ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 131.2

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 131.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ฆ่าคน

 

 

 

เฉียวหมิ่นหวีดร้องเจ็บปวด เกือบจะเป็นลมหมดสติไป

 

 

“จะพูดไม่พูด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีกครั้ง

 

 

เฉียวหมิ่นยังคงส่ายหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงเหยียบอีกนิ้วมือหนึ่ง

 

 

เฉียวหมิ่นกรีดร้องเจ็บปวด “ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าให้ตายเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง พูดเสียงต่ำ “ฆ่าเจ้า เสียเปรียบเจ้าเกินไป หากหาน้องชายข้าไม่เจอ ข้าจะให้ในทุกวันของเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย”

 

 

พูดจบลุกขึ้นยืน เหยียบนิ้วมืออีกนิ้วของนาง

 

 

เฉียวหมิ่นทนต่อไปไม่ไหว เป็นลมสลบไป

 

 

คนในห้องไม่คิดว่าเฉียวหมิ่นจะคลุ้มคลั่งได้ถึงขั้นนี้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมบอกที่ซ่อนเมิ่งเจี๋ย พลันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเฉียวหมิ่นสลบไป หยิบมีดเฉือนข้อมือเฉียวหมิ่นเป็นรอยแผลลึก

 

 

เฉียวหมิ่นถูกทำให้ตื่นด้วยความเจ็บปวด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถามอีกครั้ง “จะพูดหรือว่าไม่พูด น้องชายข้าอยู่ที่ไหนกันแน่”

 

 

ไม่รู้ว่าเฉียวหมิ่นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน หัวเราะขึ้นฟ้า “พวกเจ้าไม่มีวันหาเขาเจอ ข้ากำชับเวรยามสองคนนั้นแล้ว วันนี้ตอนบ่ายให้พวกเขาใช้ข้ออ้างมารับข้ากลับบ้าน นำรถม้าพาเด็กสมควรตายนั้นส่งไปขายให้พวกค้ามนุษย์นอกเมือง ตอนนี้ไม่รู้เขาถูกขายไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

 

 

ทุกคนตกตะลึง ไม่คิดว่านางจะเสียสติถึงขั้นขายเมิ่งเจี๋ยให้พวกค้ามนุษย์ไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังคำพูดนางจบ พลันหมุนตัวกลับ เดินไปพูดไปอย่างไม่หันหลังกลับ “มอบให้พวกเจ้าแล้ว ห้ามปล่อยให้นางตายเด็ดขาด”

 

 

เปาอีฝานตามติดไป พูดขึ้น “ข้าไปกับเจ้าด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดห้าม ทั้งสองมาถึงนอกประตู

 

 

คนงานกำลังจะเชิญพวกเขาขึ้นรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตวัดมีดตัดเชือกที่คล้องตัวม้าไว้ กระโดดขึ้นหลังม้า

 

 

เปาอีฝานรีบร้องตะโกน “แม่นางเมิ่งรอข้าด้วย!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ตวัดมีดตัดเชือกคล้องตัวม้าให้เขาเช่นเดียวกัน เปาอีฝานกระโดดขึ้นหลังม้าเร็วรี่ ทั้งสองควบม้ามุ่งหน้าไปประตูเมือง

 

 

ใกล้จะพลบค่ำ คนบนถนนบางตาไปมาก เพียงอึดใจเดียวทั้งสองก็มาถึงประตูเมือง

 

 

เจ้าหน้าที่หน้าประตูเมืองยังคงตรวจตราคนออกนอกเมืองอย่างละเอียด เห็นม้าสองตัวทะยานมุ่งหน้ามา ก็สะดุ้งตกใจ ต่างหยิบมีดใหญ่ข้างเอวออกมา พอเห็นชัดว่าเป็นพวกเปาอีฝาน ก็ถอนใจโล่งอก ถามอย่างนบนอบ “เย็นย่ำเช่นนี้แล้ว คุณชายยังจะออกนอกเมืองหรือขอรับ”

 

 

เปาอีฝานจับบังเ**ยนแน่น ถามโดยที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า “เมื่อครู่มีรถม้าต้องสงสัยออกนอกเมืองหรือไม่”

 

 

เจ้าหน้าที่นายหนึ่งตอบ “เรียนคุณชาย ไม่มีขอรับ”

 

 

เปาอีฝานย่นหัวคิ้ว

 

 

เจ้าหน้าที่นายตอบ “ทว่า ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยาม เวรยามสองคนของบ้านเฉียวบอกว่ามีธุระ บังคับรถม้าเปล่าออกนอกเมืองไป ตอนนั้นพวกเรารู้สึกผิดสังเกต จึงตรวจสอบทั้งภายในภายนอกอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งต้องสงสัยใด จึงปล่อยพวกเขาไป”

 

 

เปาอีฝานรีบสอบถาม “เห็นว่าพวกเขาไปตามเส้นทางใดหรือไม่”

 

 

เจ้าหน้าตอบกลับ “ข้ามองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นพวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศใต้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานหันหน้าสบตากัน ตวัดบังเ**ยนพร้อมกัน ควบม้าฮ่อทะยานไปทางทิศใต้

 

 

เจ้าหน้าที่ร้องตะโกนไล่หลัง “คุณชาย ใกล้จะมืดค่ำแล้ว พวกท่านจะกลับมาอีกหรือไม่”

 

 

ม้าสองตัววิ่งไปไกลแล้ว ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

 

หลังจากเปาอีฝานและเมิ่งเชี่ยนโยวจากไป เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนก็หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ

 

 

แม่จูรีบร้อนไปสั่งพ่อบ้าน “รีบไปตามหมอมา”

 

 

พ่อบ้านไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแม่จูสั่งการ ผลุนผลันออกไปบอกคนรับใช้ให้ไปตามหมอมา ส่วนตัวเองเข้ามาในห้องเห็นสภาพน่าสังเวชของเฉียวหมิ่น ผวาตกใจจนขาอ่อน เกือบจะคุกเข่าไปบนพื้น เดินตัวสั่นเทิ้มมาเบื้องหน้าแม่จู ถามขึ้น “ฮูหยิน เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดคุณหนูเฉียวถึงมีสภาพเช่นนี้”

 

 

แม่จูถอนหายใจยาว พูดว่า “เวรกรรมแท้ๆ”

 

 

จูหลานมองเฉียวหมิ่นที่สลบไปอีกครั้งอย่างเหม่อลอย ไม่ได้พูดอะไร

 

 

ในเวลาไม่นานหมอก็มาถึง เห็นสภาพของเฉียวหมิ่น ก็ตกใจสะดุ้งโหยง ลนลานสั่งให้แบกนางไปรักษาที่โรงหมอ

 

 

แม่จูครุ่นคิดอย่างลำบากใจ พูดว่า “ท่านหมอเขียนใบสั่งยา แล้วให้บ่าวรับใช้ออกไปซื้อกลับมาเถอะ เรื่องน่าอับอายไม่ควรแพร่งพราย ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องการให้เรื่องแพร่กระจายออกไป”

 

 

หมอทำการตรวจรักษาให้บ้านเศรษฐีมานาน รู้ว่าบางครั้งพวกเขาก็มีความลับบางอย่างที่ไม่อยากให้คนนอกรู้ ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า เขียนสิ่งที่ต้องการ ให้คนรีบไปจัดยา

 

 

เพียงอึดใจเดียวบ่าวรับใช้ก็นำสิ่งของที่ต้องใช้ทั้งหมดเข้ามา หมอทายาห้ามเลือดบนบาดแผลเฉียวหมิ่น คิดจะพันแผลให้นางกลับเป็นเรื่องยาก ทำได้เพียงพันแผลที่ข้อมือของนางก่อน แล้วหันไปพูดกับแม่จู “รอยแผลบนใบหน้าของคุณหนูท่านนี้ไม่อาจพันได้ แต่ยังดีที่บาดแผลไม่ลึก ขอเพียงระวังอย่าให้แผลติดเชื้อก็พอ ไม่กี่วันก็จะหายดี”

 

 

แม่จูพยักหน้า “ขอบใจท่านหมอ”

 

 

หมอโบกมือ

 

 

แม่จูดพูดขึ้นอีก “รบกวนท่านช่วยดู นิ้วมือของหมิ่นเอ๋อร์มีปัญหาใดหรือไม่”

 

 

หมอถึงสังเกตเห็นนิ้วมือสองสามนิ้วของเฉียวหมิ่นบิดเบี้ยวผิดรูป รีบจับคลำอย่างละเอียด ส่ายหน้าทอดถอนใจ “นิ้วมือสองสามนิ้วของคุณหนูท่านนี้กระดูกแหลกละเอียด ต่อไปเกรงจะต้องพิการแล้ว”

 

 

แม่จูตกใจหน้าซีด พูดอย่างเจ็บปวด “ภายหน้าจะให้หมิ่นเอ๋อร์มีชีวิตอยู่อย่างไร!”

 

 

หมอชราไม่พูดอะไร

 

 

จูหลานได้สติกลับมา พูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านวิงวอนให้แม่นางเมิ่งตามหาน้องชายนางให้เจอเถอะ ไม่เช่นนั้นจุดจบของหมิ่นเอ๋อร์จะยิ่งน่าสมเพชกว่านี้”

 

 

แม่จูนึกถึงดวงตาเ**้ยมอำมหิตยามที่ตวัดมีดฟันคนของเมิ่งเชี่ยนโยว พลันสั่นไปทั้งตัว หันไปพูดกับเฉียวหมิ่นที่ยังไม่รู้สึกตัว “เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนได้เช่นนี้ กระทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นได้อย่างไร”

 

 

ย่อมไม่มีเสียงตอบรับจากเฉียวหมิ่น

 

 

หมอชรารู้ว่าเรื่องนี้พัวพันถึงเรื่องภายในของบ้านเศรษฐี ตัวเองไม่ควรอยู่ฟัง ผลุนผลันพูดขึ้น “บาดแผลของคุณหนูท่านนี้ข้าไร้ความสามารถ พวกท่านเชิญหมอท่านอื่นมาดูเถอะ”

 

 

แม่จูไม่ให้เขาต้องลำบากใจอีก ให้พ่อบ้านจ่ายค่ารักษา แล้วส่งเขาออกไป

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานพ้นประตูเมืองออกมา ก็ควบม้ามุ่งไปทิศใต้ ตามมาได้ครึ่งชั่วยามก็ยังไม่เห็นร่องรอยของรถม้า ทั้งสองหยุดรถม้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากหลังม้า แทบจะหมอบไปกับพื้นมองดูอย่างละเอียด กลับไม่พบรอยกีบเท้าม้า เม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นพูดกับเปาอีฝาน “พวกเราตามผิดแล้ว พวกเขาไม่ได้มาทางนี้”

 

 

เปาอีฝานขมวดคิ้วมุ่น พูดว่า “ไม่มีทาง เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นพวกเขามาทางใต้ พวกเขาจะต้องใช้เส้นทางนี้ พวกเรามุ่งหน้าต่อไปอีกหน่อยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่จำเป็นแล้ว พวกเราตามไปเช่นนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเรากลับไป ดูว่าเวรยามทั้งสองคนนั้นกลับถึงบ้านเฉียวหรือยัง”

 

 

เปาอีฝานมองเส้นทางมืดทมึนสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า ตามไปเช่นนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

ทั้งสองกระตุกหัวม้าย้อนกลับไปทางเดิม

 

 

เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูเมืองไม่ได้ยินเสียงตอบของเปาอีฝาน กระทั่งใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมือง ก็ยังไม่กลับไป จนเห็นม้าสองตัวฮ่อตะบึงตรงมาลิบๆ ก็พูดอย่างยินดี “คุณชายกลับมาแล้ว!”

 

 

เปาอีฝานขี่ม้าพ้นประตูเมืองเข้ามา ดึงเชือกให้ม้าหยุด ถามขึ้น “รถม้าของบ้านเฉียวกลับมาหรือยัง”

 

 

เจ้าหน้าที่นายหนึ่งตอบ “กลับมาแล้ว ตอนที่พวกท่านออกไปไม่นานเท่าใดก็กลับมา”

 

 

เปาอีฝานสั่งการ “พวกเจ้าไปบอกพ่อข้า บอกว่าจับคนที่ลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งได้แล้ว ให้เขาพากำลังคนมาจวนเฉียว”

 

 

เจ้าหน้าที่ทั้งหมดพยักหน้า รุดหน้าไปโดยเร็ว

 

 

ทั้งสองคนควบม้าตะบึงเข้าเมืองไปอีกครั้ง

 

 

เปาอีฝานรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่คุ้นชินเส้นทางในอำเภอ พูดขึ้น “เจ้าตามข้ามา พวกเราไปบ้านเฉียว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ตะเบ็งเสียงดังลั่น “ไปบ้านจูหลาน”

 

 

เปาอีฝานไม่เข้าใจ กลับมาถึงหน้าประตูบ้านจูหลานพร้อมนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากหลังม้า เดินเข้าไปในบ้าน

 

 

คนในบ้านทั้งหมดต่างได้ยินเรื่องที่นางใช้มีดเฉือนคนโดยไม่สะทกสะท้านแล้ว เห็นนางกลับมาพร้อมพลังสังหาร ตกใจหลบเป็นพัลวัน

 

 

เฉียวหมิ่นฟื้นขึ้นมาแล้ว นอนเหม่อลอยอยู่บนพื้นไม่พูดไม่จา

 

 

คนทั้งหมดมองนางอย่างพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา เซี่ยเจียงเฟิงรีบร้อนถาม “แม่นางเมิ่งกลับมาแล้ว พบน้องชายเจ้าหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ เดินตรงไปหน้าเฉียวหมิ่นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ก้มตัวลง ยกแขนข้างหนึ่งของนางขึ้นลากออกไปข้างนอก

 

 

เฉียวหมิ่นส่งเสียงร้องเจ็บปวด

 

 

แม่จูทนดูไม่ได้ คิดจะขัดขวาง

 

 

จูหลานสะกัดกั้นนางไว้

 

 

แม่จูทุบตีเขา พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นั่นเป็นภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของเจ้านะ เจ้ายอมให้คนอื่นรังแกนางเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

จูหลานถามกลับ “ท่านแม่ นางกระทำเรื่องเช่นนี้ งานแต่งของพวกเรายังจะมีได้อีกหรือ”

 

 

แม่จูตะลึงค้าง

 

 

จูหลานเดินออกจากประตูตามไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลากเฉียวหมิ่นออกมานอกจวน

 

 

เฉียวหมิ่นเจ็บจนแม้แต่แรงจะก่นด่าก็ไม่เหลือแล้ว บาดแผลบนใบหน้าและข้อมือฉีกออกอีกครั้ง หยดเลือดไหลกระเซ็นตลอดทางที่ลากมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะโยนนางขึ้นบนหลังม้า ทดลองอยู่หลายครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

 

 

เปาอีฝานพูดขึ้น “ให้ข้าช่วยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า มองตรงไปที่จูหลาน

 

 

จูหลานยิ้มแหยๆ ก้มตัวอุ้มเฉียวหมิ่นขึ้น วางนางลงบนหลังม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระมัดระวัง

 

 

ยังไม่ให้เขาวางเสร็จดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดขึ้นหลังม้า หันไปพูดกับเปาอีฝาน “ไป!”

 

 

เปาอีฝานเข้าใจทันที กระโดดขึ้นหลังม้า ควบตะบึงม้านำหน้าไปจวนเฉียว

 

 

จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงรวมถึงอันอี่หยวนรีบขึ้นนั่งบนรถม้าตามติดไป ทว่าอึดใจเดียวก็ไม่เห็นคนทั้งคู่แล้ว

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงพูดขึ้น “ดูจากอาการของแม่นางเมิ่ง น่าจะยังไม่พบน้องชายนาง นางพาเฉียวหมิ่นไปด้วยโมหะคุกรุ่นเช่นนี้ คาดว่าจะต้องไปจวนเฉียว พวกเรารีบตามไปเถอะ”

 

 

อันอี่หยวนและจูหลานพยักหน้า คนทั้งหมดนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปจวนเฉียว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานมาถึงหน้าประตูจวนเฉียว ลงจากม้า เมิ่งเชี่ยนโยวกระชากเฉียวหมิ่นลงจากหลังม้า มือข้างหนึ่งลากนางอีกข้างถือมีดเดินตรงไปที่ประตูใหญ่จวนเฉียว

 

 

เวรยามที่เฝ้าประตูเห็นเด็กสาวไม่มักคุ้น ในมือถือมีดใหญ่ มืออีกข้างลากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเดินมุ่งหน้ามายังประตูใหญ่บ้านพวกตน ตกใจร้องตวาดพร้อมกัน “หยุดนะ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ ยังคงเดินไปข้างหน้า

 

 

เวรยามตื่นตะลึง เข้าไปยืนขวางเมิ่งเชี่ยนโยว แสดงอาวุธที่พกติดตัว ร้องพูดเสียงดัง “หากเจ้าไม่หยุด อย่าโทษที่พวกเราต้องลงมือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า พูดอย่างเย็บเยียบ “ไม่อยากตายก็หลีกไป”

 

 

เหล่าเวรยามตกใจกับพลังเย็นเยือกอำมหิตรอบตัวนาง ต่างถอยหนีไปตั้งหลัก

 

 

เปาอีฝานตามหลังมาติดๆ

 

 

เหล่าเวรยามย่อมรู้จักเขา เวรยามคนหนึ่งรีบตะโกนถาม “คุณชายเปา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”

 

 

เปาอีฝานตอบเสียงเย็นเยียบ “ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าถอยไปได้แล้ว”

 

 

เหล่าเวรยามย่อมไม่ยอมล่าถอย พูดขึ้น “คุณชายเปา หากให้พวกท่านลากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเข้าไปในจวนเฉียว พวกเรามีหวังตกงานเป็นแน่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโยนเฉียวหมิ่นไปบนพื้น หันไปพูดกับเหล่าเวรยาม “ดูเอาเองว่าเป็นใคร”

 

 

เฉียวหมิ่นใบหน้าอาบไปด้วยเลือด เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เหล่าเวรยามเดินกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นดู ครู่หนึ่งถึงจำได้ว่าเป็นนาง ร้องอุทานโวยวาย “คุณหนู ท่านถูกใครทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ได้”

 

 

เฉียวหมิ่นพยายามเผยอปาก แต่กลับพูดไม่ออก

 

 

ยามคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “พี่น้องเรา นังตัวดีสมควรตายนี่กล้าทำร้ายคุณหนูของพวกเรา พวกเราห้ามปล่อยนางไปเด็ดขาด พวกเรารวมแรงกันจับนางไว้ จะฆ่าจะแกงให้คุณหนูตัดสินใจเอง”

 

 

เหล่าเวรยามพยักหน้า ขยับอาวุธในมือพุ่งตรงเข้าจัดการเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาอย่างดูแคลน ยกมีดใหญ่ในมือขึ้นเดินดาหน้าเข้าหา

 

 

หลังการปะทะกันไม่กี่อึดใจ เหล่าเวรยามต่างลงไปนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มีดกดเวรยามนายหนึ่งถามขึ้น “วันนี้ตอนบ่ายใครเป็นคนบังคับรถม้าไปรับคุณหนูของพวกเจ้า”

 

 

เวรยามคนนั้นแววตาเลิ่กลั่ก พูดว่า “ข้าไม่รู้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือฟันฉับ หูของเวรยามนายนั้นก็ขาดออกจากกัน

 

 

เวรยามดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด กรีดร้องโหยหวน

 

 

เวรยามคนอื่นๆ ตกใจหดตัวม้วนเป็นก้อน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเบื้องหน้าเวรยามอีกนายหนึ่ง ถามน้ำเสียงเฉียบขาด “วันนี้ใครเป็นคนไปรับคุณหนู”

 

 

เวรยามคนนั้นตกใจจนพูดเสียงสั่น “เฉียวต้าและเฉียวเอ้อ”

 

 

“พวกเขาอยู่ที่ไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดถามต่อ

 

 

เวรยามตอบกลับ “พวกเขาบอกว่าวันนี้ทำงานใหญ่ให้คุณหนู คุณหนูมอบสินจ้างให้ไม่น้อย พอดีกับที่วันนี้พวกเขาไม่มีเวร จึงออกไปดื่มเหล้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยน้ำเสียงวิปลาส “รู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน”

 

 

เวรยามตกใจจนพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะถามต่อ เสียงตะคอกหนึ่งดังลอยมาจากประตู “หยุดเดี๋ยวนี้!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ เห็นเปาชิงเหอพากำลังเจ้าหน้าที่ดาหน้าเข้ามา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด