ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 264 ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้าจะไม่มีที่สิ้นสุด

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 264 ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้าจะไม่มีที่สิ้นสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 264 ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้าจะไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเดินออกมา เธอก็เห็นว่ามีเพียงเฟิงจือหลินที่อยู่ที่นี่ เธอถามด้วยความสงสัย “แล้วคนอื่นหายไปไหนกันหมดล่ะ?”

เฟิงจือหลินชี้ไปทางป่าที่อยู่ห่างออกไป “พวกเขาเข้าไปฝึกกัน หลายวันที่ผ่านมานี้เป็นการฝึกเพื่อเอาตัวรอด…” อันที่จริงเธอเองก็ต้องฝึกด้วยเหมือนกันแต่ว่าเธอผ่านออกมาก่อน

มู่หรงเสวี่ยออกไปข้างนอกหลายวันและข้างในก็ผ่านไปหลายทศวรรษ ตอนนี้เฟิงจือหลินไม่แปลกใจเรื่องระดับความสำเร็จของมู่เทียนแล้ว เมื่อมีอาวุธเวทมนตร์ที่ขี้โกงอย่างมิติลับอยู่ด้วย แล้วจะไม่ใช้ได้ยังไง? จะไม่เอามาใช้หรือไง?!!

“ว่าแต่ พี่ชายข้าอยู่ไหน?” เฟิงจือหลินไม่เห็นพี่ชายจึงถามออกมาด้วยความสงสัย

มู่หรงเสวี่ยชี้ไปในทิศทางของน้ำตก “เขาอยู่ทางโน้น ไปหาเขาสิ เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร…”

เฟิงจือหลินพยักหน้าและวิ่งไปในทิศทางที่พี่ชายอยู่

มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่ป่าเพื่อดูคนอื่นๆ เธอควบคุมลมหายใจของตัวเองเพื่อไม่ให้รบกวนการฝึกของทุกคน เธอเห็นหลินหนานและคนอื่นๆจากไกลๆแต่ก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ เธอดูสถานการณ์ของทุกคนโดยใช้พลังแห่งจิตวิญญาณแทน เธอเห็นว่าพวกเขาทุกคนได้รับการเลื่อนระดับ แม้แต่หวู่เสี่ยวเหมยที่อ่อนที่สุดก็ยังได้เลื่อนขึ้นมาในระดับสีเหลืองแล้ว

เมื่อได้รู้แล้วเธอก็เดินออกห่างมาอย่างเงียบๆและแวบออกมาจากมิติลับ

หลังจากที่ได้พักมาทั้งคืน มู่หรงเสวี่ยก็กลับเข้าไปในมิติลับอีกครั้งและเห็นว่าทุกคนต่างก็ผ่านระดับกันหมดแล้วและมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เริ่มซะที

“ยินดีสำหรับความก้าวหน้าของทุกคนด้วยนะ ต่อไปเราจะออกไปข้างนอกกันแล้ว พวกเจ้าพร้อมหรือเปล่า?” หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เฟิงจือหลิงและเห็นว่าสีหน้าของเขาสงบเรียบ เขาน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว

ทุกคนเปลี่ยนกลับไปเป็นระดับเดิมก่อนหน้าและทั่วทั้งร่างกายก็ดูมีกำลังสดชื่น ทุกคนพยักหน้า “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

ทุกคนยื่นมือมาจับมือมู่หรงเสวี่ยและก็แวบเข้ามาที่ห้องทันที

หลินหนานและคนอื่นๆเดินออกไปที่ประตูและลงไปข้างล่าง เฟิงจือหลิงคืนกุญแจให้เจ้าของโรงเตี๊ยมและเดินออกประตูไปพร้อมมู่เทียนและคนอื่นๆ

เจ้าของโรงเตี๊ยมมีสีหน้าสับสน เมื่อวานมีคนมากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?!! ทำไมเขาถึงจำได้ว่ามีแค่สองคนล่ะ? อีกอย่าง คนเยอะขนาดนั้นแล้วอยู่กันในห้องเดียวเนี่ยนะ? อยู่กันยังไง? เจ้าของโรงเตี๊ยมงงไปหมดแต่ไม่ว่าเขาจะงงมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้ความจริงแล้ว

ตอนที่เข้ามาในเมืองเมื่อวาน มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็เหนื่อยล้าไปกับการหาโรงเตี๊ยมจึงไม่มีเวลาได้เพลิดเพลินกับวิวของถนนเท่าไร

ดังนั้นวันนี้มู่หรงเสวี่ยจึงค่อนข้างที่จะสนใจกับการมองข้าวของมากมายที่วางขายอยู่ตามริมฝั่งถนน ซึ่งมีงานฝีมือมากมายที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยจนทำให้เธอชื่นชอบอย่างมาก

หลินหนานและคนอื่นต่างก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อมองไปที่มู่เทียนที่แม้แต่หม้อธรรมดาๆก็ทำให้เขายืนชื่นชมอยู่ได้เป็นเวลานาน พวกเขาอยากที่จะอยู่ห่างๆและแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา

อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างก็รู้ว่ามู่เทียนไม่ใช่คนจากโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลี่ยงความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆมากมายของเธอไม่ได้

ดังนั้นหลังจากที่เดินอยู่บนถนนได้ครึ่งวัน พวกเขาก็จ้างรถม้าให้วิ่งจากกลางเมืองไปที่เมืองทางตะวันออกแทน เพราะสำนักหลงหยู่อยู่ที่ใจกลางของเมืองและตอนนี้พวกเขาก็เพิ่งจะอยู่ตรงขอบของประตูเมืองเท่านั้นเอง จากกลางเมืองยังห่างอีกไกล และเดาว่าถ้าเดินไปตามถนนก็คงต้องใช้เวลาอีกสามวันกว่าจะถึงแน่ๆ

ในเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณ ไม่งั้นจะถือว่าเป็นการโจมตีของศัตรู

อีกอย่างมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆก็สามารถที่จะบินได้เพียงแค่เวลาสั้นๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แค่เรื่องพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว พูดกันว่าคนที่ขึ้นไปถึงระดับสีม่วงสามารถที่จะบินอยู่บนฟ้าได้ราวกับเดินอยู่บนพื้น

หลังจากที่เดินทางมาหลายวัน ในที่สุดมู่เทียนและคนอื่นๆก็มาถึงเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองของเมืองตะวันออก ถนนดูกว้างกว่ามากและทั้งสองฝั่งถนนไม่มีแผงขายของที่ไม่เป็นระเบียบเลย ทุกร้านจะจัดวางอย่างเป็นระเบียบจนรู้สึกได้ถึงความเข้มงวดของเมืองหลวงของจักรวรรดิเลย

ตามถนนจะมีคนเดินเท้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่นและทุกคนก็ดูเหมือนจะชื่นชอบกับธรรมชาติของที่นี่อย่างมาก

หลังจากที่เข้ามาในเมืองแห่งจักรวรรดิแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้รถม้า หลินหนานและคนอื่นๆจึงต้องลงจากรถและมาเดิน และเพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของมู่เทียนและพี่น้องเฟิง พร้อมด้วยจำนวนคนที่เป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาจึงดึงดูดสายตาของคนบนถนนได้มากมาย

มีคนโยนผ้าเช็ดหน้าให้มู่หรงเสวี่ยตลอดทางและก็ถูกชนหลายครั้งด้วย ขนาดเธอที่ซื่อบื้อก็ยังรู้ได้เลยว่าผู้หญิงพวกนั้นหลงรักเธอ

“ดูเหมือนว่าข้าจะมีเสน่ห์ล้นเหลือจริงๆนะ!” มู่หรงเสวี่ยร้องอุทาน!

แล้วก็มีสายตาดูถูกและคำพูดดังมาจากข้างๆทันที “หน้าไม่อาย ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้” นี่คือสิ่งที่เฟิงจือหลิงพูดออกมา และคนอื่นๆต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง นี่มันน่าอายจริงๆด้วย โอ๊ย!!!

“โอ้ ดูรูปร่างที่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่หล่อเหลา สมองที่ชาญฉลาดของข้าสิ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะรู้สึกอิจฉา ไม่ต้องห่วงนะข้าเข้าใจ!” มู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะอยู่ในขั้นหลงตัวเองพร้อมทั้งส่งยิ้มเขินๆส่งไปให้สาวที่อยู่ไม่ห่าง

ทนไม่ไหวแล้ว!!!

เฟิงจือหลิงเล็งไปที่ด้านหลังเสื้อของมู่หรงเสวี่ยและยกเธอเข้าไปในโรงเตี๊ยม

“นี่ปล่อยข้าลงนะ ถึงจะอิจฉาแต่ก็ห้ามใช้ความรุนแรงสิ!” มู่หรงพูดอย่างไม่ยอมแพ้

เฟิงจือหลิงมองสายตาที่แน่วแน่ในมืออย่างเย็นชา ในโลกนี้มีคนแบบนี้อยู่ด้วยได้ยังไงเนี่ย? มันรู้สึกแปลกๆในหัวใจจริงๆ ทั้งๆที่เกลียดจนเข้ากระดูกดำแต่ก็ไม่อยากที่จะทำร้ายเขาเลยสักนิด

ช่างเขาเถอะ

ดวงตาของเฟิงจือหลิงเข้มขึ้นชั่วขณะแล้วปล่อยมู่เทียนลง

“เจ็ดห้อง!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาที่โต๊ะต้อนรับของโรงเตี๊ยม

“ได้!”

หลังจากนั้นสักพัก ห้องก็ถูกเปิด พวกเขาไม่ได้แยกกันแต่กลับมารวมอยู่ในห้องเดียวกัน พวกเขาอยากที่จะคุยกันเรื่องแผนต่อไป

“ยังเหลืออีกสามวันที่สำนักหลงหยู่จะเปิดรับสมัคร เจ้าไปสมัครพรุ่งนี้ก็ได้ ยิ่งสมัครเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี โควต้ามีจำกัด” เฟิงจือหลิงพูดเพราะเขากับน้องสาวเป็นศิษย์ของสำนักหลงหยู่อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปเข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ตามทีมของมู่เทียนทำให้เขาเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย

“งั้นไปที่นั่นพรุ่งนี้กัน”

“แต่ระดับการฝึกตนของข้ายังไม่ถึงในระดับต่ำสุดเลยนะ…” หวู่เสี่ยวเหมยกัดริมฝีปากซึ่งเธอเป็นคนที่ระดับการฝึกตนต่ำที่สุด

“ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้ายังเป็นการเล่นแร่แปรธาตุด้วย บางทีอาจจะยืดหยุ่นได้ อีกอย่างเจ้าลืมมิติลับของข้าแล้วหรือไง? หลังจากที่เจ้าลงชื่อสมัครแล้วพรุ่งนี้ เจ้าก็เข้าไปในมิติลับเพื่อฝึกตน การประเมินจะถูกจัดขึ้นในอีกอาทิตย์ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองอะไรมากนักหรอก ไม่ว่ายังไง เราก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าเดียวดายหรอกนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดปลอบใจ

หวู่เสี่ยวเหมยรู้ว่าทุกคนจะไม่ทิ้งเธอไว้ลำพัง เพราะแบบนั้นเธอจึงยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เป็นเธอเองที่ถ่วงทุกคนไว้ ในการต่อสู้ครั้งล่าสุดก็ด้วยเหมือนกัน เธอช่วยอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ทักษะเรื่องยาอันน้อยนิดที่เคยช่วยพวกเธอไว้ในอดีตก็ยังเทียบอะไรไม่ได้กับของมู่เทียนเลย แน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้สึกอิจฉามู่เทียน เธอแค่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ว่าเธอจะพยายามมากแค่ไหน เธอก็ดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้สักที

“เสี่ยวเหมย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้านะ ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก!” พวกเขาต่างก็ปลอบใจกันและกัน!

หวู่เสี่ยวเหมยเผยรอยยิ้มอย่างเกร็งๆ

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ หวู่เสี่ยวเหมยจะต้องเกิดปมในใจแน่ๆไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่เป็นเรื่องต้องห้ามที่สุดในเส้นทางของการฝึกตนคือการมีปมในหัวใจ

“พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าจะเข้าไปเอาอะไรในมิติลับซะหน่อย!” หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ เธอก็แวบเข้าไปในมิติลับ เมื่อเจ้าลูกบอลอ้วนสีขาว เธอก็ปลุกมันขึ้นมาถาม “เสี่ยวไป๋ ข้าจะทำอะไรได้บ้างไหมเพื่อที่จะเพิ่มศักยภาพของคนคนหนึ่ง?”

เสี่ยวไป๋จ้องมาที่เธอและพูดออกมา “เจ้าเองก็มีร่างกายที่เป็นสมบัติแห่งสวรรค์อยู่แล้ว ยังอยากได้ศักยภาพด้านไหนอีกล่ะ?”

“ไม่ใช่ข้าหรอก หวู่เสี่ยวเหมยน่ะ มีวิธีบ้างไหม?”

“เด็กนั่น ศักยภาพของเธอต่ำมากจริงๆ…มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีหรอก…”

“พูดมา วิธีอะไร?” มู่หรงถามอย่างประหลาดใจ

“ตราบใดที่เจ้ามียาล้างไขกระดูก…” หลังจากที่พูดออกไปแล้วเสี่ยวไป๋ก็หันกลับไปกัดผลไม้แห่งจิตวิญญาณของมันต่อ พระเจ้าห้ามไม่ให้การฝึกตนของมันพัฒนาได้อีกและข้อห้ามนี้ก็ปลดไม่ได้ด้วย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้บอกมู่หรงเสวี่ยว่าระดับการฝึกตนของเธอต่ำเกินไปและอีกเรื่องก็คือตัวตนของมัน มันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าจะไม่บอกให้เธอรู้

ยาล้างไขกระดูกงั้นเหรอ?! มู่หรงเสวี่ยรีบทิ้งเสี่ยวไป๋และวิ่งไปที่วิหารเก้าชั้นทันที เธอจำได้ว่ามีวิธีการปรุงยาล้างไขกระดูกอยู่

เสี่ยวไป๋แตะไปที่ก้นที่เจ็บของมัน และนี่เป็นอีกครั้งที่มันนึกเกลียดมู่หรงเสวี่ย ไอ้คนทุเรศ

มู่หรงเสวี่ยเจอวิธีปรุงยาแต่ก็เจอว่าการจะปรุงยานี้จำเป็นต้องขึ้นไปอยู่ในระดับนักเล่นแร่แปรธาตุระดับปรมาจารย์ นั่นคือยาในระดับ 7 ตอนนี้เธอปรุงยาได้แค่ในระดับที่ 6 เท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้ เธอเดินตรงไปที่ทุ่งสมุนไพรเพื่อหาสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อปรุงยาล้างไขกระดูก โชคดีที่ในมิติลับนี้มีทุกอย่าง มันมีสมุนไพรที่มีค่ามากมาย แม้ว่าบางชนิดเธอก็ยังไม่รู้ว่ามันคือสมุนไพรแบบไหนกันก็ตาม แต่เธอก็รู้ว่าพวกมันมีค่าอย่างมาก

อย่างไรก็ตามความฝันเป็นสิ่งที่หอมหวานแต่ความจริงกลับขมขื่น

หลังจากที่ลองปรุงยาอยู่ในมิติลับมาทั้งเดือน เธอก็ล้มเหลวไม่เป็นท่านับครั้งไม่ถ้วน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะข้ามชั้นของการเล่นแร่แปรธาตุ

เธอเสียสมุนไพรไปมาก โชคดีที่สมุนไพรที่สะสมมาหลายล้านปีไม่ใช่เรื่องตลก ไม่งั้นคนทั่วไปคงหาซื้อกันได้ทั่วไปแล้ว พูดได้ว่าอาชีพนักเล่นแร่แปรธาตุสามารถที่จะทำกำไรได้มากและก็สูญเงินไปมาในเวลาเดียวกันด้วย

เสี่ยวไป๋ทนดูไม่ได้อีกแล้ว “ถึงแม้เจ้าจะลองแบบเดิมไปอีก 100 ปี เจ้าก็ยังล้มเหลวเหมือนเดิม เจ้าพึ่งตำรามากเกินไปและวิธีในตำราบางเล่มก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน…” มันเดินออกมาและเชื่อว่ามู่หรงเสวี่ยฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องที่มันพูดได้อย่างแท้จริง

มู่หรงเสวี่ยหยุดการเคลื่อนไหวและคิดถึงสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจัง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 264 ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้าจะไม่มีที่สิ้นสุด

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 264 ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้าจะไม่มีที่สิ้นสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 264 ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้าจะไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเดินออกมา เธอก็เห็นว่ามีเพียงเฟิงจือหลินที่อยู่ที่นี่ เธอถามด้วยความสงสัย “แล้วคนอื่นหายไปไหนกันหมดล่ะ?”

เฟิงจือหลินชี้ไปทางป่าที่อยู่ห่างออกไป “พวกเขาเข้าไปฝึกกัน หลายวันที่ผ่านมานี้เป็นการฝึกเพื่อเอาตัวรอด…” อันที่จริงเธอเองก็ต้องฝึกด้วยเหมือนกันแต่ว่าเธอผ่านออกมาก่อน

มู่หรงเสวี่ยออกไปข้างนอกหลายวันและข้างในก็ผ่านไปหลายทศวรรษ ตอนนี้เฟิงจือหลินไม่แปลกใจเรื่องระดับความสำเร็จของมู่เทียนแล้ว เมื่อมีอาวุธเวทมนตร์ที่ขี้โกงอย่างมิติลับอยู่ด้วย แล้วจะไม่ใช้ได้ยังไง? จะไม่เอามาใช้หรือไง?!!

“ว่าแต่ พี่ชายข้าอยู่ไหน?” เฟิงจือหลินไม่เห็นพี่ชายจึงถามออกมาด้วยความสงสัย

มู่หรงเสวี่ยชี้ไปในทิศทางของน้ำตก “เขาอยู่ทางโน้น ไปหาเขาสิ เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร…”

เฟิงจือหลินพยักหน้าและวิ่งไปในทิศทางที่พี่ชายอยู่

มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่ป่าเพื่อดูคนอื่นๆ เธอควบคุมลมหายใจของตัวเองเพื่อไม่ให้รบกวนการฝึกของทุกคน เธอเห็นหลินหนานและคนอื่นๆจากไกลๆแต่ก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ เธอดูสถานการณ์ของทุกคนโดยใช้พลังแห่งจิตวิญญาณแทน เธอเห็นว่าพวกเขาทุกคนได้รับการเลื่อนระดับ แม้แต่หวู่เสี่ยวเหมยที่อ่อนที่สุดก็ยังได้เลื่อนขึ้นมาในระดับสีเหลืองแล้ว

เมื่อได้รู้แล้วเธอก็เดินออกห่างมาอย่างเงียบๆและแวบออกมาจากมิติลับ

หลังจากที่ได้พักมาทั้งคืน มู่หรงเสวี่ยก็กลับเข้าไปในมิติลับอีกครั้งและเห็นว่าทุกคนต่างก็ผ่านระดับกันหมดแล้วและมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เริ่มซะที

“ยินดีสำหรับความก้าวหน้าของทุกคนด้วยนะ ต่อไปเราจะออกไปข้างนอกกันแล้ว พวกเจ้าพร้อมหรือเปล่า?” หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เฟิงจือหลิงและเห็นว่าสีหน้าของเขาสงบเรียบ เขาน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว

ทุกคนเปลี่ยนกลับไปเป็นระดับเดิมก่อนหน้าและทั่วทั้งร่างกายก็ดูมีกำลังสดชื่น ทุกคนพยักหน้า “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

ทุกคนยื่นมือมาจับมือมู่หรงเสวี่ยและก็แวบเข้ามาที่ห้องทันที

หลินหนานและคนอื่นๆเดินออกไปที่ประตูและลงไปข้างล่าง เฟิงจือหลิงคืนกุญแจให้เจ้าของโรงเตี๊ยมและเดินออกประตูไปพร้อมมู่เทียนและคนอื่นๆ

เจ้าของโรงเตี๊ยมมีสีหน้าสับสน เมื่อวานมีคนมากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?!! ทำไมเขาถึงจำได้ว่ามีแค่สองคนล่ะ? อีกอย่าง คนเยอะขนาดนั้นแล้วอยู่กันในห้องเดียวเนี่ยนะ? อยู่กันยังไง? เจ้าของโรงเตี๊ยมงงไปหมดแต่ไม่ว่าเขาจะงงมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้ความจริงแล้ว

ตอนที่เข้ามาในเมืองเมื่อวาน มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็เหนื่อยล้าไปกับการหาโรงเตี๊ยมจึงไม่มีเวลาได้เพลิดเพลินกับวิวของถนนเท่าไร

ดังนั้นวันนี้มู่หรงเสวี่ยจึงค่อนข้างที่จะสนใจกับการมองข้าวของมากมายที่วางขายอยู่ตามริมฝั่งถนน ซึ่งมีงานฝีมือมากมายที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยจนทำให้เธอชื่นชอบอย่างมาก

หลินหนานและคนอื่นต่างก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อมองไปที่มู่เทียนที่แม้แต่หม้อธรรมดาๆก็ทำให้เขายืนชื่นชมอยู่ได้เป็นเวลานาน พวกเขาอยากที่จะอยู่ห่างๆและแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา

อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างก็รู้ว่ามู่เทียนไม่ใช่คนจากโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลี่ยงความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆมากมายของเธอไม่ได้

ดังนั้นหลังจากที่เดินอยู่บนถนนได้ครึ่งวัน พวกเขาก็จ้างรถม้าให้วิ่งจากกลางเมืองไปที่เมืองทางตะวันออกแทน เพราะสำนักหลงหยู่อยู่ที่ใจกลางของเมืองและตอนนี้พวกเขาก็เพิ่งจะอยู่ตรงขอบของประตูเมืองเท่านั้นเอง จากกลางเมืองยังห่างอีกไกล และเดาว่าถ้าเดินไปตามถนนก็คงต้องใช้เวลาอีกสามวันกว่าจะถึงแน่ๆ

ในเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณ ไม่งั้นจะถือว่าเป็นการโจมตีของศัตรู

อีกอย่างมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆก็สามารถที่จะบินได้เพียงแค่เวลาสั้นๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แค่เรื่องพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว พูดกันว่าคนที่ขึ้นไปถึงระดับสีม่วงสามารถที่จะบินอยู่บนฟ้าได้ราวกับเดินอยู่บนพื้น

หลังจากที่เดินทางมาหลายวัน ในที่สุดมู่เทียนและคนอื่นๆก็มาถึงเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองของเมืองตะวันออก ถนนดูกว้างกว่ามากและทั้งสองฝั่งถนนไม่มีแผงขายของที่ไม่เป็นระเบียบเลย ทุกร้านจะจัดวางอย่างเป็นระเบียบจนรู้สึกได้ถึงความเข้มงวดของเมืองหลวงของจักรวรรดิเลย

ตามถนนจะมีคนเดินเท้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่นและทุกคนก็ดูเหมือนจะชื่นชอบกับธรรมชาติของที่นี่อย่างมาก

หลังจากที่เข้ามาในเมืองแห่งจักรวรรดิแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้รถม้า หลินหนานและคนอื่นๆจึงต้องลงจากรถและมาเดิน และเพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของมู่เทียนและพี่น้องเฟิง พร้อมด้วยจำนวนคนที่เป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาจึงดึงดูดสายตาของคนบนถนนได้มากมาย

มีคนโยนผ้าเช็ดหน้าให้มู่หรงเสวี่ยตลอดทางและก็ถูกชนหลายครั้งด้วย ขนาดเธอที่ซื่อบื้อก็ยังรู้ได้เลยว่าผู้หญิงพวกนั้นหลงรักเธอ

“ดูเหมือนว่าข้าจะมีเสน่ห์ล้นเหลือจริงๆนะ!” มู่หรงเสวี่ยร้องอุทาน!

แล้วก็มีสายตาดูถูกและคำพูดดังมาจากข้างๆทันที “หน้าไม่อาย ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้” นี่คือสิ่งที่เฟิงจือหลิงพูดออกมา และคนอื่นๆต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง นี่มันน่าอายจริงๆด้วย โอ๊ย!!!

“โอ้ ดูรูปร่างที่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่หล่อเหลา สมองที่ชาญฉลาดของข้าสิ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะรู้สึกอิจฉา ไม่ต้องห่วงนะข้าเข้าใจ!” มู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะอยู่ในขั้นหลงตัวเองพร้อมทั้งส่งยิ้มเขินๆส่งไปให้สาวที่อยู่ไม่ห่าง

ทนไม่ไหวแล้ว!!!

เฟิงจือหลิงเล็งไปที่ด้านหลังเสื้อของมู่หรงเสวี่ยและยกเธอเข้าไปในโรงเตี๊ยม

“นี่ปล่อยข้าลงนะ ถึงจะอิจฉาแต่ก็ห้ามใช้ความรุนแรงสิ!” มู่หรงพูดอย่างไม่ยอมแพ้

เฟิงจือหลิงมองสายตาที่แน่วแน่ในมืออย่างเย็นชา ในโลกนี้มีคนแบบนี้อยู่ด้วยได้ยังไงเนี่ย? มันรู้สึกแปลกๆในหัวใจจริงๆ ทั้งๆที่เกลียดจนเข้ากระดูกดำแต่ก็ไม่อยากที่จะทำร้ายเขาเลยสักนิด

ช่างเขาเถอะ

ดวงตาของเฟิงจือหลิงเข้มขึ้นชั่วขณะแล้วปล่อยมู่เทียนลง

“เจ็ดห้อง!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาที่โต๊ะต้อนรับของโรงเตี๊ยม

“ได้!”

หลังจากนั้นสักพัก ห้องก็ถูกเปิด พวกเขาไม่ได้แยกกันแต่กลับมารวมอยู่ในห้องเดียวกัน พวกเขาอยากที่จะคุยกันเรื่องแผนต่อไป

“ยังเหลืออีกสามวันที่สำนักหลงหยู่จะเปิดรับสมัคร เจ้าไปสมัครพรุ่งนี้ก็ได้ ยิ่งสมัครเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี โควต้ามีจำกัด” เฟิงจือหลิงพูดเพราะเขากับน้องสาวเป็นศิษย์ของสำนักหลงหยู่อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปเข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ตามทีมของมู่เทียนทำให้เขาเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย

“งั้นไปที่นั่นพรุ่งนี้กัน”

“แต่ระดับการฝึกตนของข้ายังไม่ถึงในระดับต่ำสุดเลยนะ…” หวู่เสี่ยวเหมยกัดริมฝีปากซึ่งเธอเป็นคนที่ระดับการฝึกตนต่ำที่สุด

“ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้ายังเป็นการเล่นแร่แปรธาตุด้วย บางทีอาจจะยืดหยุ่นได้ อีกอย่างเจ้าลืมมิติลับของข้าแล้วหรือไง? หลังจากที่เจ้าลงชื่อสมัครแล้วพรุ่งนี้ เจ้าก็เข้าไปในมิติลับเพื่อฝึกตน การประเมินจะถูกจัดขึ้นในอีกอาทิตย์ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองอะไรมากนักหรอก ไม่ว่ายังไง เราก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าเดียวดายหรอกนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดปลอบใจ

หวู่เสี่ยวเหมยรู้ว่าทุกคนจะไม่ทิ้งเธอไว้ลำพัง เพราะแบบนั้นเธอจึงยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เป็นเธอเองที่ถ่วงทุกคนไว้ ในการต่อสู้ครั้งล่าสุดก็ด้วยเหมือนกัน เธอช่วยอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ทักษะเรื่องยาอันน้อยนิดที่เคยช่วยพวกเธอไว้ในอดีตก็ยังเทียบอะไรไม่ได้กับของมู่เทียนเลย แน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้สึกอิจฉามู่เทียน เธอแค่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ว่าเธอจะพยายามมากแค่ไหน เธอก็ดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้สักที

“เสี่ยวเหมย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้านะ ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก!” พวกเขาต่างก็ปลอบใจกันและกัน!

หวู่เสี่ยวเหมยเผยรอยยิ้มอย่างเกร็งๆ

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ หวู่เสี่ยวเหมยจะต้องเกิดปมในใจแน่ๆไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่เป็นเรื่องต้องห้ามที่สุดในเส้นทางของการฝึกตนคือการมีปมในหัวใจ

“พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าจะเข้าไปเอาอะไรในมิติลับซะหน่อย!” หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ เธอก็แวบเข้าไปในมิติลับ เมื่อเจ้าลูกบอลอ้วนสีขาว เธอก็ปลุกมันขึ้นมาถาม “เสี่ยวไป๋ ข้าจะทำอะไรได้บ้างไหมเพื่อที่จะเพิ่มศักยภาพของคนคนหนึ่ง?”

เสี่ยวไป๋จ้องมาที่เธอและพูดออกมา “เจ้าเองก็มีร่างกายที่เป็นสมบัติแห่งสวรรค์อยู่แล้ว ยังอยากได้ศักยภาพด้านไหนอีกล่ะ?”

“ไม่ใช่ข้าหรอก หวู่เสี่ยวเหมยน่ะ มีวิธีบ้างไหม?”

“เด็กนั่น ศักยภาพของเธอต่ำมากจริงๆ…มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีหรอก…”

“พูดมา วิธีอะไร?” มู่หรงถามอย่างประหลาดใจ

“ตราบใดที่เจ้ามียาล้างไขกระดูก…” หลังจากที่พูดออกไปแล้วเสี่ยวไป๋ก็หันกลับไปกัดผลไม้แห่งจิตวิญญาณของมันต่อ พระเจ้าห้ามไม่ให้การฝึกตนของมันพัฒนาได้อีกและข้อห้ามนี้ก็ปลดไม่ได้ด้วย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้บอกมู่หรงเสวี่ยว่าระดับการฝึกตนของเธอต่ำเกินไปและอีกเรื่องก็คือตัวตนของมัน มันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าจะไม่บอกให้เธอรู้

ยาล้างไขกระดูกงั้นเหรอ?! มู่หรงเสวี่ยรีบทิ้งเสี่ยวไป๋และวิ่งไปที่วิหารเก้าชั้นทันที เธอจำได้ว่ามีวิธีการปรุงยาล้างไขกระดูกอยู่

เสี่ยวไป๋แตะไปที่ก้นที่เจ็บของมัน และนี่เป็นอีกครั้งที่มันนึกเกลียดมู่หรงเสวี่ย ไอ้คนทุเรศ

มู่หรงเสวี่ยเจอวิธีปรุงยาแต่ก็เจอว่าการจะปรุงยานี้จำเป็นต้องขึ้นไปอยู่ในระดับนักเล่นแร่แปรธาตุระดับปรมาจารย์ นั่นคือยาในระดับ 7 ตอนนี้เธอปรุงยาได้แค่ในระดับที่ 6 เท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้ เธอเดินตรงไปที่ทุ่งสมุนไพรเพื่อหาสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อปรุงยาล้างไขกระดูก โชคดีที่ในมิติลับนี้มีทุกอย่าง มันมีสมุนไพรที่มีค่ามากมาย แม้ว่าบางชนิดเธอก็ยังไม่รู้ว่ามันคือสมุนไพรแบบไหนกันก็ตาม แต่เธอก็รู้ว่าพวกมันมีค่าอย่างมาก

อย่างไรก็ตามความฝันเป็นสิ่งที่หอมหวานแต่ความจริงกลับขมขื่น

หลังจากที่ลองปรุงยาอยู่ในมิติลับมาทั้งเดือน เธอก็ล้มเหลวไม่เป็นท่านับครั้งไม่ถ้วน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะข้ามชั้นของการเล่นแร่แปรธาตุ

เธอเสียสมุนไพรไปมาก โชคดีที่สมุนไพรที่สะสมมาหลายล้านปีไม่ใช่เรื่องตลก ไม่งั้นคนทั่วไปคงหาซื้อกันได้ทั่วไปแล้ว พูดได้ว่าอาชีพนักเล่นแร่แปรธาตุสามารถที่จะทำกำไรได้มากและก็สูญเงินไปมาในเวลาเดียวกันด้วย

เสี่ยวไป๋ทนดูไม่ได้อีกแล้ว “ถึงแม้เจ้าจะลองแบบเดิมไปอีก 100 ปี เจ้าก็ยังล้มเหลวเหมือนเดิม เจ้าพึ่งตำรามากเกินไปและวิธีในตำราบางเล่มก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน…” มันเดินออกมาและเชื่อว่ามู่หรงเสวี่ยฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องที่มันพูดได้อย่างแท้จริง

มู่หรงเสวี่ยหยุดการเคลื่อนไหวและคิดถึงสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจัง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+