ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 327 เจ้าจะต้องเจอดีแน่

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 327 เจ้าจะต้องเจอดีแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 327
เจ้าจะต้องเจอดีแน่

“ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เราควรจะทำยังไงดี?” เฟิงจือหลิงพูด

มู่หรงพยักหน้า “ตอนนี้พวกเขาเฝ้าอยู่ข้างนอก เราจะออกไปตอนนี้ไม่ได้ก็ทำได้แค่รอดูไปก่อน บางทีนี่อาจจะเป็นแค่การคาดเดาของเขา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด”

“ใช่ เราจะรออยู่ในนี้” จู่ๆเสี่ยวไป๋ก็พูดขึ้นมา

มู่หรงไม่อยากที่จะมองเขาเท่าไร เธอขี้เกียจที่จะพูดอะไรกับเขาตอนนี้

พูดง่ายๆคือพวกเขาจะยอมให้หวังฉิงจับตัวอีกไม่ได้ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่
บนใบหน้าที่สง่าราวภาพวาดของหวังฉิง เส้นโครงของใบหน้าเด่นชัด สายตาของเขาเย็นชาจนแทบจะทำให้คนที่มองตัวแข็งเป็นหินได้เลยถ้าไม่ระวัง

“มู่เทียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” หวังฉิงร้อง

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในมิติลับเองก็ได้ยิน บ้าจริง เขานี่ดื้อด้านจริงๆ

โง่อะไรแบบนี้เนี่ย! โง่เหมือนกับตัวเธอเองในชีวิตที่แล้วเลย แต่ในที่สุดเธอก็ได้เข้าใจว่าความรู้สึกเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ อีกอย่างเธอก็ปฏิเสธเขาไปแล้วด้วย

“มู่เทียน!”

“มู่เทียน ออกมาเจอข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ”

หวังฉิงยังคงตะโกนต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเวลาล่วงเลยมาครึ่งวันแต่ก็ยังไม่มีใครโผล่ออกมาเลย สีหน้าของหวังฉิงเริ่มที่จะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆและน้ำเสียงก็เริ่มที่จะแหบพร่านิดหน่อย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมออกมา เธออยากที่จะหนีไปจากเขา แต่ไม่สำคัญหรอกมันขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน ไม่ว่าเขาต้องอยู่ข้างนอกนี่นานแค่ไหน เขาก็จะรอ อีกสิบปีก็ไม่สายเกินไปหรอก นี่เป็นการพิสูจน์ว่าความอดทนเป็นหนทางของการเป็นราชา

จากเรื่องที่เสี่ยวไป๋บอก ที่ดินแดนมังกรคนแบบพวกเธอที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงสามารถถูกฆ่าตายได้แบบง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย

เธอนึกภาพได้เลยว่าคนที่ดินแดนมังกรจะทรงพลังและทรงอำนาจมากแค่ไหน ถ้าเธออยากที่จะช่วยพ่อแม่ งั้นเธอก็ควรที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งก่อน มันจำเป็นในการอยู่รอด

ความผันผวนของชีวิตไม่กี่ทศวรรษผ่านไป มู่หรงเสวี่ยเห็นความเปลี่ยนแปลงของพลังแห่งจิตวิญญาณเขาได้เลย ก่อนหน้านี้เธอมองไม่เห็นพลังแห่งจิตวิญญาณแต่ตอนนี้เธอเห็นแสงสีขาวได้เลย เธอลุกขึ้นและมองออกไปนอกมิติลับ

เธอไม่เห็นร่างของหวังฉิง เดาว่าเขาคงไม่ว่างที่จะมานั่งเฝ้าพวกเธอทั้งวัน อย่างไรก็ตามก็ยังมีทหารสองสามคนที่ยังล้อมรอบอยู่ พวกเธอเองก็ยังเห็นได้ว่ามีกองไฟอยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะไม่ยอมทิ้งหน้าที่เพื่อออกไปหาอะไรกินที่อื่นกันเลย และดูเหมือนว่าจะเฝ้ากันเป็นระบบกะด้วย สิ่งที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยโกรธก็คือทุกคนต่างก็สวมหน้ากาก ซึ่งดูเหมือนหวังฉิงจะทำมาพิเศษเพื่อป้องกันผงยาของเธอ

“มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงเองก็เดินออกมาด้วยเหมือนกันและถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว สีหน้าของเธอไม่ค่อยจะดีเท่าไร “ดูเหมือนว่าหวังฉิงจะใช้เวลากับพวกเราเยอะเลยล่ะ” มู่หรงพูดพร้อมน้ำเสียงหนักใจ

“ถ้างั้นเราก็จะสู้!”

“คงยากหน่อย เรามีกันแค่สามคนคงสู้ไม่ได้หรอก” มู่หรงรีบปฏิเสธทันทีโดยไม่ลังเล
ในมิติลับ ไม่มีมีเครื่องมืออะไรเลยนอกจากสมุนไพร ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาอะไรอย่างอื่นมาใช้ได้ “รอดูก่อนเถอะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

เสี่ยวไป๋ยังคงนอนอยู่ที่อีกฝั่ง มู่หรงเสวี่ยหงุดหงิดจนเตะเขาเข้าไปที เจ้าอ้วนนี่นอนสบายใจเลย

ช่วงบ่ายหวังฉิงเข้ามาดูสถานการณ์ “เป็นยังไงบ้าง?” เขาลงจากหลังม้าและถามออกมา

“ฝ่าบาท ยังไม่มีร่องรอยอะไรเลยขอรับ”

หวังฉิงขมวดคิ้วและโบกมือเบาๆ เป็นนัยๆว่าเขารู้แล้ว

ถ้าเขาไม่รู้มาตั้งนานแล้วว่ามู่เทียนสามารถที่จะหายตัวได้ เขาก็คงจะไม่ได้เฝ้าหนักขนาดนี้หรอก ถึงแม้เขาจะรู้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล

มู่เทียนไปอยู่ที่ไหนและโลกที่เธอไปมันเป็นยังไง เขานึกภาพไม่ออกเลย ถ้าเธอไม่โผล่มาเลยตลอดชีวิต เขาจะทำยังไงล่ะ?!

ถึงแม้ทุกวันนี้เขาจะยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆมากมาย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพของเธอราวกับว่ามันเป็นยาพิษที่เขาไม่สามารถจะถอนพิษได้

“เฝ้าต่อไป เจ้าจะพลาดอะไรไปไม่ได้เลยรู้หรือเปล่า?”

หวังฉิงสั่งออกไปอีกครั้งแล้วจึงรีบขี่ม้าออกไป ตอนนี้เพราะความตึงเครียดของทั้งสามดินแดนและภัยคุกคามจากดินแดนเฮ่ยเฉิน ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจกับอาวุธทางการทหารที่เขามีอยู่ในตอนนี้อีกแล้ว

ทุกวันนี้เขายุ่งอย่างมากเพียงเพราะการพัฒนาอาวุธทางการทหาร เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้าอาวุธทางการทหารยังเป็นแบบในตอนนี้อยู่ พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะดินแดนเฮ่ยเฉินได้ ต่อให้มีคนมากกว่าก็ตาม
การระเบิดคืนนั้นยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ เพียงแค่พริบตา ตึกทั้งหลังก็พังลงมาในทันที พลังแบบนั้นสามารถที่จะระเบิดดินแดนแห่งไฟให้เป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา

ก่อนหน้านี้เขาหยุดที่จะร่วมมือกับดินแดนลมเพราะเขากลัวดินแดนเฮ่ยเฉิน เขากลัวว่าดินแดนเฮ่ยเฉินจะพยายามเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องนี้ ดินแดนลมเองก็มีความคิดเห็นเรื่องดินแดนไฟเช่นกัน

เขาสนใจเรื่องที่ว่าทั้งสองดินแดนจะร่วมมือกันเพื่อมาโจมตีดินแดนแห่งไฟของพวกเขาหรือเปล่า ถึงแม้เขาจะอธิบายเรื่องความน่ากลัวของดินแดนแห่งไฟไปแล้วแต่มันก็ยังไม่น่าเชื่อ

ดินแดนลมดูเหมือนจะคิดว่าเขาแปลกไปหรือถึงขนาดสงสัยว่าในดินแดนแห่งไฟกำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

ไม่งั้นเขาก็คงไม่มาที่ดินแดนแห่งไฟโดยไม่แจ้งหรอก เขาคิดว่าองค์ชายทั้งสามแห่งดินแดนลมมาเพื่อตรวจดินแดนแห่งไฟของเขา

หนึ่งอาทิตย์ค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ

พวกทหารก็ยังคงเฝ้าอยู่โดยไม่ล่าถอยไปไหน

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องออกไป พวกเธอจะอยู่ในมิติลับตลอดไปไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร พวกเธอก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าเธอออกไป เธอก็จะสามารถหาเส้นทางหนีอื่นๆได้

“จือหลิง เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอก” มู่หรงพูดกับพวกเขา

“ไม่ ไม่ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าออกไปคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” เฟิงจือหลิงพูดตอบออกไปโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
มู่หรงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “เรื่องนี้ก็ไม่มีทางอื่นเหมือนกัน เราจะอยู่ในนี้ตลอดไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำร้ายเจ้า?” เพราะก่อนหน้านี้เฟิงจือหลิงถูกแยกออกจากมู่เทียนอย่างสิ้นเชิง เขาจึงไม่รู้ว่า มู่เทียนมีความหมายยังไงกับหวังฉิง

อันที่จริงถึงแม้ตอนนี้มู่เทียนจะอยู่ในชุดของผู้หญิง แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่ามู่เทียนเป็นผู้ชาย ยังไงซะมู่เทียนก็มีแหวนที่สามารถเปลี่ยนร่างผู้ชายให้เป็นผู้หญิงได้

“เพราะเขาอยากให้ข้าเป็นองค์หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ทำร้ายข้า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะหาทางหนีออกมาให้เร็วที่สุด” มู่หรงพูดปลอบใจ

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ สีหน้าของ เฟิงจือหลิงก็เปลี่ยนไปทันที “เขาขอให้เจ้าเป็นองค์หญิงของเขางั้นเหรอ แต่เจ้าเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”

เขารู้ว่าหวังฉิงมีเจตนาที่ไม่ดี อย่างที่คิดไว้เลยเขาเลวพอที่ขนาดผู้ชายด้วยกันก็ยังไม่เว้นเลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงเหมือนกัน?!!

“ใจเย็น ข้ามีวิธี” ปากของมู่หรงยกขึ้นเล็กน้อย เธอเกือบที่จะลืมไปแล้วว่าเฟิงจือหลิงไม่รู้เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิง

“ไม่ ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย” เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะนึกภาพมู่เทียนนอนอยู่เบื้องล่างชายคนอื่น มันจะทำเขาเป็นบ้า

มู่หรงไม่คิดเลยว่าเฟิงจือหลิงจะมีท่าทีใหญ่โตแบบนี้ แต่เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ

“ไม่เป็นไร ข้าเป็นหนุ่มแล้วและไม่มีอะไรที่จะเสียด้วย” มู่หรงหยักไหล่และพูดอย่างสบายใจ

“และอย่างที่เจ้ารู้ ถ้าสถานการณ์มันไม่ดีข้าก็เข้ามาซ่อนในมิติลับได้ แต่เจ้าจะออกไปข้างนอกไม่ได้ เจ้าไม่มีมิติลับ เจ้าจะตาย ข้าเป็นห่วงเจ้านะก็เลยไม่อยากให้เจ้าออกไปข้างนอก เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็ดูซีดเผือด

“เจ้า ระวังตัวด้วยนะ” สุดท้ายเฟิงจือหลิงก็กัดริมฝีปากและพูดประโยคนี้ออกไป

มู่หรงตบไปที่ไหล่ของเขา “ไม่ต้องห่วงนะ”

และวินาทีต่อมาเธอก็ออกมาจากมิติลับ

จู่ๆก็ปรากฏร่างของหญิงสาวสวยพร้อมด้วยใบหน้าที่งดงาม, คิ้วได้รูป, จมูกเป็นสันและริมฝีปากสีเชอร์รี่ เธอเปล่งประกายและให้ความรู้สึกที่ทรงเสน่ห์อย่างมาก

แต่ในสายตาของเหล่าทหารทำราวกับว่าเห็นศัตรูที่น่ากลัว พวกเขาต่างก็ยกหอกขึ้นมาและเล็งไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

มู่หรงหยักไหล่และเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สวยงาม “ขอโทษนะ ข้าจะออกไปแล้ว”

จังหวะนี้ในสายตาของเหล่าทหารรู้สึกงุนงงไปหมด พวกเขาต่างก็เป็นกองทหารชุดแรกที่หวังฉิงเป็นคนฝึกดังนั้นจึงไม่สับสนกับอะไรง่ายๆ

“อย่าพยายามที่จะหนีเลย” ทหารคนหนึ่งร้องบอกขึ้นมา

มู่หรงยักไหล่อย่างไร้เดียงสา แล้วจึงกางมือออก “ข้าไม่ได้อยากที่จะหนี ข้าแค่อยากที่จะออกไป พวกเจ้าคงจะไม่รังแกเด็กสาวตัวเล็กๆหรอกนะ”

“ยืนอยู่ตรงนั้นและอย่าขยับ” มู่หรงเพียงแค่เดินไปก้าวเดียวก็ทำให้เหล่าทหารขนลุกขึ้นมาได้ทั่วทั้งตัว แต่ฝ่าบาทสั่งไว้ว่าห้ามทำอันตรายนางเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น

ทหารชุดดำรีบส่งคนไปแจ้งฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด ในระหว่างนี้พวกเขาก็แค่ต้องเฝ้าเธอไว้
เมื่อได้รู้ว่าฝ่าบาทกำลังมา เขาจึงจะปล่อยให้มู่หรงเสวี่ยคลาดสายตาไม่ได้เลยแม้สักนิด

มู่หรงกลอกตา นี่ต้องใช้คนมาเฝ้าเธอเยอะขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ทหารนับร้อยคนกำลังจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา ราวกับว่าเธอมีสามหัวกับหกแขนงั้นแหละ

เธอเหนื่อยที่ต้องยืนอยู่ตลอดเวลา มู่หรงเสวี่ยจึงหยิบเก้าอี้นอนออกมาจากมิติลับโดยไม่สนใจสีหน้าบิดเบี้ยวของเหล่าทหาร เธอเอนนอนลงไปพร้อมทั้งหยิบผลไม้ออกมากัดกิน

แน่นอนว่าเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็เห็นหวังฉิงที่กำลังเดินเข้ามา

“ออกไปให้พ้นทาง”

หวังฉิงแทบจะเดินมาหาเธอโดยไม่หยุด อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นหน้าของมู่หรงในตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก
“เจ้าจะต้องเจอดีแน่ๆ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“กร๊อบ” มู่หรงเสวี่ยกัดผลไม้อีกคำแล้วจึงมองไปที่หวังฉิง

ท่าทางสบายๆราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว สุดท้ายหวังฉิงก็อดไม่ได้ เขาจับไปที่มือของมู่เทียนและดึงเข้ามาในอ้อมแขนเขาทันที กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ร่างกายของหวังฉิงผ่อนคลายไปได้อยู่สักพัก ยังไงซะเขาก็ชนะ ยังไงซะตอนนี้เธอก็มาอยู่ในอ้อมแขนเขาแล้ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 327 เจ้าจะต้องเจอดีแน่

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 327 เจ้าจะต้องเจอดีแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 327
เจ้าจะต้องเจอดีแน่

“ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เราควรจะทำยังไงดี?” เฟิงจือหลิงพูด

มู่หรงพยักหน้า “ตอนนี้พวกเขาเฝ้าอยู่ข้างนอก เราจะออกไปตอนนี้ไม่ได้ก็ทำได้แค่รอดูไปก่อน บางทีนี่อาจจะเป็นแค่การคาดเดาของเขา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด”

“ใช่ เราจะรออยู่ในนี้” จู่ๆเสี่ยวไป๋ก็พูดขึ้นมา

มู่หรงไม่อยากที่จะมองเขาเท่าไร เธอขี้เกียจที่จะพูดอะไรกับเขาตอนนี้

พูดง่ายๆคือพวกเขาจะยอมให้หวังฉิงจับตัวอีกไม่ได้ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่
บนใบหน้าที่สง่าราวภาพวาดของหวังฉิง เส้นโครงของใบหน้าเด่นชัด สายตาของเขาเย็นชาจนแทบจะทำให้คนที่มองตัวแข็งเป็นหินได้เลยถ้าไม่ระวัง

“มู่เทียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” หวังฉิงร้อง

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในมิติลับเองก็ได้ยิน บ้าจริง เขานี่ดื้อด้านจริงๆ

โง่อะไรแบบนี้เนี่ย! โง่เหมือนกับตัวเธอเองในชีวิตที่แล้วเลย แต่ในที่สุดเธอก็ได้เข้าใจว่าความรู้สึกเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ อีกอย่างเธอก็ปฏิเสธเขาไปแล้วด้วย

“มู่เทียน!”

“มู่เทียน ออกมาเจอข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ”

หวังฉิงยังคงตะโกนต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเวลาล่วงเลยมาครึ่งวันแต่ก็ยังไม่มีใครโผล่ออกมาเลย สีหน้าของหวังฉิงเริ่มที่จะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆและน้ำเสียงก็เริ่มที่จะแหบพร่านิดหน่อย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมออกมา เธออยากที่จะหนีไปจากเขา แต่ไม่สำคัญหรอกมันขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน ไม่ว่าเขาต้องอยู่ข้างนอกนี่นานแค่ไหน เขาก็จะรอ อีกสิบปีก็ไม่สายเกินไปหรอก นี่เป็นการพิสูจน์ว่าความอดทนเป็นหนทางของการเป็นราชา

จากเรื่องที่เสี่ยวไป๋บอก ที่ดินแดนมังกรคนแบบพวกเธอที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงสามารถถูกฆ่าตายได้แบบง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย

เธอนึกภาพได้เลยว่าคนที่ดินแดนมังกรจะทรงพลังและทรงอำนาจมากแค่ไหน ถ้าเธออยากที่จะช่วยพ่อแม่ งั้นเธอก็ควรที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งก่อน มันจำเป็นในการอยู่รอด

ความผันผวนของชีวิตไม่กี่ทศวรรษผ่านไป มู่หรงเสวี่ยเห็นความเปลี่ยนแปลงของพลังแห่งจิตวิญญาณเขาได้เลย ก่อนหน้านี้เธอมองไม่เห็นพลังแห่งจิตวิญญาณแต่ตอนนี้เธอเห็นแสงสีขาวได้เลย เธอลุกขึ้นและมองออกไปนอกมิติลับ

เธอไม่เห็นร่างของหวังฉิง เดาว่าเขาคงไม่ว่างที่จะมานั่งเฝ้าพวกเธอทั้งวัน อย่างไรก็ตามก็ยังมีทหารสองสามคนที่ยังล้อมรอบอยู่ พวกเธอเองก็ยังเห็นได้ว่ามีกองไฟอยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะไม่ยอมทิ้งหน้าที่เพื่อออกไปหาอะไรกินที่อื่นกันเลย และดูเหมือนว่าจะเฝ้ากันเป็นระบบกะด้วย สิ่งที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยโกรธก็คือทุกคนต่างก็สวมหน้ากาก ซึ่งดูเหมือนหวังฉิงจะทำมาพิเศษเพื่อป้องกันผงยาของเธอ

“มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงเองก็เดินออกมาด้วยเหมือนกันและถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว สีหน้าของเธอไม่ค่อยจะดีเท่าไร “ดูเหมือนว่าหวังฉิงจะใช้เวลากับพวกเราเยอะเลยล่ะ” มู่หรงพูดพร้อมน้ำเสียงหนักใจ

“ถ้างั้นเราก็จะสู้!”

“คงยากหน่อย เรามีกันแค่สามคนคงสู้ไม่ได้หรอก” มู่หรงรีบปฏิเสธทันทีโดยไม่ลังเล
ในมิติลับ ไม่มีมีเครื่องมืออะไรเลยนอกจากสมุนไพร ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาอะไรอย่างอื่นมาใช้ได้ “รอดูก่อนเถอะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

เสี่ยวไป๋ยังคงนอนอยู่ที่อีกฝั่ง มู่หรงเสวี่ยหงุดหงิดจนเตะเขาเข้าไปที เจ้าอ้วนนี่นอนสบายใจเลย

ช่วงบ่ายหวังฉิงเข้ามาดูสถานการณ์ “เป็นยังไงบ้าง?” เขาลงจากหลังม้าและถามออกมา

“ฝ่าบาท ยังไม่มีร่องรอยอะไรเลยขอรับ”

หวังฉิงขมวดคิ้วและโบกมือเบาๆ เป็นนัยๆว่าเขารู้แล้ว

ถ้าเขาไม่รู้มาตั้งนานแล้วว่ามู่เทียนสามารถที่จะหายตัวได้ เขาก็คงจะไม่ได้เฝ้าหนักขนาดนี้หรอก ถึงแม้เขาจะรู้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล

มู่เทียนไปอยู่ที่ไหนและโลกที่เธอไปมันเป็นยังไง เขานึกภาพไม่ออกเลย ถ้าเธอไม่โผล่มาเลยตลอดชีวิต เขาจะทำยังไงล่ะ?!

ถึงแม้ทุกวันนี้เขาจะยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆมากมาย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพของเธอราวกับว่ามันเป็นยาพิษที่เขาไม่สามารถจะถอนพิษได้

“เฝ้าต่อไป เจ้าจะพลาดอะไรไปไม่ได้เลยรู้หรือเปล่า?”

หวังฉิงสั่งออกไปอีกครั้งแล้วจึงรีบขี่ม้าออกไป ตอนนี้เพราะความตึงเครียดของทั้งสามดินแดนและภัยคุกคามจากดินแดนเฮ่ยเฉิน ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจกับอาวุธทางการทหารที่เขามีอยู่ในตอนนี้อีกแล้ว

ทุกวันนี้เขายุ่งอย่างมากเพียงเพราะการพัฒนาอาวุธทางการทหาร เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้าอาวุธทางการทหารยังเป็นแบบในตอนนี้อยู่ พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะดินแดนเฮ่ยเฉินได้ ต่อให้มีคนมากกว่าก็ตาม
การระเบิดคืนนั้นยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ เพียงแค่พริบตา ตึกทั้งหลังก็พังลงมาในทันที พลังแบบนั้นสามารถที่จะระเบิดดินแดนแห่งไฟให้เป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา

ก่อนหน้านี้เขาหยุดที่จะร่วมมือกับดินแดนลมเพราะเขากลัวดินแดนเฮ่ยเฉิน เขากลัวว่าดินแดนเฮ่ยเฉินจะพยายามเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องนี้ ดินแดนลมเองก็มีความคิดเห็นเรื่องดินแดนไฟเช่นกัน

เขาสนใจเรื่องที่ว่าทั้งสองดินแดนจะร่วมมือกันเพื่อมาโจมตีดินแดนแห่งไฟของพวกเขาหรือเปล่า ถึงแม้เขาจะอธิบายเรื่องความน่ากลัวของดินแดนแห่งไฟไปแล้วแต่มันก็ยังไม่น่าเชื่อ

ดินแดนลมดูเหมือนจะคิดว่าเขาแปลกไปหรือถึงขนาดสงสัยว่าในดินแดนแห่งไฟกำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

ไม่งั้นเขาก็คงไม่มาที่ดินแดนแห่งไฟโดยไม่แจ้งหรอก เขาคิดว่าองค์ชายทั้งสามแห่งดินแดนลมมาเพื่อตรวจดินแดนแห่งไฟของเขา

หนึ่งอาทิตย์ค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ

พวกทหารก็ยังคงเฝ้าอยู่โดยไม่ล่าถอยไปไหน

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องออกไป พวกเธอจะอยู่ในมิติลับตลอดไปไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร พวกเธอก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าเธอออกไป เธอก็จะสามารถหาเส้นทางหนีอื่นๆได้

“จือหลิง เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอก” มู่หรงพูดกับพวกเขา

“ไม่ ไม่ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าออกไปคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” เฟิงจือหลิงพูดตอบออกไปโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
มู่หรงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “เรื่องนี้ก็ไม่มีทางอื่นเหมือนกัน เราจะอยู่ในนี้ตลอดไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำร้ายเจ้า?” เพราะก่อนหน้านี้เฟิงจือหลิงถูกแยกออกจากมู่เทียนอย่างสิ้นเชิง เขาจึงไม่รู้ว่า มู่เทียนมีความหมายยังไงกับหวังฉิง

อันที่จริงถึงแม้ตอนนี้มู่เทียนจะอยู่ในชุดของผู้หญิง แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่ามู่เทียนเป็นผู้ชาย ยังไงซะมู่เทียนก็มีแหวนที่สามารถเปลี่ยนร่างผู้ชายให้เป็นผู้หญิงได้

“เพราะเขาอยากให้ข้าเป็นองค์หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ทำร้ายข้า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะหาทางหนีออกมาให้เร็วที่สุด” มู่หรงพูดปลอบใจ

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ สีหน้าของ เฟิงจือหลิงก็เปลี่ยนไปทันที “เขาขอให้เจ้าเป็นองค์หญิงของเขางั้นเหรอ แต่เจ้าเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”

เขารู้ว่าหวังฉิงมีเจตนาที่ไม่ดี อย่างที่คิดไว้เลยเขาเลวพอที่ขนาดผู้ชายด้วยกันก็ยังไม่เว้นเลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงเหมือนกัน?!!

“ใจเย็น ข้ามีวิธี” ปากของมู่หรงยกขึ้นเล็กน้อย เธอเกือบที่จะลืมไปแล้วว่าเฟิงจือหลิงไม่รู้เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิง

“ไม่ ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย” เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะนึกภาพมู่เทียนนอนอยู่เบื้องล่างชายคนอื่น มันจะทำเขาเป็นบ้า

มู่หรงไม่คิดเลยว่าเฟิงจือหลิงจะมีท่าทีใหญ่โตแบบนี้ แต่เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ

“ไม่เป็นไร ข้าเป็นหนุ่มแล้วและไม่มีอะไรที่จะเสียด้วย” มู่หรงหยักไหล่และพูดอย่างสบายใจ

“และอย่างที่เจ้ารู้ ถ้าสถานการณ์มันไม่ดีข้าก็เข้ามาซ่อนในมิติลับได้ แต่เจ้าจะออกไปข้างนอกไม่ได้ เจ้าไม่มีมิติลับ เจ้าจะตาย ข้าเป็นห่วงเจ้านะก็เลยไม่อยากให้เจ้าออกไปข้างนอก เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็ดูซีดเผือด

“เจ้า ระวังตัวด้วยนะ” สุดท้ายเฟิงจือหลิงก็กัดริมฝีปากและพูดประโยคนี้ออกไป

มู่หรงตบไปที่ไหล่ของเขา “ไม่ต้องห่วงนะ”

และวินาทีต่อมาเธอก็ออกมาจากมิติลับ

จู่ๆก็ปรากฏร่างของหญิงสาวสวยพร้อมด้วยใบหน้าที่งดงาม, คิ้วได้รูป, จมูกเป็นสันและริมฝีปากสีเชอร์รี่ เธอเปล่งประกายและให้ความรู้สึกที่ทรงเสน่ห์อย่างมาก

แต่ในสายตาของเหล่าทหารทำราวกับว่าเห็นศัตรูที่น่ากลัว พวกเขาต่างก็ยกหอกขึ้นมาและเล็งไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

มู่หรงหยักไหล่และเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สวยงาม “ขอโทษนะ ข้าจะออกไปแล้ว”

จังหวะนี้ในสายตาของเหล่าทหารรู้สึกงุนงงไปหมด พวกเขาต่างก็เป็นกองทหารชุดแรกที่หวังฉิงเป็นคนฝึกดังนั้นจึงไม่สับสนกับอะไรง่ายๆ

“อย่าพยายามที่จะหนีเลย” ทหารคนหนึ่งร้องบอกขึ้นมา

มู่หรงยักไหล่อย่างไร้เดียงสา แล้วจึงกางมือออก “ข้าไม่ได้อยากที่จะหนี ข้าแค่อยากที่จะออกไป พวกเจ้าคงจะไม่รังแกเด็กสาวตัวเล็กๆหรอกนะ”

“ยืนอยู่ตรงนั้นและอย่าขยับ” มู่หรงเพียงแค่เดินไปก้าวเดียวก็ทำให้เหล่าทหารขนลุกขึ้นมาได้ทั่วทั้งตัว แต่ฝ่าบาทสั่งไว้ว่าห้ามทำอันตรายนางเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น

ทหารชุดดำรีบส่งคนไปแจ้งฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด ในระหว่างนี้พวกเขาก็แค่ต้องเฝ้าเธอไว้
เมื่อได้รู้ว่าฝ่าบาทกำลังมา เขาจึงจะปล่อยให้มู่หรงเสวี่ยคลาดสายตาไม่ได้เลยแม้สักนิด

มู่หรงกลอกตา นี่ต้องใช้คนมาเฝ้าเธอเยอะขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ทหารนับร้อยคนกำลังจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา ราวกับว่าเธอมีสามหัวกับหกแขนงั้นแหละ

เธอเหนื่อยที่ต้องยืนอยู่ตลอดเวลา มู่หรงเสวี่ยจึงหยิบเก้าอี้นอนออกมาจากมิติลับโดยไม่สนใจสีหน้าบิดเบี้ยวของเหล่าทหาร เธอเอนนอนลงไปพร้อมทั้งหยิบผลไม้ออกมากัดกิน

แน่นอนว่าเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็เห็นหวังฉิงที่กำลังเดินเข้ามา

“ออกไปให้พ้นทาง”

หวังฉิงแทบจะเดินมาหาเธอโดยไม่หยุด อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นหน้าของมู่หรงในตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก
“เจ้าจะต้องเจอดีแน่ๆ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“กร๊อบ” มู่หรงเสวี่ยกัดผลไม้อีกคำแล้วจึงมองไปที่หวังฉิง

ท่าทางสบายๆราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว สุดท้ายหวังฉิงก็อดไม่ได้ เขาจับไปที่มือของมู่เทียนและดึงเข้ามาในอ้อมแขนเขาทันที กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ร่างกายของหวังฉิงผ่อนคลายไปได้อยู่สักพัก ยังไงซะเขาก็ชนะ ยังไงซะตอนนี้เธอก็มาอยู่ในอ้อมแขนเขาแล้ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+