War sovereign Soaring The Heavens 3565

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3565 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3565 : พันธมิตรเมฆยามสารท พันธมิตรขุนเขา

 

“หายนะเช่นนั้นหรือ?”

  

ได้ยินคำถามของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป…”

  

“หืม?”

  

คำพูดของหลัวอี้หมิงยิ่งทำให้หลัวเฟิงงุนงงสับสนแล้ว “ท่านพี่ ท่านกล่าวให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่? ในน้ำเต้าท่านขายยาอันใดรีบบอกมาเถอะ!”

  

ท้ายประโยคขณะกล่าว น้ำเสียงของหัววเฟิงยังเผยความร้อนใจไม่น้อย

  

“ฮ่าๆๆๆ…!”

  

เห็นท่าทางของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็หัวเราะชอบใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มลี้ลับว่า “น้องเฟิง รอให้สองกองกำลังนั่นมันรวมหัวกันบุกมาจริงๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าที่ข้าพูดมันหมายความว่าอะไร”

  

เรียกว่าน้ำเสียงของหลัวอี้หมิงนอกจากจงใจพูดให้ลึกลับแล้ว ก็มีแต่ความสงบเรียบเฉย

  

ราวกับในสายตาของมัน การรวมหัวกันบุกมาของอีก 2 กองกำลัง ไม่อาจนับเป็นอะไรได้

  

และความมั่นใจของมัน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่มา

  

เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้คุมกฏอาวุโสที่พึ่งเข้าร่วมพันธมิตรอุดรลี้ลับนั้น มีธุระบางอย่างจึงมาหามัน จากนั้นหลังจัดการเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว มันก็เลยเอ่ยปากขอประลองชี้แนะ ต่อมาพอได้ประมือกัน มันก็ประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างอะไรจากหลัวเฟิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเลย จึงรู้ตัวดีว่าต่อหน้าอีกฝ่ายนั้น หากคิดสู้ก็มีแต่แพ้พ่ายอนาถ!

  

แพ้ยับ! รับมือได้ไม่กี่อึดใจ!!

  

พลังฝีมือของอีกฝ่ายทำให้มันเข้าใจแจ่มแจ้ง!

  

ผู้อื่นเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ!

  

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงขั้นหาตัวจับยาก!

  

ส่วนตัวมันรวมถึงหลัวเฟิง 2 เทพสงคราม 8 ดาราของพันธมิตรอุดรลี้ลับ ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่เทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือสักคน…และอีก 2 กองกำลังในเขต 2 ภาคเหนือ ก็ไม่มีตัวตนระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 8 ดาราเช่นกัน

  

ในบรรดา 2 กองกำลังที่เหลือนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละกองกำลัง คนหนึ่งก็เป็นแค่เทพสงคราม 8 ดาราทั่วไป ที่มีพลังฝีมือไล่เลี่ยกับมัน ส่วนอีกคนแม้จะแข็งแกร่งกว่ามันแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น คิดจะเอาชนะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ

  

  

ในเขต 2 ของภาคเหนือ มีกองกำลังพันธมิตรที่คานอำนาจกันอยู่ 3 กองกำลัง

  

ได้แก่

  

พันธมิตรอุดรลี้ลับ พันธมิตรเมฆยามสารท และพันธมิตรขุนเขา

  

การปรากฏตัวขึ้นของผู้คุมกฏอาวุโสในพันธมิตรอุดรลี้ลับ แถมพลังฝีมือยังร้ายกาจกว่ารองผู้นำอย่างหลัวเฟิง กระทั่งไม่น่าจะด้อยไปกว่าหลัวอี้หมิง…ข่าวเรื่องราวดังกล่าวแน่นอนว่าพันธมิตรเมฆยามสารทกับพันธมิตรขุนเขาเองก็รับทราบ

  

หลังงได้รับทราบข่าวนี้ แม้ผิวเผินชนชั้นผู้นำจะยังคงสงบ แต่ลึกลงไปในใจกลับปั่นป่วนดั่งสายธารเชี่ยว

  

สุดท้ายแล้วหลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง พวกมันก็ยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องราวได้แน่ชัด ในที่สุดชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท ก็ได้มาขอพบผู้นำพันธมิตรขุนเขาถึงถิ่น เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือ

  

ภายในกระโจมหลักกลางค่ายที่พักของพันธมิตรขุนเขา บัดนี้ไร้ผู้ใดนั่งบนเก้าอี้ตรงกลาง เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เรียงตัวเป็นแถวซ้ายขวา หันหน้าเข้าหากัน

  

“ผู้นำหยวน…”

  

ผู้ที่กำลังเอ่ยปากขึ้นมา เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำปานนักเพาะกาย สวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีเทาหลวมๆ คิ้วมันคมเข้ม หว่างคิ้วให้ความรู้สึกดุร้ายปานพยัคฆ์ ด้วยดวงตากลมโตปานฆ้อง จึงเสมือนมันถลึงตามองผู้คนตลอดเวลา ช่างให้ความรู้สึกกดดันแก่ผู้อื่นนัก

  

“ข้าคิดว่าท่านควรละวางเรื่องราวบาดหมางระหว่างพวกเราลงก่อน ละทิ้งความคิดไม่ซื่อใดๆที่มีต่อข้ากับท่านผู้นำรวมถึงพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเรา และหันมาร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเราเป็นการชั่วคราว…หรือท่านอยากรอจนพันธมิตรอุดรลี้ลับบุกมาฮุบกลืนทำลายพันธมิตรขุนเขาของท่าน แล้วค่อยมาสำนึกเสียใจภายหลัง?”

  

ชายวัยกลางคนร่างใหญ่แลดูดุดันปานคนเถื่อนที่กำลังพูดอยู่ก็คือ รองผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท เถี่ยหมิง!

  

เถี่ยหมิงคนนี้ก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราคนหนึ่ง พลังฝีมือของมันก็พอๆกับหลัวเฟิง รองผู้นำของพันธมิตรอุดรลี้ลับ และล่าสุดที่ประมือกันก็ราวๆ 2 ปีก่อนเท่านั้น

  

และในปัจจุบัน เถี่ยหมิงก็กำลังพูดกับชายชราคนหนึ่ง

  

ชายชราที่ว่ามาในชุดคลุมยาวสีเขียวขี้ม้า เส้นผมเป็นสีดอกเลา หางคิ้วขาวของมันยังตั้งขึ้นปานอินทรีย์ แม้อยู่ในอารมณ์สงบเฉยเมยไร้โทสะ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเกรงขามพิกล ใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งริ้วรอยของผู้ชราแต่อย่างใด กลับอ่อนวัยราวชายหนุ่มที่ย่างเข้าสู่ชายวัยกลางคน ท่วงท่าไม่แยแสโลกหล้าวางตัวราวเทพเซียน

  

มันก็คือผู้นำของพันธมิตรขุนเขา หยวนฝู

  

เนื่องเพราะครั้งนี้ผู้ที่มาเป็นถึงชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท แม้หยวนฝูจะเป็นผู้นำพันธมิตรขุนเขา มันก็ไม่นั่งบนเก้าอี้ตรงกลางที่มีตำแหน่งสูงสุด เพียงนั่งลงเสมอกับเถี่ยหมิงเพื่อสนทนากันอย่างเท่าเทียม

  

“รองผู้นำเถี่ย ท่านยืนยันได้แน่ชัดแล้วหรือ…ว่าพันธมิตรอุดรลี้ลับนั่นคิดจะบุกมาจู่โจมพวกเราจริงๆ?”

  

ข้างกายหยวนฝูมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปร่างของมันไม่สูงไม่เตี้ยไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาแลดูดาษๆไร้จุดเด่น เรียกว่าหากโยนไปปะปนกับฝูงชนเพียงคลาดสายตาเล็กน้อยก็คงยากจะมองหาได้พบ มันมองถามรองผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารทเถี่ยหมิงจบ ก็คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

  

มันคือรองผู้นำพันธมิตรขุนเขา ฉีคุน

  

“รองผู้นำฉี”

  

พอเถี่ยหมิงหันไปมองฉีคุน สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวว่า “หรือพวกท่านพันธมิตรขุนเขาคิดจะเดิมพันด้วยทุกสิ่ง? หากใช่ เช่นนั้นข้ากับท่านผู้นำก็คงต้องตัวลาไปก่อน ไม่คิดอยู่รบกวนพวกท่านพันธมิตรขุนเขาแล้ว…”

  

“ข้าขอพูดตรงๆ ที่ข้ากับท่านผู้นำถ่อมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านถึงที่ ก็เพื่อมาหารือเรื่องร่วมมือกันโดยเฉพาะ!”

  

“และข้าไม่เชื่อ ว่าพวกท่านจะไม่เคยคิดเรื่องร่วมมือกับพวกเรา!”

  

“การที่พวกเราเป็นฝ่ายมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านและออกปากขอความร่วมมือกับพวกท่านก่อน ก็ถือว่าพวกเราหาทางลงให้กับพวกท่านแล้ว…แต่หากพวกท่านไม่คิดยอมลง พวกเราก็ไม่คิดบังคับ! เต็มที่ก็แยกย้ายกันไปตัวใครตัวมัน!!”

  

พอกล่าวจบคำ มือที่ใหญ่ปานใบลานของเถี่ยหมิงก็ตบโต๊ะดัง ‘ปั้ง’ จากนั้นร่างใหญ่โตราวหมีควายของมันก็ลุกขึ้นยืนดังพรวด ทำท่าราวกับจะจากไปจริงๆ!

  

“ช้าก่อนรองผู้นำเถี่ย ขอท่านอย่าได้ใจร้อน”

  

ฉีคุนก็เร่งลุกขึ้นยืนและกล่าวรั้งเถี่ยหมิงเอาไว้ เพราะเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เถี่ยหมิงพูดจริงๆ พันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็อยากร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทเช่นกัน เพียงแค่มันถือดีว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย จึงไม่อาจบากหน้าลดตัวไปขอความร่วมมือก่อน จะอย่างไรเสียก็เคยเป็นศัตรูกันมา มีเรื่องเขม่นบาดหมางกันก็ไม่น้อย

  

แต่ถ้าวันนี้เกิดพันธมิตรเมฆยามสารทจากไปดื้อๆจริงๆ เกรงว่าวันหน้าพันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงแล้ว!

  

เหตุผลที่พวกมันทำเป็นยึกยักไม่รีบตกลงร่วมมือ ก็แค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง…

  

พอเห็นว่าเถี่ยหมิงแข็งมา พวกมันก็ไม่กล้าแข็งกลับจำต้องโอนอ่อนแทน…

  

“ผู้นำหยวน คำตอบของท่านเล่า?”

  

ผู้ที่นั่งถัดจากเถี่ยหมิง ชายวัยกลางคนที่นั่งหลับตานิ่งเงียบมาโดยตลอด ในที่สุดมันก็ลืมตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของมันขึ้นมา และหันไปมองถามหยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาเสียงเรียบ

  

ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียน รูปร่างหน้าตาไม่คล้ายมีพิษมีภัยต่อคนและสัตว์ และมันก็คือผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารท ซีเหมินเจียงเฉิน

  

“มัวมาเสียเวลาวางท่าไร้แก่นสารเช่นนี้ ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ?”

  

ซีเหมินเจียงเฉินเอ่ยถามค่อนแคะออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

  

“ผู้นำซีเหมินล้อเล่นแล้ว…”

  

หยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใบหน้าไร้ซึ่งความยินดียินร้ายๆใดมาโดยตลอด พลันปรากฏรอยยิ้มบางๆคลี่กางขึ้น กล่าวว่า “สำหรับเรื่องความร่วมมือที่รองผู้นำเถี่ยกล่าว พันธมิตรขุนเขาของพวกเรามิมีใดขัดข้อง”

  

พอหยวนฝูกล่าวจบคำ เถี่ยหมิงก็นั่งลง “พูดออกมาแต่แรกก็จบ จักลีลาวางท่าอันใดให้มาก ว่างจัดหรือ?”

  

หยวนฝูไม่สนใจวาจาเสียดสีของเถี่ยหมิง เพียงมองซีเหมินเจียงเฉินพลางกล่าวสืบต่อว่า “ผู้นำซีเหมินในเมื่อท่านเป็นฝ่ายมาขอความร่วมมือกับพวกเราถึงที่นี่…เช่นนั้นท่านเองก็สมควรมีแผนอันใดในใจแล้วกระมัง ไม่ทราบท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไปเล่า?”

  

ได้ยินคำถามของหยวนฝู สองตาซีเหมินเจียงเฉินก็ฉายประกายเยียบเย็นวูบวาบ “กองกำลังพันธมิตรของพวกเรา จักชิงบุกจู่โจมกองกำลังพันธมิตรอุดรลี้ลับก่อนโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้ตั้งตัว!”

  

“ยิ่งลงมือเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี!”

  

  

ณ ภาคกลางของสมรภูมิ 9 ยมโลก สถานที่ตั้งค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน

  

“ข้ามาหาจี้หยิ่ง”

  

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหินร่างผู้คนนับโหลมาแต่ไกล พอลุถึงน่านฟ้าเหนือประตูหน้าค่ายที่พักของพันธมิตรฟ่านเทียน ก็มองกล่าวกับหน่วยลาดตระเวนของพันธมิตรฟ่านเทียนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

  

“จี้หยิ่ง?”

  

คนของพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนที่เร่งรุดออกมาระวังป้องกันผู้มาเยือนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะมีบางคนโพล่งขึ้นมาว่า “จี้หยิ่ง ชื่อนี้เหมือนจะเป็นชื่อของ…ท่านผู้นำ!”

  

“มิทราบคุณชายท่านเป็นผู้ใด?”

  

เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายเจาะจงมาหาผู้นำของพวกมัน ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา เช่นนั้นคนของพันธมิตรฟ่านเทียนก็ไม่กล้าละเลย เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ

  

“หมี่ซวน”

  

ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มคนเอ่ยออกอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงความเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน

  

และมันก็คือหมี่ซวนที่พึ่งย้อนกลับเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นเอง

  

กล่าวให้ชัดก็คือ หมี่ซวน ที่ได้ช่วงชิงร่างของถังซานเป่า และครอบครองร่างกายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไปแล้ว

  

“ที่แท้เป็นใต้เท้าหมี่ซวน!”

  

พอได้ยินคำแนะนำตัวของหมี่ซวน สองตาพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที เร่งประสานมือโค้งคารวะหมี่ซวนด้วยท่าทีเคารพ “ท่านผู้นำได้กำชับข้าเอาไว้แล้ว ว่าหากใต้เท้าหมี่ซวนมาถึงเมื่อใด ให้ข้าพาใต้เท้าไปพบท่านผู้นำทันที…เชิญใต้เท้าหมี่ซวน”

  

ก่อนที่หมี่ซวนจะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกครั้งนี้ หวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ได้ติดต่อไปยังจี้โยวจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนเรียบร้อย ให้จี้โยวบอกจี้หยิ่งว่า จะมีคนวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมันไปเยือนถึงค่ายพันธมิตรฟ่านเทียนในสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อร่วมมือกันตามล่าตัวต้วนหลิงเทียน

  

จี้โยวเองก็ได้ส่งคนเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลก และแจ้งเรื่องราวให้จี้หยิ่งทราบแต่แรก

  

หลังจากจี้หยิ่งรับทราบเรื่องราว มันก็ได้จัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อรอรับแขกของวิหารเฟิงฮ่าวโดยเฉพาะ ยังแจ้งไว้ชัดเจนว่าอีกไม่นานจะมีคนชื่อ หมี่ซวน มาเยือน…

  

ทำให้หน่วยลาดตระเวนทราบ ว่าผู้มาก็คือแขกสำคัญของผู้นำ!

  

ต้องทราบด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการปฏิบัติดังกล่าว

  

“อืม”

  

ขณะที่หมี่ซวนเหินร่างติดตามคนของพันธมิตรฟ่านเทียนเข้าสู่ค่าย คนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวนมา ก็เหินร่างตามไปติดๆ

  

และในบรรดาคนนับโหลที่ว่า ครึ่งหนึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อย ส่วนอีกครึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก

  

งานของพวกมันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

  

ทำตามคำสั่งหมี่ซวน ช่วยพันธมิตรฟ่านเทียนตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน และจับเป็นต้วนหลิงเทียนกลับวิหารเฟิงฮ่าว!

  

“ท่านคือหมี่ซวนจากวิหารเฟิงฮ่าว? ท่านผู้นำของข้ารอท่านอยู่นานแล้ว”

  

จี้หยิ่ง ผู้นำพันธมิตรฟ่านเทียน สั่งให้คนมารอรับหมี่ซวนนอกหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเขตค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน ส่วนคนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวน ก็ถูกคนของจี้หยิ่งสกัดไว้ด้านนอก “ท่านผู้นำของพวกเรามีเรื่องจะหารือกับใต้เท้าหมี่ซวนเป็นการส่วนตัว ไม่สะดวกให้ผู้ใดอยู่ด้วย”

  

เหนือหุบเขาอันกว้างใหญ่ ร่างจี้หยิ่งก็เหินลอยอยู่ตรงนั้น คนตัวตรงปานหอก ไร้ซึ่งพลังผันผวนรอบกาย

  

ด้านหมี่ซวนก็เหินร่างมาหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจี้หยิ่ง

  

“หมี่ซวน?”

  

จี้หยิ่งเอ่ยถาม

  

“อืม”

  

แม้จะเผชิญหน้ากับจี้หยิ่ง หมี่ซวนก็ยังมีท่าทีไร้แยแส เพราะต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเทพสงคราม 9 ดารา แต่ในสายตามันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้

  

เพราะหากมันไม่ผนึกพลังวิญญาณของตัวเอง มันก็เป็นถึงราชาเทพขั้นกลาง!

  

ในสายตาของตัวตนระดับราชาเทพ กระทั่งตัวตนขอบเขตเทพยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้ นับประสาอะไรกับเซียนอมตะคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพเช่นนี้…

  

“ฟังจากที่อาจารย์ข้าบอกมา…เจ้าเป็นเทพสงคราม 9 ดารา?”

  

จี้หยิ่งถาม

  

“ทำนองนั้น”

  

หมี่ซวนเอ่ยตอบเสียงเฉย

  

“ตกลงอย่างไรกันแน่?”

  

จี้หยิ่งพอได้ฟังก็ขมวดคิ้วย่นยู่ “เรื่องเช่นนี้ใช้คำ ‘ทำนองนั้น’ ได้หรือ…หากเจ้าไม่ใช่เทพสงคราม 9 ดารา ก็ไร้คุณสมบัติจะมาร่วมมือกับข้าจี้หยิ่ง! คนวิหารเฟิงฮ่าวชอบพูดจาเหลวไหลตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

  

กล่าวจบ ใบหน้าจี้หยิ่งก็เริ่มอึมครึม

  

“ข้าไม่มีคุณสมบัติร่วมมือกับเจ้า?”

  

หมี่ซวนแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ไอ้หนู ปากเจ้าจักรับประทานอันใดก็ได้ แต่ไม่อาจกล่าวอะไรก็ได้…เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถสั่งสอนเจ้าแทนจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน ให้เจ้าสำเหนียกว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด?”

  

หมี่ซวนนั้นตลอดเวลาก็วางตัวเสมอหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน จี้โยว มาเอง เมื่อพบมันก็ต้องก้มหัวราวพบเจอเจ้าชีวิต!

  

แต่คนเบื้องหน้าเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของจี้โยว…

  

ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันนไม่มีคุณสมบัติจะร่วมมือด้วย?

  

“คิดจักสั่งสอนข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถหรือไม่!”

  

ได้ยินคำพูดวางตัวเหนือกว่าของหมี่ซวน จี้หยิ่งก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็คลี่กางขึ้น สองตาเริ่มฉายแววเยียบเย็นเอาเรื่อง

  

พอเสียงของจี้หยิ่งดังจบคำ ทันใดนั้นบรรยากาศเหนือหุบเขาก็กลายเป็นตึงเครียดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืนทันที!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3565

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3565 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3565 : พันธมิตรเมฆยามสารท พันธมิตรขุนเขา

 

“หายนะเช่นนั้นหรือ?”

  

ได้ยินคำถามของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป…”

  

“หืม?”

  

คำพูดของหลัวอี้หมิงยิ่งทำให้หลัวเฟิงงุนงงสับสนแล้ว “ท่านพี่ ท่านกล่าวให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่? ในน้ำเต้าท่านขายยาอันใดรีบบอกมาเถอะ!”

  

ท้ายประโยคขณะกล่าว น้ำเสียงของหัววเฟิงยังเผยความร้อนใจไม่น้อย

  

“ฮ่าๆๆๆ…!”

  

เห็นท่าทางของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็หัวเราะชอบใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มลี้ลับว่า “น้องเฟิง รอให้สองกองกำลังนั่นมันรวมหัวกันบุกมาจริงๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าที่ข้าพูดมันหมายความว่าอะไร”

  

เรียกว่าน้ำเสียงของหลัวอี้หมิงนอกจากจงใจพูดให้ลึกลับแล้ว ก็มีแต่ความสงบเรียบเฉย

  

ราวกับในสายตาของมัน การรวมหัวกันบุกมาของอีก 2 กองกำลัง ไม่อาจนับเป็นอะไรได้

  

และความมั่นใจของมัน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่มา

  

เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้คุมกฏอาวุโสที่พึ่งเข้าร่วมพันธมิตรอุดรลี้ลับนั้น มีธุระบางอย่างจึงมาหามัน จากนั้นหลังจัดการเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว มันก็เลยเอ่ยปากขอประลองชี้แนะ ต่อมาพอได้ประมือกัน มันก็ประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างอะไรจากหลัวเฟิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเลย จึงรู้ตัวดีว่าต่อหน้าอีกฝ่ายนั้น หากคิดสู้ก็มีแต่แพ้พ่ายอนาถ!

  

แพ้ยับ! รับมือได้ไม่กี่อึดใจ!!

  

พลังฝีมือของอีกฝ่ายทำให้มันเข้าใจแจ่มแจ้ง!

  

ผู้อื่นเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ!

  

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงขั้นหาตัวจับยาก!

  

ส่วนตัวมันรวมถึงหลัวเฟิง 2 เทพสงคราม 8 ดาราของพันธมิตรอุดรลี้ลับ ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่เทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือสักคน…และอีก 2 กองกำลังในเขต 2 ภาคเหนือ ก็ไม่มีตัวตนระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 8 ดาราเช่นกัน

  

ในบรรดา 2 กองกำลังที่เหลือนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละกองกำลัง คนหนึ่งก็เป็นแค่เทพสงคราม 8 ดาราทั่วไป ที่มีพลังฝีมือไล่เลี่ยกับมัน ส่วนอีกคนแม้จะแข็งแกร่งกว่ามันแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น คิดจะเอาชนะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ

  

  

ในเขต 2 ของภาคเหนือ มีกองกำลังพันธมิตรที่คานอำนาจกันอยู่ 3 กองกำลัง

  

ได้แก่

  

พันธมิตรอุดรลี้ลับ พันธมิตรเมฆยามสารท และพันธมิตรขุนเขา

  

การปรากฏตัวขึ้นของผู้คุมกฏอาวุโสในพันธมิตรอุดรลี้ลับ แถมพลังฝีมือยังร้ายกาจกว่ารองผู้นำอย่างหลัวเฟิง กระทั่งไม่น่าจะด้อยไปกว่าหลัวอี้หมิง…ข่าวเรื่องราวดังกล่าวแน่นอนว่าพันธมิตรเมฆยามสารทกับพันธมิตรขุนเขาเองก็รับทราบ

  

หลังงได้รับทราบข่าวนี้ แม้ผิวเผินชนชั้นผู้นำจะยังคงสงบ แต่ลึกลงไปในใจกลับปั่นป่วนดั่งสายธารเชี่ยว

  

สุดท้ายแล้วหลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง พวกมันก็ยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องราวได้แน่ชัด ในที่สุดชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท ก็ได้มาขอพบผู้นำพันธมิตรขุนเขาถึงถิ่น เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือ

  

ภายในกระโจมหลักกลางค่ายที่พักของพันธมิตรขุนเขา บัดนี้ไร้ผู้ใดนั่งบนเก้าอี้ตรงกลาง เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เรียงตัวเป็นแถวซ้ายขวา หันหน้าเข้าหากัน

  

“ผู้นำหยวน…”

  

ผู้ที่กำลังเอ่ยปากขึ้นมา เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำปานนักเพาะกาย สวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีเทาหลวมๆ คิ้วมันคมเข้ม หว่างคิ้วให้ความรู้สึกดุร้ายปานพยัคฆ์ ด้วยดวงตากลมโตปานฆ้อง จึงเสมือนมันถลึงตามองผู้คนตลอดเวลา ช่างให้ความรู้สึกกดดันแก่ผู้อื่นนัก

  

“ข้าคิดว่าท่านควรละวางเรื่องราวบาดหมางระหว่างพวกเราลงก่อน ละทิ้งความคิดไม่ซื่อใดๆที่มีต่อข้ากับท่านผู้นำรวมถึงพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเรา และหันมาร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเราเป็นการชั่วคราว…หรือท่านอยากรอจนพันธมิตรอุดรลี้ลับบุกมาฮุบกลืนทำลายพันธมิตรขุนเขาของท่าน แล้วค่อยมาสำนึกเสียใจภายหลัง?”

  

ชายวัยกลางคนร่างใหญ่แลดูดุดันปานคนเถื่อนที่กำลังพูดอยู่ก็คือ รองผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท เถี่ยหมิง!

  

เถี่ยหมิงคนนี้ก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราคนหนึ่ง พลังฝีมือของมันก็พอๆกับหลัวเฟิง รองผู้นำของพันธมิตรอุดรลี้ลับ และล่าสุดที่ประมือกันก็ราวๆ 2 ปีก่อนเท่านั้น

  

และในปัจจุบัน เถี่ยหมิงก็กำลังพูดกับชายชราคนหนึ่ง

  

ชายชราที่ว่ามาในชุดคลุมยาวสีเขียวขี้ม้า เส้นผมเป็นสีดอกเลา หางคิ้วขาวของมันยังตั้งขึ้นปานอินทรีย์ แม้อยู่ในอารมณ์สงบเฉยเมยไร้โทสะ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเกรงขามพิกล ใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งริ้วรอยของผู้ชราแต่อย่างใด กลับอ่อนวัยราวชายหนุ่มที่ย่างเข้าสู่ชายวัยกลางคน ท่วงท่าไม่แยแสโลกหล้าวางตัวราวเทพเซียน

  

มันก็คือผู้นำของพันธมิตรขุนเขา หยวนฝู

  

เนื่องเพราะครั้งนี้ผู้ที่มาเป็นถึงชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท แม้หยวนฝูจะเป็นผู้นำพันธมิตรขุนเขา มันก็ไม่นั่งบนเก้าอี้ตรงกลางที่มีตำแหน่งสูงสุด เพียงนั่งลงเสมอกับเถี่ยหมิงเพื่อสนทนากันอย่างเท่าเทียม

  

“รองผู้นำเถี่ย ท่านยืนยันได้แน่ชัดแล้วหรือ…ว่าพันธมิตรอุดรลี้ลับนั่นคิดจะบุกมาจู่โจมพวกเราจริงๆ?”

  

ข้างกายหยวนฝูมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปร่างของมันไม่สูงไม่เตี้ยไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาแลดูดาษๆไร้จุดเด่น เรียกว่าหากโยนไปปะปนกับฝูงชนเพียงคลาดสายตาเล็กน้อยก็คงยากจะมองหาได้พบ มันมองถามรองผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารทเถี่ยหมิงจบ ก็คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

  

มันคือรองผู้นำพันธมิตรขุนเขา ฉีคุน

  

“รองผู้นำฉี”

  

พอเถี่ยหมิงหันไปมองฉีคุน สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวว่า “หรือพวกท่านพันธมิตรขุนเขาคิดจะเดิมพันด้วยทุกสิ่ง? หากใช่ เช่นนั้นข้ากับท่านผู้นำก็คงต้องตัวลาไปก่อน ไม่คิดอยู่รบกวนพวกท่านพันธมิตรขุนเขาแล้ว…”

  

“ข้าขอพูดตรงๆ ที่ข้ากับท่านผู้นำถ่อมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านถึงที่ ก็เพื่อมาหารือเรื่องร่วมมือกันโดยเฉพาะ!”

  

“และข้าไม่เชื่อ ว่าพวกท่านจะไม่เคยคิดเรื่องร่วมมือกับพวกเรา!”

  

“การที่พวกเราเป็นฝ่ายมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านและออกปากขอความร่วมมือกับพวกท่านก่อน ก็ถือว่าพวกเราหาทางลงให้กับพวกท่านแล้ว…แต่หากพวกท่านไม่คิดยอมลง พวกเราก็ไม่คิดบังคับ! เต็มที่ก็แยกย้ายกันไปตัวใครตัวมัน!!”

  

พอกล่าวจบคำ มือที่ใหญ่ปานใบลานของเถี่ยหมิงก็ตบโต๊ะดัง ‘ปั้ง’ จากนั้นร่างใหญ่โตราวหมีควายของมันก็ลุกขึ้นยืนดังพรวด ทำท่าราวกับจะจากไปจริงๆ!

  

“ช้าก่อนรองผู้นำเถี่ย ขอท่านอย่าได้ใจร้อน”

  

ฉีคุนก็เร่งลุกขึ้นยืนและกล่าวรั้งเถี่ยหมิงเอาไว้ เพราะเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เถี่ยหมิงพูดจริงๆ พันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็อยากร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทเช่นกัน เพียงแค่มันถือดีว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย จึงไม่อาจบากหน้าลดตัวไปขอความร่วมมือก่อน จะอย่างไรเสียก็เคยเป็นศัตรูกันมา มีเรื่องเขม่นบาดหมางกันก็ไม่น้อย

  

แต่ถ้าวันนี้เกิดพันธมิตรเมฆยามสารทจากไปดื้อๆจริงๆ เกรงว่าวันหน้าพันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงแล้ว!

  

เหตุผลที่พวกมันทำเป็นยึกยักไม่รีบตกลงร่วมมือ ก็แค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง…

  

พอเห็นว่าเถี่ยหมิงแข็งมา พวกมันก็ไม่กล้าแข็งกลับจำต้องโอนอ่อนแทน…

  

“ผู้นำหยวน คำตอบของท่านเล่า?”

  

ผู้ที่นั่งถัดจากเถี่ยหมิง ชายวัยกลางคนที่นั่งหลับตานิ่งเงียบมาโดยตลอด ในที่สุดมันก็ลืมตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของมันขึ้นมา และหันไปมองถามหยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาเสียงเรียบ

  

ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียน รูปร่างหน้าตาไม่คล้ายมีพิษมีภัยต่อคนและสัตว์ และมันก็คือผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารท ซีเหมินเจียงเฉิน

  

“มัวมาเสียเวลาวางท่าไร้แก่นสารเช่นนี้ ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ?”

  

ซีเหมินเจียงเฉินเอ่ยถามค่อนแคะออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

  

“ผู้นำซีเหมินล้อเล่นแล้ว…”

  

หยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใบหน้าไร้ซึ่งความยินดียินร้ายๆใดมาโดยตลอด พลันปรากฏรอยยิ้มบางๆคลี่กางขึ้น กล่าวว่า “สำหรับเรื่องความร่วมมือที่รองผู้นำเถี่ยกล่าว พันธมิตรขุนเขาของพวกเรามิมีใดขัดข้อง”

  

พอหยวนฝูกล่าวจบคำ เถี่ยหมิงก็นั่งลง “พูดออกมาแต่แรกก็จบ จักลีลาวางท่าอันใดให้มาก ว่างจัดหรือ?”

  

หยวนฝูไม่สนใจวาจาเสียดสีของเถี่ยหมิง เพียงมองซีเหมินเจียงเฉินพลางกล่าวสืบต่อว่า “ผู้นำซีเหมินในเมื่อท่านเป็นฝ่ายมาขอความร่วมมือกับพวกเราถึงที่นี่…เช่นนั้นท่านเองก็สมควรมีแผนอันใดในใจแล้วกระมัง ไม่ทราบท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไปเล่า?”

  

ได้ยินคำถามของหยวนฝู สองตาซีเหมินเจียงเฉินก็ฉายประกายเยียบเย็นวูบวาบ “กองกำลังพันธมิตรของพวกเรา จักชิงบุกจู่โจมกองกำลังพันธมิตรอุดรลี้ลับก่อนโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้ตั้งตัว!”

  

“ยิ่งลงมือเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี!”

  

  

ณ ภาคกลางของสมรภูมิ 9 ยมโลก สถานที่ตั้งค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน

  

“ข้ามาหาจี้หยิ่ง”

  

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหินร่างผู้คนนับโหลมาแต่ไกล พอลุถึงน่านฟ้าเหนือประตูหน้าค่ายที่พักของพันธมิตรฟ่านเทียน ก็มองกล่าวกับหน่วยลาดตระเวนของพันธมิตรฟ่านเทียนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

  

“จี้หยิ่ง?”

  

คนของพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนที่เร่งรุดออกมาระวังป้องกันผู้มาเยือนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะมีบางคนโพล่งขึ้นมาว่า “จี้หยิ่ง ชื่อนี้เหมือนจะเป็นชื่อของ…ท่านผู้นำ!”

  

“มิทราบคุณชายท่านเป็นผู้ใด?”

  

เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายเจาะจงมาหาผู้นำของพวกมัน ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา เช่นนั้นคนของพันธมิตรฟ่านเทียนก็ไม่กล้าละเลย เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ

  

“หมี่ซวน”

  

ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มคนเอ่ยออกอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงความเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน

  

และมันก็คือหมี่ซวนที่พึ่งย้อนกลับเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นเอง

  

กล่าวให้ชัดก็คือ หมี่ซวน ที่ได้ช่วงชิงร่างของถังซานเป่า และครอบครองร่างกายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไปแล้ว

  

“ที่แท้เป็นใต้เท้าหมี่ซวน!”

  

พอได้ยินคำแนะนำตัวของหมี่ซวน สองตาพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที เร่งประสานมือโค้งคารวะหมี่ซวนด้วยท่าทีเคารพ “ท่านผู้นำได้กำชับข้าเอาไว้แล้ว ว่าหากใต้เท้าหมี่ซวนมาถึงเมื่อใด ให้ข้าพาใต้เท้าไปพบท่านผู้นำทันที…เชิญใต้เท้าหมี่ซวน”

  

ก่อนที่หมี่ซวนจะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกครั้งนี้ หวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ได้ติดต่อไปยังจี้โยวจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนเรียบร้อย ให้จี้โยวบอกจี้หยิ่งว่า จะมีคนวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมันไปเยือนถึงค่ายพันธมิตรฟ่านเทียนในสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อร่วมมือกันตามล่าตัวต้วนหลิงเทียน

  

จี้โยวเองก็ได้ส่งคนเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลก และแจ้งเรื่องราวให้จี้หยิ่งทราบแต่แรก

  

หลังจากจี้หยิ่งรับทราบเรื่องราว มันก็ได้จัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อรอรับแขกของวิหารเฟิงฮ่าวโดยเฉพาะ ยังแจ้งไว้ชัดเจนว่าอีกไม่นานจะมีคนชื่อ หมี่ซวน มาเยือน…

  

ทำให้หน่วยลาดตระเวนทราบ ว่าผู้มาก็คือแขกสำคัญของผู้นำ!

  

ต้องทราบด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการปฏิบัติดังกล่าว

  

“อืม”

  

ขณะที่หมี่ซวนเหินร่างติดตามคนของพันธมิตรฟ่านเทียนเข้าสู่ค่าย คนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวนมา ก็เหินร่างตามไปติดๆ

  

และในบรรดาคนนับโหลที่ว่า ครึ่งหนึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อย ส่วนอีกครึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก

  

งานของพวกมันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

  

ทำตามคำสั่งหมี่ซวน ช่วยพันธมิตรฟ่านเทียนตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน และจับเป็นต้วนหลิงเทียนกลับวิหารเฟิงฮ่าว!

  

“ท่านคือหมี่ซวนจากวิหารเฟิงฮ่าว? ท่านผู้นำของข้ารอท่านอยู่นานแล้ว”

  

จี้หยิ่ง ผู้นำพันธมิตรฟ่านเทียน สั่งให้คนมารอรับหมี่ซวนนอกหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเขตค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน ส่วนคนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวน ก็ถูกคนของจี้หยิ่งสกัดไว้ด้านนอก “ท่านผู้นำของพวกเรามีเรื่องจะหารือกับใต้เท้าหมี่ซวนเป็นการส่วนตัว ไม่สะดวกให้ผู้ใดอยู่ด้วย”

  

เหนือหุบเขาอันกว้างใหญ่ ร่างจี้หยิ่งก็เหินลอยอยู่ตรงนั้น คนตัวตรงปานหอก ไร้ซึ่งพลังผันผวนรอบกาย

  

ด้านหมี่ซวนก็เหินร่างมาหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจี้หยิ่ง

  

“หมี่ซวน?”

  

จี้หยิ่งเอ่ยถาม

  

“อืม”

  

แม้จะเผชิญหน้ากับจี้หยิ่ง หมี่ซวนก็ยังมีท่าทีไร้แยแส เพราะต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเทพสงคราม 9 ดารา แต่ในสายตามันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้

  

เพราะหากมันไม่ผนึกพลังวิญญาณของตัวเอง มันก็เป็นถึงราชาเทพขั้นกลาง!

  

ในสายตาของตัวตนระดับราชาเทพ กระทั่งตัวตนขอบเขตเทพยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้ นับประสาอะไรกับเซียนอมตะคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพเช่นนี้…

  

“ฟังจากที่อาจารย์ข้าบอกมา…เจ้าเป็นเทพสงคราม 9 ดารา?”

  

จี้หยิ่งถาม

  

“ทำนองนั้น”

  

หมี่ซวนเอ่ยตอบเสียงเฉย

  

“ตกลงอย่างไรกันแน่?”

  

จี้หยิ่งพอได้ฟังก็ขมวดคิ้วย่นยู่ “เรื่องเช่นนี้ใช้คำ ‘ทำนองนั้น’ ได้หรือ…หากเจ้าไม่ใช่เทพสงคราม 9 ดารา ก็ไร้คุณสมบัติจะมาร่วมมือกับข้าจี้หยิ่ง! คนวิหารเฟิงฮ่าวชอบพูดจาเหลวไหลตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

  

กล่าวจบ ใบหน้าจี้หยิ่งก็เริ่มอึมครึม

  

“ข้าไม่มีคุณสมบัติร่วมมือกับเจ้า?”

  

หมี่ซวนแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ไอ้หนู ปากเจ้าจักรับประทานอันใดก็ได้ แต่ไม่อาจกล่าวอะไรก็ได้…เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถสั่งสอนเจ้าแทนจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน ให้เจ้าสำเหนียกว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด?”

  

หมี่ซวนนั้นตลอดเวลาก็วางตัวเสมอหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน จี้โยว มาเอง เมื่อพบมันก็ต้องก้มหัวราวพบเจอเจ้าชีวิต!

  

แต่คนเบื้องหน้าเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของจี้โยว…

  

ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันนไม่มีคุณสมบัติจะร่วมมือด้วย?

  

“คิดจักสั่งสอนข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถหรือไม่!”

  

ได้ยินคำพูดวางตัวเหนือกว่าของหมี่ซวน จี้หยิ่งก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็คลี่กางขึ้น สองตาเริ่มฉายแววเยียบเย็นเอาเรื่อง

  

พอเสียงของจี้หยิ่งดังจบคำ ทันใดนั้นบรรยากาศเหนือหุบเขาก็กลายเป็นตึงเครียดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืนทันที!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

War sovereign Soaring The Heavens 3565

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 3565 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หายนะเช่นนั้นหรือ?”
ได้ยินคำถามของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป…”
“หืม?”
คำพูดของหลัวอี้หมิงยิ่งทำให้หลัวเฟิงงุนงงสับสนแล้ว “ท่านพี่ ท่านกล่าวให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่? ในน้ำเต้าท่านขายยาอันใดรีบบอกมาเถอะ!”
ท้ายประโยคขณะกล่าว น้ำเสียงของหัววเฟิงยังเผยความร้อนใจไม่น้อย
“ฮ่าๆๆๆ…!”
เห็นท่าทางของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็หัวเราะชอบใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มลี้ลับว่า “น้องเฟิง รอให้สองกองกำลังนั่นมันรวมหัวกันบุกมาจริงๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าที่ข้าพูดมันหมายความว่าอะไร”
เรียกว่าน้ำเสียงของหลัวอี้หมิงนอกจากจงใจพูดให้ลึกลับแล้ว ก็มีแต่ความสงบเรียบเฉย
ราวกับในสายตาของมัน การรวมหัวกันบุกมาของอีก 2 กองกำลัง ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
และความมั่นใจของมัน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่มา
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้คุมกฏอาวุโสที่พึ่งเข้าร่วมพันธมิตรอุดรลี้ลับนั้น มีธุระบางอย่างจึงมาหามัน จากนั้นหลังจัดการเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว มันก็เลยเอ่ยปากขอประลองชี้แนะ ต่อมาพอได้ประมือกัน มันก็ประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างอะไรจากหลัวเฟิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเลย จึงรู้ตัวดีว่าต่อหน้าอีกฝ่ายนั้น หากคิดสู้ก็มีแต่แพ้พ่ายอนาถ!
แพ้ยับ! รับมือได้ไม่กี่อึดใจ!!
พลังฝีมือของอีกฝ่ายทำให้มันเข้าใจแจ่มแจ้ง!
ผู้อื่นเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ!
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงขั้นหาตัวจับยาก!
ส่วนตัวมันรวมถึงหลัวเฟิง 2 เทพสงคราม 8 ดาราของพันธมิตรอุดรลี้ลับ ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่เทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือสักคน…และอีก 2 กองกำลังในเขต 2 ภาคเหนือ ก็ไม่มีตัวตนระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 8 ดาราเช่นกัน
ในบรรดา 2 กองกำลังที่เหลือนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละกองกำลัง คนหนึ่งก็เป็นแค่เทพสงคราม 8 ดาราทั่วไป ที่มีพลังฝีมือไล่เลี่ยกับมัน ส่วนอีกคนแม้จะแข็งแกร่งกว่ามันแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น คิดจะเอาชนะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ

ในเขต 2 ของภาคเหนือ มีกองกำลังพันธมิตรที่คานอำนาจกันอยู่ 3 กองกำลัง
ได้แก่
พันธมิตรอุดรลี้ลับ พันธมิตรเมฆยามสารท และพันธมิตรขุนเขา
การปรากฏตัวขึ้นของผู้คุมกฏอาวุโสในพันธมิตรอุดรลี้ลับ แถมพลังฝีมือยังร้ายกาจกว่ารองผู้นำอย่างหลัวเฟิง กระทั่งไม่น่าจะด้อยไปกว่าหลัวอี้หมิง…ข่าวเรื่องราวดังกล่าวแน่นอนว่าพันธมิตรเมฆยามสารทกับพันธมิตรขุนเขาเองก็รับทราบ
หลังงได้รับทราบข่าวนี้ แม้ผิวเผินชนชั้นผู้นำจะยังคงสงบ แต่ลึกลงไปในใจกลับปั่นป่วนดั่งสายธารเชี่ยว
สุดท้ายแล้วหลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง พวกมันก็ยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องราวได้แน่ชัด ในที่สุดชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท ก็ได้มาขอพบผู้นำพันธมิตรขุนเขาถึงถิ่น เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือ
ภายในกระโจมหลักกลางค่ายที่พักของพันธมิตรขุนเขา บัดนี้ไร้ผู้ใดนั่งบนเก้าอี้ตรงกลาง เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เรียงตัวเป็นแถวซ้ายขวา หันหน้าเข้าหากัน
“ผู้นำหยวน…”
ผู้ที่กำลังเอ่ยปากขึ้นมา เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำปานนักเพาะกาย สวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีเทาหลวมๆ คิ้วมันคมเข้ม หว่างคิ้วให้ความรู้สึกดุร้ายปานพยัคฆ์ ด้วยดวงตากลมโตปานฆ้อง จึงเสมือนมันถลึงตามองผู้คนตลอดเวลา ช่างให้ความรู้สึกกดดันแก่ผู้อื่นนัก
“ข้าคิดว่าท่านควรละวางเรื่องราวบาดหมางระหว่างพวกเราลงก่อน ละทิ้งความคิดไม่ซื่อใดๆที่มีต่อข้ากับท่านผู้นำรวมถึงพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเรา และหันมาร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเราเป็นการชั่วคราว…หรือท่านอยากรอจนพันธมิตรอุดรลี้ลับบุกมาฮุบกลืนทำลายพันธมิตรขุนเขาของท่าน แล้วค่อยมาสำนึกเสียใจภายหลัง?”
ชายวัยกลางคนร่างใหญ่แลดูดุดันปานคนเถื่อนที่กำลังพูดอยู่ก็คือ รองผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท เถี่ยหมิง!
เถี่ยหมิงคนนี้ก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราคนหนึ่ง พลังฝีมือของมันก็พอๆกับหลัวเฟิง รองผู้นำของพันธมิตรอุดรลี้ลับ และล่าสุดที่ประมือกันก็ราวๆ 2 ปีก่อนเท่านั้น
และในปัจจุบัน เถี่ยหมิงก็กำลังพูดกับชายชราคนหนึ่ง
ชายชราที่ว่ามาในชุดคลุมยาวสีเขียวขี้ม้า เส้นผมเป็นสีดอกเลา หางคิ้วขาวของมันยังตั้งขึ้นปานอินทรีย์ แม้อยู่ในอารมณ์สงบเฉยเมยไร้โทสะ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเกรงขามพิกล ใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งริ้วรอยของผู้ชราแต่อย่างใด กลับอ่อนวัยราวชายหนุ่มที่ย่างเข้าสู่ชายวัยกลางคน ท่วงท่าไม่แยแสโลกหล้าวางตัวราวเทพเซียน
มันก็คือผู้นำของพันธมิตรขุนเขา หยวนฝู
เนื่องเพราะครั้งนี้ผู้ที่มาเป็นถึงชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท แม้หยวนฝูจะเป็นผู้นำพันธมิตรขุนเขา มันก็ไม่นั่งบนเก้าอี้ตรงกลางที่มีตำแหน่งสูงสุด เพียงนั่งลงเสมอกับเถี่ยหมิงเพื่อสนทนากันอย่างเท่าเทียม
“รองผู้นำเถี่ย ท่านยืนยันได้แน่ชัดแล้วหรือ…ว่าพันธมิตรอุดรลี้ลับนั่นคิดจะบุกมาจู่โจมพวกเราจริงๆ?”
ข้างกายหยวนฝูมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปร่างของมันไม่สูงไม่เตี้ยไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาแลดูดาษๆไร้จุดเด่น เรียกว่าหากโยนไปปะปนกับฝูงชนเพียงคลาดสายตาเล็กน้อยก็คงยากจะมองหาได้พบ มันมองถามรองผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารทเถี่ยหมิงจบ ก็คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
มันคือรองผู้นำพันธมิตรขุนเขา ฉีคุน
“รองผู้นำฉี”
พอเถี่ยหมิงหันไปมองฉีคุน สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวว่า “หรือพวกท่านพันธมิตรขุนเขาคิดจะเดิมพันด้วยทุกสิ่ง? หากใช่ เช่นนั้นข้ากับท่านผู้นำก็คงต้องตัวลาไปก่อน ไม่คิดอยู่รบกวนพวกท่านพันธมิตรขุนเขาแล้ว…”
“ข้าขอพูดตรงๆ ที่ข้ากับท่านผู้นำถ่อมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านถึงที่ ก็เพื่อมาหารือเรื่องร่วมมือกันโดยเฉพาะ!”
“และข้าไม่เชื่อ ว่าพวกท่านจะไม่เคยคิดเรื่องร่วมมือกับพวกเรา!”
“การที่พวกเราเป็นฝ่ายมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านและออกปากขอความร่วมมือกับพวกท่านก่อน ก็ถือว่าพวกเราหาทางลงให้กับพวกท่านแล้ว…แต่หากพวกท่านไม่คิดยอมลง พวกเราก็ไม่คิดบังคับ! เต็มที่ก็แยกย้ายกันไปตัวใครตัวมัน!!”
พอกล่าวจบคำ มือที่ใหญ่ปานใบลานของเถี่ยหมิงก็ตบโต๊ะดัง ‘ปั้ง’ จากนั้นร่างใหญ่โตราวหมีควายของมันก็ลุกขึ้นยืนดังพรวด ทำท่าราวกับจะจากไปจริงๆ!
“ช้าก่อนรองผู้นำเถี่ย ขอท่านอย่าได้ใจร้อน”
ฉีคุนก็เร่งลุกขึ้นยืนและกล่าวรั้งเถี่ยหมิงเอาไว้ เพราะเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เถี่ยหมิงพูดจริงๆ พันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็อยากร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทเช่นกัน เพียงแค่มันถือดีว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย จึงไม่อาจบากหน้าลดตัวไปขอความร่วมมือก่อน จะอย่างไรเสียก็เคยเป็นศัตรูกันมา มีเรื่องเขม่นบาดหมางกันก็ไม่น้อย
แต่ถ้าวันนี้เกิดพันธมิตรเมฆยามสารทจากไปดื้อๆจริงๆ เกรงว่าวันหน้าพันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงแล้ว!
เหตุผลที่พวกมันทำเป็นยึกยักไม่รีบตกลงร่วมมือ ก็แค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง…
พอเห็นว่าเถี่ยหมิงแข็งมา พวกมันก็ไม่กล้าแข็งกลับจำต้องโอนอ่อนแทน…
“ผู้นำหยวน คำตอบของท่านเล่า?”
ผู้ที่นั่งถัดจากเถี่ยหมิง ชายวัยกลางคนที่นั่งหลับตานิ่งเงียบมาโดยตลอด ในที่สุดมันก็ลืมตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของมันขึ้นมา และหันไปมองถามหยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาเสียงเรียบ
ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียน รูปร่างหน้าตาไม่คล้ายมีพิษมีภัยต่อคนและสัตว์ และมันก็คือผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารท ซีเหมินเจียงเฉิน
“มัวมาเสียเวลาวางท่าไร้แก่นสารเช่นนี้ ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ?”
ซีเหมินเจียงเฉินเอ่ยถามค่อนแคะออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ผู้นำซีเหมินล้อเล่นแล้ว…”
หยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใบหน้าไร้ซึ่งความยินดียินร้ายๆใดมาโดยตลอด พลันปรากฏรอยยิ้มบางๆคลี่กางขึ้น กล่าวว่า “สำหรับเรื่องความร่วมมือที่รองผู้นำเถี่ยกล่าว พันธมิตรขุนเขาของพวกเรามิมีใดขัดข้อง”
พอหยวนฝูกล่าวจบคำ เถี่ยหมิงก็นั่งลง “พูดออกมาแต่แรกก็จบ จักลีลาวางท่าอันใดให้มาก ว่างจัดหรือ?”
หยวนฝูไม่สนใจวาจาเสียดสีของเถี่ยหมิง เพียงมองซีเหมินเจียงเฉินพลางกล่าวสืบต่อว่า “ผู้นำซีเหมินในเมื่อท่านเป็นฝ่ายมาขอความร่วมมือกับพวกเราถึงที่นี่…เช่นนั้นท่านเองก็สมควรมีแผนอันใดในใจแล้วกระมัง ไม่ทราบท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไปเล่า?”
ได้ยินคำถามของหยวนฝู สองตาซีเหมินเจียงเฉินก็ฉายประกายเยียบเย็นวูบวาบ “กองกำลังพันธมิตรของพวกเรา จักชิงบุกจู่โจมกองกำลังพันธมิตรอุดรลี้ลับก่อนโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้ตั้งตัว!”
“ยิ่งลงมือเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี!”

ณ ภาคกลางของสมรภูมิ 9 ยมโลก สถานที่ตั้งค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน
“ข้ามาหาจี้หยิ่ง”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหินร่างผู้คนนับโหลมาแต่ไกล พอลุถึงน่านฟ้าเหนือประตูหน้าค่ายที่พักของพันธมิตรฟ่านเทียน ก็มองกล่าวกับหน่วยลาดตระเวนของพันธมิตรฟ่านเทียนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“จี้หยิ่ง?”
คนของพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนที่เร่งรุดออกมาระวังป้องกันผู้มาเยือนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะมีบางคนโพล่งขึ้นมาว่า “จี้หยิ่ง ชื่อนี้เหมือนจะเป็นชื่อของ…ท่านผู้นำ!”
“มิทราบคุณชายท่านเป็นผู้ใด?”
เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายเจาะจงมาหาผู้นำของพวกมัน ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา เช่นนั้นคนของพันธมิตรฟ่านเทียนก็ไม่กล้าละเลย เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“หมี่ซวน”
ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มคนเอ่ยออกอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงความเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน
และมันก็คือหมี่ซวนที่พึ่งย้อนกลับเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นเอง
กล่าวให้ชัดก็คือ หมี่ซวน ที่ได้ช่วงชิงร่างของถังซานเป่า และครอบครองร่างกายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไปแล้ว
“ที่แท้เป็นใต้เท้าหมี่ซวน!”
พอได้ยินคำแนะนำตัวของหมี่ซวน สองตาพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที เร่งประสานมือโค้งคารวะหมี่ซวนด้วยท่าทีเคารพ “ท่านผู้นำได้กำชับข้าเอาไว้แล้ว ว่าหากใต้เท้าหมี่ซวนมาถึงเมื่อใด ให้ข้าพาใต้เท้าไปพบท่านผู้นำทันที…เชิญใต้เท้าหมี่ซวน”
ก่อนที่หมี่ซวนจะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกครั้งนี้ หวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ได้ติดต่อไปยังจี้โยวจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนเรียบร้อย ให้จี้โยวบอกจี้หยิ่งว่า จะมีคนวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมันไปเยือนถึงค่ายพันธมิตรฟ่านเทียนในสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อร่วมมือกันตามล่าตัวต้วนหลิงเทียน
จี้โยวเองก็ได้ส่งคนเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลก และแจ้งเรื่องราวให้จี้หยิ่งทราบแต่แรก
หลังจากจี้หยิ่งรับทราบเรื่องราว มันก็ได้จัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อรอรับแขกของวิหารเฟิงฮ่าวโดยเฉพาะ ยังแจ้งไว้ชัดเจนว่าอีกไม่นานจะมีคนชื่อ หมี่ซวน มาเยือน…
ทำให้หน่วยลาดตระเวนทราบ ว่าผู้มาก็คือแขกสำคัญของผู้นำ!
ต้องทราบด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการปฏิบัติดังกล่าว
“อืม”
ขณะที่หมี่ซวนเหินร่างติดตามคนของพันธมิตรฟ่านเทียนเข้าสู่ค่าย คนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวนมา ก็เหินร่างตามไปติดๆ
และในบรรดาคนนับโหลที่ว่า ครึ่งหนึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อย ส่วนอีกครึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก
งานของพวกมันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทำตามคำสั่งหมี่ซวน ช่วยพันธมิตรฟ่านเทียนตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน และจับเป็นต้วนหลิงเทียนกลับวิหารเฟิงฮ่าว!
“ท่านคือหมี่ซวนจากวิหารเฟิงฮ่าว? ท่านผู้นำของข้ารอท่านอยู่นานแล้ว”
จี้หยิ่ง ผู้นำพันธมิตรฟ่านเทียน สั่งให้คนมารอรับหมี่ซวนนอกหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเขตค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน ส่วนคนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวน ก็ถูกคนของจี้หยิ่งสกัดไว้ด้านนอก “ท่านผู้นำของพวกเรามีเรื่องจะหารือกับใต้เท้าหมี่ซวนเป็นการส่วนตัว ไม่สะดวกให้ผู้ใดอยู่ด้วย”
เหนือหุบเขาอันกว้างใหญ่ ร่างจี้หยิ่งก็เหินลอยอยู่ตรงนั้น คนตัวตรงปานหอก ไร้ซึ่งพลังผันผวนรอบกาย
ด้านหมี่ซวนก็เหินร่างมาหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจี้หยิ่ง
“หมี่ซวน?”
จี้หยิ่งเอ่ยถาม
“อืม”
แม้จะเผชิญหน้ากับจี้หยิ่ง หมี่ซวนก็ยังมีท่าทีไร้แยแส เพราะต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเทพสงคราม 9 ดารา แต่ในสายตามันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้
เพราะหากมันไม่ผนึกพลังวิญญาณของตัวเอง มันก็เป็นถึงราชาเทพขั้นกลาง!
ในสายตาของตัวตนระดับราชาเทพ กระทั่งตัวตนขอบเขตเทพยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้ นับประสาอะไรกับเซียนอมตะคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพเช่นนี้…
“ฟังจากที่อาจารย์ข้าบอกมา…เจ้าเป็นเทพสงคราม 9 ดารา?”
จี้หยิ่งถาม
“ทำนองนั้น”
หมี่ซวนเอ่ยตอบเสียงเฉย
“ตกลงอย่างไรกันแน่?”
จี้หยิ่งพอได้ฟังก็ขมวดคิ้วย่นยู่ “เรื่องเช่นนี้ใช้คำ ‘ทำนองนั้น’ ได้หรือ…หากเจ้าไม่ใช่เทพสงคราม 9 ดารา ก็ไร้คุณสมบัติจะมาร่วมมือกับข้าจี้หยิ่ง! คนวิหารเฟิงฮ่าวชอบพูดจาเหลวไหลตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
กล่าวจบ ใบหน้าจี้หยิ่งก็เริ่มอึมครึม
“ข้าไม่มีคุณสมบัติร่วมมือกับเจ้า?”
หมี่ซวนแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ไอ้หนู ปากเจ้าจักรับประทานอันใดก็ได้ แต่ไม่อาจกล่าวอะไรก็ได้…เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถสั่งสอนเจ้าแทนจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน ให้เจ้าสำเหนียกว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด?”
หมี่ซวนนั้นตลอดเวลาก็วางตัวเสมอหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน จี้โยว มาเอง เมื่อพบมันก็ต้องก้มหัวราวพบเจอเจ้าชีวิต!
แต่คนเบื้องหน้าเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของจี้โยว…
ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันนไม่มีคุณสมบัติจะร่วมมือด้วย?
“คิดจักสั่งสอนข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถหรือไม่!”
ได้ยินคำพูดวางตัวเหนือกว่าของหมี่ซวน จี้หยิ่งก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็คลี่กางขึ้น สองตาเริ่มฉายแววเยียบเย็นเอาเรื่อง
พอเสียงของจี้หยิ่งดังจบคำ ทันใดนั้นบรรยากาศเหนือหุบเขาก็กลายเป็นตึงเครียดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืนทันที!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+