ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 361 การรวมโลก

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 361 การรวมโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 361

การรวมโลก

ดูเหมือนว่าการพูดคุยของทั้งสามดินแดนและดินแดนดำมืดจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่ก็ยังก็การแตกคอกันอยู่บ้าง

กลางดึก กลุ่มของชายชุดดำว่ายน้ำกันด้วยความเร็วในความมืด

หลินหยางที่อยู่ในห้องยกริมฝีปากและแสยะยิ้มออกมา เขาโบกมือและอีกทีมที่ดูแข็งแกร่งกว่าก็ตามไป คิดว่าจะมาขโมยอาวุธเขาได้ง่ายๆงั้นเหรอ

อย่างแรก เราไม่ได้บอกว่าผู้พิทักษ์เมืองถูกปกป้องโดยผู้คนทั้งหมด มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้เฝ้าเมือง เขายังใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างกองทหารลับที่ชาญฉลาดอีกด้วย นอกจากคนในดินแดนดำมืดแล้วก็ไม่มีทางรู้เลยว่ากองกำลังพวกนี้ไปหลบอยู่ตรงไหนกันบ้าง!

กลางดึก หวังฉิงนอนไม่หลับแต่กลับพลิกตัวไปมาแล้วจึงลุกขึ้นมานั่งหลังตรง หลังจากที่เฝ้ารอมาหลายวันสุดท้ายเขาก็จะได้เจอเธอแล้ว

หวังฉิงเพิ่งจะได้รับรายงานลับจากทหารชุดดำและได้รู้ว่าสุดท้ายมู่เทียนก็โผล่ตัวออกมาแล้วซึ่งตอนนี้อยู่ที่สวนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก

เขารีบเดินออกประตูไปทันที ผู้หญิงคนนี้ เขาอยากที่จะเห็นว่าเธอเป็นยังไงบ้าง คนแบบหลินหยางจะมาชอบเธอจริงๆได้ยังไงกัน ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เง่าจริงๆเลย!

มู่หรงเสวี่ยกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินในศาลาพร้อมทั้งนวดไปที่ขมับเบาๆ ช่วงนี้เธอมักจะปวดหัวตลอดและเฟิงจือหลิงก็กลายเป็นอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำของเธอ เธอไม่อยากที่จะสงสัยเขาแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะให้เธอฟื้นความทรงจำงั้นแหละ เธอเองก็อยากจะคิดว่านี่เป็นเพราะเธอคิดมากไปเอง

“ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะสบายดีนะ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม เขามองไปยังชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้และรอบตัวเธอก็ไม่มีสาวใช้อยู่ข้างกาย เธอคงจะอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากแน่ๆ

มู่หรงได้สติกลับมาทันที “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“แปลกใจงั้นเหรอ? ที่ไม่ออกมาข้างนอกก็เพราะที่จะหลบหน้าข้างั้นเหรอ?” หวังฉิงมองไปที่เธออย่างสงสัย เธอดูเหมือนจะผอมลงกว่าแต่ก่อน ไอ้ลูกหมาเอ๊ย! เขาต้องให้เธออยู่อย่างเจ็บปวดแน่ๆ

มู่หรงเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะหลบหน้าเขาแต่หลายวันที่ผ่านมาเธอรู้สึกไม่ค่อยสบายจนไม่อยากที่จะออกมาข้างนอก อีกอย่างการเตรียมการทุกอย่างก็พร้อมแล้วด้วย

“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทะเยอทะยานมากแค่ไหน เจ้าสนใจก็แค่เรื่องความฉลาดของเขาเท่านั้น” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ในเมื่อเจ้าเองก็เห็นความแตกต่างแล้ว งั้นทำไมไม่รับข้อเสนอล่ะ หลินหยางก็เป็นองค์ราชาที่ดีไม่ใช่เหรอ?” ถ้าเป็นแบบนั้น มู่หรงเสวี่ยก็มั่นใจมากว่ามันจะไม่มีสงครามและการนองเลือดเพราะทางแก้แบบสันติย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

“เหอะ คิดว่าข้าตาบอดเหรอไง?” ยอมแพ้เหรอ ทำไมต้องให้พวกเขายอมแพ้ด้วยล่ะ โลกนี้ไม่ใช่โลกของคนพวกนี้แต่กลับจะเข้ามาควบคุมโลกของพวกเขาไปอย่างหน้าตาเฉย แล้วดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของเขาจะยอมแพ้โดยไม่สู้ได้ยังไง

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ คนแบบเขาไม่มีทางลดเกียรติของตัวเองได้แน่ๆและสุดท้ายเขาก็จะต้องสู้

“กับเจ้า เราต่างก็ถูกลิขิตมาให้เป็นศัตรูของกันและกัน” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและพยายามที่จะสูดอากาศหายใจแต่เธอก็บังเอิญไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าอย่างจัง

“เดี๋ยวก่อน” หวังฉิงกอดมู่หรงไว้ในอ้อมแขน

มู่หรงค่อยๆปัดมือเขาออกและพูดออกมา “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ถ้ายังคุยต่อไปข้าคงจะต้องสงสัยว่าเจ้าพยายามจะเอาอะไรจากข้า”

”หลินหยางกับเจ้ามาจากโลกเดียวกัน ทำไมพวกเจ้าไม่อยู่ในโลกของตัวเองแต่กลับมาแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองแบบนี้” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มู่หรงแปลกใจจนต้องอ้าปาก ฉลาดมาก เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่มีรางวัลอะไรจะตอบแทน

“เพราะโชคชะตาพาให้ต้องกลับมาไงล่ะ”

“ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” หวังฉิงเองก็รู้ว่าเธอพูดอะไรไม่ได้แต่เขาแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ? นี่เธอหลอกเขางั้นเหรอ

มู่หรงเสวี่ยหยุด “ทำไมเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นหนทางของการพัฒนาโลกล่ะ? หลินหยางสามารถที่จะสร้างโลกที่ก้าวหน้าไปกว่านี้ได้มาก เขาจะต้องสามารถที่จะสร้างโลกที่ผู้คนอยู่กันอย่างสบายได้แน่” เธอพูดออกมาเสียงเรียบ

“เหอะ การพัฒนามันไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนหรอกนะและการพัฒนาอาวุธก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกชีวิตที่สมบูรณ์แบบได้หรอกนะ ใครเป็นคนบอกกันว่าผู้คนในดินแดนของพวกเราไม่มีความสุข?” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เขายังไม่ยอมอ่อนข้อ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคาดเดาจุดจบได้แล้ว

“แล้วแต่เจ้าแล้วกัน” มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะพูดอะไรอีก อีกอย่างเธอก็ปวดหัวมากด้วย

ร่างที่เห็นเป็นของใครกันนะ? ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นหน้าเลย

หวังฉิงที่ยืนอยู่ในความมืด ร่างกายดูเหมือนจะเปล่งรังสีความเยือกเย็นออกมา แน่นอนว่าเขาทำอะไรมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ ถึงแม้เขาอยากจะทำอะไร เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ได้ลืมว่าทุกด้านมีทหารยืนเรียงรายอยู่ด้วย

หลินหยางเริ่มที่จะทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆถึงขนาดดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะโอนเอนกับความคิดของเขาได้ เหอะ เขาไม่อยากที่จะล้มดินแดน ต่อให้เขาต้องตาย เขาก็จะดึงคู่ต่อสู้ตายตามไปด้วยกัน

องค์ราชาของทั้งสามดินแดนต่างก็มีความคิดอยู่ในใจ พวกเขาเป็นมิตรกันอยู่สองสามวันก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

หลินหยางไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการสังหารชีวิตพวกเขา ยังไงซะคนพวกนี้ก็เป็นที่นับถือในดินแดนของตัวเองและต่างก็มีเกียรติสูงศักดิ์ เขาไม่อยากที่จะสร้างประเด็นการลุกฮือของทุกดินแดน ถึงแม้มันจะควรเป็นแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อยากที่จะใช้วิธีนี้

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เจอหวังฉิงอีก ผู้หญิงที่หัวใจมีแต่เรื่องดินแดน ต่อให้เป็นเรื่องหัวใจก็ยังมองเป็นเรื่องรอง

หลังจากสงครามหวังฉิงเป็นดินแดนแรกที่เข้าโจมตีดินแดนดำมืดพร้อมด้วยคำขวัญที่ว่าจำกัดวิญญาณร้าย หลังจากนั้นดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะก็ตามมา

ไม่มีใครยอมที่จะยอมแพ้พื้นที่เขาและแม่น้ำที่ดีแบบนี้หรอก เกิดเสียงร้องไห้คร่ำครวญไปทั่วทั้งโลก

หลินหยางพร้อมด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นที่ปกปิดความไม่พอใจของสงครามที่โหดร้ายนี้เข้าโจมตีด้วยความรวดเร็ว เว้นแต่โลกจะรวมกันเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง สงครามจะคงอยู่ตลอดไป

การสู้รบที่นองเลือดนี้กินเวลาไปกว่าครึ่งปี ดินแดนดำมืดแทบจะกลายเป็นหุบเขาแห่งซากศพ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดที่อาบนองพื้นไปหมด

องค์ราชาของทั้งสามดินแดนต่างก็ตัดสินใจกันด้วยตัวเอง หลังจากสงครามทั่วทั้งโลกต่างก็บอบช้ำ

หลินหยางออกเดินทางเพื่อฟื้นฟู ปรับปรุง มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเองก็เดินทางไปหลายดินแดนเพื่อฟื้นฟูด้วยเหมือนกัน

“จือหลิง” มู่หรงพูดออกมาอย่างกังวลเล็กน้อย

“เสี่ยวเสวี่ยมีอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงบีบมือเธอและถามออกมาเสียงอ่อนโยน เวลาที่เหลือ เขาไม่รู้ว่ายังมีอีกเท่าไรแต่ทุกวินาทีที่เขาได้อยู่กับเธอ เขาจะใช้มันไปอย่างคุ้มค่า

“องค์ราชาของทั้งสามดินแดนตายแล้ว ข้าหวังว่าเราจะไม่ได้เลือกผิดนะ” มู่หรงพูด

หลินหยางคือสายเลือดของมังกรที่แท้จริงหรือเปล่านะ?! จนตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ชัด เสี่ยวไป๋เองก็ไม่รู้วิธีที่จะหาสายเลือดที่แท้จริงของมังกรด้วย เธอรู้เพียงแค่ว่าเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้วงเวลา

ตอนนี้ที่หลินหยางรวมโลกได้แล้ว เขาก็ควรที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงแค่ว่ามู่หรงเสวี่ยถามเขาก่อนที่เขาจะไปและเขาก็ไม่รู้อะไรเลย

นอกจากนี้ทุกวันนี้ผู้คนต่างก็ต้องทุกข์ทรมาน มู่หรงก็ไม่อยากที่จะเข้าไปรบกวนเขามากเกินไปด้วย “บางทีนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวลนะ” เฟิงจือหลิงพยายามที่จะปลอบใจเธอ

มู่หรงพยักหน้าเบาๆ เธอทำได้เพียงเท่านี้

การแก้ไขปรับปรุงกินเวลาไปกว่าครึ่งปี สามดินแดนก็ไม่ใช่สามดินแดนอีกแล้ว

แต่กลายเป็น ดินแดนแห่งสายลม, ดินแดนแห่งไฟ และดินแดนหิมะ

หลินหยางขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นคานต์

ในวันที่เขาขึ้นครองราชย์ มีลำแสงธรรมชาติส่องตรงไปยังบัลลังก์ของมังกรในป่ามหาสมุทรและยังมีภาพเรือทองคำมังกรล่องอยู่ให้เห็นอีกด้วย

ภาพนี้ทำให้คนที่ได้เห็นกับตาต่างก็ต้องตกตะลึงกันนับไม่ถ้วนและยังทำให้การรวมกันของผู้คนของหลินหยางถูกเตรียมได้อย่างดีมากขึ้นด้วย

ไม่นานตำนานขององค์จักรพรรดิมังกรก็กระจายไปทั่วดินแดน คนที่ประหลาดใจกับเรื่องนี้มากที่สุดคือมู่หรงเสวี่ยและหลินหยาง

พวกเขามั่นใจใจทันทีว่าหลินหยางคือหนึ่งในสายเลือดที่แท้จริงของมังกร หนึ่งวันหลังจากการขึ้นครองราชย์ของ หลินหยางเสร็จสมบูรณ์ มู่หรงก็รอไม่ไหวที่จะไปเจอหลินหยาง

“หลินหยาง อุโมงค์แห่งห้วงเวลาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงไม่สนใจเหล่าคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นและพูดถามออกไปตรงๆ

หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสีหน้าปวดหัว แล้วโบกมือออกมา “ทุกคนออกไป”

ทุกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นต่างก็ล่าถอยออกไป

“ไว้หน้าข้าหน่อยสิ ตอนนี้ข้าเป็นจักรพรรดิแล้วนะ” หลินหยางมองไปที่เธอและพูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยตะลึงนิ่ง “ไม่เอาน่า ครั้งหน้าข้าจะไว้หน้าเจ้าแล้วกัน รีบบอกข้ามาเร็วสิว่าอุโมงค์ห้วงเวลาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ดวงตาของหลินหยางแวบประกาย เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรจริงๆ “อยู่ทางเหนือ” เขาตอบเสียงเรียบ

“งั้นเจ้ามัวรออะไรอยู่ล่ะ? ไปกันเถอะ” มู่หรงดึงเขาออกมา

“เดี๋ยวสิ” หลินหยางเกือบที่จะล้มลงมา

“เร็วเข้าสิ”

“ไม่เอาน่า ข้าเพิ่งจะขึ้นครองราชย์เองนะ ข้ายังไปไม่ได้หรอก” หลินหยางพูดออกมาอย่างปวดหัว

“งั้นมันต้องนานอีกแค่ไหนล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะไปตอนนี้แล้ว เธออยากที่จะรีบไปตามหาพ่อแม่

“อย่างน้อยก็ต้องรอให้สถานการณ์บ้านเมืองเรียบร้อยซะก่อน ถ้าข้าไปตอนนี้ คนอื่นจะไม่เข้ามาเอาเปรียบหรือไง?” ถึงแม้หลินหยางจะเข้าใจว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนยังไง เธอเป็นเหมือนลูกธนูที่พร้อมจะวิ่งตรงกลับบ้าน แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่เขาจะรวมโลกได้ ทุกดินแดนต่างก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะทิ้งไป

มู่หรงเสวี่ยเงียบไป เธอเข้าใจดีว่าสิ่งที่หลินหยางพูดมันถูกต้อง “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ขอโทษนะ” เมื่อพูดจบ มู่หรงเสวี่ยก็กำลังจะเดินออกไป

“เดี๋ยวสิ ข้ามีบางอย่างที่จะพูดกับเจ้า” หลินหยางพูด

มู่หรงเลิกคิ้ว ตอนนี้เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามันคืออะไร “มีอะไรเหรอ?”

“ข้ายกเจ้าให้เป็นพระมเหสีได้ไหม? เจ้าจะได้ช่วยข้าจัดการกับเรื่องพวกนางสนม” หลินหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเครียดขึ้นและสงสัยว่าเธอได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

“ใช่แล้ว คือ…เฮ้ เจ้าก็รู้” หลินหยางเบื่อจะตาย วันแรกที่เขาขึ้นครองราชย์ เขาก็ถูกกลุ่มผู้หญิงมากมายล้อมรอบ

“ฟิ้ว เจ้าบ้าหรือไง? ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ยังไง? เจ้าก็มีความสุขกับการที่ได้เป็นจักรพรรดิไม่ใช่หรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมเหล่ตาไปที่เขา

“คือข้าปวดหัวกับผู้หญิงพวกนี้มาก ตอนนี้เจ้าเป็นคนเดียวที่จะช่วยข้าได้ อีกอย่างเจ้าจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระข้าด้วยไง เจ้าไม่อยากจะกลับบ้านเร็วๆเหรอ? ถ้าข้ามัวแต่ต้องคอยจัดการเรื่องพวกหญิงพวกนี้ งั้นข้าก็ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องของบ้านเมือง งั้นก็คงอีกหลายปีกว่าที่ข้าจะว่างได้” หลินหยางพูดพร้อมทั้งคอยสังเกตสีหน้าของมู่หรงไปด้วย

มู่หรงเบ้ปากแล้วจึงพูดออกมา “จือหลิงได้ฆ่าตายกันพอดี” ให้เธอมาเป็นมเหสีของหลินหยางทั้งๆที่อยู่ต่อหน้า เฟิงจือหลิงเนี่ยนะ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆไม่ใช่เหรอ?!

“เรื่องพี่เฟิงข้าจะอธิบายกับเขาเอง ข้าจะช่วยเจ้า เขาจะคิดว่าข้าชอบเจ้าได้ยังไงใช่ไหมล่ะ? อย่ามาตลกน่า” หลินหยางพูดพร้อมมองไปที่เธอด้วยสายตาดูถูก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 361 การรวมโลก

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 361 การรวมโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 361

การรวมโลก

ดูเหมือนว่าการพูดคุยของทั้งสามดินแดนและดินแดนดำมืดจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่ก็ยังก็การแตกคอกันอยู่บ้าง

กลางดึก กลุ่มของชายชุดดำว่ายน้ำกันด้วยความเร็วในความมืด

หลินหยางที่อยู่ในห้องยกริมฝีปากและแสยะยิ้มออกมา เขาโบกมือและอีกทีมที่ดูแข็งแกร่งกว่าก็ตามไป คิดว่าจะมาขโมยอาวุธเขาได้ง่ายๆงั้นเหรอ

อย่างแรก เราไม่ได้บอกว่าผู้พิทักษ์เมืองถูกปกป้องโดยผู้คนทั้งหมด มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้เฝ้าเมือง เขายังใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างกองทหารลับที่ชาญฉลาดอีกด้วย นอกจากคนในดินแดนดำมืดแล้วก็ไม่มีทางรู้เลยว่ากองกำลังพวกนี้ไปหลบอยู่ตรงไหนกันบ้าง!

กลางดึก หวังฉิงนอนไม่หลับแต่กลับพลิกตัวไปมาแล้วจึงลุกขึ้นมานั่งหลังตรง หลังจากที่เฝ้ารอมาหลายวันสุดท้ายเขาก็จะได้เจอเธอแล้ว

หวังฉิงเพิ่งจะได้รับรายงานลับจากทหารชุดดำและได้รู้ว่าสุดท้ายมู่เทียนก็โผล่ตัวออกมาแล้วซึ่งตอนนี้อยู่ที่สวนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก

เขารีบเดินออกประตูไปทันที ผู้หญิงคนนี้ เขาอยากที่จะเห็นว่าเธอเป็นยังไงบ้าง คนแบบหลินหยางจะมาชอบเธอจริงๆได้ยังไงกัน ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เง่าจริงๆเลย!

มู่หรงเสวี่ยกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินในศาลาพร้อมทั้งนวดไปที่ขมับเบาๆ ช่วงนี้เธอมักจะปวดหัวตลอดและเฟิงจือหลิงก็กลายเป็นอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำของเธอ เธอไม่อยากที่จะสงสัยเขาแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะให้เธอฟื้นความทรงจำงั้นแหละ เธอเองก็อยากจะคิดว่านี่เป็นเพราะเธอคิดมากไปเอง

“ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะสบายดีนะ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม เขามองไปยังชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้และรอบตัวเธอก็ไม่มีสาวใช้อยู่ข้างกาย เธอคงจะอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากแน่ๆ

มู่หรงได้สติกลับมาทันที “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“แปลกใจงั้นเหรอ? ที่ไม่ออกมาข้างนอกก็เพราะที่จะหลบหน้าข้างั้นเหรอ?” หวังฉิงมองไปที่เธออย่างสงสัย เธอดูเหมือนจะผอมลงกว่าแต่ก่อน ไอ้ลูกหมาเอ๊ย! เขาต้องให้เธออยู่อย่างเจ็บปวดแน่ๆ

มู่หรงเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะหลบหน้าเขาแต่หลายวันที่ผ่านมาเธอรู้สึกไม่ค่อยสบายจนไม่อยากที่จะออกมาข้างนอก อีกอย่างการเตรียมการทุกอย่างก็พร้อมแล้วด้วย

“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทะเยอทะยานมากแค่ไหน เจ้าสนใจก็แค่เรื่องความฉลาดของเขาเท่านั้น” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ในเมื่อเจ้าเองก็เห็นความแตกต่างแล้ว งั้นทำไมไม่รับข้อเสนอล่ะ หลินหยางก็เป็นองค์ราชาที่ดีไม่ใช่เหรอ?” ถ้าเป็นแบบนั้น มู่หรงเสวี่ยก็มั่นใจมากว่ามันจะไม่มีสงครามและการนองเลือดเพราะทางแก้แบบสันติย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

“เหอะ คิดว่าข้าตาบอดเหรอไง?” ยอมแพ้เหรอ ทำไมต้องให้พวกเขายอมแพ้ด้วยล่ะ โลกนี้ไม่ใช่โลกของคนพวกนี้แต่กลับจะเข้ามาควบคุมโลกของพวกเขาไปอย่างหน้าตาเฉย แล้วดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของเขาจะยอมแพ้โดยไม่สู้ได้ยังไง

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ คนแบบเขาไม่มีทางลดเกียรติของตัวเองได้แน่ๆและสุดท้ายเขาก็จะต้องสู้

“กับเจ้า เราต่างก็ถูกลิขิตมาให้เป็นศัตรูของกันและกัน” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและพยายามที่จะสูดอากาศหายใจแต่เธอก็บังเอิญไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าอย่างจัง

“เดี๋ยวก่อน” หวังฉิงกอดมู่หรงไว้ในอ้อมแขน

มู่หรงค่อยๆปัดมือเขาออกและพูดออกมา “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ถ้ายังคุยต่อไปข้าคงจะต้องสงสัยว่าเจ้าพยายามจะเอาอะไรจากข้า”

”หลินหยางกับเจ้ามาจากโลกเดียวกัน ทำไมพวกเจ้าไม่อยู่ในโลกของตัวเองแต่กลับมาแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองแบบนี้” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มู่หรงแปลกใจจนต้องอ้าปาก ฉลาดมาก เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่มีรางวัลอะไรจะตอบแทน

“เพราะโชคชะตาพาให้ต้องกลับมาไงล่ะ”

“ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” หวังฉิงเองก็รู้ว่าเธอพูดอะไรไม่ได้แต่เขาแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ? นี่เธอหลอกเขางั้นเหรอ

มู่หรงเสวี่ยหยุด “ทำไมเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นหนทางของการพัฒนาโลกล่ะ? หลินหยางสามารถที่จะสร้างโลกที่ก้าวหน้าไปกว่านี้ได้มาก เขาจะต้องสามารถที่จะสร้างโลกที่ผู้คนอยู่กันอย่างสบายได้แน่” เธอพูดออกมาเสียงเรียบ

“เหอะ การพัฒนามันไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนหรอกนะและการพัฒนาอาวุธก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกชีวิตที่สมบูรณ์แบบได้หรอกนะ ใครเป็นคนบอกกันว่าผู้คนในดินแดนของพวกเราไม่มีความสุข?” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เขายังไม่ยอมอ่อนข้อ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคาดเดาจุดจบได้แล้ว

“แล้วแต่เจ้าแล้วกัน” มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะพูดอะไรอีก อีกอย่างเธอก็ปวดหัวมากด้วย

ร่างที่เห็นเป็นของใครกันนะ? ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นหน้าเลย

หวังฉิงที่ยืนอยู่ในความมืด ร่างกายดูเหมือนจะเปล่งรังสีความเยือกเย็นออกมา แน่นอนว่าเขาทำอะไรมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ ถึงแม้เขาอยากจะทำอะไร เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ได้ลืมว่าทุกด้านมีทหารยืนเรียงรายอยู่ด้วย

หลินหยางเริ่มที่จะทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆถึงขนาดดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะโอนเอนกับความคิดของเขาได้ เหอะ เขาไม่อยากที่จะล้มดินแดน ต่อให้เขาต้องตาย เขาก็จะดึงคู่ต่อสู้ตายตามไปด้วยกัน

องค์ราชาของทั้งสามดินแดนต่างก็มีความคิดอยู่ในใจ พวกเขาเป็นมิตรกันอยู่สองสามวันก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

หลินหยางไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการสังหารชีวิตพวกเขา ยังไงซะคนพวกนี้ก็เป็นที่นับถือในดินแดนของตัวเองและต่างก็มีเกียรติสูงศักดิ์ เขาไม่อยากที่จะสร้างประเด็นการลุกฮือของทุกดินแดน ถึงแม้มันจะควรเป็นแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อยากที่จะใช้วิธีนี้

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เจอหวังฉิงอีก ผู้หญิงที่หัวใจมีแต่เรื่องดินแดน ต่อให้เป็นเรื่องหัวใจก็ยังมองเป็นเรื่องรอง

หลังจากสงครามหวังฉิงเป็นดินแดนแรกที่เข้าโจมตีดินแดนดำมืดพร้อมด้วยคำขวัญที่ว่าจำกัดวิญญาณร้าย หลังจากนั้นดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะก็ตามมา

ไม่มีใครยอมที่จะยอมแพ้พื้นที่เขาและแม่น้ำที่ดีแบบนี้หรอก เกิดเสียงร้องไห้คร่ำครวญไปทั่วทั้งโลก

หลินหยางพร้อมด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นที่ปกปิดความไม่พอใจของสงครามที่โหดร้ายนี้เข้าโจมตีด้วยความรวดเร็ว เว้นแต่โลกจะรวมกันเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง สงครามจะคงอยู่ตลอดไป

การสู้รบที่นองเลือดนี้กินเวลาไปกว่าครึ่งปี ดินแดนดำมืดแทบจะกลายเป็นหุบเขาแห่งซากศพ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดที่อาบนองพื้นไปหมด

องค์ราชาของทั้งสามดินแดนต่างก็ตัดสินใจกันด้วยตัวเอง หลังจากสงครามทั่วทั้งโลกต่างก็บอบช้ำ

หลินหยางออกเดินทางเพื่อฟื้นฟู ปรับปรุง มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเองก็เดินทางไปหลายดินแดนเพื่อฟื้นฟูด้วยเหมือนกัน

“จือหลิง” มู่หรงพูดออกมาอย่างกังวลเล็กน้อย

“เสี่ยวเสวี่ยมีอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงบีบมือเธอและถามออกมาเสียงอ่อนโยน เวลาที่เหลือ เขาไม่รู้ว่ายังมีอีกเท่าไรแต่ทุกวินาทีที่เขาได้อยู่กับเธอ เขาจะใช้มันไปอย่างคุ้มค่า

“องค์ราชาของทั้งสามดินแดนตายแล้ว ข้าหวังว่าเราจะไม่ได้เลือกผิดนะ” มู่หรงพูด

หลินหยางคือสายเลือดของมังกรที่แท้จริงหรือเปล่านะ?! จนตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ชัด เสี่ยวไป๋เองก็ไม่รู้วิธีที่จะหาสายเลือดที่แท้จริงของมังกรด้วย เธอรู้เพียงแค่ว่าเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้วงเวลา

ตอนนี้ที่หลินหยางรวมโลกได้แล้ว เขาก็ควรที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงแค่ว่ามู่หรงเสวี่ยถามเขาก่อนที่เขาจะไปและเขาก็ไม่รู้อะไรเลย

นอกจากนี้ทุกวันนี้ผู้คนต่างก็ต้องทุกข์ทรมาน มู่หรงก็ไม่อยากที่จะเข้าไปรบกวนเขามากเกินไปด้วย “บางทีนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวลนะ” เฟิงจือหลิงพยายามที่จะปลอบใจเธอ

มู่หรงพยักหน้าเบาๆ เธอทำได้เพียงเท่านี้

การแก้ไขปรับปรุงกินเวลาไปกว่าครึ่งปี สามดินแดนก็ไม่ใช่สามดินแดนอีกแล้ว

แต่กลายเป็น ดินแดนแห่งสายลม, ดินแดนแห่งไฟ และดินแดนหิมะ

หลินหยางขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นคานต์

ในวันที่เขาขึ้นครองราชย์ มีลำแสงธรรมชาติส่องตรงไปยังบัลลังก์ของมังกรในป่ามหาสมุทรและยังมีภาพเรือทองคำมังกรล่องอยู่ให้เห็นอีกด้วย

ภาพนี้ทำให้คนที่ได้เห็นกับตาต่างก็ต้องตกตะลึงกันนับไม่ถ้วนและยังทำให้การรวมกันของผู้คนของหลินหยางถูกเตรียมได้อย่างดีมากขึ้นด้วย

ไม่นานตำนานขององค์จักรพรรดิมังกรก็กระจายไปทั่วดินแดน คนที่ประหลาดใจกับเรื่องนี้มากที่สุดคือมู่หรงเสวี่ยและหลินหยาง

พวกเขามั่นใจใจทันทีว่าหลินหยางคือหนึ่งในสายเลือดที่แท้จริงของมังกร หนึ่งวันหลังจากการขึ้นครองราชย์ของ หลินหยางเสร็จสมบูรณ์ มู่หรงก็รอไม่ไหวที่จะไปเจอหลินหยาง

“หลินหยาง อุโมงค์แห่งห้วงเวลาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงไม่สนใจเหล่าคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นและพูดถามออกไปตรงๆ

หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสีหน้าปวดหัว แล้วโบกมือออกมา “ทุกคนออกไป”

ทุกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นต่างก็ล่าถอยออกไป

“ไว้หน้าข้าหน่อยสิ ตอนนี้ข้าเป็นจักรพรรดิแล้วนะ” หลินหยางมองไปที่เธอและพูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยตะลึงนิ่ง “ไม่เอาน่า ครั้งหน้าข้าจะไว้หน้าเจ้าแล้วกัน รีบบอกข้ามาเร็วสิว่าอุโมงค์ห้วงเวลาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ดวงตาของหลินหยางแวบประกาย เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรจริงๆ “อยู่ทางเหนือ” เขาตอบเสียงเรียบ

“งั้นเจ้ามัวรออะไรอยู่ล่ะ? ไปกันเถอะ” มู่หรงดึงเขาออกมา

“เดี๋ยวสิ” หลินหยางเกือบที่จะล้มลงมา

“เร็วเข้าสิ”

“ไม่เอาน่า ข้าเพิ่งจะขึ้นครองราชย์เองนะ ข้ายังไปไม่ได้หรอก” หลินหยางพูดออกมาอย่างปวดหัว

“งั้นมันต้องนานอีกแค่ไหนล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะไปตอนนี้แล้ว เธออยากที่จะรีบไปตามหาพ่อแม่

“อย่างน้อยก็ต้องรอให้สถานการณ์บ้านเมืองเรียบร้อยซะก่อน ถ้าข้าไปตอนนี้ คนอื่นจะไม่เข้ามาเอาเปรียบหรือไง?” ถึงแม้หลินหยางจะเข้าใจว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนยังไง เธอเป็นเหมือนลูกธนูที่พร้อมจะวิ่งตรงกลับบ้าน แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่เขาจะรวมโลกได้ ทุกดินแดนต่างก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะทิ้งไป

มู่หรงเสวี่ยเงียบไป เธอเข้าใจดีว่าสิ่งที่หลินหยางพูดมันถูกต้อง “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ขอโทษนะ” เมื่อพูดจบ มู่หรงเสวี่ยก็กำลังจะเดินออกไป

“เดี๋ยวสิ ข้ามีบางอย่างที่จะพูดกับเจ้า” หลินหยางพูด

มู่หรงเลิกคิ้ว ตอนนี้เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามันคืออะไร “มีอะไรเหรอ?”

“ข้ายกเจ้าให้เป็นพระมเหสีได้ไหม? เจ้าจะได้ช่วยข้าจัดการกับเรื่องพวกนางสนม” หลินหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเครียดขึ้นและสงสัยว่าเธอได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

“ใช่แล้ว คือ…เฮ้ เจ้าก็รู้” หลินหยางเบื่อจะตาย วันแรกที่เขาขึ้นครองราชย์ เขาก็ถูกกลุ่มผู้หญิงมากมายล้อมรอบ

“ฟิ้ว เจ้าบ้าหรือไง? ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ยังไง? เจ้าก็มีความสุขกับการที่ได้เป็นจักรพรรดิไม่ใช่หรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมเหล่ตาไปที่เขา

“คือข้าปวดหัวกับผู้หญิงพวกนี้มาก ตอนนี้เจ้าเป็นคนเดียวที่จะช่วยข้าได้ อีกอย่างเจ้าจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระข้าด้วยไง เจ้าไม่อยากจะกลับบ้านเร็วๆเหรอ? ถ้าข้ามัวแต่ต้องคอยจัดการเรื่องพวกหญิงพวกนี้ งั้นข้าก็ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องของบ้านเมือง งั้นก็คงอีกหลายปีกว่าที่ข้าจะว่างได้” หลินหยางพูดพร้อมทั้งคอยสังเกตสีหน้าของมู่หรงไปด้วย

มู่หรงเบ้ปากแล้วจึงพูดออกมา “จือหลิงได้ฆ่าตายกันพอดี” ให้เธอมาเป็นมเหสีของหลินหยางทั้งๆที่อยู่ต่อหน้า เฟิงจือหลิงเนี่ยนะ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆไม่ใช่เหรอ?!

“เรื่องพี่เฟิงข้าจะอธิบายกับเขาเอง ข้าจะช่วยเจ้า เขาจะคิดว่าข้าชอบเจ้าได้ยังไงใช่ไหมล่ะ? อย่ามาตลกน่า” หลินหยางพูดพร้อมมองไปที่เธอด้วยสายตาดูถูก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+