หลังจากนั้นจิ่วหยานก็ดูเหมือนจะยุ่งมากๆ หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็น

ส่วนมู่หรงเสวี่ยก็ศึกษาเรื่องการย้อมผมร่วมถึงการสร้างคอนแทคเลนส์อยู่ในมิติลับ เรื่องการย้อมผมเป็นเรื่องง่ายๆและสามารถที่จะใช้สมุนไพรได้โดยตรง แต่คอนแทคเลนส์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่ามาก เธอลองวัสดุหลายอย่างแต่ก็ยังต้องลองอยู่นาน

เฟิงจือหลิงก็จะเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอดเพื่อกันว่าเผื่อจะมีใครเข้ามาและเห็นว่ามู่เทียนไม่ได้อยู่ในห้อง โชคดีที่ช่วงนี้ จิ่วหยานไม่มีเวลาที่จะแวะมาเลยซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับมู่เทียน

จนกระทั่งอาทิตย์หนึ่งผ่านไป มู่หรงก็วิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้น ถือกล่องอยู่ในมือ

“จือหลิง ข้าทำได้แล้ว ถึงแม้มันจะซับซ้อนมากๆแต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จ…”

เฟิงจือหลิงไม่ได้สนใจกล่องที่เขาถืออยู่ในมือ ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ผมสีดำของมู่เทียน “ผมของเจ้าแก้ได้แล้วเหรอ?”

“เจ้าคิดว่าไง? ดีไหม ข้าย้อมผมสำเร็จแล้ว เป็นไงบ้าง? นี่ธรรมชาติเลยนะ!” มู่หรงพูดด้วยความภาคภูมิใจ

เฟิงจือหลิงเองก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากนี้มู่เทียนก็ไม่จำเป็นต้องหลบใครๆแล้ว “ก็ สวยมากเลย!”

“ไปเถอะ ไปหาจิ่วหยานกัน!” มู่หรงเสวี่ยแทบรอไม่ไหวที่จะให้จิ่วหยานได้เห็นความสำเร็จของเธอ

เฟิงจือหลิงเองก็ตามไปไม่ห่าง ตอนนี้ผมของมู่เทียนเป็นปกติแล้วหรือเปล่า? ไม่จำเป็นต้องซ่อนอีกแล้ว

“จิ่วหยาน! ดูข้าสิ…” มู่หรงเสวี่ยวิ่งเข้าไปที่ห้องทำงานของจิ่วหยานและพบว่ามีมากกว่าหนึ่งคนที่อยู่ข้างใน เท้าที่กำลังวิ่งของเธอหยุดลงทันที

“ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่ ขอโทษทีนะ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ เจ้าต่อเถอะ! เฮ้ เฮ้”

เฮ้อะไรเนี่ย! เฮ้! สายตาของเขามันอะไรกัน?! จิ่วหยานค่อยๆผลักซุนหมานหลี่ นายกรัฐมนตรีที่กำลังนอนทับอยู่บนตัวเขาออก เมื่อกี้ซุนหมานหลี่บังเอิญสะดุดเท้าตัวเองและจิ่วหยานเข้าไปช่วยรับตัวเขาไว้ แต่มู่เทียนที่พุ่งเข้ามาในห้อง มองพวกเขาราวกับกำลังทำอะไรที่ไม่ดีอยู่

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 287 ข้อโต้แย้งทั่วโลก

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 287 ข้อโต้แย้งทั่วโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 287

ข้อโต้แย้งทั่วโลก

“พาข้าออกไปดูหน่อย…” เสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจัง

มู่หรงพยักหน้าแล้วเธอกับเสี่ยวไป๋ก็มาปรากฏตัวในห้อง

เสี่ยวไป๋เดินกลับไปกลับมาอยู่สักพักจากนั้นก็ก้มหัวคิดไตร่ตรอง มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสี่ยวไป๋อย่างกังวลและถามออกมา “เป็นไงบ้าง? เสี่ยวไป๋ รู้หรือเปล่าว่าทำไม?”

“มิตินี่มีข้อจำกัดหรือเปล่า? นอกจากเราจะเปิดอุโมงค์ได้ ไม่งั้นเราจะต้องเจอกับงานหนักแล้วแน่ๆ”

“แล้วเราจะเปิดอุโมงค์มิติยังไงล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

เฟิงจือหลิงเองก็มองไปที่เสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ทุกมิติจะมีความแตกต่างกันแต่มีเรื่องหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือคนที่จะเปิดอุโมงค์มิติจะต้องเป็นหนึ่งในสายเลือดที่แท้จริงของมังกร…”

“อะไรคือสายเลือดที่แท้จริงของมังกรเหรอ?”

“คือจักรพรรดิมังกรตัวจริงที่ถูกมิติลิขิตมา ถ้าพูดกันง่ายๆคือเขาเป็นเจ้าของมิติ ถ้าเจ้ามองหาคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก บางทีเขาก็อาจจะเป็นจักรพรรดิมังกรตัวจริง แต่นอกจากนี้เจ้ายังต้องตามหาพื้นที่ของการส่งผ่านมิติลับด้วย พูดง่ายๆคือจักรพรรดิมังกรที่แท้จริงจะรู้สึกได้ว่ามันคือที่ไหน” เสี่ยวไป่อธิบาย

หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็เคร่งเครียดขึ้นไปอีก เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถไปที่ดินแดนมังกรเพื่อตามหาพ่อแม่ได้แต่ไม่คิดว่าจะเจอเข้ากับเรื่องแบบนี้ แล้วถ้าพวกเขาหาไม่เจอล่ะ?!

อย่างไรก็ตามเธอไม่จำเป็นต้องกลับมารวมตัวกับทุกคนอีก

“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเรากระโดดลงมาจากหน้าผาของทวีปเฟิงหยุน ทำไมเราถึงมาโผล่ที่มิติอื่นล่ะ?” เฟิงจือหลิงถามด้วยความสงสัย

“เดาว่าเบื้องล่างของหน้าผาน่าจะเป็นอุโมงค์มิติ บางทีวิญญาณชั่วร้ายอาจจะถูกปล่อยออกมาจากโลกปีศาจและเจ้าก็เลยบังเอิญมาโผล่ที่มิติอื่น…” เสี่ยวไป๋อธิบาย

ในจังหวะนั้นมีเสียงฝีเท้าดังอยู่ด้านนอกประตู

มู่หรงเสวี่ยคว้าเสี่ยวไป๋และผลักเข้าไปในมิติลับ

“ก๊อกๆ!” มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู

เฟิงจือหลิงเดินไปเปิดประตู

“ทำไมเจ้าสองคนต้องล็อกประตูอยู่ในห้องเดียวกันด้วย?” คนที่อยู่นอกประตูก็คือจิ่วหยาน

“ไม่มีอะไรหรอก!” มู่หรงค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้และพูดออกมา

“ไปกินข้าวด้วยกันได้แล้ว” จิ่วหยานเองก็ไม่ได้ถามต่อ

ลุงฟูที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ก้มหัวอยู่จึงมองเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัด อย่างไรก็ตามเขาก็แปลกใจอย่างมาก เขาเห็นท่าทางของ มู่เทียนที่อยู่ในห้อง ผมสีม่วงที่เปล่งประกายทำให้เขาตกใจอยู่นานจนแทบจะสงบใจไว้ไม่ได้ แต่ยังไงซะเขาก็เป็นพ่อบ้านขององค์ชายสามมานานหลายปีจึงได้เรียนรู้มาว่าต้องเก็บซ่อนความคิดตัวเองไว้ภายในใจ

อันที่จริงแต่ก่อน การที่จะต้องมาเชิญแขกไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่องค์ชายจะต้องมาทำด้วยตัวเองเลย จากเรื่องนี้ทำให้เขารู้ได้เลยว่าองค์ชายคงจะชอบคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้ามากแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่ผม ขมวดคิ้วและพูดออกมา “ให้ข้าออกไปแบบนี้คงจะไม่ดีเท่าไร ตอนที่กินข้าก็สวมหมวกไม่ได้ด้วย เจ้ากินไปก่อนเลย ข้ายังไม่หิวงั้นข้าไม่ไปแล้วกัน…” ในมิติลับเธอก็มีของกินดังนั้นเธอจึงไม่หิวมาก

รอจนกระทั่งเธอย้อมผมซะก่อนเพราะดูเหมือนว่าพวกเธอคงยังไม่ได้ออกไปจากที่นี่เร็วๆนี้แน่ น่าปวดหัวจริงๆเลย!

จิ่วหยวนขมวดคิ้วและเดินเข้ามานั่งในห้อง “ลุงฟู ตั้งโต๊ะอาหารที่นี่ ส่วนคนอื่นๆให้พวกเขากินที่โถงหลักแล้วกัน”

“แต่…” ลุงฟูลังเล

“พอ! ไม่ต้องพูดแล้ว ไปเตรียมให้พร้อม” จิ่วหยานพูดพร้อมทั้งโบกมือ

“ขอรับ” ลุงฟูรับคำสั่งและเดินออกไป

“อันที่จริงเจ้าไปกินเถอะ ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องข้าหรอก!” มู่หรงเทน้ำชาให้จิ่วหยานแล้วพูดออกมา

“ถ้าเจ้าต้องการอะไรในบ้านนี้ เจ้าก็บอกลุงฟูได้เลยนะ” จิ่วหยานพูด

เฟิงจือหลิงเองก็นั่งลงด้วย ถึงแม้เขากับจิ่วหยานจะเข้ากันไม่ได้เท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจิ่วหยานก็ช่วยพวกเขาไว้มากเหมือนกัน เขาเองก็รู้สึกขอบคุณเขามากเหมือนกัน “จิ่วหยาน ทำไมเจ้าถึงอยากที่จะช่วยพวกเราขนาดนี้?”

จิ่วหยานรับถ้วยน้ำชามาและก็หยุดไปชั่วขณะ “ข้าก็แค่ช่วยตัวเอง…” ส่วนคำที่เหลือไม่ได้พูดออกมา เขาเพียงแค่หวังว่าใครบางคนอย่างมู่เทียนจะหันมาชอบเขาบ้าง ถ้าไม่พูดถึงสีตาของเขา ไม่ว่าจะมุมไหนเขาก็ไม่มีทางแพ้องค์ชายคนไหนแน่ๆ ทำไมท่านพ่อถึงไม่มองมาที่เขาบ้าง

มู่หรงแตะไปที่มือของเฟิงจือหลิงเพื่อเป็นการบอกนัยๆว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว

“จิ่วหยาน ถ้าข้าสามารถช่วยเปลี่ยนสีตาของเจ้าให้กลับมาเป็นสีดำได้ เจ้าอยากที่จะเปลี่ยนหรือเปล่า?” การจะหาคอนแทคเลนส์ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร

ถ้วยชาในมือของจิ่วหยานลื่นเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าพูดเรื่องอะไร?”

“พูดกันง่ายๆนะ มันก็ไม่ใช่การเปลี่ยนสีตาของเจ้าหรอกแต่เป็นการปิดบังสีตาของเจ้าไว้ รวมทั้งเรื่องผมของข้าด้วย ข้าจะทำให้มันเป็นสีดำมันจะได้ไม่เด่นจนเกินไป ถึงแม้ข้าจะรู้สึกว่ามันน่าเสียดายก็เถอะ สีม่วงนี่สวยจะตาย!” มู่หรงแตะไปที่ผมสีม่วงของตัวเองและพูดออกมา

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” จิ่วหยานพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ในยุคของข้า พวกเราต่างก็ชอบสีตาหลายๆสี เช่นสีม่วง, สีฟ้า, สีเขียวหรือสีอื่นๆ โดยที่จริงๆแล้วตาเป็นสีดำ แล้วจะให้พวกราทำยังไงล่ะ? ดังนั้นพวกเราก็เลยผลิตสิ่งที่เรียกว่าคอนแทคเลนส์ขึ้นมา ไม่ต้องห่วงนะ มันก็ต้องใช้เวลาหน่อยแต่ข้าจะสร้างมันขึ้นมาเอง…”

ไม่นานลุงฟูก็เดินนำเหล่าแม่บ้านเข้ามาเพื่อเสิร์ฟอาหารจานแล้วจานเล่า เพราะสีผมของมู่เทียน ลุงฟูจึงไม่ได้เรียกแม่บ้านในคฤหาสน์ออกมาแต่เลือกที่จะเรียกแม่บ้านที่ไว้ใจได้เข้ามาทำหน้าที่แทน

หลังจากที่จิ่วหยานรอให้ลุงฟูและคนอื่นๆออกไปแล้ว เขาก็เปิดปากถามพูดออกมา “กินกันเถอะ! ส่วนเรื่องที่เจ้าพูด จะให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง?” นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ในตอนแรกเขาเองก็พยายามที่จะหาวิธีเพื่อเปลี่ยนสีตาของตัวเองเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาถอดใจแล้ว เขาไม่อยากที่จะหวังแล้วก็เจอกับความผิดหวังครั้งใหญ่

“ไม่ต้องหรอก! ข้าจะบอกเจ้าเองถ้ามีอะไร ว่าแต่เจ้าช่วยบอกอะไรข้าเกี่ยวกับโลกนี้ทีได้ไหม? ตัวอย่างเช่น ใครคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“คนที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?! ทุกประเทศต่างก็ต้องมีคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถ้าเจ้าถามถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ข้าก็บอกไม่ได้หรอก ยังไงซะประเทศทั้งสามของเราก็ถูกแบ่งแยกมาหลายปีแล้ว และจนถึงตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้ทำลายความสงบสุขระหว่างกันหรือพยายามที่จะเปรียบเทียบอะไรเป็นพิเศษ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงพื้นผิวเท่านั้นก็ตาม…”

เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยต่างก็ขมวดคิ้วและสีหน้าของพวกเขาก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ได้ดีไปกว่าทวีปเฟิงหยุนเท่าไร ถ้าเป็นแบบนี้แล้วพวกเธอจะหาคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและสายเลือดที่แท้จริงของมังกรได้ยังไง? พวกเขาไม่อยากที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่มากนัก

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สันติภาพถูกรักษาไว้เพราะพระราชาองค์ก่อนๆทำสนธิสัญญาห้ามรุกรานไว้เป็นร้อยปี ตอนนี้ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั่นมาถึงแล้ว และทั้งสามประเทศก็พร้อมที่จะบุกแล้ว รวมทั้งดินแดนหิมะของเราด้วย และพวกเผ่าที่อยู่ชายแดนก็เริ่มที่จะวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย…”

จะมีพระราชาองค์ไหนบ้างที่ไม่อยากจะครองโลก แม้แต่ท่านพ่อของเขาก็ไม่เว้น ท่านก็อยากที่จะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกและครอบครองโลกไว้!

“หมายความว่า เจ้าอยากที่จะสร้างข้อพิพาทกับโลกนี้งั้นเหรอ?” มู่หรงคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ แล้วแบบนี้สายเลือดที่แท้จริงของมังกรก็จะออกมารวมโลกเข้าด้วยกันงั้นเหรอ?!

มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงมองหน้ากันและต่างก็เข้าใจความหมายของกันและกันได้ในทันที พวกเธอคิดว่าจะไปด้วยกัน

“ฮ่าฮ่า! ชายคนนั้นไม่มีความทะเยอทะยานขนาดนั้นหรอก!” จิ่วหยานไม่ปิดบังความทะเยอทะยานในสายตา

“ถ้าข้าสามารถที่จะช่วยเจ้าสู้ในโลกนี้ได้ แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง…” มู่หรงเสวี่ยพูด

จิ่วหยานดื่มไวน์เข้าไปอึกใหญ่พร้อมทั้งมองไปที่มู่เทียนด้วยสายตาข้างเดียว “เจ้าเหรอ?! ฝันไปเถอะ”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยครึมขึ้น นี่เธอถูกดูถูกงั้นเหรอ?! เธอเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกเลยนะ! “รอดูก็แล้วกัน! คิดซะว่าเราตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าแล้วกัน…” เธอไม่ได้อธิบาย เธอพูดเรื่องจริงกับเขา

จิ่วหยานไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่ยิ้มและส่ายหน้า ทั้งสามกินอาหารกันท่ามกลางความคิดของตัวเอง

หลังจากนั้นจิ่วหยานก็ดูเหมือนจะยุ่งมากๆ หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็น

ส่วนมู่หรงเสวี่ยก็ศึกษาเรื่องการย้อมผมร่วมถึงการสร้างคอนแทคเลนส์อยู่ในมิติลับ เรื่องการย้อมผมเป็นเรื่องง่ายๆและสามารถที่จะใช้สมุนไพรได้โดยตรง แต่คอนแทคเลนส์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่ามาก เธอลองวัสดุหลายอย่างแต่ก็ยังต้องลองอยู่นาน

เฟิงจือหลิงก็จะเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอดเพื่อกันว่าเผื่อจะมีใครเข้ามาและเห็นว่ามู่เทียนไม่ได้อยู่ในห้อง โชคดีที่ช่วงนี้ จิ่วหยานไม่มีเวลาที่จะแวะมาเลยซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับมู่เทียน

จนกระทั่งอาทิตย์หนึ่งผ่านไป มู่หรงก็วิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้น ถือกล่องอยู่ในมือ

“จือหลิง ข้าทำได้แล้ว ถึงแม้มันจะซับซ้อนมากๆแต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จ…”

เฟิงจือหลิงไม่ได้สนใจกล่องที่เขาถืออยู่ในมือ ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ผมสีดำของมู่เทียน “ผมของเจ้าแก้ได้แล้วเหรอ?”

“เจ้าคิดว่าไง? ดีไหม ข้าย้อมผมสำเร็จแล้ว เป็นไงบ้าง? นี่ธรรมชาติเลยนะ!” มู่หรงพูดด้วยความภาคภูมิใจ

เฟิงจือหลิงเองก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากนี้มู่เทียนก็ไม่จำเป็นต้องหลบใครๆแล้ว “ก็ สวยมากเลย!”

“ไปเถอะ ไปหาจิ่วหยานกัน!” มู่หรงเสวี่ยแทบรอไม่ไหวที่จะให้จิ่วหยานได้เห็นความสำเร็จของเธอ

เฟิงจือหลิงเองก็ตามไปไม่ห่าง ตอนนี้ผมของมู่เทียนเป็นปกติแล้วหรือเปล่า? ไม่จำเป็นต้องซ่อนอีกแล้ว

“จิ่วหยาน! ดูข้าสิ…” มู่หรงเสวี่ยวิ่งเข้าไปที่ห้องทำงานของจิ่วหยานและพบว่ามีมากกว่าหนึ่งคนที่อยู่ข้างใน เท้าที่กำลังวิ่งของเธอหยุดลงทันที

“ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่ ขอโทษทีนะ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ เจ้าต่อเถอะ! เฮ้ เฮ้”

เฮ้อะไรเนี่ย! เฮ้! สายตาของเขามันอะไรกัน?! จิ่วหยานค่อยๆผลักซุนหมานหลี่ นายกรัฐมนตรีที่กำลังนอนทับอยู่บนตัวเขาออก เมื่อกี้ซุนหมานหลี่บังเอิญสะดุดเท้าตัวเองและจิ่วหยานเข้าไปช่วยรับตัวเขาไว้ แต่มู่เทียนที่พุ่งเข้ามาในห้อง มองพวกเขาราวกับกำลังทำอะไรที่ไม่ดีอยู่

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+