ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 322 การหลบหนี

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 322 การหลบหนี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 322
การหลบหนี

“ตามข้ามา” มู่หรงพูดเสียงนุ่ม

พวกเธอต่างก็เดินเข้าไปในห้องน้ำหญิงด้วยกัน

ห้องน้ำของร้านอาหารหมายเลขหนึ่งแตกต่างจากห้องน้ำของร้านอาหารทั่วๆไป ดูหรูหรามากกว่า ห้องน้ำของหญิงและชายอยู่แยกกันคนละทิศทาง

“ว่ามา เจ้ากำลังจะทำอะไร?” หลินฟางเฟ่ยถาม

มู่หรงทำปากเบี้ยว “เปลี่ยนเสื้อผ้ากัน”

เธอปิดประตูและล็อกจากข้างใน เธอดูให้แน่ใจว่าไม่มีช่องโหว่

“เปลี่ยนเสื้อผ้ากับเจ้างั้นเหรอ?! เจ้าอยากให้ข้ากลายเป็นเจ้างั้นเหรอ? ไม่มีทาง ดูเสื้อผ้าชาวบ้านสกปรกของเจ้าสิ องค์หญิงอย่างข้าไม่ใส่แบบนี้หรอกนะ” หลินฟางเฟ่ยไม่ได้คิดอะไรจึงพูดปฏิเสธออกไปทันที เธอมองไปที่เสื้อผ้าของมู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าที่รังเกียจ

ถึงต่อให้มู่หรงเสวี่ยสวมเสื้อผ้าที่สวยงามกว่านี้ มันก็เปลี่ยนความจริงที่ว่านี่เป็นเสื้อผ้าของชาวบ้านได้หรอก

ริมฝีปากบางของมู่หรงยิ้มด้วยท่าทางเย้ายวนชวนหลงใหลอย่างอ่อนโยน “งั้น อ่า ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการแบบนั้น ถ้างั้นยังไงซะ หวังฉิงก็ดีกับข้าอย่างมาก ดูเหมือนว่ามันก็คงจะดีที่ได้เป็นองค์หญิงฉิง” เธอพูดราวกับว่าไม่สนใจและเตรียมที่จะเปิดประตูเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน” หลินฟางเฟ่ยจับไปที่แขนของมู่หรงเสวี่ย “เจ้าอยากที่จะเป็นคนไร้ยางอายหรือไง? หวังฉิงคู่ควรที่จะได้ผู้หญิงอย่างเจ้าหรือไง?” สายตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ

ในที่สุดมู่หรงก็พูดออกมา “ข้าไม่ได้อยากให้เขามารักข้า”
“เจ้า…” หลินฟางเฟ่ยกัดริมฟันและยื่นนิ้วออกไปชี้ที่ มู่หรงเสวี่ย อยากที่จะฉีกร่างของเธอแล้วเอาเลือดมาดื่มจริงๆ

หลังจากนั้นสักพัก หลินฟางเฟ่ยก็พูดต่อ “ตกลง ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

“อ่า?! อย่าเข้าใจผิดล่ะ เจ้าไม่ได้กำลังช่วยข้าแต่กำลังช่วยตัวเอง ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามาทวงบุญคุณทีหลังแน่”

หลินฟางเฟ่ยแทบจะกระอักออกมาเป็นสายเลือด แต่เธอเองก็เข้าใจว่าเธอไม่ใช่คู่แข่งที่จะลดตัวลงไปเถียงด้วย ดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“ยังไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกหรือไง?”

ทั้งสองต่างก็รีบถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนกับอีกฝ่าย

มู่หรงเสวี่ยเองก็เพลิดเพลินไปกับรูปร่างที่สวยงามในระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย นางคู่ควรแล้วที่ได้เป็นสาวงามหมายเลขหนึ่งของดินแดนแห่งไฟ นางมีรูปร่างที่สวยอย่างมาก
หลินฟางเฟ่ยจ้องมาที่เธอด้วยสายตาดุดัน “เจ้าจะมองอะไร?”

“มองความงามอยู่!” มู่หรงเสวี่ยตอบ

หลินฟางเฟ่ยพูดอะไรไม่ออกและหาคำไหนมาหักล้างคำพูดของมู่หรงเสวี่ยได้ “ถึงแม้เราจะเปลี่ยนชุดกันแล้ว แต่หน้าของเราก็ยังต่างกันอยู่ดี แบบนี้พวกเราคงไม่รอดแน่ๆ”

“ข้าจะออกไปก่อนแล้วเจ้าอยู่รอที่นี่ก่อน” มู่หรงเสวี่ยหยิบผ้าคลุมหน้าออกมาและรีบคลุมไปที่ใบหน้าทันที

เดิมทีรูปร่างของมู่หรงและหลินฟางเฟ่ยก็ไม่ต่างกันมากอยู่แล้ว บวกกับที่มู่หรงคลุมใบหน้าอีกก็ยิ่งดูเหมือนหลินฟางเฟ่ยเข้าไปอีก

“เจ้าหมายถึงให้ข้าคอยเก็บกวาดให้เจ้างั้นเหรอ?” หลินฟางเฟ่ยรีบคว้าแขนของมู่หรงเสวี่ยไว้ทันทีและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เธอถามออกมาด้วยสีหน้าหมองๆ

“เจ้าเป็นองค์หญิง เจ้าจะทำอะไร? แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่อยากเราเปลี่ยนชุดกลับก็ได้” มู่หรงพูดอย่างเงียบๆ

อย่าคิดว่าเธอจะไม่เห็นสายตาอาฆาตในดวงตาของนาง นางเพียงแค่เอาสิ่งที่ตัวเองต้องการ หลินฟางเฟ่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงปล่อยมือ “เจ้าไปเถอะ ไปให้ไกลเลย” ถึงแม้นางจะไปได้ไม่ไกล เธอก็จะเป็นคนที่ทำให้นางหายไปเอง

“เจ้ารอสักครึ่งชั่วโมงค่อยเดินออกไปนะ” มู่หรงพูด

แล้วก็ค่อยๆจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงทำท่าทางเชิดหน้าสูงเหมือนหลินฟางเฟ่ยก่อนหน้านี้และเดินออกไปอย่างใจเย็น

ที่ปลายหางตามองไปรอบๆอย่างเงียบๆและมั่นใจว่าเห็นเงาของคนสองคน

มู่หรงทำท่าสงบเหมือนปกติ ค่อยๆดึงสายตากลับมาและเดินออกไปช้าๆ

เงาดำทั้งสองเห็นร่างขององค์หญิงจึงดึงสายตากลับมาและหันกลับไปจ้องที่ประตูห้องน้ำต่อ

มู่หรงไม่ได้เดินไปในทิศทางของประตูแต่เลี้ยวสองสามรอบก่อนที่จะเดินไปที่ประตู ที่ประตูของร้านอาหารหมายเลขหนึ่ง เธอรีบขึ้นไปที่รถม้าที่กำลังรอแขกอยู่ทันที

“นายท่าน รีบออกไปนอกเมือง เร็วเข้า” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

แล้วเธอก็รีบหยิบเหรียญเงินออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้กับเขา “รีบเร่งไปที่ประตูเมืองให้เร็วที่สุด แล้วพวกนี้จะเป็นของเจ้า”

คนขับรถตกใจกับจำนวนเงินตรงหน้าจึงรีบออกตัวไปทันที “ได้ขอรับคุณหนู ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ ข้าเร็วที่สุดในเมืองหลวงนี่แล้ว เกาะแน่นๆนะขอรับ”

เธอมีโอกาสเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น ถ้าครั้งนี้เธอหนีไปไม่ได้ ครั้งต่อไปคงยิ่งหนียากขึ้นกว่านี้มาก โชคดีที่วันนี้หวังฉิงได้เจอเข้ากับองค์ชายทั้งสามแห่งดินแดนแห่งลม จึงไม่น่าที่จะออกมาได้ง่ายๆ ไม่งั้นเธอคงไม่มีทางได้หนีแน่ๆ

“ออกไปให้พ้นทาง ออกไปให้พ้นทาง” คนขับรถรีบขับเร่งไปตามถนน

คนขับรถพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะได้ค่าแรง อีกอย่างเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี่เพียงพอที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอีก วันนี้เขาโชคดีมากจริงๆ

มู่หรงกำลังคิดที่จะกลับไปหาหลินหยางที่ดินแดนเฮ่ยเฉิน เพียงแค่ว่าระยะทางระหว่างเมืองหลวงไปดินแดนเฮ่ยเฉินมันห่างไกลมาก มันใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง

มู่หรงเสวี่ยกลั้นหายใจและจ้องออกไปข้างนอก หัวใจสั่นรัว สองชั่วโมงไม่ใช่เวลาน้อยๆ หลินฟางเฟ่ยคงทนไม่ได้นานขนาดนั้น

มู่หรงอดไม่ได้ที่จะเปิดม่านเล็กน้อยและพูดกระตุ้นออกไป “นายท่าน ช่วยเร่งหน่อยได้ไหม”
“ได้ขอรับ!” คนขับรถตอบ “ไป!”

หลินฟางเฟ่ยนั่งอยู่ในห้องน้ำอยู่นานแต่ก็ยังไม่ออกมา

ชายชุดดำทั้งสองที่กำลังรออยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะบอกให้สาวใช้เข้าไปดูหน่อย และแน่นอนว่าสีหน้าของทหารชายชุดดำของหวังฉิงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของหลินฟางเฟ่ย ชายคนหนึ่งยืนเฝ้าไว้ ส่วนอีกคนรีบเร่งไปที่ห้องหมายเลข 1 เพื่อรายงานเรื่องนี้กับหวังฉิง

ทันทีที่หวังฉิงได้ฟังเรื่องนี้ เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและลุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ในทันที “อะไรนะ?”

“พี่ฉิง มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?! เกิดอะไรขึ้น? ถึงได้ตื่นตกใจขนาดนี้?” ฮ่าวหยานวางแก้วลงและถาม

“ทุกท่าน มีเรื่องด่วนที่ข้าต้องไปจัดการ ข้าขอตัวก่อน” หวังฉิงพูดและรีบออกไปข้างนอกทันที

เขาบังเอิญเจอเข้ากับองครักษ์ชุดดำอีกคนที่กำลังพาตัวหลินฟางเฟ่ยมาที่นี่ที่ชั้นหนึ่ง

เมื่อได้เห็นเสื้อผ้าที่ร่างกายของหลินฟางเฟ่ย สีหน้าของหวังฉิงก็กลายเป็นเย็นชา เขาเดินมาหาเธอและถามด้วยน้ำเสียงต่ำลึก “นางอยู่ที่ไหน?”

แม้ว่าหลินฟางเฟ่ยจะนิ่งเฉยพอแต่ร่างกายเธอก็อดไม่ได้ที่จะสั่นและน้ำเสียงที่ตอบออกมาก็สั่นเทอม “ข้า…ข้า…ข้าไม่รู้…”

“ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนเสื้อผ้ากับนาง?” สีหน้าของหวังฉิง กลายเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม และเขาอยากที่จะหวดเหล่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นร้อยครั้ง

หลินฟางเฟยคิดว่าถึงแม้หวังฉิงจะโกรธเพราะความสวยของมู่เทียน แต่เขาก็คงจะไม่ทำอะไรเธอหรอก อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเจอเขา เธอก็กลัวว่าเขาจะกินเธอเข้าไปอย่างไงอย่างงั้น อากาศเย็นๆไหลผ่านไปทั่วร่างของเธอ ขาของเธอกลายเป็นอ่อนแรงจนแทบที่จะยืนไม่ไหว ถ้าโต๊ะที่อยู่ข้างหลังไม่ช่วยดันเธอเอาไว้ เธอก็คงจะทรุดลงไปกับพื้นแล้วแน่ๆ
หวังฉิงสู้รบอยู่ในสนามรบมาตลอดทั้งปีจนร่างกายและเลือดเย็นชาไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงเลย แม้แต่คู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ชายก็ยังหนาวเลย

“เป็นท่านมู่เองที่บอกว่าชอบเสื้อผ้าของข้า…ข้าคิดว่านางคงไม่มีเสื้อผ้าดีๆใส่ ก็เลยเปลี่ยนกับนาง…” หลังจากนั้น หวังฉิงก็มองเธอด้วยสายตาเย็นชา เขาพูดกับองครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างๆเธอ “ปิดประตูเมืองทุกบานทันทีและห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด” เขาหยิบตราที่เอวออกมาและยื่นให้องครักษ์ชุดดำ

“ขังนางไว้จนกว่าจะเจออีกคน”

“องค์ชาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะหวังฉิง…” หลินฟางเฟ่ยจับแขนเสื้อของหวังฉิงด้วยความกลัว ใบหน้าร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม

น่าเสียดายที่ผู้ชายคนนี้คือหวังฉิงที่เมินเฉยที่สุด ความอ่อนโยนทั้งหมดที่เขามีถูกมอบให้ผู้หญิงที่ชื่อมู่เทียนไปหมดแล้ว

หวังฉิงสะบัดมือเธอออกและเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว

“ส่งทีมทัพหน้าออกไปเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็พูดต่อ “พวกเจ้าจะต้องแจ้งข้าทันทีที่เจอตัว และห้ามทำอันตรายนางแม้ปลายเส้นผม”

“ขอรับ” กลุ่มเงาดำรีบเร่งฝีเท้าออกไปทันที

หวังฉิงดึงม้าออกมาและรีบควบอย่างเร็วไปที่ประตูเมือง บ้าจริง นางหนีไปอีกแล้ว ความโกรธในหัวใจถูกความกลัวที่จะต้องสูญเสียจมหายไปจนหมด ผู้หญิงคนนี้

เขาพยายามสงบใจ อย่าพยายามหนีไปจากเงื้อมมือเขาเลย

ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ระหว่างทาง จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังที่ถนน เธอค่อยๆเปิดม่านรถขึ้นเล็กน้อยและพบว่ามีทหารยามจำนวนมากกำลังเร่งฝีเท้ามาที่ประตูเมือง

“เร็วเข้า แจ้งทหารทุกคนให้ปิดกั้นประตูทันที”

“ขอรับ กัปตัน”

มู่หรงเห็นเพียงแค่กองกำลังคนและม้ามากมายที่รีบแยกเป็นทีมเล็กๆเพื่อออกค้นหาไปทุกทิศทาง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคำพูดของกัปตันทำให้สีหน้าของ มู่หรงเปลี่ยนไปทันที เธอรีบบอกคนขับรถที่อยู่เบื้องหน้าทันที “ท่าน หยุดรถก่อน”

“วู่!” รถม้าค่อยๆช้าลง

“มีอะไรเหรอขอรับคุณหนู?” คนขับรถถามพร้อมรอยยิ้มง่ายๆ

“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆถึงมีเหล่าทหารมามากมายแบบนี้?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงอ่อน

“โอ้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่ามีโจรที่หนีออกมาและตอนนี้กำลังปิดประตูเมืองกันอยู่” แต่ก่อนประตูเมืองแทบจะไม่เคยถูกปิดเลย แต่ก็มีอยู่บางหลายครั้งเหมือนกันและเหล่าคนลากรถก็ชินกับเรื่องนี้แล้ว

“ปิดประตูเมืองงั้นเหรอ? งั้นก็หมายความว่าตอนนี้เราออกไปไม่ได้งั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ขอรับ ว่าแต่ คุณหนู คุณกำลังจะออกไปนอกเมืองด้วยงั้นเหรอ?” คนขับรถนึกขึ้นได้ว่าเด็กสาวกำลังที่จะออกไปนอกประตูเมือง

จริงเหรอเนี่ย? หวังฉิงปิดประตูเมืองเพื่อที่จะจับเธองั้นเหรอ?!!

ตอนนี้การไปที่ประตูเมืองก็เหมือนกับลูกแกะที่กำลังเดินเข้าไปในปากเสือ มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงพูดออกมา “ท่าน ข้าไม่อยากที่จะไปที่ประตูเมืองแล้ว ช่วยพาข้าไปส่งที่โรงเตี้ยมไกลๆที”
“ได้ขอรับ” เด็กสาวคนนี้แปลกๆจริงๆ นางอยากที่จะไปโรงเตี้ยมไกลๆ มันอันตรายและไม่ค่อยดีอีกต่างหาก

แต่เขาต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ เขาขับรถม้ามาหลายปีและได้เรียนรู้ว่าไม่ควรที่จะพูดอะไรมาก

คนขับรถหันหัวกลับไปและขับไปตามถนน และรถม้าของหวังฉิงก็บังเอิญขับผ่านมา

มู่หรงเหลือบมอง จู่ๆหัวใจเธอก็เต้นรัวจนขึ้นมาแทบจะถึงคอ โชคดีที่หวังฉิงหายไปอย่างรวดเร็วและไม่สังเกตว่ามู่หรงจะอยู่ในรถม้าธรรมดาๆแบบนี้

“รีบไป” มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ในอาการใจสั่น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ไม่นานคนขับรถม้าก็พามู่หรงมาถึงโรงเตี้ยมเล็กๆที่ไม่พลุกพล่านและหยุดรถลง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 322 การหลบหนี

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 322 การหลบหนี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 322
การหลบหนี

“ตามข้ามา” มู่หรงพูดเสียงนุ่ม

พวกเธอต่างก็เดินเข้าไปในห้องน้ำหญิงด้วยกัน

ห้องน้ำของร้านอาหารหมายเลขหนึ่งแตกต่างจากห้องน้ำของร้านอาหารทั่วๆไป ดูหรูหรามากกว่า ห้องน้ำของหญิงและชายอยู่แยกกันคนละทิศทาง

“ว่ามา เจ้ากำลังจะทำอะไร?” หลินฟางเฟ่ยถาม

มู่หรงทำปากเบี้ยว “เปลี่ยนเสื้อผ้ากัน”

เธอปิดประตูและล็อกจากข้างใน เธอดูให้แน่ใจว่าไม่มีช่องโหว่

“เปลี่ยนเสื้อผ้ากับเจ้างั้นเหรอ?! เจ้าอยากให้ข้ากลายเป็นเจ้างั้นเหรอ? ไม่มีทาง ดูเสื้อผ้าชาวบ้านสกปรกของเจ้าสิ องค์หญิงอย่างข้าไม่ใส่แบบนี้หรอกนะ” หลินฟางเฟ่ยไม่ได้คิดอะไรจึงพูดปฏิเสธออกไปทันที เธอมองไปที่เสื้อผ้าของมู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าที่รังเกียจ

ถึงต่อให้มู่หรงเสวี่ยสวมเสื้อผ้าที่สวยงามกว่านี้ มันก็เปลี่ยนความจริงที่ว่านี่เป็นเสื้อผ้าของชาวบ้านได้หรอก

ริมฝีปากบางของมู่หรงยิ้มด้วยท่าทางเย้ายวนชวนหลงใหลอย่างอ่อนโยน “งั้น อ่า ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการแบบนั้น ถ้างั้นยังไงซะ หวังฉิงก็ดีกับข้าอย่างมาก ดูเหมือนว่ามันก็คงจะดีที่ได้เป็นองค์หญิงฉิง” เธอพูดราวกับว่าไม่สนใจและเตรียมที่จะเปิดประตูเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน” หลินฟางเฟ่ยจับไปที่แขนของมู่หรงเสวี่ย “เจ้าอยากที่จะเป็นคนไร้ยางอายหรือไง? หวังฉิงคู่ควรที่จะได้ผู้หญิงอย่างเจ้าหรือไง?” สายตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ

ในที่สุดมู่หรงก็พูดออกมา “ข้าไม่ได้อยากให้เขามารักข้า”
“เจ้า…” หลินฟางเฟ่ยกัดริมฟันและยื่นนิ้วออกไปชี้ที่ มู่หรงเสวี่ย อยากที่จะฉีกร่างของเธอแล้วเอาเลือดมาดื่มจริงๆ

หลังจากนั้นสักพัก หลินฟางเฟ่ยก็พูดต่อ “ตกลง ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

“อ่า?! อย่าเข้าใจผิดล่ะ เจ้าไม่ได้กำลังช่วยข้าแต่กำลังช่วยตัวเอง ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามาทวงบุญคุณทีหลังแน่”

หลินฟางเฟ่ยแทบจะกระอักออกมาเป็นสายเลือด แต่เธอเองก็เข้าใจว่าเธอไม่ใช่คู่แข่งที่จะลดตัวลงไปเถียงด้วย ดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“ยังไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกหรือไง?”

ทั้งสองต่างก็รีบถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนกับอีกฝ่าย

มู่หรงเสวี่ยเองก็เพลิดเพลินไปกับรูปร่างที่สวยงามในระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย นางคู่ควรแล้วที่ได้เป็นสาวงามหมายเลขหนึ่งของดินแดนแห่งไฟ นางมีรูปร่างที่สวยอย่างมาก
หลินฟางเฟ่ยจ้องมาที่เธอด้วยสายตาดุดัน “เจ้าจะมองอะไร?”

“มองความงามอยู่!” มู่หรงเสวี่ยตอบ

หลินฟางเฟ่ยพูดอะไรไม่ออกและหาคำไหนมาหักล้างคำพูดของมู่หรงเสวี่ยได้ “ถึงแม้เราจะเปลี่ยนชุดกันแล้ว แต่หน้าของเราก็ยังต่างกันอยู่ดี แบบนี้พวกเราคงไม่รอดแน่ๆ”

“ข้าจะออกไปก่อนแล้วเจ้าอยู่รอที่นี่ก่อน” มู่หรงเสวี่ยหยิบผ้าคลุมหน้าออกมาและรีบคลุมไปที่ใบหน้าทันที

เดิมทีรูปร่างของมู่หรงและหลินฟางเฟ่ยก็ไม่ต่างกันมากอยู่แล้ว บวกกับที่มู่หรงคลุมใบหน้าอีกก็ยิ่งดูเหมือนหลินฟางเฟ่ยเข้าไปอีก

“เจ้าหมายถึงให้ข้าคอยเก็บกวาดให้เจ้างั้นเหรอ?” หลินฟางเฟ่ยรีบคว้าแขนของมู่หรงเสวี่ยไว้ทันทีและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เธอถามออกมาด้วยสีหน้าหมองๆ

“เจ้าเป็นองค์หญิง เจ้าจะทำอะไร? แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่อยากเราเปลี่ยนชุดกลับก็ได้” มู่หรงพูดอย่างเงียบๆ

อย่าคิดว่าเธอจะไม่เห็นสายตาอาฆาตในดวงตาของนาง นางเพียงแค่เอาสิ่งที่ตัวเองต้องการ หลินฟางเฟ่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงปล่อยมือ “เจ้าไปเถอะ ไปให้ไกลเลย” ถึงแม้นางจะไปได้ไม่ไกล เธอก็จะเป็นคนที่ทำให้นางหายไปเอง

“เจ้ารอสักครึ่งชั่วโมงค่อยเดินออกไปนะ” มู่หรงพูด

แล้วก็ค่อยๆจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงทำท่าทางเชิดหน้าสูงเหมือนหลินฟางเฟ่ยก่อนหน้านี้และเดินออกไปอย่างใจเย็น

ที่ปลายหางตามองไปรอบๆอย่างเงียบๆและมั่นใจว่าเห็นเงาของคนสองคน

มู่หรงทำท่าสงบเหมือนปกติ ค่อยๆดึงสายตากลับมาและเดินออกไปช้าๆ

เงาดำทั้งสองเห็นร่างขององค์หญิงจึงดึงสายตากลับมาและหันกลับไปจ้องที่ประตูห้องน้ำต่อ

มู่หรงไม่ได้เดินไปในทิศทางของประตูแต่เลี้ยวสองสามรอบก่อนที่จะเดินไปที่ประตู ที่ประตูของร้านอาหารหมายเลขหนึ่ง เธอรีบขึ้นไปที่รถม้าที่กำลังรอแขกอยู่ทันที

“นายท่าน รีบออกไปนอกเมือง เร็วเข้า” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

แล้วเธอก็รีบหยิบเหรียญเงินออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้กับเขา “รีบเร่งไปที่ประตูเมืองให้เร็วที่สุด แล้วพวกนี้จะเป็นของเจ้า”

คนขับรถตกใจกับจำนวนเงินตรงหน้าจึงรีบออกตัวไปทันที “ได้ขอรับคุณหนู ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ ข้าเร็วที่สุดในเมืองหลวงนี่แล้ว เกาะแน่นๆนะขอรับ”

เธอมีโอกาสเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น ถ้าครั้งนี้เธอหนีไปไม่ได้ ครั้งต่อไปคงยิ่งหนียากขึ้นกว่านี้มาก โชคดีที่วันนี้หวังฉิงได้เจอเข้ากับองค์ชายทั้งสามแห่งดินแดนแห่งลม จึงไม่น่าที่จะออกมาได้ง่ายๆ ไม่งั้นเธอคงไม่มีทางได้หนีแน่ๆ

“ออกไปให้พ้นทาง ออกไปให้พ้นทาง” คนขับรถรีบขับเร่งไปตามถนน

คนขับรถพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะได้ค่าแรง อีกอย่างเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี่เพียงพอที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอีก วันนี้เขาโชคดีมากจริงๆ

มู่หรงกำลังคิดที่จะกลับไปหาหลินหยางที่ดินแดนเฮ่ยเฉิน เพียงแค่ว่าระยะทางระหว่างเมืองหลวงไปดินแดนเฮ่ยเฉินมันห่างไกลมาก มันใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง

มู่หรงเสวี่ยกลั้นหายใจและจ้องออกไปข้างนอก หัวใจสั่นรัว สองชั่วโมงไม่ใช่เวลาน้อยๆ หลินฟางเฟ่ยคงทนไม่ได้นานขนาดนั้น

มู่หรงอดไม่ได้ที่จะเปิดม่านเล็กน้อยและพูดกระตุ้นออกไป “นายท่าน ช่วยเร่งหน่อยได้ไหม”
“ได้ขอรับ!” คนขับรถตอบ “ไป!”

หลินฟางเฟ่ยนั่งอยู่ในห้องน้ำอยู่นานแต่ก็ยังไม่ออกมา

ชายชุดดำทั้งสองที่กำลังรออยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะบอกให้สาวใช้เข้าไปดูหน่อย และแน่นอนว่าสีหน้าของทหารชายชุดดำของหวังฉิงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของหลินฟางเฟ่ย ชายคนหนึ่งยืนเฝ้าไว้ ส่วนอีกคนรีบเร่งไปที่ห้องหมายเลข 1 เพื่อรายงานเรื่องนี้กับหวังฉิง

ทันทีที่หวังฉิงได้ฟังเรื่องนี้ เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและลุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ในทันที “อะไรนะ?”

“พี่ฉิง มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?! เกิดอะไรขึ้น? ถึงได้ตื่นตกใจขนาดนี้?” ฮ่าวหยานวางแก้วลงและถาม

“ทุกท่าน มีเรื่องด่วนที่ข้าต้องไปจัดการ ข้าขอตัวก่อน” หวังฉิงพูดและรีบออกไปข้างนอกทันที

เขาบังเอิญเจอเข้ากับองครักษ์ชุดดำอีกคนที่กำลังพาตัวหลินฟางเฟ่ยมาที่นี่ที่ชั้นหนึ่ง

เมื่อได้เห็นเสื้อผ้าที่ร่างกายของหลินฟางเฟ่ย สีหน้าของหวังฉิงก็กลายเป็นเย็นชา เขาเดินมาหาเธอและถามด้วยน้ำเสียงต่ำลึก “นางอยู่ที่ไหน?”

แม้ว่าหลินฟางเฟ่ยจะนิ่งเฉยพอแต่ร่างกายเธอก็อดไม่ได้ที่จะสั่นและน้ำเสียงที่ตอบออกมาก็สั่นเทอม “ข้า…ข้า…ข้าไม่รู้…”

“ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนเสื้อผ้ากับนาง?” สีหน้าของหวังฉิง กลายเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม และเขาอยากที่จะหวดเหล่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นร้อยครั้ง

หลินฟางเฟยคิดว่าถึงแม้หวังฉิงจะโกรธเพราะความสวยของมู่เทียน แต่เขาก็คงจะไม่ทำอะไรเธอหรอก อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเจอเขา เธอก็กลัวว่าเขาจะกินเธอเข้าไปอย่างไงอย่างงั้น อากาศเย็นๆไหลผ่านไปทั่วร่างของเธอ ขาของเธอกลายเป็นอ่อนแรงจนแทบที่จะยืนไม่ไหว ถ้าโต๊ะที่อยู่ข้างหลังไม่ช่วยดันเธอเอาไว้ เธอก็คงจะทรุดลงไปกับพื้นแล้วแน่ๆ
หวังฉิงสู้รบอยู่ในสนามรบมาตลอดทั้งปีจนร่างกายและเลือดเย็นชาไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงเลย แม้แต่คู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ชายก็ยังหนาวเลย

“เป็นท่านมู่เองที่บอกว่าชอบเสื้อผ้าของข้า…ข้าคิดว่านางคงไม่มีเสื้อผ้าดีๆใส่ ก็เลยเปลี่ยนกับนาง…” หลังจากนั้น หวังฉิงก็มองเธอด้วยสายตาเย็นชา เขาพูดกับองครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างๆเธอ “ปิดประตูเมืองทุกบานทันทีและห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด” เขาหยิบตราที่เอวออกมาและยื่นให้องครักษ์ชุดดำ

“ขังนางไว้จนกว่าจะเจออีกคน”

“องค์ชาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะหวังฉิง…” หลินฟางเฟ่ยจับแขนเสื้อของหวังฉิงด้วยความกลัว ใบหน้าร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม

น่าเสียดายที่ผู้ชายคนนี้คือหวังฉิงที่เมินเฉยที่สุด ความอ่อนโยนทั้งหมดที่เขามีถูกมอบให้ผู้หญิงที่ชื่อมู่เทียนไปหมดแล้ว

หวังฉิงสะบัดมือเธอออกและเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว

“ส่งทีมทัพหน้าออกไปเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็พูดต่อ “พวกเจ้าจะต้องแจ้งข้าทันทีที่เจอตัว และห้ามทำอันตรายนางแม้ปลายเส้นผม”

“ขอรับ” กลุ่มเงาดำรีบเร่งฝีเท้าออกไปทันที

หวังฉิงดึงม้าออกมาและรีบควบอย่างเร็วไปที่ประตูเมือง บ้าจริง นางหนีไปอีกแล้ว ความโกรธในหัวใจถูกความกลัวที่จะต้องสูญเสียจมหายไปจนหมด ผู้หญิงคนนี้

เขาพยายามสงบใจ อย่าพยายามหนีไปจากเงื้อมมือเขาเลย

ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ระหว่างทาง จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังที่ถนน เธอค่อยๆเปิดม่านรถขึ้นเล็กน้อยและพบว่ามีทหารยามจำนวนมากกำลังเร่งฝีเท้ามาที่ประตูเมือง

“เร็วเข้า แจ้งทหารทุกคนให้ปิดกั้นประตูทันที”

“ขอรับ กัปตัน”

มู่หรงเห็นเพียงแค่กองกำลังคนและม้ามากมายที่รีบแยกเป็นทีมเล็กๆเพื่อออกค้นหาไปทุกทิศทาง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคำพูดของกัปตันทำให้สีหน้าของ มู่หรงเปลี่ยนไปทันที เธอรีบบอกคนขับรถที่อยู่เบื้องหน้าทันที “ท่าน หยุดรถก่อน”

“วู่!” รถม้าค่อยๆช้าลง

“มีอะไรเหรอขอรับคุณหนู?” คนขับรถถามพร้อมรอยยิ้มง่ายๆ

“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆถึงมีเหล่าทหารมามากมายแบบนี้?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงอ่อน

“โอ้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่ามีโจรที่หนีออกมาและตอนนี้กำลังปิดประตูเมืองกันอยู่” แต่ก่อนประตูเมืองแทบจะไม่เคยถูกปิดเลย แต่ก็มีอยู่บางหลายครั้งเหมือนกันและเหล่าคนลากรถก็ชินกับเรื่องนี้แล้ว

“ปิดประตูเมืองงั้นเหรอ? งั้นก็หมายความว่าตอนนี้เราออกไปไม่ได้งั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ขอรับ ว่าแต่ คุณหนู คุณกำลังจะออกไปนอกเมืองด้วยงั้นเหรอ?” คนขับรถนึกขึ้นได้ว่าเด็กสาวกำลังที่จะออกไปนอกประตูเมือง

จริงเหรอเนี่ย? หวังฉิงปิดประตูเมืองเพื่อที่จะจับเธองั้นเหรอ?!!

ตอนนี้การไปที่ประตูเมืองก็เหมือนกับลูกแกะที่กำลังเดินเข้าไปในปากเสือ มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงพูดออกมา “ท่าน ข้าไม่อยากที่จะไปที่ประตูเมืองแล้ว ช่วยพาข้าไปส่งที่โรงเตี้ยมไกลๆที”
“ได้ขอรับ” เด็กสาวคนนี้แปลกๆจริงๆ นางอยากที่จะไปโรงเตี้ยมไกลๆ มันอันตรายและไม่ค่อยดีอีกต่างหาก

แต่เขาต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ เขาขับรถม้ามาหลายปีและได้เรียนรู้ว่าไม่ควรที่จะพูดอะไรมาก

คนขับรถหันหัวกลับไปและขับไปตามถนน และรถม้าของหวังฉิงก็บังเอิญขับผ่านมา

มู่หรงเหลือบมอง จู่ๆหัวใจเธอก็เต้นรัวจนขึ้นมาแทบจะถึงคอ โชคดีที่หวังฉิงหายไปอย่างรวดเร็วและไม่สังเกตว่ามู่หรงจะอยู่ในรถม้าธรรมดาๆแบบนี้

“รีบไป” มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ในอาการใจสั่น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ไม่นานคนขับรถม้าก็พามู่หรงมาถึงโรงเตี้ยมเล็กๆที่ไม่พลุกพล่านและหยุดรถลง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+