War sovereign Soaring The Heavens 3356

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3356 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3356 : กฎแห่งเวลา โอสถสุดขั้วจอมราชัน

 

“แล้วแบบนี้ ข้าต้องผ่านมันอย่างไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามคําถามสําคัญ

 

“ด้วยพลังของเจ้ากับพวกเรา เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกทัพมาตั้งทัพสู้ น้ำมาก่อทํานบกั้นไปเถอะ”

 

วารีเทพชําระโลกากล่าว “เจ้าต้องทราบด้วยว่า ด้วยมีพลังของพวกเราทั้ง 5 ช่วยเหลือ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับมีความช่วยเหลือของเทพเบญจธาตุๆใดธาตุหนึ่งระดับ 7 อันที่จริงกล่าวไปแล้ว ยามพวกเรารวมพลังกันยังเหนือกว่าเทพเบญจธาตุขั้นที่ 7 เสียอีก อาศัยค่ายกลเพียงเท่านี้ไหนเลยจะหยุดเจ้าได้”

 

“นอกจากนั้นค่ายกลเบื้องหน้าก็แค่ด่านทดสอบด่านแรกเท่านั้น…ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า หากแค่นี้ยังผ่านไม่ได้ แล้วด่านทดสอบหลังจากนี้เจ้าจะทําอย่างไร”

 

หลังได้ยินคําพูดของวารีเทพชําระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเขาระมัดระวังตัวมากเกินไป

 

เป็นธรรมดาว่าเหตุผลที่ทําให้ต้วนหลิงเทียนระวังตัวขนาดนี้ เพราะเขารู้ดีว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดคือตัวตนระดับใด ทําให้เขาที่รู้ความจริงข้อนี้ รู้สึกเสมือนมีมือที่มองไม่เห็นอันน่าพรั่นพรึงชักใยอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา สุดท้ายที่นี่ก็คือเกมที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างขึ้น

 

ดั่งคํากล่าวไม่รู้ไม่กลัว พอรู้ไหนเลยจะไม่กลัวได้

 

หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆคําหนึ่ง ก่อนจะเดินนําฮ่วนเอ๋อกับบเสี่ยวจนไปตามเส้นทางเบื้องหน้า หมายบุกฝ่าค่ายกลหมื่นลักษณ์ไปยังพระราชวัง

 

และในขณะที่เขาเดินทาง เหล่ารูปปั้นศิลาที่ตั้งอยู่ 2 ฟากฝั่งก็เสมือนได้รับชีวิต แต่ละตัวโดดออกมาขวางทางพวกต้วนหลิงเทียนกันอย่างแข็งขัน ทว่าความแข็งแกร่งของรูปปั้นเหล่านี้ ดีสุดก็แค่จอมราชันอมตะที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการเท่านั้น

 

อาศัยความแข็งแกร่งระดับนี้ ยังไม่เป็นภัยคุกคามอะไรต้วนหลิงเทียน

 

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงนําฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินเดินฝ่ามาได้อย่างราบรื่น

 

จากนั้นทั้ง 3 ก็เข้ามาถึงพระราชวังได้สําเร็จ

 

“หืม?”

 

และวินาทีแรกที่ข้ามผ่านประตูเข้ามาในโถงพระราชวัง จิตใจต้วนหลิงเทียนก็เสมือนล่องลอยจมจ่อมสู่ความว่างเปล่า องค์ความรู้และความเข้าใจของกฎๆหนึ่งที่เคยสัมผัสในอดีต ผุดขึ้นในห้วงสํานึก จากนั้นสิ่งที่ไม่เข้าใจก็กลายเป็นเข้าใจได้ในบัดดล

 

“นี่มัน…กฎแห่งเวลางั้นเหรอ?”

 

เพราะหลังเข้ามาในโถงพระราชวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่า ห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังของกฏแห่งเวลา ไม่ว่าจะความเคลื่อนไหวของเขาหรือฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจิน ก็เสมือนถูกพลังแห่งเวลาจํากัดเอาไว้ จนทุกคนเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าอืดอาด

 

“พี่หลิงเทียน…นี่คือกฎแห่งเวลางั้นหรือ?”

 

ฮ่วนเอ๋อเอ่ยถามด้วยสงสัย หลังประสบกับสภาวะประหลาดราวกับทุกอย่างกลายเป็นภาพช้า

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพักหน้ารับอย่างจริงจัง ถึงแม้เขาจะเคยสัมผัสกับกฏแห่งเวลามาก่อน แต่ตอนนั้นเขาก็พลาดเรื่องทําความเข้าใจความหมายแห่งเวลาไป และเมื่อพลาดโอกาสนั้นไปแล้วต่อมาเขาก็ทุ่มความสนใจไปกับกฏมิติ ทําให้เขาไม่ได้สนใจจะทําความเข้าใจกฏแห่งเวลาอีกเลย

 

ทว่าตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในพระราชวังหลังนี้ เขากลับรู้สึกว่าความเข้าใจในกฎแห่งเวลาของเขากําลังเพิ่มขึ้นในอัตราเร็วที่สูงมาก พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็เข้าใจความหมายแห่งเวลาได้ทันที

 

“องค์ประกอบของกาลเวลา”

 

พอฉุกคิดได้ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้น จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดก็แผ่ออกมาและผสานเข้ากับพลังที่เขาพึ่งบังเกิดความรู้แจ้งทันที ถ้างั้น นี่มัน….ธาตุแห่งเวลาสินะ?”

 

พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที

 

เขาได้ก้าวเข้าสู่ประตูของกฏแห่งเวลาแล้ว

 

“อย่างไรก็ตาม คิดจะสําแดงพลังอํานาจที่แท้จริงของกฏแห่งเวลา อาศัยแค่เข้าใจความหมายแห่งเวลาและใช้พลังธาตุเวลาได้ยังจะมีประโยชน์อะไร..ความลึกซึ้งแต่ละประการของกฎแห่งเวลา ไม่ว่าจะ การไหลตัวของเวลา ความเร็ว ความเชื่องช้าไหนเลยจะเข้าใจได้ง่ายๆ อีกทั้งหากจะพูดได้เต็มปากว่าเชี่ยวชาญกฏแห่งเวลา อย่างน้อยๆต้องสามารถหยุดเวลาในพื้นที่ๆหนึ่งได้…”

 

ต้วนหลิงเทียนก็รู้ถึงความน่ากลัวของพลังอํานาจของกฏแห่งเวลามาบ้าง

 

เขารู้ดีว่าถึงกฎเวลา จะเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดเหมือนกันกับ กฏมิติ และกฏชีวิต กับกฏแห่งความตาย แต่ทว่ากฎเวลานั้นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากเย็นที่สุด ดุจเดียวกับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ถึงแม้จะเข้าใจความหมายแห่งเวลาแล้ว แต่คิดจะเข้าใจความลึกซึ้งใดๆของกฎแห่งเวลา ยังเรียกว่ามีหนทางอีกยาวไกล

 

กฏเวลาแม้จะเข้าใจได้ยาก แต่ก็นับว่าทรงพลังมาก

 

เรียกว่าในบรรดา 4 กฏสูงสุด กฏเวลาไม่ได้เป็นสองรองใครเลย

 

กระทั่งหากเข้าใจกฎเวลาถึงขีดสุด ไม่ว่าจะพบเจอผู้เข้าใจกฏสูงสุดอื่นใด ก็สามารถรับมือต้านทานได้ทั้งนั้น

 

“อย่างไรก็ตามแม้กฏแห่งเวลาจะทรงพลัง แต่หากข้าคิดจะเอาดีกับมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยความสําเร็จของกฏมิติในปัจจุบัน ข้าไม่มีเวลามาให้เสียไปกับกฎเวลาหรือกฏใดอื่นอีกแล้ว หลังข้าทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะเมื่อไหร่ ต่อไปก็คือการทุ่มเวลาไปกับการทําความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง สุดท้ายปลายทางในอนาคตของข้าก็คือ อาศัยการผสานรวมความลึกซึ้งทุกประการ เพื่อบรรลุถึงผู้แข็งแกร่งที่สุด”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เส้นทางของตัวเองดี

 

ดังนั้นถึงแม้จะเข้าใจความหมายแห่งเวลาโดยบังเอิญ แต่ใจต้วนหลิงเทียนก็ยังผ่องใสชัดเจน ไม่ตื่นเต้นยินดีอะไร ยังแลดูสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

 

“เสี่ยวจิน…ปกติแล้วในแดนลับส่วนตัวมันจะมีอะไรดีๆให้เก็บเกี่ยวบ้างหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีอะไรที่ช่วยให้จอมราชันอมตะ ยกระดับพลังฝึกปรือเร็วๆบ้างไหม?”

 

คราวนี้ที่เขาเข้ามายังสมรภูมิอเวจี จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ หาทรัพยากรบ่มเพาะที่ขุมกําลังระดับสวรรค์แม้กระทั่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่อาจหามาได้ เพื่อยกระดับพลังฝึกปรือของเขาให้เร็วที่สุด เพราะมีแต่ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมมตะเท่านั้น พลังต่อสู้ของเขาถึงจะบรรลุสู่มิติใหม่!

 

หาไม่แล้ว ถึงเขาจะมีตัวช่วยระดับสุดยอดที่สุดในสวรรค์และโลกอย่างผลึกสํานึกผู้แข็งแกร่งที่สุดไว้ในครอบครอง แต่ก็เสมือนเอาสิ่งล้ำค่าที่สุดในฟ้าดินไปตั้งทิ้งไว้ให้หยากไยขึ้น! เรื่องนี้มันช่างทําให้เขาทรมานใจทุกครั้ง เพียงเพราะติดขีดจํากัดของระดับฝึกปรือ ทําให้เขาไม่อาจใช้ทรัพยากรที่มีให้เต็มประสิทธิภาพ

 

ในสมรภูมิอเวจี แม้จะเป็นดั่งเกมที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างขึ้นมาเพื่อแก้เบื่อ แต่ทรัพยากรที่เป็นดั่งซี่โครงไก่ของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่โยนมาใส่ไว้ในนี้ ก็เป็นอะไรที่จอมราชันอมตะทั้งใต้หล้าอยากได้กระทั่งในฝัน หาไม่แล้วจะดึงดูดจอมราชันอมตะให้เข้ามาเสียงชีวิตแสวงโชคถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

ต้องทราบด้วยว่าในสมรภูมิอเวจี มีกระทั่งจอมราชันอมตะที่ถือครองเทพเบญจธาตุขั้น 5 เข้ามาเสี่ยงตาย!

 

หากไร้สิ่งใดดึงดูดยั่วยวนใจ ไหนเลยพวกมันจะเข้ามาเสี่ยง

 

“โอยพี่ใหญ่หลิงเทียน…ข้าปวดใจกับคําถามท่านจริงๆ”

 

เสี่ยวจินคลี่ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าว “ท่านต้องทราบด้วยว่าในแดนลับแบบนี้ สิ่งที่ผู้ฝึกตนต้องการพบเจอน้อยที่สุด แต่ดันพบเจออยู่ร่ำไปก็คือทรัพยากรบ่มเพาะที่ท่านว่าเนี่ยล่ะ เพราะไม่ว่าจะผลไม้อมมตะ หรือโอสถอมตะใดๆที่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือ พวกมันถือว่าเป็นสมบัติขั้นพื้นฐานเลยในแดนลับของสมรภูมิอเวจีหรือสมรภูมิ 9 ยมโลก สิ่งที่มีค่าและเป็นที่ต้องการมากที่สุดก็คืออุปกรณ์เทพ หรือของวิเศษที่ช่วยให้เข้าใจกฏ กระทั่งค่ายกลฝืนฟ้าที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจกฏได้ในเวลาอันสั้น…”

 

“แน่นอนว่ายังมีอย่างอื่นอีกไม่น้อย เช่นสมบัติที่ช่วยยกระดับพลังสายเลือดไม่ก็สมบัติที่ช่วยให้สัตว์อมตะหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆเกิดการวิวัฒนาการ ถึงแม้ของพวกนี้จะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์มากนัก แต่หากมนุษย์ได้ไปก็สามารถนําไปแลกเปลี่ยนของที่ต้องการกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้”

 

หลังได้ยินคําตอบของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า ผลไม้อมตะกับโอสถอมตะที่ยกระดับพลังฝึกปรือที่เขาอยากได้มากที่สุดในเวลานี้ กลับไม่ใช่ของหายากอะไรในสมรภูมิอเวจี

 

หลังจากเดินผ่านโถงพระราชวังไป และเข้าสู่ช่องทางเดินที่มีเพียงหนึ่งเดียว ต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ก็ถูกหยุดยั้งโดยบททดสอบอีกครั้ง

 

ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!

 

เงาร่างสีดําอันน่าเกรงขามกลุ่มหนึ่ง เหินบินมาจากช่องทางเบื้องหน้าเร็วไวปานเส้นแสง อีกทั้งยังออกกระบวนท่าเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่พกต้วนหลิงเทียนรวดเร็วประหนึ่งอัสนีบาตฟาดผ่า!!

 

อย่างไรก็ตามแม้ความเร็วของเงาร่างสีดําเหล่านี้จะรวดเร็ว แต่ความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนองของต้วนหลิงเทียนกลับเหนือกว่า

 

กว่าที่ฮ่วนเอ๋อ กับเสี่ยวจินจะตอบสนองเรื่องราว กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ต้วนหลิงเทียนนําออกมาก็อัดแน่นไปด้วยพลังมิติและพลังเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขาแล้ว

 

กระบี่ตวัดฟันออกไปดั่งประกายแสงในเสี้ยวพริบตา ทําลายเงาร่างสีดําทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย

 

การเดินผ่านช่องทางสายนี้ ต้วนหลิงเทียนกับพวกพบเจอการโจมตีของเงาร่างสีดําทั้งสิ้น 9 ระลอก แต่ละระลอกยิ่งมาก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น อย่างไรก็ตามภายใต้คมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่อัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดของต้วนหลิงเทียน เงาร่างสีดําก็ไม่อาจวาดลวดลายอะไรได้นาน พุ่งเข้ามาตายตกดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

 

ด้วยความที่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนรวมถึงพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ทําให้แต่ละกระบี่ที่ฟันฟาดออกไป มันทรงพลังสุดที่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปจะต้านรับได้ไหว นับประสาอะไรกับเงาร่างสีดําที่มีพลังสูงสุดแค่พอๆกับจักรพรรดิอมตะสมญานามระดับต่ำ

 

“เอ๋า ไฉนเจอบททดสอบที่ 2 แล้วล่ะ? แล้วรางวัลของบททดสอบแรกอ่า…ไม่เห็นจะได้อะไรเลย”

 

เสี่ยวจนอดไม่ได้ที่จะโอดครวญออกมา หลังการต่อสู้จบลง

 

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด ของรางวัลหลังพวกเราผ่านด่านทดสอบแรก ก็สมควรเป็นโอกาสในการเข้าใจความหมายแห่งเวลาในห้องโถงที่เราพึ่งเดินผ่านกันมานั้นล่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าว

 

ตอนที่เดินผ่านโถงพระราชวังมา เขาก็เข้าใจความหมายแห่งเวลาได้ในที่สุด เพราะในโถงมันเต็มไปด้วยพลังของกฏแห่งเวลา

 

“อะไรกัน แคโอกาสเข้าใจกฏเวลาเนี่ยนะ? ของแบบนั้นนับเป็นของรางวัลได้ด้วยเหรอ?”

 

เสี่ยวจินขมวดคิ้วย่นยู่ “ จะขี้เหนียวเกินไปแล้ว แค่โอกาสเข้าใจกฏแห่งเวลาแบบนั้น ใครมันจะไปเข้าใจกฏเวลาได้เพียงแค่เดินผ่านโถงเล่า โลกนี้มีอัจริยะแบบนั้นอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

สิ่งที่เสี่ยวจินพูด อันที่จริงก็ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

 

เพราะหากต้วนหลิงเทียนไม่เคยสัมผัสและทําความเข้าใจกฏแห่งเวลามาก่อน อาศัยแค่การเดินผ่านห้องโถงเมื่อครู่ คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบังเกิดอาการรู้แจ้งกะทันหัน จนในที่สุดก็เข้าใจความหมายแห่งเวลา ความลึกซึ้งพื้นฐานของกฏแห่งเวลาได้

 

“เข้าใจทีเดียวคงไม่ได้ แต่สิ่งนี้เน้นสะสมเอาไว้ก็พอ”

 

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าวชี้แนะเสี่ยวจิน “ถึงตอนนี้เจ้าจะยังไม่เข้าใจกฏแห่งเวลา แต่ในเมื่อเจ้าได้สัมผัสกับพลังแห่งเวลาไปแล้ว ก็เสมือนเจ้าได้สะสมความเข้าใจเกี่ยวกับมัน วันหน้าไม่แน่หากเจ้ามีโอกาสได้พานพบสถานที่อันมีสภาพแวดล้อมแบบเมื่อครู่อีก ไม่แน่เจ้าอาจเกิดแรงบันดาลใจรู้แจ้งอะไร จนเข้าใจกฎแห่งเวลาได้…”

 

เนื่องเพราะต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความหมายแห่งเวลามาเพราะแบบนี้ ในฐานะคนที่ผ่านมาก่อน เขาจึงกล่าวชี้แนะเสี่ยวจินได้เป็นอย่างดี

 

ฟิ่ว!

 

แทบจะพร้อมกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคํา ก็บังเกิดเสียงแหวกสายลมหนึ่งแว่วดังขึ้นจากด้านบน ทําให้ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

วินาทีต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็คว้าบางสิ่งที่หล่นผ่านเบื้องหน้า และพอหงายมือออกมา ดูก็พบว่าเป็นขวดหยกขวดหนึ่ง

 

“นี่มัน…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่คว้าขวดหยกเอาไว้ตามสัญชาตญาณ พอเห็นอักษรบนขวดเขียนไว้ว่า “โอสถสุดขั้วจอมราชัน” เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าววพึมพําออกมาด้วยคววามสงสัย “โอสถสุดขั้วจอมราชันงั้นเหรอ มันคืออะไรกัน?”

 

“โอสถสุดขั้วจอมราชัน!?”

 

ได้ยินเสียงพึมพําของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็วิ่งมาชะเง้อหน้ามองดูขวดหยกในมือต้วนหลิงเทียนทันที และเมื่อเห็นว่าอักษรบนขวดเขียนไว้เช่นนั้นจริงๆ สองตาของนางก็ทอประกายสว่างจ้า “พี่ใหญ่หลิงเทียน นี่ไงทรัพยากรบ่มเพาะที่ท่านถาม! โอสถสุดขั้วจอมราชันนี้ สามารถช่วยจอมราชันอมตะให้ยกระดับพลังฝึกปรือได้เร็วขึ้นมาก และมีแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับจอมราชันขึ้นไปเท่านั้นถึงจะหลอมได้!”

 

“อย่างไรก็ตาม โอสถสุดขั้วจอมราชันนี้แต่ละคนรับประทานได้แค่ 3 เม็ดเท่านั้นเพราะต่อให้รับประทานเม็ดที่ 4 ไปมันก็จะไม่มีผลใดๆอีกต่อไป”

 

“ดูจากที่ท่านไม่รู้ว่าโอสถสุดขั้วจอมราชันคืออะไร หมายความว่าท่านยังไม่เคยใช้มันแน่!”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

เสี่ยวจินที่เป็นศิษย์อัจฉริยะของหุบจันทร์โลหิต นางก็เคยได้ใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันมาแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้สรรพคุณของโอสถสุดขั้วจอมราชันดี

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ใช้มันไปครบ 3 เม็ดแล้วด้วย โอสถสุดขั้วจอมราชันจึงไม่มีความหมายอะไรกับนางอีกต่อไป

 

“ช่วยยกระดับพลังฝึกปรืองั้นรึ!?”

 

สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที เพราะโอสถอมตะขนานนี้เขาไม่เคยกินมันมาก่อนเลย กระทั่งได้ยินยังพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนใช้แต่ผลไม้อมตะเพิ่มพลังฝึกปรือเท่านั้น เพราะเขาหาซื้อโอสถที่ช่วยให้จอมราชันอมตะเพิ่มพูนพลังฝึกปรือไม่ได้

 

ทั้งหมดสืบเนื่องมาจาก ขอบเขตพลังจอมราชันอมตะนั้น มีโอสถอมตะน้อยมากที่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้รวดเร็ว จะมีก็แต่โอสถที่ส่งเสริมการฝึกปรือทั่วไป ซึ่งกับเขาที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินจากซากระนาบเทพแล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย…

 

ถึงจะมีโอสถอมตะที่ยกระดับพลังฝึกปรือให้จอมราชันอมตะได้ แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ต้องให้ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับจอมราชันขึ้นไปเท่านั้นหลอมสร้าง…ทําให้กับโอสถอมตะระดับนี้ ขุมกําลังระดับสวรรค์ทั่วไปอาจไม่มีด้วยซ้ำ กระทั่งขุมกําลังระดับสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ไม่มี จะมีก็แต่ขุมกําลังระดับสวรรค์ที่มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาอันยาวนานเท่านั้น

 

แน่นอนว่าหากขุมกําลังอย่างพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ต้องการ ขอเพียงเอ่ยปาก ก็อาจได้รับโอสถอมตะระดับนี้จากขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน

 

“มีทั้งหมด 10 เม็ดยา”

 

หลังเปิดขวดแล้วเทเม็ดยาลงฝ่ามือ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีเม็ดยาสุดขั้วจอมราชันทั้งสิ้น 10 เม็ด พอให้เขากับฮ่วนเอ๋อแบ่งกันคนละ 3 แล้วยังเหลืออีก 4 เม็ด จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไป ามเสี่ยวจินทันที “เสี่ยวจิน ตอนเจ้าดูดซับโอสถสุดขั้วจอมราชันนี่ เจ้าใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3356

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3356 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3356 : กฎแห่งเวลา โอสถสุดขั้วจอมราชัน

 

“แล้วแบบนี้ ข้าต้องผ่านมันอย่างไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามคําถามสําคัญ

 

“ด้วยพลังของเจ้ากับพวกเรา เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกทัพมาตั้งทัพสู้ น้ำมาก่อทํานบกั้นไปเถอะ”

 

วารีเทพชําระโลกากล่าว “เจ้าต้องทราบด้วยว่า ด้วยมีพลังของพวกเราทั้ง 5 ช่วยเหลือ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับมีความช่วยเหลือของเทพเบญจธาตุๆใดธาตุหนึ่งระดับ 7 อันที่จริงกล่าวไปแล้ว ยามพวกเรารวมพลังกันยังเหนือกว่าเทพเบญจธาตุขั้นที่ 7 เสียอีก อาศัยค่ายกลเพียงเท่านี้ไหนเลยจะหยุดเจ้าได้”

 

“นอกจากนั้นค่ายกลเบื้องหน้าก็แค่ด่านทดสอบด่านแรกเท่านั้น…ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า หากแค่นี้ยังผ่านไม่ได้ แล้วด่านทดสอบหลังจากนี้เจ้าจะทําอย่างไร”

 

หลังได้ยินคําพูดของวารีเทพชําระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเขาระมัดระวังตัวมากเกินไป

 

เป็นธรรมดาว่าเหตุผลที่ทําให้ต้วนหลิงเทียนระวังตัวขนาดนี้ เพราะเขารู้ดีว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดคือตัวตนระดับใด ทําให้เขาที่รู้ความจริงข้อนี้ รู้สึกเสมือนมีมือที่มองไม่เห็นอันน่าพรั่นพรึงชักใยอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา สุดท้ายที่นี่ก็คือเกมที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างขึ้น

 

ดั่งคํากล่าวไม่รู้ไม่กลัว พอรู้ไหนเลยจะไม่กลัวได้

 

หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆคําหนึ่ง ก่อนจะเดินนําฮ่วนเอ๋อกับบเสี่ยวจนไปตามเส้นทางเบื้องหน้า หมายบุกฝ่าค่ายกลหมื่นลักษณ์ไปยังพระราชวัง

 

และในขณะที่เขาเดินทาง เหล่ารูปปั้นศิลาที่ตั้งอยู่ 2 ฟากฝั่งก็เสมือนได้รับชีวิต แต่ละตัวโดดออกมาขวางทางพวกต้วนหลิงเทียนกันอย่างแข็งขัน ทว่าความแข็งแกร่งของรูปปั้นเหล่านี้ ดีสุดก็แค่จอมราชันอมตะที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการเท่านั้น

 

อาศัยความแข็งแกร่งระดับนี้ ยังไม่เป็นภัยคุกคามอะไรต้วนหลิงเทียน

 

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงนําฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินเดินฝ่ามาได้อย่างราบรื่น

 

จากนั้นทั้ง 3 ก็เข้ามาถึงพระราชวังได้สําเร็จ

 

“หืม?”

 

และวินาทีแรกที่ข้ามผ่านประตูเข้ามาในโถงพระราชวัง จิตใจต้วนหลิงเทียนก็เสมือนล่องลอยจมจ่อมสู่ความว่างเปล่า องค์ความรู้และความเข้าใจของกฎๆหนึ่งที่เคยสัมผัสในอดีต ผุดขึ้นในห้วงสํานึก จากนั้นสิ่งที่ไม่เข้าใจก็กลายเป็นเข้าใจได้ในบัดดล

 

“นี่มัน…กฎแห่งเวลางั้นเหรอ?”

 

เพราะหลังเข้ามาในโถงพระราชวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่า ห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังของกฏแห่งเวลา ไม่ว่าจะความเคลื่อนไหวของเขาหรือฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจิน ก็เสมือนถูกพลังแห่งเวลาจํากัดเอาไว้ จนทุกคนเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าอืดอาด

 

“พี่หลิงเทียน…นี่คือกฎแห่งเวลางั้นหรือ?”

 

ฮ่วนเอ๋อเอ่ยถามด้วยสงสัย หลังประสบกับสภาวะประหลาดราวกับทุกอย่างกลายเป็นภาพช้า

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพักหน้ารับอย่างจริงจัง ถึงแม้เขาจะเคยสัมผัสกับกฏแห่งเวลามาก่อน แต่ตอนนั้นเขาก็พลาดเรื่องทําความเข้าใจความหมายแห่งเวลาไป และเมื่อพลาดโอกาสนั้นไปแล้วต่อมาเขาก็ทุ่มความสนใจไปกับกฏมิติ ทําให้เขาไม่ได้สนใจจะทําความเข้าใจกฏแห่งเวลาอีกเลย

 

ทว่าตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในพระราชวังหลังนี้ เขากลับรู้สึกว่าความเข้าใจในกฎแห่งเวลาของเขากําลังเพิ่มขึ้นในอัตราเร็วที่สูงมาก พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็เข้าใจความหมายแห่งเวลาได้ทันที

 

“องค์ประกอบของกาลเวลา”

 

พอฉุกคิดได้ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้น จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดก็แผ่ออกมาและผสานเข้ากับพลังที่เขาพึ่งบังเกิดความรู้แจ้งทันที ถ้างั้น นี่มัน….ธาตุแห่งเวลาสินะ?”

 

พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที

 

เขาได้ก้าวเข้าสู่ประตูของกฏแห่งเวลาแล้ว

 

“อย่างไรก็ตาม คิดจะสําแดงพลังอํานาจที่แท้จริงของกฏแห่งเวลา อาศัยแค่เข้าใจความหมายแห่งเวลาและใช้พลังธาตุเวลาได้ยังจะมีประโยชน์อะไร..ความลึกซึ้งแต่ละประการของกฎแห่งเวลา ไม่ว่าจะ การไหลตัวของเวลา ความเร็ว ความเชื่องช้าไหนเลยจะเข้าใจได้ง่ายๆ อีกทั้งหากจะพูดได้เต็มปากว่าเชี่ยวชาญกฏแห่งเวลา อย่างน้อยๆต้องสามารถหยุดเวลาในพื้นที่ๆหนึ่งได้…”

 

ต้วนหลิงเทียนก็รู้ถึงความน่ากลัวของพลังอํานาจของกฏแห่งเวลามาบ้าง

 

เขารู้ดีว่าถึงกฎเวลา จะเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดเหมือนกันกับ กฏมิติ และกฏชีวิต กับกฏแห่งความตาย แต่ทว่ากฎเวลานั้นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากเย็นที่สุด ดุจเดียวกับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ถึงแม้จะเข้าใจความหมายแห่งเวลาแล้ว แต่คิดจะเข้าใจความลึกซึ้งใดๆของกฎแห่งเวลา ยังเรียกว่ามีหนทางอีกยาวไกล

 

กฏเวลาแม้จะเข้าใจได้ยาก แต่ก็นับว่าทรงพลังมาก

 

เรียกว่าในบรรดา 4 กฏสูงสุด กฏเวลาไม่ได้เป็นสองรองใครเลย

 

กระทั่งหากเข้าใจกฎเวลาถึงขีดสุด ไม่ว่าจะพบเจอผู้เข้าใจกฏสูงสุดอื่นใด ก็สามารถรับมือต้านทานได้ทั้งนั้น

 

“อย่างไรก็ตามแม้กฏแห่งเวลาจะทรงพลัง แต่หากข้าคิดจะเอาดีกับมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยความสําเร็จของกฏมิติในปัจจุบัน ข้าไม่มีเวลามาให้เสียไปกับกฎเวลาหรือกฏใดอื่นอีกแล้ว หลังข้าทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะเมื่อไหร่ ต่อไปก็คือการทุ่มเวลาไปกับการทําความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง สุดท้ายปลายทางในอนาคตของข้าก็คือ อาศัยการผสานรวมความลึกซึ้งทุกประการ เพื่อบรรลุถึงผู้แข็งแกร่งที่สุด”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เส้นทางของตัวเองดี

 

ดังนั้นถึงแม้จะเข้าใจความหมายแห่งเวลาโดยบังเอิญ แต่ใจต้วนหลิงเทียนก็ยังผ่องใสชัดเจน ไม่ตื่นเต้นยินดีอะไร ยังแลดูสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

 

“เสี่ยวจิน…ปกติแล้วในแดนลับส่วนตัวมันจะมีอะไรดีๆให้เก็บเกี่ยวบ้างหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีอะไรที่ช่วยให้จอมราชันอมตะ ยกระดับพลังฝึกปรือเร็วๆบ้างไหม?”

 

คราวนี้ที่เขาเข้ามายังสมรภูมิอเวจี จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ หาทรัพยากรบ่มเพาะที่ขุมกําลังระดับสวรรค์แม้กระทั่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่อาจหามาได้ เพื่อยกระดับพลังฝึกปรือของเขาให้เร็วที่สุด เพราะมีแต่ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมมตะเท่านั้น พลังต่อสู้ของเขาถึงจะบรรลุสู่มิติใหม่!

 

หาไม่แล้ว ถึงเขาจะมีตัวช่วยระดับสุดยอดที่สุดในสวรรค์และโลกอย่างผลึกสํานึกผู้แข็งแกร่งที่สุดไว้ในครอบครอง แต่ก็เสมือนเอาสิ่งล้ำค่าที่สุดในฟ้าดินไปตั้งทิ้งไว้ให้หยากไยขึ้น! เรื่องนี้มันช่างทําให้เขาทรมานใจทุกครั้ง เพียงเพราะติดขีดจํากัดของระดับฝึกปรือ ทําให้เขาไม่อาจใช้ทรัพยากรที่มีให้เต็มประสิทธิภาพ

 

ในสมรภูมิอเวจี แม้จะเป็นดั่งเกมที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างขึ้นมาเพื่อแก้เบื่อ แต่ทรัพยากรที่เป็นดั่งซี่โครงไก่ของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่โยนมาใส่ไว้ในนี้ ก็เป็นอะไรที่จอมราชันอมตะทั้งใต้หล้าอยากได้กระทั่งในฝัน หาไม่แล้วจะดึงดูดจอมราชันอมตะให้เข้ามาเสียงชีวิตแสวงโชคถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

ต้องทราบด้วยว่าในสมรภูมิอเวจี มีกระทั่งจอมราชันอมตะที่ถือครองเทพเบญจธาตุขั้น 5 เข้ามาเสี่ยงตาย!

 

หากไร้สิ่งใดดึงดูดยั่วยวนใจ ไหนเลยพวกมันจะเข้ามาเสี่ยง

 

“โอยพี่ใหญ่หลิงเทียน…ข้าปวดใจกับคําถามท่านจริงๆ”

 

เสี่ยวจินคลี่ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าว “ท่านต้องทราบด้วยว่าในแดนลับแบบนี้ สิ่งที่ผู้ฝึกตนต้องการพบเจอน้อยที่สุด แต่ดันพบเจออยู่ร่ำไปก็คือทรัพยากรบ่มเพาะที่ท่านว่าเนี่ยล่ะ เพราะไม่ว่าจะผลไม้อมมตะ หรือโอสถอมตะใดๆที่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือ พวกมันถือว่าเป็นสมบัติขั้นพื้นฐานเลยในแดนลับของสมรภูมิอเวจีหรือสมรภูมิ 9 ยมโลก สิ่งที่มีค่าและเป็นที่ต้องการมากที่สุดก็คืออุปกรณ์เทพ หรือของวิเศษที่ช่วยให้เข้าใจกฏ กระทั่งค่ายกลฝืนฟ้าที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจกฏได้ในเวลาอันสั้น…”

 

“แน่นอนว่ายังมีอย่างอื่นอีกไม่น้อย เช่นสมบัติที่ช่วยยกระดับพลังสายเลือดไม่ก็สมบัติที่ช่วยให้สัตว์อมตะหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆเกิดการวิวัฒนาการ ถึงแม้ของพวกนี้จะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์มากนัก แต่หากมนุษย์ได้ไปก็สามารถนําไปแลกเปลี่ยนของที่ต้องการกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้”

 

หลังได้ยินคําตอบของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า ผลไม้อมตะกับโอสถอมตะที่ยกระดับพลังฝึกปรือที่เขาอยากได้มากที่สุดในเวลานี้ กลับไม่ใช่ของหายากอะไรในสมรภูมิอเวจี

 

หลังจากเดินผ่านโถงพระราชวังไป และเข้าสู่ช่องทางเดินที่มีเพียงหนึ่งเดียว ต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ก็ถูกหยุดยั้งโดยบททดสอบอีกครั้ง

 

ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!

 

เงาร่างสีดําอันน่าเกรงขามกลุ่มหนึ่ง เหินบินมาจากช่องทางเบื้องหน้าเร็วไวปานเส้นแสง อีกทั้งยังออกกระบวนท่าเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่พกต้วนหลิงเทียนรวดเร็วประหนึ่งอัสนีบาตฟาดผ่า!!

 

อย่างไรก็ตามแม้ความเร็วของเงาร่างสีดําเหล่านี้จะรวดเร็ว แต่ความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนองของต้วนหลิงเทียนกลับเหนือกว่า

 

กว่าที่ฮ่วนเอ๋อ กับเสี่ยวจินจะตอบสนองเรื่องราว กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ต้วนหลิงเทียนนําออกมาก็อัดแน่นไปด้วยพลังมิติและพลังเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขาแล้ว

 

กระบี่ตวัดฟันออกไปดั่งประกายแสงในเสี้ยวพริบตา ทําลายเงาร่างสีดําทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย

 

การเดินผ่านช่องทางสายนี้ ต้วนหลิงเทียนกับพวกพบเจอการโจมตีของเงาร่างสีดําทั้งสิ้น 9 ระลอก แต่ละระลอกยิ่งมาก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น อย่างไรก็ตามภายใต้คมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่อัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดของต้วนหลิงเทียน เงาร่างสีดําก็ไม่อาจวาดลวดลายอะไรได้นาน พุ่งเข้ามาตายตกดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

 

ด้วยความที่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนรวมถึงพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ทําให้แต่ละกระบี่ที่ฟันฟาดออกไป มันทรงพลังสุดที่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปจะต้านรับได้ไหว นับประสาอะไรกับเงาร่างสีดําที่มีพลังสูงสุดแค่พอๆกับจักรพรรดิอมตะสมญานามระดับต่ำ

 

“เอ๋า ไฉนเจอบททดสอบที่ 2 แล้วล่ะ? แล้วรางวัลของบททดสอบแรกอ่า…ไม่เห็นจะได้อะไรเลย”

 

เสี่ยวจนอดไม่ได้ที่จะโอดครวญออกมา หลังการต่อสู้จบลง

 

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด ของรางวัลหลังพวกเราผ่านด่านทดสอบแรก ก็สมควรเป็นโอกาสในการเข้าใจความหมายแห่งเวลาในห้องโถงที่เราพึ่งเดินผ่านกันมานั้นล่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าว

 

ตอนที่เดินผ่านโถงพระราชวังมา เขาก็เข้าใจความหมายแห่งเวลาได้ในที่สุด เพราะในโถงมันเต็มไปด้วยพลังของกฏแห่งเวลา

 

“อะไรกัน แคโอกาสเข้าใจกฏเวลาเนี่ยนะ? ของแบบนั้นนับเป็นของรางวัลได้ด้วยเหรอ?”

 

เสี่ยวจินขมวดคิ้วย่นยู่ “ จะขี้เหนียวเกินไปแล้ว แค่โอกาสเข้าใจกฏแห่งเวลาแบบนั้น ใครมันจะไปเข้าใจกฏเวลาได้เพียงแค่เดินผ่านโถงเล่า โลกนี้มีอัจริยะแบบนั้นอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

สิ่งที่เสี่ยวจินพูด อันที่จริงก็ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

 

เพราะหากต้วนหลิงเทียนไม่เคยสัมผัสและทําความเข้าใจกฏแห่งเวลามาก่อน อาศัยแค่การเดินผ่านห้องโถงเมื่อครู่ คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบังเกิดอาการรู้แจ้งกะทันหัน จนในที่สุดก็เข้าใจความหมายแห่งเวลา ความลึกซึ้งพื้นฐานของกฏแห่งเวลาได้

 

“เข้าใจทีเดียวคงไม่ได้ แต่สิ่งนี้เน้นสะสมเอาไว้ก็พอ”

 

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าวชี้แนะเสี่ยวจิน “ถึงตอนนี้เจ้าจะยังไม่เข้าใจกฏแห่งเวลา แต่ในเมื่อเจ้าได้สัมผัสกับพลังแห่งเวลาไปแล้ว ก็เสมือนเจ้าได้สะสมความเข้าใจเกี่ยวกับมัน วันหน้าไม่แน่หากเจ้ามีโอกาสได้พานพบสถานที่อันมีสภาพแวดล้อมแบบเมื่อครู่อีก ไม่แน่เจ้าอาจเกิดแรงบันดาลใจรู้แจ้งอะไร จนเข้าใจกฎแห่งเวลาได้…”

 

เนื่องเพราะต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความหมายแห่งเวลามาเพราะแบบนี้ ในฐานะคนที่ผ่านมาก่อน เขาจึงกล่าวชี้แนะเสี่ยวจินได้เป็นอย่างดี

 

ฟิ่ว!

 

แทบจะพร้อมกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคํา ก็บังเกิดเสียงแหวกสายลมหนึ่งแว่วดังขึ้นจากด้านบน ทําให้ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

วินาทีต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็คว้าบางสิ่งที่หล่นผ่านเบื้องหน้า และพอหงายมือออกมา ดูก็พบว่าเป็นขวดหยกขวดหนึ่ง

 

“นี่มัน…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่คว้าขวดหยกเอาไว้ตามสัญชาตญาณ พอเห็นอักษรบนขวดเขียนไว้ว่า “โอสถสุดขั้วจอมราชัน” เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าววพึมพําออกมาด้วยคววามสงสัย “โอสถสุดขั้วจอมราชันงั้นเหรอ มันคืออะไรกัน?”

 

“โอสถสุดขั้วจอมราชัน!?”

 

ได้ยินเสียงพึมพําของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็วิ่งมาชะเง้อหน้ามองดูขวดหยกในมือต้วนหลิงเทียนทันที และเมื่อเห็นว่าอักษรบนขวดเขียนไว้เช่นนั้นจริงๆ สองตาของนางก็ทอประกายสว่างจ้า “พี่ใหญ่หลิงเทียน นี่ไงทรัพยากรบ่มเพาะที่ท่านถาม! โอสถสุดขั้วจอมราชันนี้ สามารถช่วยจอมราชันอมตะให้ยกระดับพลังฝึกปรือได้เร็วขึ้นมาก และมีแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับจอมราชันขึ้นไปเท่านั้นถึงจะหลอมได้!”

 

“อย่างไรก็ตาม โอสถสุดขั้วจอมราชันนี้แต่ละคนรับประทานได้แค่ 3 เม็ดเท่านั้นเพราะต่อให้รับประทานเม็ดที่ 4 ไปมันก็จะไม่มีผลใดๆอีกต่อไป”

 

“ดูจากที่ท่านไม่รู้ว่าโอสถสุดขั้วจอมราชันคืออะไร หมายความว่าท่านยังไม่เคยใช้มันแน่!”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

เสี่ยวจินที่เป็นศิษย์อัจฉริยะของหุบจันทร์โลหิต นางก็เคยได้ใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันมาแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้สรรพคุณของโอสถสุดขั้วจอมราชันดี

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ใช้มันไปครบ 3 เม็ดแล้วด้วย โอสถสุดขั้วจอมราชันจึงไม่มีความหมายอะไรกับนางอีกต่อไป

 

“ช่วยยกระดับพลังฝึกปรืองั้นรึ!?”

 

สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที เพราะโอสถอมตะขนานนี้เขาไม่เคยกินมันมาก่อนเลย กระทั่งได้ยินยังพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนใช้แต่ผลไม้อมตะเพิ่มพลังฝึกปรือเท่านั้น เพราะเขาหาซื้อโอสถที่ช่วยให้จอมราชันอมตะเพิ่มพูนพลังฝึกปรือไม่ได้

 

ทั้งหมดสืบเนื่องมาจาก ขอบเขตพลังจอมราชันอมตะนั้น มีโอสถอมตะน้อยมากที่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้รวดเร็ว จะมีก็แต่โอสถที่ส่งเสริมการฝึกปรือทั่วไป ซึ่งกับเขาที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินจากซากระนาบเทพแล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย…

 

ถึงจะมีโอสถอมตะที่ยกระดับพลังฝึกปรือให้จอมราชันอมตะได้ แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ต้องให้ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับจอมราชันขึ้นไปเท่านั้นหลอมสร้าง…ทําให้กับโอสถอมตะระดับนี้ ขุมกําลังระดับสวรรค์ทั่วไปอาจไม่มีด้วยซ้ำ กระทั่งขุมกําลังระดับสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ไม่มี จะมีก็แต่ขุมกําลังระดับสวรรค์ที่มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาอันยาวนานเท่านั้น

 

แน่นอนว่าหากขุมกําลังอย่างพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ต้องการ ขอเพียงเอ่ยปาก ก็อาจได้รับโอสถอมตะระดับนี้จากขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน

 

“มีทั้งหมด 10 เม็ดยา”

 

หลังเปิดขวดแล้วเทเม็ดยาลงฝ่ามือ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีเม็ดยาสุดขั้วจอมราชันทั้งสิ้น 10 เม็ด พอให้เขากับฮ่วนเอ๋อแบ่งกันคนละ 3 แล้วยังเหลืออีก 4 เม็ด จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไป ามเสี่ยวจินทันที “เสี่ยวจิน ตอนเจ้าดูดซับโอสถสุดขั้วจอมราชันนี่ เจ้าใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+