ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 221-2 กลัว ก็ต้องทน

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 221-2 กลัว ก็ต้องทน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลุ่มชายฉกรรจ์ส่งเสียงหวีดร้องขึ้นพร้อมกัน “เจ้าสี่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชักกริชออกมาอย่างรวดเร็ว แทงซ้ำไปที่ลำคอของเจ้าสี่อีกครั้งตามความเคยชิน แล้วลุกขึ้นยืน จ้องมองชายฉกรรจ์ที่เหลือที่ห้าคนอย่างเ**้ยมเกรียม

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์เห็นเจ้าสี่สิ้นลมหายใจแล้ว โกรธเลือดเข้าตา ควบม้าตรงเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำกริชในมือแน่น

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นเช่นนั้น หยิบมีดใหญ่ข้างกายกระโดดเข้ามา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนที่คอยฟังความเคลื่อนไหวนอกรถม้า รับรู้ได้ว่าเหวินเปียวและเหวินหู่ไปจากรถม้าแล้ว จึงเปิดม่านรถเดินลงมาจากรถม้า มองไปเห็นสภาพเ**้ยมอำมหิตของเมิ่งเชี่ยนโยว ตะลึงค้างจังงัง

 

 

ชายฉกรรจ์อีกคนเข้าไปขวางหัวหน้าชายฉกรรจ์ไว้ พูดเสียงเบา “พี่ใหญ่ นังตัวแสบนี่ร้ายกายไม่เบา พวกเราอย่าได้ประมาทเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเราที่จะเสียเปรียบ”

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่กระโดดลอยตัวเข้ามา แยกกันยืนสองข้างของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ชายฉกรรจ์ที่เหลือนั่งอยู่บนม้าไม่กล้าบุ่มบ่าม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอมุมปากแสยะยิ้มเ**้ยม พูดอย่างสบประมาท “ว่าอย่างไร แค่นี้ก็กลัวแล้ว? อย่าบอกข้าว่าเป็นถึงคุณชายใหญ่มหาเสนาบดีกลับเลี้ยงแต่พวกเสียข้าวสุกไว้”

 

 

ความหวาดผวาผ่านไปแล้ว หัวหน้าชายฉกรรจ์กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ถามเสียงเข้ม “เพื่อบ่าวเพียงไม่กี่คน เจ้าคิดจะเป็นปรปักษ์กับพวกเราจริงๆ ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ในสายตาพวกเจ้าพวกเขาเป็นเพียงบ่าว ในสายตาข้าพวกเขาเป็นคนในครอบครัว หากใครบังอาจมาแตะต้องคนในครอบครัวข้า…” พูดถึงตรงนี้ แล้วใช้กริชปลายแหลมชี้เจ้าสี่ที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว “นี่ก็คือจุดจบของมัน”

 

 

วาจาสามหาวนี้กระตุ้นโทสะของหัวหน้าชายฉกรรจ์ เขาบันดาลโทสะ แผดเสียงดังสนั่น “พี่น้องเรา ลุย”

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ควบม้าเข้ามา เหวินเปียวและเหวินหู่เข้าขวางเมิ่งเชี่ยนโยวไว้เบื้องหลัง ยกมีดใหญ่ในมือขึ้นต้านทานพวกชายฉกรรจ์

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเล็งช่องโหว่หนึ่งไว้ พุ่งกริชในมือเข้าหาชายฉกรรจ์คนหนึ่ง กริชลอยวนออกไป

 

 

ชายฉกรรจ์ถูกปักเข้าอย่างจัง ทิ้งร่างตกหลังมา นอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้น

 

 

ชายฉกรรจ์ที่กำลังปะมือกับเหวินเปียวได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขา เกิดเสียสมาธิ ถูกมีดของเหวินเปียวฟันเป็นแผลใหญ่ที่ขา ลงไปนอนแดดิ้นกรีดร้องกับพื้นเช่นกัน

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์เห็นพี่น้องสองคนได้รับบาดเจ็บติดต่อกัน ตะเบ็งเสียงคำรามลั่น “พี่น้องเรา ลงจากหลังม้า”

 

 

หลังจากพวกชายฉกรรจ์เข้าโรมรันอย่างบ้าคลั่งหลายกระบวนท่า สบจังหวะเหมาะ กระโดดลงจากหลังม้าอย่างปราดเปรียว แล้วยืนผนึกกำลังด้วยกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวควงกริชที่ลอยกลับเข้ามาในมือ พูดอย่างสงบนิ่ง “ตอนนี้สามต่อสาม ในที่สุดก็ยุติธรรมแล้ว”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนที่ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ตรงหน้าตั้งแต่แรก ได้แต่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์สอดสายตาล่อกแล่ก พลันเห็นเขาเข้า กระโดดลอยตัวไปตรงหน้าเขา เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ทันได้สติกลับมา ก็เอามีดใหญ่ในมือจ่อที่คอหอยของเขาแล้ว

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ร้องตะโกนสุดเสียง “คุณชายน้อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกร็งค้าง กริชที่หมุนควงอยู่เกือบร่วงหล่นพื้น

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม “ทิ้งอาวุธในมือพวกเจ้าซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่ามันทิ้ง”

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ไม่ลังเล โยนมีดใหญ่ในมือทิ้งลงพื้นทันควัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำกริชในมือแน่น ถามด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “รู้หรือไม่ว่าทำร้ายคนในครอบครัวข้าจะมีจุดจบเช่นไร?”

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์ขยับมีดเข้าใกล้คอหอยเมิ่งอี้เซวียน ใบมีดคมกริบบาดผิวเนื้อ เลือดสดไหลซิบๆ ออกมาจากผิวหนังนวลขาวของเมิ่งอี้เซวียนพลัน “ไม่ต้องพูดเพ้อเจ้อ โยนกริชในมือทิ้งซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะปั่นคอมันทิ้งเดี๋ยวนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าเปลี่ยนสลับไปมาหลายครั้ง ย่อตัวลงวางปลายมีดชี้ไปทางชายฉกรรจ์ลงบนพื้น

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์เปล่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง “แม่นางน้อย คิดจะสู้กับพวกเรา เจ้ายังอ่อนเกินไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ “งั้นหรือ?”

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์สั่งพี่น้องสองคนที่เหลือ “เก็บอาวุธของพวกมันมา”

 

 

ชายฉกรรจ์สองคนขานรับ เดินเข้าหาทั้งสามคนอย่างย่ามใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเมิ่งอี้เซวียนเขม็ง เปล่งเสียงพูดภาษาอังกฤษสองสามคำ

 

 

เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตาตอบรับ

 

 

ชายฉกรรจ์ทั้งหมดมึนงง

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจว่านางพูดอะไร แผดเสียงร้องคำราม “นังตัวดี เจ้าเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เท้าเตะกริชบนพื้นไปทางหัวหน้าชายฉกรรจ์

 

 

หัวหน้าชายฉกรรจ์ตกใจลนลาน คิดจะเบี่ยงตัวหลบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องลั่น “อี้เซวียน ลงมือได้”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสตอนที่ชายฉกรรจ์สติหลุด ล้วงกริชอีกด้ามในมือออกมา แทงกลับหลังเข้าที่หน้าอกชายฉกรรจ์เต็มแรง

 

 

ชายฉกรรจ์เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ หงายหลังล้มตึงลงไป มีดใหญ่ในมือร่วงสู่พื้น

 

 

“พี่ใหญ่” ชายฉกรรจ์ที่เหลือเพียงสองคนวิ่งร้องลั่นเข้าหาหัวหน้าชายฉกรรจ์

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองดูสองมือของตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือก นิ่งงันไม่เคลื่อนไหว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสบถเสียงต่ำ ลอยตัวไปเบื้องหน้าเขาอย่างไม่สนใจอันตราย

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่รีบเก็บมีดใหญ่ขึ้นมาตามนางไป

 

 

ชายฉกรรจ์สองคนเห็นเมิ่งอี้เซวียนอยู่ตรงหน้ารอมร่อแล้ว

 

 

ภายใต้ความร้อนใจ เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเศษเงินในอกเสื้อออกมาดีดใส่ทั้งสองคน

 

 

ชายฉกรรจ์สองคนนึกว่าเป็นอาวุธลับ เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้เข้าไปยืนเบื้องหน้าเมิ่งอี้เซวียน เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ตามมาจนทัน คุ้มกันอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเงยใบหน้าซีดขาวขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเลื่อนลอย พูดงึมๆ งำๆ “ข้าฆ่าคน”

 

 

“ยังไม่ตายเสียหน่อย เจ้าเพียงแทงเขาบาดเจ็บเท่านั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงละมุน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองชายฉกรรจ์ที่นอนหายใจรวยรินบนพื้น เม้มริมฝีปาก กระเถิบตัวเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ชายฉกรรจ์หกคนยังเหลืออีกสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ “รีบจัดการให้เร็วที่สุด”

 

 

ทั้งสองพยักหน้า ถือมีดใหญ่เข้าปะทะกับชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสองคน

 

 

ชายฉกรรจ์มิได้มีวรยุทธ์อ่อนด้อย เพียงแค่ต้องสูญเสียพี่น้องไปติดๆ กันถึงสี่คน แม้แต่หัวหน้าชายฉกรรจ์ก็ถูกแทง คนที่เหลือสติกระเจิง กระบวนท่าปรวนแปร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหวินเปียวและเหวินหู่อีกต่อไป เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกตัดแขนตัดขาไปอย่างละคน นอนกรีดร้องโหยหวนบนพื้น

 

 

พริบตาเดียว ถนนทั้งสายก็ดังก้องไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของพวกเขา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ่งให้กระแซะเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหมุนตัวเขาเข้ามา จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเขา ถามขึ้น “กลัวหรือ?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนที่ใบหน้าซีดเผือก ผงกหัวหงึกๆ เหมือนลูกไก่จิกข้าวสาร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึงขัง “หากพวกเราไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าพวกเรา กระทั่งอาจจะเป็นภัยมาถึงคนในครอบครัว ดังนั้นต่อให้เจ้า กลัว ก็ต้องอดทน”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนริมฝีปากสั่นระริก คิดจะพูดบางอย่าง กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขึงขังจริงจัง “อี้เซวียน เจ้าต้องรู้ว่า ชีวิตคนเราจะต้องเจอเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่ เจ้าจักต้องเรียนรู้ที่จะยืนหยัดเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหมือนกับวันนี้ เมื่อครู่หากไม่ใช่เจ้าแทงเขาบาดเจ็บ บางทีตอนนี้คนที่นอนอยู่บนพื้นก็คือพวกเรา ดังนั้น เรื่องบางอย่างเจ้าหวาดกลัวได้ แต่เรื่องบางอย่างเจ้าจักต้องไม่กลัว”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองแววตาวาดหวังคู่นั้นของเมิ่งเชี่ยนโยว ความสับสนลนลานในใจค่อยๆ สงบลง แม้ใบหน้าจะยังคงซีดขาว แต่เห็นชัดว่ามิได้หวาดกลัวมากแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันตัวเขาไปทางชายฉกรรจ์ที่บาดเจ็บพวกนั้น พูดอย่างเ**้ยมเกรียม “ดังนั้น เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เจ้าต้องดูให้ดี ต่อให้หวาดกลัว ก็ต้องอดทน”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองนางด้วยความกังขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เหวินเปียว

 

 

เหวินเปียวพยักหน้า เดินไปตรงหน้าชายฉกรรจ์บาดเจ็บคนหนึ่ง ยกมีดขึ้นฟันฉับ ศีรษะและร่างของชายฉกรรจ์แยกเป็นสองส่วน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนตกใจกรีดร้อง คิดจะปิดตาทั้งคู่ของตัวเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะใจอ่อน แต่พอคิดว่าหลังจากเขากลับคืนฐานันดรตัวเอง ไม่แน่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนโฉดชั่วอำมหิต หากใจดีอ่อนข้อให้ จะต้องถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ฝืนกัดฟัน พูดตวาดเสียงแข็ง “อี้เซวียน ลืมสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดกับเจ้าไปแล้วเรอะ? ลืมตาของเจ้า แล้วมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ไว้ให้ดี”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงปลั่ง แสดงอาการหวาดกลัวสุดขีด มองนางอย่างน่าเวทนา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหัวใจสั่นคลอนแวบหนึ่ง ต้องใช้กำลังภายในมหาศาลถึงควบคุมลงได้ ไม่บอกให้เขากลับไปนั่งรอในรถม้า

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพูดวิงวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่ดูได้หรือไม่? ข้าหวาดกลัวจริงๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพลัน “ไม่ได้”

 

 

ดวงตาคู่งามของเมิ่งอี้เซวียนสูญสิ้นแววระยิบระยับ ค่อยๆ หันหน้ามองไปยังชายฉกรรจ์ที่ร้องโหยหวน

 

 

เหวินเปียวกำลังจะเดินเข้าไป จบชีวิตชายฉกรรจ์อีกคน แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำใจไม่ได้ พูดว่า “ช้าก่อน”

 

 

เหวินเปียวชะงักฝ่าเท้า หันกลับมามองนางอย่างกังขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งทั้งสองคน “นำตัวไปจัดการในป่าเถอะ จำไว้ ห้ามให้มีชีวิตรอดเด็ดขาด”

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ขานรับ แยกกันลากชายฉกรรจ์ที่ร้องโหยหวนเข้าไปในป่า ทำเช่นนี้กลับไปกลับมาสามรอบ ชายฉกรรจ์ทั้งหกคนถึงถูกลากออกไปจนครบ

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองการกระทำของพวกเขาด้วยแววตาเลื่อนลอย

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่จัดการเรียบร้อย เช็ดกริชทั้งสองด้ามจนสะอาด สองมือประคองมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนอย่างอ่อนน้อม

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเหม่อลอยไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจำต้องรับมาทั้งสองด้าม ถามขึ้น “จัดการอย่างไร?”

 

 

เหวินเปียวตอบกลับ “หลังจากปั่นศีรษะพวกเขาแยกออกจากร่าง ก็ทำตามที่ท่านสั่ง โยนให้เป็นอาหารจิ้งจอกในป่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไล่ม้าทั้งหกตัวนี้ไป แล้วมุ่งหน้าไปตัวอำเภอ”

 

 

ทั้งสองขานรับคำ ใช้สันมีดตีร่างม้าทั้งหกตัว ม้าเจ็บปวด วิ่งกระเจิงไปคนละทิศละทาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคราบเลือดเต็มตัวพวกเขา ขมวดคิ้วแน่น “หาที่โยนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ทิ้งไป พอถึงตัวอำเภอให้ตรงไปซื้อเสื้อผ้าก่อนคนละชุด”

 

 

ทั้งสองรับคำ

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยังคงมองทั้งสองคนด้วยแววตาเลื่อนลอย ไม่รับรู้ในบทสนทนาของพวกเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงปฏิกิริยาของตัวเองครั้งแรกที่ฆ่าคนในชาติก่อน แอบถอนหายใจ ยื่นมือออกไปดึงเมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า “ไปเถอะ”

 

 

หลังจากกำจัดพวกสะกดรอยตามได้ เหวินเปียวและหิมราวกับยกภูเขาออกจากอก ต่างบังคับม้าไล่ตามกันมุ่งหน้าเข้าอำเภออย่างสบายอกสบายใจ ระหว่างทางหาสถานที่เหมาะสม โยนเสื้อผ้าที่ใส่ทิ้งไป

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถูกเมิ่งเชี่ยนโยวลากขึ้นรถม้า นั่งเหม่อลอยไม่ไหวติงอยู่ในห้องโดยสาร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ พูดเสียงอ่อน “เอนตัวนอนสักงีบเถอะ พอเจ้าตื่น ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนทำตามอย่างเชื่อฟัง ขดร่างกายเอนตัวนอนลง เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้านวมมาคลุมร่างเขา ตีตัวเขาเบาๆ ราวกับกล่อมเด็กน้อย

 

 

เมิ่งอี้เซวียนค่อยๆ หลับตาลง คล้ายว่าจะหลับไปแล้ว

 

 

เห็นเขาอยู่ในห้วงนิทราแล้ว ยังห่อหดร่างกายด้วยความตื่นกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกเสียใจที่ให้เขาประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เร็วเกินไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด