War sovereign Soaring The Heavens 3357

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3357 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3357 : บ่มเพาะฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวลเลย พลังของโอสถสุดขั้วจอมราชันค่อนข้างอ่อนโยน ท่านสามารถดูดซับได้เร็วมาก…ต่อให้ท่านใช้มันรวดเดียว 3 เม็ดเต็มที่ก็แค่ไม่กี่วันท่านก็ดูดซับพลังของมันได้หมดแล้ว ที่สําคัญหากด่านพลังฝึกปรือต่ํากว่าจอมราชันอมตะ 8 ชะตา ต่อให้ฟังทะลวงผ่านมา แต่ถ้าใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันครบ 3 เม็ด รับประกันได้เลยว่าระดับพลังฝึกปรือต้องทะลวงไปได้ขั้นนึ่งแน่!”

 

ได้ยินคําถามของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็รีบตอบกลับเร็วไว “โอสถสุดขั้วจอมราชันอมตะ ในบรรดาโอสถอมตะที่จอมราชันอมตะใช้ได้ในแง่พลังอํานาจยกระดับพลังฝึกปรือของมัน ถือว่าไม่เป็นสองรองโอสถอมตะขนานไหนเลย”

 

“แต่เป็นธรรมดาว่า โอสถอมตะที่ช่วยยกระดับตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะได้ มันก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเป็นทุน”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

“เอาล่ะ”

 

หลังได้ยินคําชี้แจงของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ทันที “ถ้าเป็นแบบนี้ ข้ากับฮ่วนเอ๋อจะใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันให้ครบก่อน แล้วค่อยลุยแดนลับแห่งนี้ต่อ…เสี่ยวจินเจ้าคอยคุ้มกันพวกเราด้วย”

 

เดิมที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่า หากโอสถสุดขั้วจอมราชันมันใช้เวลาดูดซับนานเกินไป เขาก็คิดจะลุยฝ่าด่านทดสอบในแดนลับแห่งนี้ก่อน แล้วค่อยใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันยกระดับพลังฝึกปรือเขา

 

อย่างไรก็ตามหลังได้ยินเสี่ยวจินบอกว่าโอสถขนาดนี้แม้มีประสิทธิภาพสูงแต่พลังของมันกับ อ่อนโนทําให้ดูดซับได้ในเวลาไม่กี่วัน เขาก็ตัดสินใจใช้มันเพื่อยกระดับพลังฝึกปรือก่อน ค่อยลุยต่อ

 

“ได้ๆ”

 

หลังได้ยินคําตอบด้วยท่าทางมั่นใจของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็ส่งโอสถสุดขั้วจอมราชันให้ฮ่วนเอ๋อ ก่อนที่จะพากันนั่งลงมันตรงนี้ และเริ่มใช้โอสถบ่มเพาะพลังทันที

 

และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็สามารถควบคุมพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แม้เขาจะทุ่มสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ แต่ก็สามารถชักน้ํามันออกมาส่งเสริมการบ่มเพาะของเขา กระทั่งส่งไปให้ฮ่วนเอ๋อใช้บ่มเพาะพลังได้ด้วย ทําให้การบ่มเพาะพลังมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือพลังวิญญาณฟ้าดินที่จะมีอยู่แต่ในระนาบเทพ แม้ว่าที่ๆเขาได้มาจะเป็นซากระนาบเทพ แต่มันก็ไม่แตกต่างจากระนาบเทพอื่นๆที่ยังสมบูรณ์เลย

 

ดังนั้นในเวลาเพียงแค่ 3 วัน ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อก็สามารถยกระดับพลังฝึกปรือได้อย่างราบรื่น

 

“เอาล่ะ ไปลุยต่อกันเถอะ”

 

หลังจากดูดซับโอสถสดขั้วจอมราชันไปแล้ว เมื่อด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนบังเกิดความก้าวหน้า เช่นนั้นกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่างเขาเป็นธรรมชาติ ก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเป็นล้ําลึกมากขึ้น

 

– สําหรับฮ่วนเอ๋อ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของนางยิ่งมากยิ่งลี้ลับ ให้ความรู้สึกดั่งมีม่านหมอกสลัวปกคลุม ไม่อาจจับต้องราวเทพธิดา

 

ต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ใช้เวลาไม่นานนักก็ลุยฝ่าด่านทดสอบที่เหลือทั้งหมดในแดนลับส่วนตัวแห่งนี้ได้สําเร็จ

 

และผลประโยชน์ที่ได้รับมาหลังจากกลุยฝ่าแดนลับส่วนตัวครั้งนี้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สําคัญยังมีผลไม้อมตะที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะพลังให้จอมราชันอมตะอีก 2-3 ผล และมันยังเป็นผลไม้อมตะที่มีพลังอ่อนโยนดูดซับง่าย เพียงรับประทานแล้วโคจรพลังไม่กี่วันก็เพิ่มพูนพลังฝึกปรือให้ต้วนหลิงเทียนได้แล้ว เรียกว่าเสมือนชุดแต่งงานที่ตัดเย็บมาอย่างประณีต

 

“เอ๋ ทําไมพวกเรายังอยู่ในนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าต้องถูกส่งออกไปข้างนอกเหรอ?”

 

หลังจากลุยฝ่าด่านทดสอบทั้งหมดในพระราชวัง จนกระทั่งออกจากพระราชวังมายังลาน กว้างด้านหลังที่ไม่มีอะไรอีกต่อไป เสี่ยวจินก็อดไม่ได้ที่จะงุนง

 

เพราะจากที่นางศึกษามา ตอนนี้สมควรที่พวกนางจะถูกส่งตัวออกจากแดนลับนี้ไปแล้ว

 

“เสี่ยวจิน…มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวข้า และถามว่าข้าอยากจะทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 1,000 แต้มไหม”

 

ในขณะที่เสี่ยวจินกําลังสงสัย ในใจต้วนหลิงเทียนก็มีเสียงที่ฟังดูกลางๆไม่รู้ชายหรือหญิง หากทว่าอ่อนนุ่มละมุนหูดังขึ้น เสียงดังกล่าวก็ถามไถ่เขาว่า ต้องการทลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งแรกหรือไม่

 

และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงเอ่ยถามเสี่ยวจินของต้วนหลิงเทียนดังจบคํา

 

ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวจินหรือฮ่วนเอ๋อ ก็ได้ยินเสียงเอ่ยวาจาทํานองเดียวกับต้วนหลิงเทียน

 

“ลุยกันเลยไหมพี่ใหญ่ขีดจํากัดนี้จะช้าจะเร็วสุดท้ายพวกเราก็ต้องทําลายมันอยู่ดี”

 

เสี่ยวจินในร่างเด็กสาวตัวน้อยหันไปเอ่ยถามด้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางคึกคักทะมัดทะแมง ปานนักเลงหญิงวัยประถม

 

จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับทั้ง 3 ก็เห็นพ้องต้องกันเรื่องทําลายขีดจํากัด และเมื่อตอบตกลงในใจ เบื้องหน้าทั้ง 3 ก็ปรากฏประตูมิติบานหนึ่งผุดจากความว่างเปล่า และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังสงสัยอะไรบางอย่าง เสียงของเสี่ยวจินก็ดังขึ้นพอดี “พี่ใหญ่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ หลังจากที่พวกเราผ่านการทดสอบ พวกเราจะถูกส่งกลับมา ณ จุดที่เดินเข้าประตู

 

“พอถึงเวลา หากกลับออกมาไม่เจอใครก็อย่าพึ่งเดินไปไหนเล่า รออยู่ที่เดิมกันก่อน”

 

พอเสียงของเสี่ยวจินดังจบคํา นางก็โดดเข้าประตูมิติเบื้องหน้าไปอย่างคึกคัก

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าประตูมิติไปพร้อมๆกับฮ่วนเอ๋อ

 

“การทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 1,000 แต้ม..หากเป็นจอมราชันอมตะ 10 ทิศที่เป็นมนุษย์แท้ แต่ไม่ได้เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ถึงแม้จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการ ก็ยังยากจะผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งแรกได้ แต่หากไม่ใช่มนุษย์แท้แม้จะยังไม่บรรลุถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศ แต่ขอเพียงมีวิธีเพิ่มพลังอื่นใด ต่อให้กฏที่เข้าใจจะไม่ใช่ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะผ่านการทดสอบ

 

“ผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถในการทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 1,000 แต้ม อย่างน้อยๆก็ถือเป็นตัวตนที่สามารถเป็นแม่ทัพได้ หรือไม่ก็เป็นนายกองระดับสูงๆได้แล้ว

 

หลังเข้าประตูมิติ จนมาปรากฏตัวในทะเลเพลิง ทว่าไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอันตรายใดๆ ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนนึกถึงเรื่องที่ได้ยินเสี่ยวจินเล่ามาก่อนหน้า

 

จนเมื่อทะเลเพลิงด้านล่างเริ่มปั่นปวนพุ่งพล่าน เขาก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเร็วไว และรอดูชมบางสิ่งที่กําลังจะปรากฏตัวออกมาจากทะเลเพลิง

 

ศีรษะของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดบางอย่างค่อยๆโผล่พ้นทะเลเพลิงขึ้นมา จุดเด่นก็คือเขาโค้งราววแกะ กับสองตาที่มีสีแดงฉานปานก้อนโลหิต

 

สถานที่ๆต้วนหลิงเทียนถูกส่งมา ราวกับมีแต่ทะเลเพลิงก็ไม่ปาน บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายร้อนลวกแผดเผา แถมกลิ่นอายพลังของสิ่งมีชีวิตที่กําลังจะขึ้นจากทะเลเพลิงนั้นก็เต็มไปด้วยความรุนแรงราวพร้อมจะระเบิดพลังสังหารได้ทุกเมือ!

 

“ช้าจริง จัดการมันเลยแล้วกัน”

 

สําหรับต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่มีปัญหาอะไรกับการผ่านบททดสอบทําลายขีดจํากัด แต้มรบ 1,000 แต้ม

 

เรียกว่าสิ่งมีชีวิตที่กําลังจะโผล่พ้นทะเลเพลิงขึ้นมา ร่างมันยังไม่ทันพ้นทะเลเพลิงดี ต้วนหลิงเทียนก็ชิงลงมือเปิดฉากเข่นฆ่าลงมาก่อน มือตวัดกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติที่ทอแสงรุ้งสว่างจ้าปนเทา อันอัดแน่นไปด้วยพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 รวมถึงพลังมิติจู่โจมลงไปฉับไว!

 

ฟั่ฟฟฟ!!

 

รังสีกระบี่สีรุ้งปนเทาพุ่งแหวกฟ้าลงมา ราวกับประกายแสงทําล้างจี้เข้ากลางกระหม่อมร่างสิ่งมีชิวิตตัวเขื่องอย่างโหดเหี้ยม ด้วยพลังอานุภาพของรังสีกระบี่ ทะเลเพลิงเบื้องล่างถึงกับแหวกแยกออกมาชั่วพริบตาหนึ่ง!

 

จากนั้นเมื่อรังสีกระบี่พุ่งทะลวงผ่านร่างมันไปได้ไม่ทันไร อานุภาพพลังทําลายที่อัดแน่นในรังสีกระบี่ค่อยระเบิดออกมา!

 

ตูมมมม!!

 

ครื้นนนนน!!!

 

เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นจากทะเลเพลิงเบื้องล่าง จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เห็นเศษซากร่างกายของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดตัวเขื่องปลิวว่อนขึ้นมาจากทะเลเพลิงเกลื่อนฟ้า และไม่ทันไร เขาก็สัมผัสได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตในทะเลเพลิงมากมาย กําลังพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของทะเลเพลิงทั่วสารทิศพร้อมจิตสังหาร!

 

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

 

ร่างต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องกลางหาวหมันตุวตวัดกระบี่ฉับไวจนเห็นเป็นเงาเลือนลาง ประกายกระบี่สีรุ้งเทาแลบลั่นวูบวาบไม่หยุด รังสีกระบีนับไม่ถ้วนถล่มลงจากฟากฟ้าราวห่าพิรุณ เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตในทะเลเพลิงอย่างรวดเร็ว!

 

เป็นอีกครั้งที่ต้วนหลิงเทียน เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตในทะเลเพลิงก่อนที่มันจะทันได้ปรากฏตัว

 

หลังเข่นฆ่าไปไม่ถึง 1 เค่อ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองถูกส่งกลับมายังลานโล่งๆไว้สิ่งใดด้านหลังพระราชวังในแดนลับแล้ว

 

ต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ รออยู่ราวๆ 2 เค่อ ในที่สุดฮ่วนเอ๋อก็ปรากฏกายขึ้นจากอากาศธาตุ

 

หลังจากนั้นอีกราวๆ 2 เค่อ เสี่ยวจินก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน

 

“อํา ฮ่วนเอ๋อ ไฉนเจ้าออกมาเร็วนักเล่า?”

 

เสี่ยวจินไม่แปลกใจเลยที่เห็นพี่ใหญ่หลิงเทียนออกมารออยู่ก่อน เพราะนางรู้ดีว่าพลังพี่ใหญ่ร้ายกาจขนาดไหน ที่ทําให้นางแปลกใจก็คือ นางออกมาเจอฮ่วนเอ๋อนั่งรออยู่ข้างๆพี่ใหญ่หลิงเทียนนี่ล่ะ!

 

ถึงแม้นางจะรู้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว ว่าฮ่วนเอ๋อเป็นสัตว์เทพที่มีศักยภาพและพรสวรรค์เหนือกว่านาง แต่นางก็รู้สึกว่าฮ่วนเอ๋อไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่านางได้ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าฮ่วนเอ๋อผ่านการทดสอบและออกมาก่อน นางก็ตระหนักได้ทันทีว่า…ฮ่วนเอ๋อร้ายกาจกว่านาง!

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อออกมาก่อนข้านานเท่าไหร่แล้ว?”

 

เสี่ยวจินส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนทันที

 

“ก็ไม่นานหรอก”

 

ถึงแม้จะไม่ได้เจอเสี่ยวจินมานานปี และพึ่งกลับมาอยู่ด้วยกันไม่ทันไร แต่ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าเสี่ยวจินชอบแข่งกับคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้เขาก็เห็นชัดว่านางคิดจะแข่งกับฮ่วนเอ๋อ พอถูกเสี่ยวจินถามเขาก็เลยตอบอย่างขอไปที่

 

“พี่ใหญ่อ่า ตอบมาให้ชัดเจนหน่อยสิ”

 

เสี่ยวจินจี้ถามอีกครั้งด้วยน้ําเสียงร้องแง้ง “นานแค่ไหนกันแน่?”

 

“แค่ 2 เค่อเอง”

 

เนื่อจากเสี่ยวจินงอแงจะรู้ให้ได้ ต้วนหลิงเทียนก็ทําได้แค่กล่าวตอบออกไป โดยเพิ่มคําว่า “แค่” ออกไป เพื่อปลอบโยนเสียวจินให้ไม่ต้องหดหูเพราะแพ้มาก แต่ดูเหมือนเสียวจินจะไม่หลงกล

 

“เองที่ไหนเล่า…ไม่ใช่ตั้ง 2 เค่อเลยหรือไร?”

 

พอได้ยินคําตอบผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็โอดครวญออกมาทันที แต่ไม่นานสองตานางก็ทอประกายมุ่งมั่นอีกครั้ง “ไอ้หยา ดูเหมือนต่อไปข้าจะขี้เกียจไม่ได้แล้ว ฮ่วนเอ๋ออายุน้อยกว่าข้ามาก ถึงแม้นางจะเป็นสัตว์เทพ แต่สภาพแวดล้อมกับทรัพยากรไหนเลยจะสู้หุบจันทร์โลหิตของข้าได้”

 

เสี่ยวจินรู้ดี

 

หากฮ่วนเอ๋อเป็นเหมือนนางที่ใช้ชีวิตตลอดระยะเวลา 200 กว่าปี เพลิดเพลินไปกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรบ่มเพาะล้ําค่าของหุบจันทร์โลหิต อย่างน้อยๆพลังของฮ่วนเอ๋อตอนนี้ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปแน่นอน

 

ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าฮ่วนเอ๋อที่อายุน้อยกว่านางแต่แข็งกว่านาง เพียงเพราะแค่ฮ่วนเอ๋อเป็นสัตวว์เทพ แต่สมควรเป็นเพราะฮ่วนเอ๋อต้องขยันบ่มเพาะฝึกฝน อย่างไม่เกียจคร้านเป็นแน่!

 

จันทร์โลหิตแต่แรก ถ้าขยันๆหน่อยและไม่หนีไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ ตอนนี้ก็ไม่น่าจะด้อยกว่าฮ่วนเอ๋อได้

 

แน่นอนว่าความคิดดังกล่าวของเสี่ยวจิน ก็มีแค่ตัวนางคนเดียวที่รู้

 

หากต้วนหลิงเทียนล่วงรู้ความคิดของนางล่ะก็ เขาไม่พ้นต้องรู้สึกยินดีขึ้นมาแน่ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ดี

 

หลังออกจากแดนลับส่วนตัวที่ต้วนหลิงเทียนใช้แต้มรบ 500 แต้มแลกมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับพวกก็มุ่งหน้ากลับไปยังพื้นที่อเวจีหมื่นแปลง เพื่อสะสมแต้มรบต่อ

 

ต้องบอกว่าทั้ง 3 โชคดีอยู่บ้าง เพราะหลังเข้าสู่พื้นที่อเวจีหมื่นแปลงไม่ทันไร ศัตรูที่พบทั้งหมดไม่มีใครแข็งแกร่งตึงมือ ทําให้การเก็บแต้มรบเป็นไปอย่างราบรื่น สุดท้ายทั้ง 3 ก็เก็บแต้มรบถึงขีดจํากัด 2,000 แต้มในเวลาอันสั้น แน่นอนว่าหากจะระบุให้แน่ชัด ทั้ง 3 ล้วนแล้วแต่ เก็บแต้มรบได้เกิน 2,000 แต้มทั้งสิ้น

 

ฮ่วนเอ๋อนั้นจัดการศัตรูไปจนสมควรได้รับแต้มรบมาราวๆ 2,000 กว่าๆ

 

แต้มรบของเสี่ยวจินเองก็สมควรได้เกิน 3,000 แต้มไปแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความที่มี ขีดจํากัดแต้มรบแค่ 2,000 แต้ม ทําให้สุดท้ายนางก็ยังมีอันดับน้อยกว่าฮ่วนเอ๋ออยู่ดี เพราะฮ่วนเอ๋อเก็บแต้มรบครบ 2,000 แต้มก่อน

 

และเหตุไฉนที่แต้มรบที่แท้จริงของนางมากกว่าฮ่วนเอ๋อนั้น เพราะคนที่นางพบเจอในภายหลัง มีแต้มรบมากกว่าคนที่ฮ่วนเอ๋อจัดการไป

 

ด้านต้วนหลิงเทียนถ้าหากนับแต้มรบที่เก็บได้จริงๆ ก็สมควรมีมากกว่า 6,000

 

“พี่ใหญ่แต้มรบตันแล้วแบบนี้พวกเราแลกเปลี่ยนแต้มรบเข้าแดนลับกันก่อนเถอะ จากนั้นก็พยายามทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 2,000 แต้มหลังจบแดนลับ”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

จนถึงตอนนี้พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 พึ่งจะเข้าสู่แดนลับแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือแดนลับ ที่ต้วนหลิงเทียนจ่ายแต้มรบไป 500 แต้มครั้งแรก

 

หลังจากเสี่ยวจินเอ่ยเสนอออกมา ทั้ง 3 ก็ตั้งใจจะผลัดกันแลกเปลี่ยนแต้มรบกับโอกาสเข้าสู่แดนลับส่วนตัว

 

แน่นอนว่าทุกแดนลับส่วนตัว ทั้ง 3 ก็คิดจะเข้าไปพร้อมๆกันหมด

 

หลังจากที่ผ่านแดนลับอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ กับเสี่ยวจิน ก็ได้ผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดแต้มรบเป็นครั้งที่ 2 ทว่าหลังกลับออกมาจากด่านทดสอบ เสี่ยวจินก็อดโอดครวญออกมาไม่ได้ “พี่ใหญ่หลิงเทียน…ข้าเกรงว่าขีดจํากัดแต้มรบของข้าคงหยุดลงแค่ 3,000 แต้มเท่านั้น…ด้วยระดับพลังและความสามารถของข้าตอนนี้ เกรงว่าคงผ่านบททดสอบทําลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งต่อไปไม่ไหว”

 

จุดนี้เสี่ยวจินได้อธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิอเวจีใหม่ๆ เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร

 

สําหรับฮ่วนเอ๋อนั้นยังไหวอยู่

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วฮ่วนเอ๋อก็เป็นสัตว์เทพ

 

“ หลังจากนี้ พวกเรามาใช้ผลไม้อมตะกับโอสถอมตะที่พวกเราได้มาเพื่อบ่มเพาะพลังก่อนเถอะ…เสี่ยวจินเจ้าต้องพยายามทะลวงไปให้ถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศ ถึงตอนนั้นไม่แน่เจ้าอาจะมีโอกาสทะลวงขีดจํากัด 3,000 แต้มรบ”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวจิน

 

ได้ยินคําพูดของต้วนหลิงเทียนเสี่ยวจินกับฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้า หลังจากนั้นทั้ง 3 ก็เลือกจะเข้าไปบ่มเพาะในแดนลับส่วนตัว และจมจ่อมอยู่กับการบ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่ง

 

ในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะพลัง เสี่ยวจินก็ตื่นตระหนกตกใจกับพลังวิญญาณฟ้าดินที่ต้วนหลิงเทียนส่งออกมาจากโลกใบเล็กภายในกายครั้งยิ่งใหญ่ “พี่ใหญ่หลิงเทียน…หลังจากข้า ได้บ่มเพาะพลังข้างๆท่านแบบนี้ ข้าไม่กลับไปหุบเขาจันทร์โลหิตแล้วได้ไหม…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3357

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3357 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3357 : บ่มเพาะฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวลเลย พลังของโอสถสุดขั้วจอมราชันค่อนข้างอ่อนโยน ท่านสามารถดูดซับได้เร็วมาก…ต่อให้ท่านใช้มันรวดเดียว 3 เม็ดเต็มที่ก็แค่ไม่กี่วันท่านก็ดูดซับพลังของมันได้หมดแล้ว ที่สําคัญหากด่านพลังฝึกปรือต่ํากว่าจอมราชันอมตะ 8 ชะตา ต่อให้ฟังทะลวงผ่านมา แต่ถ้าใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันครบ 3 เม็ด รับประกันได้เลยว่าระดับพลังฝึกปรือต้องทะลวงไปได้ขั้นนึ่งแน่!”

 

ได้ยินคําถามของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็รีบตอบกลับเร็วไว “โอสถสุดขั้วจอมราชันอมตะ ในบรรดาโอสถอมตะที่จอมราชันอมตะใช้ได้ในแง่พลังอํานาจยกระดับพลังฝึกปรือของมัน ถือว่าไม่เป็นสองรองโอสถอมตะขนานไหนเลย”

 

“แต่เป็นธรรมดาว่า โอสถอมตะที่ช่วยยกระดับตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะได้ มันก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเป็นทุน”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

“เอาล่ะ”

 

หลังได้ยินคําชี้แจงของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ทันที “ถ้าเป็นแบบนี้ ข้ากับฮ่วนเอ๋อจะใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันให้ครบก่อน แล้วค่อยลุยแดนลับแห่งนี้ต่อ…เสี่ยวจินเจ้าคอยคุ้มกันพวกเราด้วย”

 

เดิมที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่า หากโอสถสุดขั้วจอมราชันมันใช้เวลาดูดซับนานเกินไป เขาก็คิดจะลุยฝ่าด่านทดสอบในแดนลับแห่งนี้ก่อน แล้วค่อยใช้โอสถสุดขั้วจอมราชันยกระดับพลังฝึกปรือเขา

 

อย่างไรก็ตามหลังได้ยินเสี่ยวจินบอกว่าโอสถขนาดนี้แม้มีประสิทธิภาพสูงแต่พลังของมันกับ อ่อนโนทําให้ดูดซับได้ในเวลาไม่กี่วัน เขาก็ตัดสินใจใช้มันเพื่อยกระดับพลังฝึกปรือก่อน ค่อยลุยต่อ

 

“ได้ๆ”

 

หลังได้ยินคําตอบด้วยท่าทางมั่นใจของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็ส่งโอสถสุดขั้วจอมราชันให้ฮ่วนเอ๋อ ก่อนที่จะพากันนั่งลงมันตรงนี้ และเริ่มใช้โอสถบ่มเพาะพลังทันที

 

และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็สามารถควบคุมพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แม้เขาจะทุ่มสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ แต่ก็สามารถชักน้ํามันออกมาส่งเสริมการบ่มเพาะของเขา กระทั่งส่งไปให้ฮ่วนเอ๋อใช้บ่มเพาะพลังได้ด้วย ทําให้การบ่มเพาะพลังมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือพลังวิญญาณฟ้าดินที่จะมีอยู่แต่ในระนาบเทพ แม้ว่าที่ๆเขาได้มาจะเป็นซากระนาบเทพ แต่มันก็ไม่แตกต่างจากระนาบเทพอื่นๆที่ยังสมบูรณ์เลย

 

ดังนั้นในเวลาเพียงแค่ 3 วัน ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อก็สามารถยกระดับพลังฝึกปรือได้อย่างราบรื่น

 

“เอาล่ะ ไปลุยต่อกันเถอะ”

 

หลังจากดูดซับโอสถสดขั้วจอมราชันไปแล้ว เมื่อด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนบังเกิดความก้าวหน้า เช่นนั้นกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่างเขาเป็นธรรมชาติ ก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเป็นล้ําลึกมากขึ้น

 

– สําหรับฮ่วนเอ๋อ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของนางยิ่งมากยิ่งลี้ลับ ให้ความรู้สึกดั่งมีม่านหมอกสลัวปกคลุม ไม่อาจจับต้องราวเทพธิดา

 

ต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ใช้เวลาไม่นานนักก็ลุยฝ่าด่านทดสอบที่เหลือทั้งหมดในแดนลับส่วนตัวแห่งนี้ได้สําเร็จ

 

และผลประโยชน์ที่ได้รับมาหลังจากกลุยฝ่าแดนลับส่วนตัวครั้งนี้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สําคัญยังมีผลไม้อมตะที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะพลังให้จอมราชันอมตะอีก 2-3 ผล และมันยังเป็นผลไม้อมตะที่มีพลังอ่อนโยนดูดซับง่าย เพียงรับประทานแล้วโคจรพลังไม่กี่วันก็เพิ่มพูนพลังฝึกปรือให้ต้วนหลิงเทียนได้แล้ว เรียกว่าเสมือนชุดแต่งงานที่ตัดเย็บมาอย่างประณีต

 

“เอ๋ ทําไมพวกเรายังอยู่ในนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าต้องถูกส่งออกไปข้างนอกเหรอ?”

 

หลังจากลุยฝ่าด่านทดสอบทั้งหมดในพระราชวัง จนกระทั่งออกจากพระราชวังมายังลาน กว้างด้านหลังที่ไม่มีอะไรอีกต่อไป เสี่ยวจินก็อดไม่ได้ที่จะงุนง

 

เพราะจากที่นางศึกษามา ตอนนี้สมควรที่พวกนางจะถูกส่งตัวออกจากแดนลับนี้ไปแล้ว

 

“เสี่ยวจิน…มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวข้า และถามว่าข้าอยากจะทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 1,000 แต้มไหม”

 

ในขณะที่เสี่ยวจินกําลังสงสัย ในใจต้วนหลิงเทียนก็มีเสียงที่ฟังดูกลางๆไม่รู้ชายหรือหญิง หากทว่าอ่อนนุ่มละมุนหูดังขึ้น เสียงดังกล่าวก็ถามไถ่เขาว่า ต้องการทลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งแรกหรือไม่

 

และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงเอ่ยถามเสี่ยวจินของต้วนหลิงเทียนดังจบคํา

 

ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวจินหรือฮ่วนเอ๋อ ก็ได้ยินเสียงเอ่ยวาจาทํานองเดียวกับต้วนหลิงเทียน

 

“ลุยกันเลยไหมพี่ใหญ่ขีดจํากัดนี้จะช้าจะเร็วสุดท้ายพวกเราก็ต้องทําลายมันอยู่ดี”

 

เสี่ยวจินในร่างเด็กสาวตัวน้อยหันไปเอ่ยถามด้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางคึกคักทะมัดทะแมง ปานนักเลงหญิงวัยประถม

 

จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับทั้ง 3 ก็เห็นพ้องต้องกันเรื่องทําลายขีดจํากัด และเมื่อตอบตกลงในใจ เบื้องหน้าทั้ง 3 ก็ปรากฏประตูมิติบานหนึ่งผุดจากความว่างเปล่า และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังสงสัยอะไรบางอย่าง เสียงของเสี่ยวจินก็ดังขึ้นพอดี “พี่ใหญ่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ หลังจากที่พวกเราผ่านการทดสอบ พวกเราจะถูกส่งกลับมา ณ จุดที่เดินเข้าประตู

 

“พอถึงเวลา หากกลับออกมาไม่เจอใครก็อย่าพึ่งเดินไปไหนเล่า รออยู่ที่เดิมกันก่อน”

 

พอเสียงของเสี่ยวจินดังจบคํา นางก็โดดเข้าประตูมิติเบื้องหน้าไปอย่างคึกคัก

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าประตูมิติไปพร้อมๆกับฮ่วนเอ๋อ

 

“การทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 1,000 แต้ม..หากเป็นจอมราชันอมตะ 10 ทิศที่เป็นมนุษย์แท้ แต่ไม่ได้เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ถึงแม้จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการ ก็ยังยากจะผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งแรกได้ แต่หากไม่ใช่มนุษย์แท้แม้จะยังไม่บรรลุถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศ แต่ขอเพียงมีวิธีเพิ่มพลังอื่นใด ต่อให้กฏที่เข้าใจจะไม่ใช่ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะผ่านการทดสอบ

 

“ผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถในการทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 1,000 แต้ม อย่างน้อยๆก็ถือเป็นตัวตนที่สามารถเป็นแม่ทัพได้ หรือไม่ก็เป็นนายกองระดับสูงๆได้แล้ว

 

หลังเข้าประตูมิติ จนมาปรากฏตัวในทะเลเพลิง ทว่าไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอันตรายใดๆ ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนนึกถึงเรื่องที่ได้ยินเสี่ยวจินเล่ามาก่อนหน้า

 

จนเมื่อทะเลเพลิงด้านล่างเริ่มปั่นปวนพุ่งพล่าน เขาก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเร็วไว และรอดูชมบางสิ่งที่กําลังจะปรากฏตัวออกมาจากทะเลเพลิง

 

ศีรษะของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดบางอย่างค่อยๆโผล่พ้นทะเลเพลิงขึ้นมา จุดเด่นก็คือเขาโค้งราววแกะ กับสองตาที่มีสีแดงฉานปานก้อนโลหิต

 

สถานที่ๆต้วนหลิงเทียนถูกส่งมา ราวกับมีแต่ทะเลเพลิงก็ไม่ปาน บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายร้อนลวกแผดเผา แถมกลิ่นอายพลังของสิ่งมีชีวิตที่กําลังจะขึ้นจากทะเลเพลิงนั้นก็เต็มไปด้วยความรุนแรงราวพร้อมจะระเบิดพลังสังหารได้ทุกเมือ!

 

“ช้าจริง จัดการมันเลยแล้วกัน”

 

สําหรับต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่มีปัญหาอะไรกับการผ่านบททดสอบทําลายขีดจํากัด แต้มรบ 1,000 แต้ม

 

เรียกว่าสิ่งมีชีวิตที่กําลังจะโผล่พ้นทะเลเพลิงขึ้นมา ร่างมันยังไม่ทันพ้นทะเลเพลิงดี ต้วนหลิงเทียนก็ชิงลงมือเปิดฉากเข่นฆ่าลงมาก่อน มือตวัดกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติที่ทอแสงรุ้งสว่างจ้าปนเทา อันอัดแน่นไปด้วยพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 รวมถึงพลังมิติจู่โจมลงไปฉับไว!

 

ฟั่ฟฟฟ!!

 

รังสีกระบี่สีรุ้งปนเทาพุ่งแหวกฟ้าลงมา ราวกับประกายแสงทําล้างจี้เข้ากลางกระหม่อมร่างสิ่งมีชิวิตตัวเขื่องอย่างโหดเหี้ยม ด้วยพลังอานุภาพของรังสีกระบี่ ทะเลเพลิงเบื้องล่างถึงกับแหวกแยกออกมาชั่วพริบตาหนึ่ง!

 

จากนั้นเมื่อรังสีกระบี่พุ่งทะลวงผ่านร่างมันไปได้ไม่ทันไร อานุภาพพลังทําลายที่อัดแน่นในรังสีกระบี่ค่อยระเบิดออกมา!

 

ตูมมมม!!

 

ครื้นนนนน!!!

 

เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นจากทะเลเพลิงเบื้องล่าง จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เห็นเศษซากร่างกายของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดตัวเขื่องปลิวว่อนขึ้นมาจากทะเลเพลิงเกลื่อนฟ้า และไม่ทันไร เขาก็สัมผัสได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตในทะเลเพลิงมากมาย กําลังพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของทะเลเพลิงทั่วสารทิศพร้อมจิตสังหาร!

 

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

 

ร่างต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องกลางหาวหมันตุวตวัดกระบี่ฉับไวจนเห็นเป็นเงาเลือนลาง ประกายกระบี่สีรุ้งเทาแลบลั่นวูบวาบไม่หยุด รังสีกระบีนับไม่ถ้วนถล่มลงจากฟากฟ้าราวห่าพิรุณ เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตในทะเลเพลิงอย่างรวดเร็ว!

 

เป็นอีกครั้งที่ต้วนหลิงเทียน เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตในทะเลเพลิงก่อนที่มันจะทันได้ปรากฏตัว

 

หลังเข่นฆ่าไปไม่ถึง 1 เค่อ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองถูกส่งกลับมายังลานโล่งๆไว้สิ่งใดด้านหลังพระราชวังในแดนลับแล้ว

 

ต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ รออยู่ราวๆ 2 เค่อ ในที่สุดฮ่วนเอ๋อก็ปรากฏกายขึ้นจากอากาศธาตุ

 

หลังจากนั้นอีกราวๆ 2 เค่อ เสี่ยวจินก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน

 

“อํา ฮ่วนเอ๋อ ไฉนเจ้าออกมาเร็วนักเล่า?”

 

เสี่ยวจินไม่แปลกใจเลยที่เห็นพี่ใหญ่หลิงเทียนออกมารออยู่ก่อน เพราะนางรู้ดีว่าพลังพี่ใหญ่ร้ายกาจขนาดไหน ที่ทําให้นางแปลกใจก็คือ นางออกมาเจอฮ่วนเอ๋อนั่งรออยู่ข้างๆพี่ใหญ่หลิงเทียนนี่ล่ะ!

 

ถึงแม้นางจะรู้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว ว่าฮ่วนเอ๋อเป็นสัตว์เทพที่มีศักยภาพและพรสวรรค์เหนือกว่านาง แต่นางก็รู้สึกว่าฮ่วนเอ๋อไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่านางได้ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าฮ่วนเอ๋อผ่านการทดสอบและออกมาก่อน นางก็ตระหนักได้ทันทีว่า…ฮ่วนเอ๋อร้ายกาจกว่านาง!

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อออกมาก่อนข้านานเท่าไหร่แล้ว?”

 

เสี่ยวจินส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนทันที

 

“ก็ไม่นานหรอก”

 

ถึงแม้จะไม่ได้เจอเสี่ยวจินมานานปี และพึ่งกลับมาอยู่ด้วยกันไม่ทันไร แต่ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าเสี่ยวจินชอบแข่งกับคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้เขาก็เห็นชัดว่านางคิดจะแข่งกับฮ่วนเอ๋อ พอถูกเสี่ยวจินถามเขาก็เลยตอบอย่างขอไปที่

 

“พี่ใหญ่อ่า ตอบมาให้ชัดเจนหน่อยสิ”

 

เสี่ยวจินจี้ถามอีกครั้งด้วยน้ําเสียงร้องแง้ง “นานแค่ไหนกันแน่?”

 

“แค่ 2 เค่อเอง”

 

เนื่อจากเสี่ยวจินงอแงจะรู้ให้ได้ ต้วนหลิงเทียนก็ทําได้แค่กล่าวตอบออกไป โดยเพิ่มคําว่า “แค่” ออกไป เพื่อปลอบโยนเสียวจินให้ไม่ต้องหดหูเพราะแพ้มาก แต่ดูเหมือนเสียวจินจะไม่หลงกล

 

“เองที่ไหนเล่า…ไม่ใช่ตั้ง 2 เค่อเลยหรือไร?”

 

พอได้ยินคําตอบผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็โอดครวญออกมาทันที แต่ไม่นานสองตานางก็ทอประกายมุ่งมั่นอีกครั้ง “ไอ้หยา ดูเหมือนต่อไปข้าจะขี้เกียจไม่ได้แล้ว ฮ่วนเอ๋ออายุน้อยกว่าข้ามาก ถึงแม้นางจะเป็นสัตว์เทพ แต่สภาพแวดล้อมกับทรัพยากรไหนเลยจะสู้หุบจันทร์โลหิตของข้าได้”

 

เสี่ยวจินรู้ดี

 

หากฮ่วนเอ๋อเป็นเหมือนนางที่ใช้ชีวิตตลอดระยะเวลา 200 กว่าปี เพลิดเพลินไปกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรบ่มเพาะล้ําค่าของหุบจันทร์โลหิต อย่างน้อยๆพลังของฮ่วนเอ๋อตอนนี้ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปแน่นอน

 

ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าฮ่วนเอ๋อที่อายุน้อยกว่านางแต่แข็งกว่านาง เพียงเพราะแค่ฮ่วนเอ๋อเป็นสัตวว์เทพ แต่สมควรเป็นเพราะฮ่วนเอ๋อต้องขยันบ่มเพาะฝึกฝน อย่างไม่เกียจคร้านเป็นแน่!

 

จันทร์โลหิตแต่แรก ถ้าขยันๆหน่อยและไม่หนีไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ ตอนนี้ก็ไม่น่าจะด้อยกว่าฮ่วนเอ๋อได้

 

แน่นอนว่าความคิดดังกล่าวของเสี่ยวจิน ก็มีแค่ตัวนางคนเดียวที่รู้

 

หากต้วนหลิงเทียนล่วงรู้ความคิดของนางล่ะก็ เขาไม่พ้นต้องรู้สึกยินดีขึ้นมาแน่ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ดี

 

หลังออกจากแดนลับส่วนตัวที่ต้วนหลิงเทียนใช้แต้มรบ 500 แต้มแลกมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับพวกก็มุ่งหน้ากลับไปยังพื้นที่อเวจีหมื่นแปลง เพื่อสะสมแต้มรบต่อ

 

ต้องบอกว่าทั้ง 3 โชคดีอยู่บ้าง เพราะหลังเข้าสู่พื้นที่อเวจีหมื่นแปลงไม่ทันไร ศัตรูที่พบทั้งหมดไม่มีใครแข็งแกร่งตึงมือ ทําให้การเก็บแต้มรบเป็นไปอย่างราบรื่น สุดท้ายทั้ง 3 ก็เก็บแต้มรบถึงขีดจํากัด 2,000 แต้มในเวลาอันสั้น แน่นอนว่าหากจะระบุให้แน่ชัด ทั้ง 3 ล้วนแล้วแต่ เก็บแต้มรบได้เกิน 2,000 แต้มทั้งสิ้น

 

ฮ่วนเอ๋อนั้นจัดการศัตรูไปจนสมควรได้รับแต้มรบมาราวๆ 2,000 กว่าๆ

 

แต้มรบของเสี่ยวจินเองก็สมควรได้เกิน 3,000 แต้มไปแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความที่มี ขีดจํากัดแต้มรบแค่ 2,000 แต้ม ทําให้สุดท้ายนางก็ยังมีอันดับน้อยกว่าฮ่วนเอ๋ออยู่ดี เพราะฮ่วนเอ๋อเก็บแต้มรบครบ 2,000 แต้มก่อน

 

และเหตุไฉนที่แต้มรบที่แท้จริงของนางมากกว่าฮ่วนเอ๋อนั้น เพราะคนที่นางพบเจอในภายหลัง มีแต้มรบมากกว่าคนที่ฮ่วนเอ๋อจัดการไป

 

ด้านต้วนหลิงเทียนถ้าหากนับแต้มรบที่เก็บได้จริงๆ ก็สมควรมีมากกว่า 6,000

 

“พี่ใหญ่แต้มรบตันแล้วแบบนี้พวกเราแลกเปลี่ยนแต้มรบเข้าแดนลับกันก่อนเถอะ จากนั้นก็พยายามทําลายขีดจํากัดแต้มรบ 2,000 แต้มหลังจบแดนลับ”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

จนถึงตอนนี้พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 พึ่งจะเข้าสู่แดนลับแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือแดนลับ ที่ต้วนหลิงเทียนจ่ายแต้มรบไป 500 แต้มครั้งแรก

 

หลังจากเสี่ยวจินเอ่ยเสนอออกมา ทั้ง 3 ก็ตั้งใจจะผลัดกันแลกเปลี่ยนแต้มรบกับโอกาสเข้าสู่แดนลับส่วนตัว

 

แน่นอนว่าทุกแดนลับส่วนตัว ทั้ง 3 ก็คิดจะเข้าไปพร้อมๆกันหมด

 

หลังจากที่ผ่านแดนลับอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ กับเสี่ยวจิน ก็ได้ผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดแต้มรบเป็นครั้งที่ 2 ทว่าหลังกลับออกมาจากด่านทดสอบ เสี่ยวจินก็อดโอดครวญออกมาไม่ได้ “พี่ใหญ่หลิงเทียน…ข้าเกรงว่าขีดจํากัดแต้มรบของข้าคงหยุดลงแค่ 3,000 แต้มเท่านั้น…ด้วยระดับพลังและความสามารถของข้าตอนนี้ เกรงว่าคงผ่านบททดสอบทําลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งต่อไปไม่ไหว”

 

จุดนี้เสี่ยวจินได้อธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิอเวจีใหม่ๆ เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร

 

สําหรับฮ่วนเอ๋อนั้นยังไหวอยู่

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วฮ่วนเอ๋อก็เป็นสัตว์เทพ

 

“ หลังจากนี้ พวกเรามาใช้ผลไม้อมตะกับโอสถอมตะที่พวกเราได้มาเพื่อบ่มเพาะพลังก่อนเถอะ…เสี่ยวจินเจ้าต้องพยายามทะลวงไปให้ถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศ ถึงตอนนั้นไม่แน่เจ้าอาจะมีโอกาสทะลวงขีดจํากัด 3,000 แต้มรบ”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวจิน

 

ได้ยินคําพูดของต้วนหลิงเทียนเสี่ยวจินกับฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้า หลังจากนั้นทั้ง 3 ก็เลือกจะเข้าไปบ่มเพาะในแดนลับส่วนตัว และจมจ่อมอยู่กับการบ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่ง

 

ในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะพลัง เสี่ยวจินก็ตื่นตระหนกตกใจกับพลังวิญญาณฟ้าดินที่ต้วนหลิงเทียนส่งออกมาจากโลกใบเล็กภายในกายครั้งยิ่งใหญ่ “พี่ใหญ่หลิงเทียน…หลังจากข้า ได้บ่มเพาะพลังข้างๆท่านแบบนี้ ข้าไม่กลับไปหุบเขาจันทร์โลหิตแล้วได้ไหม…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+