War sovereign Soaring The Heavens 3413

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3413 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3,413 : จักรพรรดิอมตะหนามม่วง
ในสายตาของต้วนหลิงเทียนการตายของไป๋ลี่หงและสหายคนอื่นๆ คิดไปคิดมาแล้วสุดท้ายก็หนีไม่พ้นอวิ๋นชิงเหยียน ที่จับตัวทุกคนไปยังดินแดนการล่มสลายของทวยเทพ
หาไม่แล้วป่านนี้ไป๋ลี่หงและคนอื่นๆก็คงอยู่เสพย์สุขใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่ระนาบเซียน
เพราะตราบใดที่ทุกคนอยู่ในระนาบเซียน ก็จะปลอดภัยไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น
‘เหลือเวลาไม่ถึง 700 ปีแล้ว…หลังจากช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออกเมื่อไหร่ ข้าต้องเร่งเข้าสู่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพทันที ยังต้องเร่งบ่มเพาะในขอบเขตเทพเพื่อให้มีกำลังมากพอช่วยเค่อเอ๋อ และทวงความเป็นธรรมให้ทุกคนที่ตกตาย!’
สำหรับพวกไป๋ลี่หงและคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดกับทุกคนเหลือเกิน และตอนนี้ความรู้สึกผิดดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นแสนสาหัส!
ด้วยอารมณ์อันหนักอึ้งในใจ ตลอดการเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
และลี่เฟยก็เข้าใจความรู้สึกของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่กุมมือต้วนลิงเทียนเอาไว้เงียบๆไม่พูดอะไร
‘บางที…คงมีแต่ชายหนุ่มที่มีลักษณะเหนือคนธรรมดาเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับคุณหนูเฟยเอ๋อ’
โฉมสะคราญนั้นก็เหินร่างติดตามลี่เฟยมาและอยู่ไม่ห่างผู้เฒ่าหั่วมากเท่าไหร่ นางเอาแต่จับจ้องมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย ลอบกล่าวในใจอย่างชื่นชม
ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า
แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ ความรู้สึกที่ส่งออกมา รวมถึงลักษณะท่วงท่านั่น ไม่คล้ายชายหนุ่มในวัยเดียวกันที่นางพบมาก่อน อีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนานแม้แต่น้อย ผิดกับพวกคุณชายที่ชาติตระกูลสูงส่งทั้งหลายมาก
เพราะเท่าที่นางทราบมา
คุณหนูเฟยเอ๋อของนาง ยังพึ่งมีอายุได้ 300 ปีเศษๆเท่านั้น สามีที่คบหากันตั้งแต่ระนาบโลกียะเองก็สมควรมีวัยไล่เลี่ยกัน และอยู่ในช่วง 300 ปีเศษ
อายุได้ 300 ปีเศษ แต่กลับให้ความรู้สึกประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
ไม่นานนัก ภายใต้การนำทางของลี่เฟย ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างทะลุแพเมฆหนาที่ลอยล่องอยู่เหนือมหาสมุทรสุดไพศาล จนเกาะลอยฟ้ามหึมาปานทวีปย่อมๆได้ประจักษ์สู่สายตา
“ตัวเลวร้าย เบื้องหน้าเจ้าก็เป็นที่ตั้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแล้ว”
ลี่เฟยเอ่ยแนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
เดิมทีระหว่างเดินทางลี่เฟยก็มีเรื่องราววมากมายคิดถามไถ่ต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามนางย่อมมองเห็นชัดเจนว่าชายคู่ชีวิตมีอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงไม่เอ่ยกวนใจอะไรอีกฝ่ายตลอดการเดินทาง
“อือ”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้ากวาดตามองเกาะลอยฟ้ามหึมาเบื้องหน้า จากนั้นก็ก้มลงมองแพเมฆขาวเบื้องล่าง ฉากดังกล่าวละม้ายคล้ายพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นที่เขาเคยเห็นมาบ้าง
อย่างน้อยๆก็มีพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนที่หนึ่ง
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียน เรียกว่าตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดมหึมาดุจเดียวกัน และส่วนที่ต่างจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้ ก็คือเกาะที่นั่นลอยอยู่เหนือที่ราบทุ่งหญ้าสุดไพศาล ทว่าเกาะที่นี่มันลอยเหนือมหาสมุทร
“ตัวเลวร้าย ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ของข้าก่อน”
ถึงแม้จะมีเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ลี่เฟยก็ประหม่าไม่น้อย เสมือนเด็กสาวชาวโลกพาแฟนหนุ่มเข้าบ้าน หมายเปิดตัวให้พ่อแม่และครอบครัวรู้จักเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิอมตะหนามม่วงดีกับนางเหลือเกิน แทบไม่ต่างอะไรจากมารดาแท้ๆเลย
อีกทั้งระยะเวลาที่ลี่เฟยใช้อยู่ร่วมกับจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็เนิ่นนานกว่าผู้อาวุโสคนไหนในอดีต…ยังยาวนานเสียยิ่งกว่าเวลาที่ใช้อยู่ร่วมกับต้วนหลิงเทียนหลายเท่า
ที่สำคัญก็คือลี่เฟยในตอนเด็กนั้นเติบโตมากับท่านปู่ และด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ทำให้นางไม่แม้แต่จะมีโอกาสเห็นหน้าพ่อแม่ด้วยซ้ำ เช่นนั้นพอได้รับการดูแลอย่างดีจากจักรพรรดิอมตะหนามม่วง นางก็ยึดถือจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเป็นดั่งมารดาแท้ๆ
ด้วยเหตุนี้นางก็เลยบังเกิดความประหม่า ยามพาสามีมาเปิดตัวกับผู้ที่เป็นดั่งมารดา
“เบื้องหน้าก็เป็นที่พักของท่านอาจารย์แล้วล่ะ…”
ตลอดทางที่ลี่เฟยพาต้วนหลิงงเทียนเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียน จะหน้าประตูก็ดี หรือผ่านอาคารส่วนกลางใดๆก็ดี ล้วนราบรื่นไร้ผู้ใดขวางขัดหยุดตรวจ เพราะผู้คนในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนรู้จักลี่เฟยกันดี และไม่ว่าจะระดับสูงหรือต่ำยามพบเจอก็ทักทายลี่เฟยด้วยความสุภาพเคารพว่า ‘คุณหนูลี่เฟย’ ทั้งนั้น….
เพราะศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสววรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน มีอยู่ด้วยกันแค่ 3 คนเท่านั้น และอาจารย์ของลี่เฟย จักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คือศิษย์คนเล็ก และยังเป็นศิษย์ปิดสำนักอีกด้วย แต่นี้ต่อไปจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนไม่คิดรับศิษย์อีกแล้ว
สถานที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาอันเต็มไปด้วยความร่มรื่น ลานตาไปด้วยสีสันแห่งธรรมชาติอันเขียวขจี แว่วเสียงสกุณาขับขานเจื้อยแจ้ว จรรโลงใจให้พบความสงบ ยังมีเหล่าวิหกอมตะเชื่องๆฝูงหนึ่งโผบินมาฉวัดเฉวียนรายล้อม เป็นการต้อนรับลี่เฟยอย่างซุกซน
“คุณหนูเฟยเอ๋อ”
“คุณหนูเฟยเอ๋อ”

เรียกว่าวิหกฝูงนี้เฉลียวฉลาดและน่ารักยิ่ง พวกมันมาชอบแวะมาหาลี่เฟยเสมอ พอมาถึงก็กล่าวทักเสียงเจื้อแจ้วทันที
ลี่เฟยพอเห็นก็โบกมือเบาๆด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูเฟยเอ๋อ นี่คือบุรุษที่ท่านกล่าวถึงอยู่เสมอรึเปล่าเจ้าคะ”
วิหกตัวสีแดงสดที่เป็นจ่าฝูงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ สองตากลมใสชมมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ “ก่อนหน้าคุณหนูบอกว่าท่านมีสามีแล้ว พวกเราไม่เชื่อกันเลย…ดูเหมือนว่าคุณหนูไม่ได้หลอกพวกเราจริงๆด้วย”
“เอ๋า แล้วข้าจะไปหลอกพวกเจ้าทำไมเล่า”
ลี่เฟยส่ายหัวไปมาพลางหัวเราะ จากนั้นก็แนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก “ตัวเลวร้าย เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์น้องจอมซนของข้าก็ว่าได้…พวกนางถือได้ว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน”
“ฮิฮิ!”
จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น วิหกน้อยแต่ละตัวเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มเด็กสาว บ้างโตวัยประถมบ้างยังเป็นเด็กน้อย โร่มามองสำรวจต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ว้าว นี่คือสามีของคุณหนูลี่เฟยเหรอ หล่อเหลายิ่ง ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนของพวกเราไม่เห็นจะมีใครหล่อเท่านี้เลย”
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เข้าใจความรู้สึกของเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ยามพบเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว…
ต่อหน้ากลุ่มสาวน้อยไม่เดียงสา ต้วนหลิงเทียนแม้จะไม่คุ้นชินกับสายตาของพวกนางเท่าไหร่ แต่ก็ยังยิ้มทักทายออกไปอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณทุกคนมาก ที่คอยช่วยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อมาหลายปี…”
“เอาล่ะ พวกเจ้าพอได้แล้ว ไปเล่นที่อื่นเสีย”
ตอนนี้เองโฉมสะคราญที่ติดตามมาด้านหลังลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวขึ้น “คุณหนู…ยังต้องพาสามีไปพบใต้เท้าจักรพรรดิอมตะอีก”
พอโฉมสะคราญเอ่ยจบคำ เหล่าเด็กสาวน้อยใหญ่ก็ร้องโอ้ว จากนั้นก็หวนคืนสู่ร่างวิหกพากันโผบินหายไปทันที ทิ้งไว้แต่เสียงเจื้อยแจ้วแว่วดังว่า หล่อมาก น่าดูยิ่ง…ฯลฯ
ต่อมาลี่เฟยก็พาต้วนหลิงเทียนเข้าไปในหุบเขา
แรกเข้าหุบเขา กลิ่นหอมจรุงก็โชยเตะจมูกต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น ให้ความรู้สึกคล้ายบุปผาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เชิง ยังมีกลิ่นเข้มขนราวกับสุราหมักชั้นดี เพียงแค่สูดดมก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจิตสงบอย่างบอกไม่ถูก
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงลี่เฟยพลันดังขึ้น “นี่เป็นกลิ่นของสุราหมื่นบุปผาอมตะ เป็นสุราอมตะที่ท่านอาจารย์หมักเอง…”
“บุปผาอมตะที่นำมาใช้หมักสุรานั้นปกติแล้วก็มีพลังวิญญาณ…ท่านอาจารย์เองก็ปลูกบุปผาอมตะเหล่านี้เอาไว้เป็นพิเศษ…และหากบุปผาอมตะต้นไหนเผยให้เห็นศักยภาพการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินไม่ธรรมดา ท่านอาจารย์ก็จะนำไปดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้สักวันจะก่อเกิดสำนึกสติและสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้”
“ศิษย์พี่ของข้าคนหนึ่งก็เป็นบุปผาอมตะที่ท่านอาจารย์ปลูกกับมือ…หลังจากจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ท่านอาจารย์ก็คอยอบรมสั่งสอน จนวันนี้กลับกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามไปแล้ว ทว่าปกตินางไม่ค่อยอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สักเท่าไหร่…”
ลี่เฟยกล่าว
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ
จากนั้นหลังเหินตามลี่เฟยต่อไปได้สักพัก เขาก็ตระหนักว่าโฉมสะคราญที่ติดตามพวกเขามาตลอดทาง ไม่ได้เหินตามมาอีกต่อไป
ทว่าด้านผู้เฒ่าหั่วก็ยังคงเหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนมาติดๆ เพราะมีหน้าที่คอยปกป้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียน
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วมีสัมพันธ์อันดีกับต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ในอดีต ตอนนี้ด้วยความเมตตาของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็มากพอให้ผู้เฒ่าหั่วถวายตัวรับใช้ศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของผู้มีพระคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้แล้ว
ผู้เฒ่าหั่วรู้ดี..
ด้วยความแข็งแกร่งของงจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน การช่วยมันไม่ถือว่าลงแรงอะไรมากมายเลย แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ…เกรงว่ามันก็คงไม่อาจกลับมามีชีวิตและได้รับอิสระอย่างวันนี้อีกครั้ง
และภายใต้การนำของลี่เฟย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอจักรพรรดิอมตะหนามม่วงบริเวณแปลงบุปผาอมตะ ในลานด้านหลังของบ้านลานเรียบง่ายหลังหนึ่งที่ปลูกสร้างไว้ในส่วนลึกของหุบเขา
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงยังมีรูปลักษณ์เสมือนดรุณีวัย 20 ต้นๆ รูปร่างค่อนข้างสูงเพรียว หากแต่แลดูสง่างามไม่เก้งก้าง มองไปพบว่านางก็กำลังก้มตัวง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง หากเขาจำไม่ผิดดูเหมือนนางจะกำลังทาบกิ่งหรือติดตาอะไรทำนองนั้น
“ท่านอาจารย์”
จนเมื่อลี่เฟยพาต้วนหลิงเทียนเดินตัดลานเข้ามาห่างแปลงบุปผาไม่ไกลและคำนับทักทายนาง จักรพรรดิอมมตะหนามม่วงจึงลุกขึ้นยืนและหันกลับมามองลี่เฟย
และพอนางเหลือบมามองต้วนหลิงเทียน ดวงตาที่เฉยเมยก็ฉายประกายเรืองขึ้นอย่างหาได้ยาก “เฟยเอ๋อ…นี่คือสามีเจ้าหรือ?”
ตั้งแต่ตอนที่ลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียนได้พบกันอีกครั้ง จักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็ได้รับทราบเรื่องราวจากโฉมสะคราญที่ติดตามลี่เฟยไปเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ค่ะ อาจารย์”
ลี่เฟยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคารพ “เขาคือสามีข้า เรียกว่าต้วนหลิงเทียน”
แทบจะพร้อมกันกับบที่ลี่เฟยกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานโค้งคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วงปานผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
“อีกทั้งข้าต้วนหลิงเทียน ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิอมตะหนามม่วงมาก ที่คอยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อตลอดหลายปีที่ผ่าน…วันหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนด้วยกำลังทั้งหมดที่ข้ามี!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“อืม”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงรับคำเสียงแผ่ว “ในเมื่อเจ้าเป็นสามีของเฟยเอ๋อ เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็พักอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้เถอะ เฟยเอ๋อได้พบเจ้าแล้วแบบนี้ หากต้องแยกจากเจ้าอีกครั้ง ข้าเกรงว่านางจะไม่มีกะจิตกะใจฝึกปรือ…”
“แต่…ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกปรือของเฟยเอ๋อ เพราะหากไม่มีอันใดผิดพลาดความสำเร็จของเฟยเอ๋อ วันหน้าย่อมไม่มีทางด้อยไปกว่าข้าแน่”
ฟังจากคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง เห็นได้ชัดว่านางตีค่าลี่เฟยไว้สูงมาก
และคำพูดของนางก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงไม่อนุญาตให้สงสัยคลางแคลง ราวกับว่าต้วนหลิงเทียนจำต้องปฏิบัติตามคำพูดของนางอย่างเคร่งครัดไม่อาจขัดขืน
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง หากแต่ครู่ต่อมาก็คลี่ยิ้มยินดี เพราะสิ่งนี้เผยให้รู้ว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเอาใจใส่ลี่เฟยมากจริงๆ
อย่างไรก็ตามความหวังดีของนางที่มีต่อลี่เฟย ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าทำได้แค่รับไว้ด้วยใจเท่านั้น
“จักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
ต้วนหลิงเทียนมองสบตาจักรพรรดิอมตะหนามม่วง จากนั้นก็กล่าววออกด้วยน้ำเสียงท่าทางไม่นอบน้อมแต่ไม่ถือดี “ที่ข้ามาพบท่านวันนี้ ประการแรกข้าอยากจะขอบคุณที่ท่านเมตตาดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่าน…ประการที่ 2 ข้าคิดพาเสี่ยวเฟยเอ๋อมาร่ำลาท่าน เพราะในเมื่อข้าพบเจอนางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจากนางอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจึงคิดพานางกลับไปฝึกฝนบ่มเพาะกับข้า”
“หืม? เจ้าคิดจะพาเฟยเอ๋อจากไปงั้นรึ?”
แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คล้ายจะถูกฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งทันที
ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังยะเยือกขุมหนึ่งก็กำจายออกมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ไม่เพียงแค่ลานบ้านเท่านั้นแต่เป็นทั่วทั้งหุบเขา! ก่อเกิดน้ำค้างแข็งจับตัวไปทุกแห่งหน!!
เพียงเวลาชั่วพริบตา อุณหภูมิโดยรอบก็ลดต่ำลงหลายองศา!
ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!

ด้วยไอพลังเยียบเย็นที่แผ่ปกคลุมไปในบรรยากาศ ไม่ต้องให้ใครบอกต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเชี่ยวชาญกฏน้ำแข็ง
หนึ่งโทสะ แช่แข็งไปพันลี้!
“ท่านอาจารย์!!”
สีหน้าลี่เฟยเปลี่ยนไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดว่าอาจารย์จะมีโทสะขนาดนี้ ขณะเดียวกันนางก็ทำอะไรไม่ถูก เรื่องนี้ตัวเลวร้ายดันไม่ปรึกษากับนางก่อนเลย อยู่ๆก็เอามาพูดกับอาจารย์โดยตรง!
ลี่เฟยรู้ดี ว่าอาจารย์ตั้งความหวังไว้กับตัวนางมากขนาดไหน
ตอนนี้ไม่พ้นอาจารย์ต้องกำลังคิดว่า หากนางติดตามสามีไป อนาคตอันใดของนางล้วนจบสิ้น ความหวังทั้งมวลเป็นอันต้องพังทลายแน่แท้!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3413

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3413 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3,413 : จักรพรรดิอมตะหนามม่วง
ในสายตาของต้วนหลิงเทียนการตายของไป๋ลี่หงและสหายคนอื่นๆ คิดไปคิดมาแล้วสุดท้ายก็หนีไม่พ้นอวิ๋นชิงเหยียน ที่จับตัวทุกคนไปยังดินแดนการล่มสลายของทวยเทพ
หาไม่แล้วป่านนี้ไป๋ลี่หงและคนอื่นๆก็คงอยู่เสพย์สุขใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่ระนาบเซียน
เพราะตราบใดที่ทุกคนอยู่ในระนาบเซียน ก็จะปลอดภัยไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น
‘เหลือเวลาไม่ถึง 700 ปีแล้ว…หลังจากช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออกเมื่อไหร่ ข้าต้องเร่งเข้าสู่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพทันที ยังต้องเร่งบ่มเพาะในขอบเขตเทพเพื่อให้มีกำลังมากพอช่วยเค่อเอ๋อ และทวงความเป็นธรรมให้ทุกคนที่ตกตาย!’
สำหรับพวกไป๋ลี่หงและคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดกับทุกคนเหลือเกิน และตอนนี้ความรู้สึกผิดดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นแสนสาหัส!
ด้วยอารมณ์อันหนักอึ้งในใจ ตลอดการเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
และลี่เฟยก็เข้าใจความรู้สึกของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่กุมมือต้วนลิงเทียนเอาไว้เงียบๆไม่พูดอะไร
‘บางที…คงมีแต่ชายหนุ่มที่มีลักษณะเหนือคนธรรมดาเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับคุณหนูเฟยเอ๋อ’
โฉมสะคราญนั้นก็เหินร่างติดตามลี่เฟยมาและอยู่ไม่ห่างผู้เฒ่าหั่วมากเท่าไหร่ นางเอาแต่จับจ้องมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย ลอบกล่าวในใจอย่างชื่นชม
ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า
แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ ความรู้สึกที่ส่งออกมา รวมถึงลักษณะท่วงท่านั่น ไม่คล้ายชายหนุ่มในวัยเดียวกันที่นางพบมาก่อน อีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนานแม้แต่น้อย ผิดกับพวกคุณชายที่ชาติตระกูลสูงส่งทั้งหลายมาก
เพราะเท่าที่นางทราบมา
คุณหนูเฟยเอ๋อของนาง ยังพึ่งมีอายุได้ 300 ปีเศษๆเท่านั้น สามีที่คบหากันตั้งแต่ระนาบโลกียะเองก็สมควรมีวัยไล่เลี่ยกัน และอยู่ในช่วง 300 ปีเศษ
อายุได้ 300 ปีเศษ แต่กลับให้ความรู้สึกประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
ไม่นานนัก ภายใต้การนำทางของลี่เฟย ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างทะลุแพเมฆหนาที่ลอยล่องอยู่เหนือมหาสมุทรสุดไพศาล จนเกาะลอยฟ้ามหึมาปานทวีปย่อมๆได้ประจักษ์สู่สายตา
“ตัวเลวร้าย เบื้องหน้าเจ้าก็เป็นที่ตั้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแล้ว”
ลี่เฟยเอ่ยแนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
เดิมทีระหว่างเดินทางลี่เฟยก็มีเรื่องราววมากมายคิดถามไถ่ต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามนางย่อมมองเห็นชัดเจนว่าชายคู่ชีวิตมีอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงไม่เอ่ยกวนใจอะไรอีกฝ่ายตลอดการเดินทาง
“อือ”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้ากวาดตามองเกาะลอยฟ้ามหึมาเบื้องหน้า จากนั้นก็ก้มลงมองแพเมฆขาวเบื้องล่าง ฉากดังกล่าวละม้ายคล้ายพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นที่เขาเคยเห็นมาบ้าง
อย่างน้อยๆก็มีพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนที่หนึ่ง
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียน เรียกว่าตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดมหึมาดุจเดียวกัน และส่วนที่ต่างจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้ ก็คือเกาะที่นั่นลอยอยู่เหนือที่ราบทุ่งหญ้าสุดไพศาล ทว่าเกาะที่นี่มันลอยเหนือมหาสมุทร
“ตัวเลวร้าย ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ของข้าก่อน”
ถึงแม้จะมีเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ลี่เฟยก็ประหม่าไม่น้อย เสมือนเด็กสาวชาวโลกพาแฟนหนุ่มเข้าบ้าน หมายเปิดตัวให้พ่อแม่และครอบครัวรู้จักเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิอมตะหนามม่วงดีกับนางเหลือเกิน แทบไม่ต่างอะไรจากมารดาแท้ๆเลย
อีกทั้งระยะเวลาที่ลี่เฟยใช้อยู่ร่วมกับจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็เนิ่นนานกว่าผู้อาวุโสคนไหนในอดีต…ยังยาวนานเสียยิ่งกว่าเวลาที่ใช้อยู่ร่วมกับต้วนหลิงเทียนหลายเท่า
ที่สำคัญก็คือลี่เฟยในตอนเด็กนั้นเติบโตมากับท่านปู่ และด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ทำให้นางไม่แม้แต่จะมีโอกาสเห็นหน้าพ่อแม่ด้วยซ้ำ เช่นนั้นพอได้รับการดูแลอย่างดีจากจักรพรรดิอมตะหนามม่วง นางก็ยึดถือจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเป็นดั่งมารดาแท้ๆ
ด้วยเหตุนี้นางก็เลยบังเกิดความประหม่า ยามพาสามีมาเปิดตัวกับผู้ที่เป็นดั่งมารดา
“เบื้องหน้าก็เป็นที่พักของท่านอาจารย์แล้วล่ะ…”
ตลอดทางที่ลี่เฟยพาต้วนหลิงงเทียนเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียน จะหน้าประตูก็ดี หรือผ่านอาคารส่วนกลางใดๆก็ดี ล้วนราบรื่นไร้ผู้ใดขวางขัดหยุดตรวจ เพราะผู้คนในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนรู้จักลี่เฟยกันดี และไม่ว่าจะระดับสูงหรือต่ำยามพบเจอก็ทักทายลี่เฟยด้วยความสุภาพเคารพว่า ‘คุณหนูลี่เฟย’ ทั้งนั้น….
เพราะศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสววรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน มีอยู่ด้วยกันแค่ 3 คนเท่านั้น และอาจารย์ของลี่เฟย จักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คือศิษย์คนเล็ก และยังเป็นศิษย์ปิดสำนักอีกด้วย แต่นี้ต่อไปจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนไม่คิดรับศิษย์อีกแล้ว
สถานที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาอันเต็มไปด้วยความร่มรื่น ลานตาไปด้วยสีสันแห่งธรรมชาติอันเขียวขจี แว่วเสียงสกุณาขับขานเจื้อยแจ้ว จรรโลงใจให้พบความสงบ ยังมีเหล่าวิหกอมตะเชื่องๆฝูงหนึ่งโผบินมาฉวัดเฉวียนรายล้อม เป็นการต้อนรับลี่เฟยอย่างซุกซน
“คุณหนูเฟยเอ๋อ”
“คุณหนูเฟยเอ๋อ”

เรียกว่าวิหกฝูงนี้เฉลียวฉลาดและน่ารักยิ่ง พวกมันมาชอบแวะมาหาลี่เฟยเสมอ พอมาถึงก็กล่าวทักเสียงเจื้อแจ้วทันที
ลี่เฟยพอเห็นก็โบกมือเบาๆด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูเฟยเอ๋อ นี่คือบุรุษที่ท่านกล่าวถึงอยู่เสมอรึเปล่าเจ้าคะ”
วิหกตัวสีแดงสดที่เป็นจ่าฝูงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ สองตากลมใสชมมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ “ก่อนหน้าคุณหนูบอกว่าท่านมีสามีแล้ว พวกเราไม่เชื่อกันเลย…ดูเหมือนว่าคุณหนูไม่ได้หลอกพวกเราจริงๆด้วย”
“เอ๋า แล้วข้าจะไปหลอกพวกเจ้าทำไมเล่า”
ลี่เฟยส่ายหัวไปมาพลางหัวเราะ จากนั้นก็แนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก “ตัวเลวร้าย เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์น้องจอมซนของข้าก็ว่าได้…พวกนางถือได้ว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน”
“ฮิฮิ!”
จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น วิหกน้อยแต่ละตัวเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มเด็กสาว บ้างโตวัยประถมบ้างยังเป็นเด็กน้อย โร่มามองสำรวจต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ว้าว นี่คือสามีของคุณหนูลี่เฟยเหรอ หล่อเหลายิ่ง ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนของพวกเราไม่เห็นจะมีใครหล่อเท่านี้เลย”
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เข้าใจความรู้สึกของเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ยามพบเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว…
ต่อหน้ากลุ่มสาวน้อยไม่เดียงสา ต้วนหลิงเทียนแม้จะไม่คุ้นชินกับสายตาของพวกนางเท่าไหร่ แต่ก็ยังยิ้มทักทายออกไปอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณทุกคนมาก ที่คอยช่วยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อมาหลายปี…”
“เอาล่ะ พวกเจ้าพอได้แล้ว ไปเล่นที่อื่นเสีย”
ตอนนี้เองโฉมสะคราญที่ติดตามมาด้านหลังลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวขึ้น “คุณหนู…ยังต้องพาสามีไปพบใต้เท้าจักรพรรดิอมตะอีก”
พอโฉมสะคราญเอ่ยจบคำ เหล่าเด็กสาวน้อยใหญ่ก็ร้องโอ้ว จากนั้นก็หวนคืนสู่ร่างวิหกพากันโผบินหายไปทันที ทิ้งไว้แต่เสียงเจื้อยแจ้วแว่วดังว่า หล่อมาก น่าดูยิ่ง…ฯลฯ
ต่อมาลี่เฟยก็พาต้วนหลิงเทียนเข้าไปในหุบเขา
แรกเข้าหุบเขา กลิ่นหอมจรุงก็โชยเตะจมูกต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น ให้ความรู้สึกคล้ายบุปผาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เชิง ยังมีกลิ่นเข้มขนราวกับสุราหมักชั้นดี เพียงแค่สูดดมก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจิตสงบอย่างบอกไม่ถูก
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงลี่เฟยพลันดังขึ้น “นี่เป็นกลิ่นของสุราหมื่นบุปผาอมตะ เป็นสุราอมตะที่ท่านอาจารย์หมักเอง…”
“บุปผาอมตะที่นำมาใช้หมักสุรานั้นปกติแล้วก็มีพลังวิญญาณ…ท่านอาจารย์เองก็ปลูกบุปผาอมตะเหล่านี้เอาไว้เป็นพิเศษ…และหากบุปผาอมตะต้นไหนเผยให้เห็นศักยภาพการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินไม่ธรรมดา ท่านอาจารย์ก็จะนำไปดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้สักวันจะก่อเกิดสำนึกสติและสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้”
“ศิษย์พี่ของข้าคนหนึ่งก็เป็นบุปผาอมตะที่ท่านอาจารย์ปลูกกับมือ…หลังจากจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ท่านอาจารย์ก็คอยอบรมสั่งสอน จนวันนี้กลับกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามไปแล้ว ทว่าปกตินางไม่ค่อยอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สักเท่าไหร่…”
ลี่เฟยกล่าว
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ
จากนั้นหลังเหินตามลี่เฟยต่อไปได้สักพัก เขาก็ตระหนักว่าโฉมสะคราญที่ติดตามพวกเขามาตลอดทาง ไม่ได้เหินตามมาอีกต่อไป
ทว่าด้านผู้เฒ่าหั่วก็ยังคงเหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนมาติดๆ เพราะมีหน้าที่คอยปกป้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียน
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วมีสัมพันธ์อันดีกับต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ในอดีต ตอนนี้ด้วยความเมตตาของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็มากพอให้ผู้เฒ่าหั่วถวายตัวรับใช้ศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของผู้มีพระคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้แล้ว
ผู้เฒ่าหั่วรู้ดี..
ด้วยความแข็งแกร่งของงจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน การช่วยมันไม่ถือว่าลงแรงอะไรมากมายเลย แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ…เกรงว่ามันก็คงไม่อาจกลับมามีชีวิตและได้รับอิสระอย่างวันนี้อีกครั้ง
และภายใต้การนำของลี่เฟย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอจักรพรรดิอมตะหนามม่วงบริเวณแปลงบุปผาอมตะ ในลานด้านหลังของบ้านลานเรียบง่ายหลังหนึ่งที่ปลูกสร้างไว้ในส่วนลึกของหุบเขา
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงยังมีรูปลักษณ์เสมือนดรุณีวัย 20 ต้นๆ รูปร่างค่อนข้างสูงเพรียว หากแต่แลดูสง่างามไม่เก้งก้าง มองไปพบว่านางก็กำลังก้มตัวง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง หากเขาจำไม่ผิดดูเหมือนนางจะกำลังทาบกิ่งหรือติดตาอะไรทำนองนั้น
“ท่านอาจารย์”
จนเมื่อลี่เฟยพาต้วนหลิงเทียนเดินตัดลานเข้ามาห่างแปลงบุปผาไม่ไกลและคำนับทักทายนาง จักรพรรดิอมมตะหนามม่วงจึงลุกขึ้นยืนและหันกลับมามองลี่เฟย
และพอนางเหลือบมามองต้วนหลิงเทียน ดวงตาที่เฉยเมยก็ฉายประกายเรืองขึ้นอย่างหาได้ยาก “เฟยเอ๋อ…นี่คือสามีเจ้าหรือ?”
ตั้งแต่ตอนที่ลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียนได้พบกันอีกครั้ง จักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็ได้รับทราบเรื่องราวจากโฉมสะคราญที่ติดตามลี่เฟยไปเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ค่ะ อาจารย์”
ลี่เฟยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคารพ “เขาคือสามีข้า เรียกว่าต้วนหลิงเทียน”
แทบจะพร้อมกันกับบที่ลี่เฟยกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานโค้งคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วงปานผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
“อีกทั้งข้าต้วนหลิงเทียน ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิอมตะหนามม่วงมาก ที่คอยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อตลอดหลายปีที่ผ่าน…วันหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนด้วยกำลังทั้งหมดที่ข้ามี!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“อืม”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงรับคำเสียงแผ่ว “ในเมื่อเจ้าเป็นสามีของเฟยเอ๋อ เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็พักอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้เถอะ เฟยเอ๋อได้พบเจ้าแล้วแบบนี้ หากต้องแยกจากเจ้าอีกครั้ง ข้าเกรงว่านางจะไม่มีกะจิตกะใจฝึกปรือ…”
“แต่…ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกปรือของเฟยเอ๋อ เพราะหากไม่มีอันใดผิดพลาดความสำเร็จของเฟยเอ๋อ วันหน้าย่อมไม่มีทางด้อยไปกว่าข้าแน่”
ฟังจากคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง เห็นได้ชัดว่านางตีค่าลี่เฟยไว้สูงมาก
และคำพูดของนางก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงไม่อนุญาตให้สงสัยคลางแคลง ราวกับว่าต้วนหลิงเทียนจำต้องปฏิบัติตามคำพูดของนางอย่างเคร่งครัดไม่อาจขัดขืน
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง หากแต่ครู่ต่อมาก็คลี่ยิ้มยินดี เพราะสิ่งนี้เผยให้รู้ว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเอาใจใส่ลี่เฟยมากจริงๆ
อย่างไรก็ตามความหวังดีของนางที่มีต่อลี่เฟย ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าทำได้แค่รับไว้ด้วยใจเท่านั้น
“จักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
ต้วนหลิงเทียนมองสบตาจักรพรรดิอมตะหนามม่วง จากนั้นก็กล่าววออกด้วยน้ำเสียงท่าทางไม่นอบน้อมแต่ไม่ถือดี “ที่ข้ามาพบท่านวันนี้ ประการแรกข้าอยากจะขอบคุณที่ท่านเมตตาดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่าน…ประการที่ 2 ข้าคิดพาเสี่ยวเฟยเอ๋อมาร่ำลาท่าน เพราะในเมื่อข้าพบเจอนางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจากนางอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจึงคิดพานางกลับไปฝึกฝนบ่มเพาะกับข้า”
“หืม? เจ้าคิดจะพาเฟยเอ๋อจากไปงั้นรึ?”
แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คล้ายจะถูกฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งทันที
ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังยะเยือกขุมหนึ่งก็กำจายออกมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ไม่เพียงแค่ลานบ้านเท่านั้นแต่เป็นทั่วทั้งหุบเขา! ก่อเกิดน้ำค้างแข็งจับตัวไปทุกแห่งหน!!
เพียงเวลาชั่วพริบตา อุณหภูมิโดยรอบก็ลดต่ำลงหลายองศา!
ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!

ด้วยไอพลังเยียบเย็นที่แผ่ปกคลุมไปในบรรยากาศ ไม่ต้องให้ใครบอกต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเชี่ยวชาญกฏน้ำแข็ง
หนึ่งโทสะ แช่แข็งไปพันลี้!
“ท่านอาจารย์!!”
สีหน้าลี่เฟยเปลี่ยนไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดว่าอาจารย์จะมีโทสะขนาดนี้ ขณะเดียวกันนางก็ทำอะไรไม่ถูก เรื่องนี้ตัวเลวร้ายดันไม่ปรึกษากับนางก่อนเลย อยู่ๆก็เอามาพูดกับอาจารย์โดยตรง!
ลี่เฟยรู้ดี ว่าอาจารย์ตั้งความหวังไว้กับตัวนางมากขนาดไหน
ตอนนี้ไม่พ้นอาจารย์ต้องกำลังคิดว่า หากนางติดตามสามีไป อนาคตอันใดของนางล้วนจบสิ้น ความหวังทั้งมวลเป็นอันต้องพังทลายแน่แท้!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+