ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 389 กริช

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 389 กริช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 389

กริช

“เจ้าสมควรแล้วล่ะที่จะไม่มีใครรัก!”

“เจ้าพูดเรื่องอะไรที่ไม่มีใครรักข้า? เฟิงจือหลิงรักข้าจะตายไป” มู่หรงมองไปที่คนมากมายด้วยสายตาเหยียดหยัน

เฟิงจือหลิงหลงรักมู่หรงเสวี่ยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอยากให้วันมันยาวนานมากกว่านี้เพราะเขารู้ว่ามันคงอีกไม่นานก่อนที่ความทรงจำของมู่หรงเสวี่ยจะกลับมา

ผลการแข่งขันออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย มู่หรงและคนอื่นๆต่างก็เดินออกไปพร้อมกับชายชุดดำที่อยู่ข้างๆ

ตอนนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันอีกประมาณ 100 คน หลังจากรอบคัดออกในรอบแรก คนที่เหลือจะต้องสู้ตัวต่อตัว มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆถูกจัดให้แข่งขันตามผลคะแนนที่แตกต่างกัน

คนที่เหลือที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรต่างก็ไปเที่ยวชมเมืองกัน

“ผู้หญิงนี่ตัวปัญหาจริงๆเลย!”

“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นเหรอ? หลบไปให้พ้นเลยนะ” ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้พูดอะไร เสี่ยวฉิงก็ตอกกลับออกไปก่อนทันที

“พี่เฟิงไปกันเถอะ อย่าไปสนใจผู้หญิงพวกนี้เลย เวลาได้ช้อปปิ้งผู้หญิงพวกนี้ก็เหมือนกับเสียสติกันไปเลย นี่ก็คงจะไม่หยุดจนกว่าจะซื้อของกันเสร็จเลยแหละ เราไปหาอะไรดื่มกันเถอะ” หลินหยางดึงเฟิงจือหลิงและเดินเข้าไปในร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ

มู่หรงยิ้ม พร้อมทั้งมองและโบกมือเบาๆไปที่เฟิงจือหลิงเป็นการบอกให้พวกเขาไปเถอะ เธอรู้ดีว่าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบเรื่องการช้อปปิ้งเท่าไร

“ท่านหญิงไปกันเถอะ” เมื่อตัวน่ารำคาญไปแล้ว เธอก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าท่านหญิง ให้เรียกว่าเสี่ยวเสวี่ยก็พอ” มู่หรงเสวี่ยนวดไปที่ขมับตัวเอง

เธอเองก็รู้สึกดีใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ย้ำกับนางอยู่หลายครั้งว่าอย่าเรียกเธอว่าท่านหญิง พร้อมทั้งบอกนางอยู่หลายครั้งว่าทุกคนเท่าเทียมกัน

“ท่านหญิงก็คือท่านหญิง และจะเป็นท่านหญิงไปตลอดด้วย” เสี่ยวฉิงกล่าว

“โอเคๆ! ข้าละกลัวเจ้าจริงๆ เอาอย่างที่เจ้าต้องการแล้วกัน”

พวกเธอเดินไปที่ร้านขายอาวุธซึ่งมีอาวุธชั้นยอดอยู่มากมาย ถึงแม้ในหอคอยเก้าชั้นจะมีอาวุธแห่งจิตวิญญาณอยู่มากมายแต่เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างปัญหา เธอจึงเลือกซื้อชิ้นที่ไม่เด่นเตะตามากนักแทน

สองวันที่ผ่านมานี้เธอให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ยังไม่มีใครใกล้ตัวที่ใช้อาวุธแห่งจิตวิญญาณเลย จนถึงตอนนี้เธอไม่เห็นคนที่ด้อยกว่าเลย

แค่ในมิติลับของเธออย่างเดียวก็เต็มไปด้วยอาวุธแห่งจิตวิญญาณระดับสุดยอดมากมายแล้วซึ่งเทียบเคียงได้กับอาวุธของเซียนเลยทีเดียว แต่ที่นี่กลับมีร้านแค่เพียง 10 ร้านเท่านั้นเอง

ยังไงซะอาวุธพวกนี้ก็ไม่ได้ถูกเลย ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะซื้อได้

“ท่านหญิง นั่นผู้คนคนเมื่อวานหรือเปล่า?” เสี่ยวฉิงชี้ไปที่ชายชุดดำที่กำลังดูอาวุธอยู่

มู่หรงเสวี่ยมองไปตามทิศทางที่เสี่ยวฉิงชี้และอย่างที่คิดไว้เธอเห็นชายชุดดำที่ยืนอยู่ในสนามการแข่งขันไม่ห่างจากพวกเธอเมื่อวาน

“ใช่เขาจริงๆด้วย!” แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่เฉยเมยของเขา มู่หรงก็ไม่สนใจที่จะเข้าไปทักทาย

เธอมองไปที่มือบอบบางของเขาและเห็นว่าเขากำลังถือกริชธรรมดาๆอยู่ กริชนั่นดูธรรมดาอย่างมาก ไม่มีอะไรพิเศษและดูเหมือนจะขึ้นสนิมอยู่นิดหน่อยด้วย

“โอ้ ดูสิว่าใครมา?!”

“เป็นแค่เด็กจนๆยังจะกล้ามาที่นี่อีกนะ”

“ไม่ต้องดูเลย ดูไปก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ”

“น่าขำดีนะ ถ้าเมื่อวานไม่ได้มีคนเยอะขนาดนั้นแล้วเขาจะชนะได้ยังไง?”

“ใช่น่ะสิ ข้าได้ยินว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าด้วย”

“ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจริงหรือเปล่าแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเก่งมากเลยนะ”

“ได้ยินมาว่าพ่อแม่เขาถูกไฟคลอกตาย ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาทำไม”

“ให้คนแบบนี้อยู่บนโลกนี่มันเสียข้าวสุกจริงๆเลย”

ในตอนนี้มีหนุ่มสาวหลายคนที่สวมเสื้อผ้าดูดีเดินเข้ามาในร้าน ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา พวกเขาก็เดินไปยืนข้างๆชายชุดดำ

จนถึงตอนนี้สีหน้าของชายชุดดำยังไม่แสดงอาการใดๆ เขาเมินเฉยคนพวกนั้นโดยสิ้นเชิง ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของเขา เขามองไปที่กริชที่อยู่ในมือและถูไปที่รอยที่ขอบของกริช

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย กริชนั้นมีอะไรพิเศษหรือเปล่านะ?

“ไอ้เด็กสกปรก ไม่ได้ยินข้าหรือไง?”

ชายร่างอ้วนตบไปที่หลังของชายชุดดำ

“อี๋ เจ้ากล้าแตะตัวเขาได้ยังไงกัน? ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นปีศาจนะ!”

“เจ้าไม่กลัวตัวเองโชคร้ายเหรอ”

“ไม่หรอก ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเลย” ชายอ้วนร่างเล็กถอยหลังไปสองก้าวและถูไปที่แขนอย่างหมดท่าหวังที่จะทำให้อาการขนลุกที่แขนของตัวเองหายไป

“เจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ? ข้าได้ยินมา ตอนที่เขายังเด็ก มีคนพยายามที่จะเผาเขาแต่…”

“แต่อะไร?”

“ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่พูดง่ายๆนะว่าไม่มีใครแตะต้องเขาได้ง่ายๆหรอก มีแค่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาเป็นปีศาจหรือว่าตัวอะไร”

“อย่าทำให้คนอื่นเขากลัวสิ ถ้าเขาเก่งขนาดนั้นจริงๆแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“ข้าก็ได้ยินเขาพูดกันมาแต่ก็ไม่รู้จริงๆหรอก เขาเรียกว่าจำเขามาพูดไง”

“ข้าก็แค่ไม่ชอบเขา พวกเราต่างก็ผ่านเข้ารอบมาด้วยกำลังของตัวเอง เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆแล้วก็ผ่านเข้ารอบมาได้ง่ายๆเลย”

“ไปดูอย่างอื่นกันเถอะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้พูดออกมาตั้งแต่แรก”

“ข้ารู้สึกเหมือนมือตัวเองกำลังจะเน่าเลย”

คนเหล่านั้นไม่ได้หาเรื่องชายชุดดำแล้ว พวกเขาเดินไปดูอาวุธที่ฝั่งระดับกลางแทน

อาวุธระดับต่ำเป็นอาวุธของคนที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด

“ปีศาจงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยยกริมฝีปากซึ่งแสดงถึงความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านหญิง อย่าเข้าไปนะคะ!” เสี่ยวฉิงดึงมู่หรงที่กำลังจะเดินเข้าไปหาชายชุดดำ

“ถ้าเจ้ากลัวก็ไปยืนข้างๆเลย” เมื่อพูดถึงเรื่องปีศาจ เสี่ยวฉิงไม่ค่อยจะถูกกับเรื่องนี้เท่าไรนักแบบนี้เธอต้องเปลี่ยนเป็นผมสีม่วงเพื่อทำให้นางกลัวซะหน่อยแล้ว

หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้วมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มยิ้มขึ้นมาอย่างสนใจ เสี่ยวฉิงกระทืบเท้า “ท่านหญิง ไม่ได้ยินที่เขาคุยกันเมื่อกี้หรือไงเจ้าคะ?”

“ได้ยินสิ ข้าไม่ได้หูหนวกนะ!” มู่หรงพูด

ได้ยินแล้วยังจะมีความคิดอะไรแบบนี้อีก “ท่านหญิง ไปดูของดีๆทางโน้นกันดีกว่านะ” เสี่ยวฉิงพูดชวนให้ไปดูของคุณภาพดีที่อื่น

“แต่ตรงนั้นมีหนุ่มหล่อนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

หนุ่มหล่องั้นเหรอ? ไหนกัน? ตรงนี้มีแค่ผู้ชายที่แต่งตัวซะมิดชิดจนมองเห็นแค่ลูกตาอย่างเดียว อย่างอื่นมองอะไรไม่เห็นเลย

การมาถึงของมู่หรงไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงท่าทางเลยแม้แต่น้อย

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรแต่จ้องไปที่กริชในมือของชายหนุ่มเขม็ง ข้างในนั้นมันมีเวทมนตร์อยู่ด้วย

ในจังหวะนี้จู่ๆชายชุดดำก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปทางมู่หรงด้วยสายตาเย็นชา ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์อย่างที่คนพวกนั้นพูดไว้จริงๆด้วย

ระหว่างคนที่มีเวทมนตร์จะมีเสียงก้องระหว่างกัน ดังนั้นในจังหวะนี้มู่หรงจึงได้ยินเสียงร้องเรียกของเวทมนตร์ ชายชุดดำเองก็คงจะรู้สึกด้วยเหมือนกัน

มู่หรงเห็นสายตาที่ประหลาดใจของชายชุดดำได้อย่างชัดเจน

“มีอะไรเหรอ?” ชายชุดดำถาม

มู่หรงหยักไหล่ “ไม่มีอะไร ข้าแค่ดูอาวุธเฉยๆ”

หลังจากนั้นเธอก็หยุดที่จะมองไปที่ชายชุดดำ เมื่อกี้เธอแค่สงสัยเฉยๆ

อย่างไรก็ตามปีศาจฉีกับออร่าก็ไม่เหมือนกัน แล้วชายชุดดำจะเก็บซ่อนหรือปลอมมันได้ยังไง

ต่างกับเธอ เธอคือการอยู่ร่วมกันของปีศาจฉีและออร่า และทั้งสองส่วนก็สามารถที่จะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างอิสระด้วย

มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงเดินไปที่ส่วนอื่นและเริ่มที่จะเลือกกริชอย่างตั้งใจ

ในตอนนี้พนักงานในร้านเดินเข้ามา

“นายท่าน อยากที่จะซื้อกริชนี่เหรอครับ?”

ชายชุดดำมองไปที่เจ้าของร้านและไม่ยอมปล่อยมือจากกริชของตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยมองอย่างสนใจ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างในกริชของเขา

“นายท่าน อยากที่จะซื้อหรือเปล่าครับ? ถ้าไม่ซื้อก็วางกลับไปที่เดิม” พนักงานในร้านสังเกตเห็นอะไรผิดปกติจึงเดินเข้ามาเพื่อที่จะดูชายคนนี้

พวกเขาต่างก็รู้ว่าชายที่แต่งตัวแปลกคนนี้ไม่มีทางที่จะมีปัญหาซื้อแน่ๆ แถมเขายังยืนอยู่ในร้านมานานแล้ว นี่ก็ครึ่งวันแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าของร้านกลัวว่าเขาจะขโมยของจึงบอกให้เขาเดินมาดู ชายชุดดำมองไปที่พนักงานของร้านด้วยสายตาเย็นชา

“อยากจะซื้อหรือเปล่า? ถ้าไม่ซื้อก็ช่วยวางเก็บไปที่เดิมด้วยได้ไหมครับ?” พนักงานของร้านพูดออกมาโดยไม่สนใจว่าสายตาของชายชุดดำที่มองมาจะเย็นชามากแค่ไหน

นี่เป็นงานของเขา ซึ่งในวันปกติเขาก็จะต้องเจอกับลูกค้าที่รับมือด้วยยากอยู่แล้ว ถ้าเขาจัดการกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เจ้าของร้านก็คงจะไล่เขาออกแน่ๆ

ชายชุดดำวางกริชกลับไปที่ชั้นแต่สายตากลับมองไม่วางตาอยู่สักพัก มู่หรงเดินเข้าไป หยิบกริชที่ชายชุดดำมองอยู่ขึ้นมาดูทันที ชายชุดดำจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตามุ่งร้าย

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเขา กริชนี้ยังไม่มีใครซื้องั้นใครก็มีสิทธิที่จะเอาขึ้นมาดูก็ได้

กริชเต็มไปด้วยสนิมและไม่มีประกายเลย เหมือนกับเป็นอาวุธที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่แบบนี้มานานจึงมองหาจุดที่เปล่งประกายไม่ได้เลย

มู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่ามันเป็นกริชธรรมดาทั่วไป

ชายชุดดำทำให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ถ้ามันเป็นกริชธรรมดาเขาก็คงไม่อยากที่จะได้ขนาดนี้หรอก

ทันใดนั้นเธอก็ถูไปที่รอยขรุขระที่อยู่บนด้ามกริช เธอพลิกขึ้นมาดูอย่างระวังแล้วก็เจอว่ามันมีอักษรโบราณที่เธอไม่รู้จักเขียนเอาไว้

ตัวอักษรที่เธอไม่รู้จักยื่นออกมา สายตาของมู่ทรงเสวี่ยจ้องเขม็ง

“ท่านหญิง กริชนี่อยู่กับร้านเรามานานมากแล้ว ว่ากันว่ามันถูกพบในถ้ำของพวกเซียน”

“นี่ราคาเท่าไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ยังไงซะก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีปัญญาซื้ออยู่แล้ว แล้วถ้าปล่อยไว้ก็อาจจะมีคนตาดีคนอื่นมาซื้อไปก็ได้

“50 …” 50 เหรียญเงินจะแพงไปหรือเปล่านะ? ยังไงซะ เจ้าของร้านก็บอกว่าเขาเก็บมาได้โดยไม่เสียเงินสักบาท

“50 เหรียญทองเหรอ?” มู่หรงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถูกขนาดนั้นเลยเหรอ?!

“ครับ…” เหรียญเงิน ก่อนที่พนักงานของร้านจะพูดจบ เขาก็ถูกมู่หรงเสวี่ยพูดขัดขึ้นมาก่อน

“โอเค เสี่ยวฉิงเอาเงินมาให้ข้าที” มู่หรงเสวี่ยไม่ยอมวางกริชลง

ชายชุดดำจ้องมู่หรงราวกับอยากจะฆ่าเธอ

“มองข้าแบบนั้นหมายความว่าไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“เข้ามาเลย ข้าจะไม่ใจร้ายกับเจ้า” ชายหนุ่มพูด

ฟิ้ว!

มู่หรงเงียบไปชั่วขณะแล้วจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “น่าสนใจ แต่เจ้าไม่มีปัญญาซื้อนี่ งั้นปล่อยให้ข้าซื้อไปน่าจะดีกว่า”

ถ้าเขาไม่มีปัญหาซื้อ เขาก็คงจะไม่เอากริชมาถือไว้หรอก ชายชุดดำกำมือแน่นอย่างไม่พอใจ กริชนี่สำคัญกับเขามาก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 389 กริช

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 389 กริช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 389

กริช

“เจ้าสมควรแล้วล่ะที่จะไม่มีใครรัก!”

“เจ้าพูดเรื่องอะไรที่ไม่มีใครรักข้า? เฟิงจือหลิงรักข้าจะตายไป” มู่หรงมองไปที่คนมากมายด้วยสายตาเหยียดหยัน

เฟิงจือหลิงหลงรักมู่หรงเสวี่ยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอยากให้วันมันยาวนานมากกว่านี้เพราะเขารู้ว่ามันคงอีกไม่นานก่อนที่ความทรงจำของมู่หรงเสวี่ยจะกลับมา

ผลการแข่งขันออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย มู่หรงและคนอื่นๆต่างก็เดินออกไปพร้อมกับชายชุดดำที่อยู่ข้างๆ

ตอนนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันอีกประมาณ 100 คน หลังจากรอบคัดออกในรอบแรก คนที่เหลือจะต้องสู้ตัวต่อตัว มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆถูกจัดให้แข่งขันตามผลคะแนนที่แตกต่างกัน

คนที่เหลือที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรต่างก็ไปเที่ยวชมเมืองกัน

“ผู้หญิงนี่ตัวปัญหาจริงๆเลย!”

“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นเหรอ? หลบไปให้พ้นเลยนะ” ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้พูดอะไร เสี่ยวฉิงก็ตอกกลับออกไปก่อนทันที

“พี่เฟิงไปกันเถอะ อย่าไปสนใจผู้หญิงพวกนี้เลย เวลาได้ช้อปปิ้งผู้หญิงพวกนี้ก็เหมือนกับเสียสติกันไปเลย นี่ก็คงจะไม่หยุดจนกว่าจะซื้อของกันเสร็จเลยแหละ เราไปหาอะไรดื่มกันเถอะ” หลินหยางดึงเฟิงจือหลิงและเดินเข้าไปในร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ

มู่หรงยิ้ม พร้อมทั้งมองและโบกมือเบาๆไปที่เฟิงจือหลิงเป็นการบอกให้พวกเขาไปเถอะ เธอรู้ดีว่าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบเรื่องการช้อปปิ้งเท่าไร

“ท่านหญิงไปกันเถอะ” เมื่อตัวน่ารำคาญไปแล้ว เธอก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าท่านหญิง ให้เรียกว่าเสี่ยวเสวี่ยก็พอ” มู่หรงเสวี่ยนวดไปที่ขมับตัวเอง

เธอเองก็รู้สึกดีใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ย้ำกับนางอยู่หลายครั้งว่าอย่าเรียกเธอว่าท่านหญิง พร้อมทั้งบอกนางอยู่หลายครั้งว่าทุกคนเท่าเทียมกัน

“ท่านหญิงก็คือท่านหญิง และจะเป็นท่านหญิงไปตลอดด้วย” เสี่ยวฉิงกล่าว

“โอเคๆ! ข้าละกลัวเจ้าจริงๆ เอาอย่างที่เจ้าต้องการแล้วกัน”

พวกเธอเดินไปที่ร้านขายอาวุธซึ่งมีอาวุธชั้นยอดอยู่มากมาย ถึงแม้ในหอคอยเก้าชั้นจะมีอาวุธแห่งจิตวิญญาณอยู่มากมายแต่เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างปัญหา เธอจึงเลือกซื้อชิ้นที่ไม่เด่นเตะตามากนักแทน

สองวันที่ผ่านมานี้เธอให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ยังไม่มีใครใกล้ตัวที่ใช้อาวุธแห่งจิตวิญญาณเลย จนถึงตอนนี้เธอไม่เห็นคนที่ด้อยกว่าเลย

แค่ในมิติลับของเธออย่างเดียวก็เต็มไปด้วยอาวุธแห่งจิตวิญญาณระดับสุดยอดมากมายแล้วซึ่งเทียบเคียงได้กับอาวุธของเซียนเลยทีเดียว แต่ที่นี่กลับมีร้านแค่เพียง 10 ร้านเท่านั้นเอง

ยังไงซะอาวุธพวกนี้ก็ไม่ได้ถูกเลย ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะซื้อได้

“ท่านหญิง นั่นผู้คนคนเมื่อวานหรือเปล่า?” เสี่ยวฉิงชี้ไปที่ชายชุดดำที่กำลังดูอาวุธอยู่

มู่หรงเสวี่ยมองไปตามทิศทางที่เสี่ยวฉิงชี้และอย่างที่คิดไว้เธอเห็นชายชุดดำที่ยืนอยู่ในสนามการแข่งขันไม่ห่างจากพวกเธอเมื่อวาน

“ใช่เขาจริงๆด้วย!” แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่เฉยเมยของเขา มู่หรงก็ไม่สนใจที่จะเข้าไปทักทาย

เธอมองไปที่มือบอบบางของเขาและเห็นว่าเขากำลังถือกริชธรรมดาๆอยู่ กริชนั่นดูธรรมดาอย่างมาก ไม่มีอะไรพิเศษและดูเหมือนจะขึ้นสนิมอยู่นิดหน่อยด้วย

“โอ้ ดูสิว่าใครมา?!”

“เป็นแค่เด็กจนๆยังจะกล้ามาที่นี่อีกนะ”

“ไม่ต้องดูเลย ดูไปก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ”

“น่าขำดีนะ ถ้าเมื่อวานไม่ได้มีคนเยอะขนาดนั้นแล้วเขาจะชนะได้ยังไง?”

“ใช่น่ะสิ ข้าได้ยินว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าด้วย”

“ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจริงหรือเปล่าแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเก่งมากเลยนะ”

“ได้ยินมาว่าพ่อแม่เขาถูกไฟคลอกตาย ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาทำไม”

“ให้คนแบบนี้อยู่บนโลกนี่มันเสียข้าวสุกจริงๆเลย”

ในตอนนี้มีหนุ่มสาวหลายคนที่สวมเสื้อผ้าดูดีเดินเข้ามาในร้าน ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา พวกเขาก็เดินไปยืนข้างๆชายชุดดำ

จนถึงตอนนี้สีหน้าของชายชุดดำยังไม่แสดงอาการใดๆ เขาเมินเฉยคนพวกนั้นโดยสิ้นเชิง ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของเขา เขามองไปที่กริชที่อยู่ในมือและถูไปที่รอยที่ขอบของกริช

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย กริชนั้นมีอะไรพิเศษหรือเปล่านะ?

“ไอ้เด็กสกปรก ไม่ได้ยินข้าหรือไง?”

ชายร่างอ้วนตบไปที่หลังของชายชุดดำ

“อี๋ เจ้ากล้าแตะตัวเขาได้ยังไงกัน? ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นปีศาจนะ!”

“เจ้าไม่กลัวตัวเองโชคร้ายเหรอ”

“ไม่หรอก ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเลย” ชายอ้วนร่างเล็กถอยหลังไปสองก้าวและถูไปที่แขนอย่างหมดท่าหวังที่จะทำให้อาการขนลุกที่แขนของตัวเองหายไป

“เจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ? ข้าได้ยินมา ตอนที่เขายังเด็ก มีคนพยายามที่จะเผาเขาแต่…”

“แต่อะไร?”

“ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่พูดง่ายๆนะว่าไม่มีใครแตะต้องเขาได้ง่ายๆหรอก มีแค่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาเป็นปีศาจหรือว่าตัวอะไร”

“อย่าทำให้คนอื่นเขากลัวสิ ถ้าเขาเก่งขนาดนั้นจริงๆแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“ข้าก็ได้ยินเขาพูดกันมาแต่ก็ไม่รู้จริงๆหรอก เขาเรียกว่าจำเขามาพูดไง”

“ข้าก็แค่ไม่ชอบเขา พวกเราต่างก็ผ่านเข้ารอบมาด้วยกำลังของตัวเอง เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆแล้วก็ผ่านเข้ารอบมาได้ง่ายๆเลย”

“ไปดูอย่างอื่นกันเถอะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้พูดออกมาตั้งแต่แรก”

“ข้ารู้สึกเหมือนมือตัวเองกำลังจะเน่าเลย”

คนเหล่านั้นไม่ได้หาเรื่องชายชุดดำแล้ว พวกเขาเดินไปดูอาวุธที่ฝั่งระดับกลางแทน

อาวุธระดับต่ำเป็นอาวุธของคนที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด

“ปีศาจงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยยกริมฝีปากซึ่งแสดงถึงความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านหญิง อย่าเข้าไปนะคะ!” เสี่ยวฉิงดึงมู่หรงที่กำลังจะเดินเข้าไปหาชายชุดดำ

“ถ้าเจ้ากลัวก็ไปยืนข้างๆเลย” เมื่อพูดถึงเรื่องปีศาจ เสี่ยวฉิงไม่ค่อยจะถูกกับเรื่องนี้เท่าไรนักแบบนี้เธอต้องเปลี่ยนเป็นผมสีม่วงเพื่อทำให้นางกลัวซะหน่อยแล้ว

หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้วมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มยิ้มขึ้นมาอย่างสนใจ เสี่ยวฉิงกระทืบเท้า “ท่านหญิง ไม่ได้ยินที่เขาคุยกันเมื่อกี้หรือไงเจ้าคะ?”

“ได้ยินสิ ข้าไม่ได้หูหนวกนะ!” มู่หรงพูด

ได้ยินแล้วยังจะมีความคิดอะไรแบบนี้อีก “ท่านหญิง ไปดูของดีๆทางโน้นกันดีกว่านะ” เสี่ยวฉิงพูดชวนให้ไปดูของคุณภาพดีที่อื่น

“แต่ตรงนั้นมีหนุ่มหล่อนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

หนุ่มหล่องั้นเหรอ? ไหนกัน? ตรงนี้มีแค่ผู้ชายที่แต่งตัวซะมิดชิดจนมองเห็นแค่ลูกตาอย่างเดียว อย่างอื่นมองอะไรไม่เห็นเลย

การมาถึงของมู่หรงไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงท่าทางเลยแม้แต่น้อย

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรแต่จ้องไปที่กริชในมือของชายหนุ่มเขม็ง ข้างในนั้นมันมีเวทมนตร์อยู่ด้วย

ในจังหวะนี้จู่ๆชายชุดดำก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปทางมู่หรงด้วยสายตาเย็นชา ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์อย่างที่คนพวกนั้นพูดไว้จริงๆด้วย

ระหว่างคนที่มีเวทมนตร์จะมีเสียงก้องระหว่างกัน ดังนั้นในจังหวะนี้มู่หรงจึงได้ยินเสียงร้องเรียกของเวทมนตร์ ชายชุดดำเองก็คงจะรู้สึกด้วยเหมือนกัน

มู่หรงเห็นสายตาที่ประหลาดใจของชายชุดดำได้อย่างชัดเจน

“มีอะไรเหรอ?” ชายชุดดำถาม

มู่หรงหยักไหล่ “ไม่มีอะไร ข้าแค่ดูอาวุธเฉยๆ”

หลังจากนั้นเธอก็หยุดที่จะมองไปที่ชายชุดดำ เมื่อกี้เธอแค่สงสัยเฉยๆ

อย่างไรก็ตามปีศาจฉีกับออร่าก็ไม่เหมือนกัน แล้วชายชุดดำจะเก็บซ่อนหรือปลอมมันได้ยังไง

ต่างกับเธอ เธอคือการอยู่ร่วมกันของปีศาจฉีและออร่า และทั้งสองส่วนก็สามารถที่จะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างอิสระด้วย

มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงเดินไปที่ส่วนอื่นและเริ่มที่จะเลือกกริชอย่างตั้งใจ

ในตอนนี้พนักงานในร้านเดินเข้ามา

“นายท่าน อยากที่จะซื้อกริชนี่เหรอครับ?”

ชายชุดดำมองไปที่เจ้าของร้านและไม่ยอมปล่อยมือจากกริชของตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยมองอย่างสนใจ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างในกริชของเขา

“นายท่าน อยากที่จะซื้อหรือเปล่าครับ? ถ้าไม่ซื้อก็วางกลับไปที่เดิม” พนักงานในร้านสังเกตเห็นอะไรผิดปกติจึงเดินเข้ามาเพื่อที่จะดูชายคนนี้

พวกเขาต่างก็รู้ว่าชายที่แต่งตัวแปลกคนนี้ไม่มีทางที่จะมีปัญหาซื้อแน่ๆ แถมเขายังยืนอยู่ในร้านมานานแล้ว นี่ก็ครึ่งวันแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าของร้านกลัวว่าเขาจะขโมยของจึงบอกให้เขาเดินมาดู ชายชุดดำมองไปที่พนักงานของร้านด้วยสายตาเย็นชา

“อยากจะซื้อหรือเปล่า? ถ้าไม่ซื้อก็ช่วยวางเก็บไปที่เดิมด้วยได้ไหมครับ?” พนักงานของร้านพูดออกมาโดยไม่สนใจว่าสายตาของชายชุดดำที่มองมาจะเย็นชามากแค่ไหน

นี่เป็นงานของเขา ซึ่งในวันปกติเขาก็จะต้องเจอกับลูกค้าที่รับมือด้วยยากอยู่แล้ว ถ้าเขาจัดการกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เจ้าของร้านก็คงจะไล่เขาออกแน่ๆ

ชายชุดดำวางกริชกลับไปที่ชั้นแต่สายตากลับมองไม่วางตาอยู่สักพัก มู่หรงเดินเข้าไป หยิบกริชที่ชายชุดดำมองอยู่ขึ้นมาดูทันที ชายชุดดำจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตามุ่งร้าย

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเขา กริชนี้ยังไม่มีใครซื้องั้นใครก็มีสิทธิที่จะเอาขึ้นมาดูก็ได้

กริชเต็มไปด้วยสนิมและไม่มีประกายเลย เหมือนกับเป็นอาวุธที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่แบบนี้มานานจึงมองหาจุดที่เปล่งประกายไม่ได้เลย

มู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่ามันเป็นกริชธรรมดาทั่วไป

ชายชุดดำทำให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ถ้ามันเป็นกริชธรรมดาเขาก็คงไม่อยากที่จะได้ขนาดนี้หรอก

ทันใดนั้นเธอก็ถูไปที่รอยขรุขระที่อยู่บนด้ามกริช เธอพลิกขึ้นมาดูอย่างระวังแล้วก็เจอว่ามันมีอักษรโบราณที่เธอไม่รู้จักเขียนเอาไว้

ตัวอักษรที่เธอไม่รู้จักยื่นออกมา สายตาของมู่ทรงเสวี่ยจ้องเขม็ง

“ท่านหญิง กริชนี่อยู่กับร้านเรามานานมากแล้ว ว่ากันว่ามันถูกพบในถ้ำของพวกเซียน”

“นี่ราคาเท่าไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ยังไงซะก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีปัญญาซื้ออยู่แล้ว แล้วถ้าปล่อยไว้ก็อาจจะมีคนตาดีคนอื่นมาซื้อไปก็ได้

“50 …” 50 เหรียญเงินจะแพงไปหรือเปล่านะ? ยังไงซะ เจ้าของร้านก็บอกว่าเขาเก็บมาได้โดยไม่เสียเงินสักบาท

“50 เหรียญทองเหรอ?” มู่หรงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถูกขนาดนั้นเลยเหรอ?!

“ครับ…” เหรียญเงิน ก่อนที่พนักงานของร้านจะพูดจบ เขาก็ถูกมู่หรงเสวี่ยพูดขัดขึ้นมาก่อน

“โอเค เสี่ยวฉิงเอาเงินมาให้ข้าที” มู่หรงเสวี่ยไม่ยอมวางกริชลง

ชายชุดดำจ้องมู่หรงราวกับอยากจะฆ่าเธอ

“มองข้าแบบนั้นหมายความว่าไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“เข้ามาเลย ข้าจะไม่ใจร้ายกับเจ้า” ชายหนุ่มพูด

ฟิ้ว!

มู่หรงเงียบไปชั่วขณะแล้วจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “น่าสนใจ แต่เจ้าไม่มีปัญญาซื้อนี่ งั้นปล่อยให้ข้าซื้อไปน่าจะดีกว่า”

ถ้าเขาไม่มีปัญหาซื้อ เขาก็คงจะไม่เอากริชมาถือไว้หรอก ชายชุดดำกำมือแน่นอย่างไม่พอใจ กริชนี่สำคัญกับเขามาก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+